ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : กับอีกขั้นของความสัมพันธ์
ตอนที่ 10 กับอีกขั้นของความสัมพันธ์
ไอ้สัม กูจะฆ่าไอ้สัม จะบีบคอมันขาดใจตายคามือ ไม่ดีกว่า กูจะลากใส้มันออกมาทีละขด เอาเกลือทาแล้วยัดกลับ มันถึงจะได้ตายอย่างทรมาน
ชาญเดชแช่งชักเพื่อนในใจ เมื่อพบว่าความจริงสัมมาเพิ่งแจ้งย้ายห้องไม่ถึงเดือน ซึ่งผิดตามสัญญาเช่า ทำให้เขาต้องเสียเงินมัดจำห้องทั้งหมดไปเกือบหมื่น แถมบรรดาพนักงานขนย้ายกิตติมศักดิ์ที่หมอสัมว่าจ้างด้วยสุราให้มาช่วยขน ขอค่าแรงเป็นล่วงหน้าแต่กว่าจะย้ายจริงก็อีกกว่าสิบวันต่อมา พอถึงวันนัดก็ดันมาช้าแถมมาในรูปแบบรถร่วมฯที่ยังมีคราบเลือดติดอยู่กระบะท้าย ทำให้หมวดหนุ่มลังเลว่าควรจะเอาข้าวของไปวางทับหรือไม่
“วางเลยพี่ไม่ต้องลังเล ทำอย่างกับไม่เคยเห็นเลือด”
สมเจตตะโกนสั่งการเสียงดัง ในคนที่มาทั้งหมดสมจุ๊ยตัวเล็กสุด แต่ก็กินแรงมากสุดเช่นกัน เพราะขณะที่บอกมันก็นั่งยองๆ ดูดเสล้อปี้อย่างมีความสุข ไม่สนใจว่าอีกสี่ชีวิตแบกหามกันเหนื่อยแค่ไหน
“ไอ้เลือดน่ะเคยเห็น แต่เจ้าของเลือดกูไม่ได้อยากรู้จัก ถ้าซี้ซั้ววางแล้วเขาตามถึงบ้าน มึงจะช่วยกูรับแขกไหม"
ไม่พูดเปล่าแต่เท้าคนพูดก็เลื่อนไปใกล้ๆ ตัวกินแรง จุ๊ยรีบลุกหนีทันที เพราะรู้ว่ารุ่นพี่เป็นพวกเตะก่อนเตือนทีหลัง
“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ชาญ เจ้าของเลือดแค่คางเหลือง ไม่ถึงตายหรอก รับรองว่าไม่มีใครตามไปห้องใหม่พี่แน่”
วิทยาหรือกอร์ฟ เจ้าหน้าที่ร่วมฯร่างใหญ่บอกยิ้มๆ ในขณะที่ด้านหลังอรัญ หรืออาร์มเพื่อนร่วมห้องของกอร์ฟ เอาผ้าเช็ดรถเช็ดคราบเลือดออกให้เพื่อความสบายใจของหมวดชาญ
“ตกลงพี่สัมจะซื้อกับข้าวไปเลยใช่ไหมพี่”
คนสุดท้ายที่ลำเลียงของออกมาคือ วิสุจน์ หรือศก เพื่อนร่วมห้องของสองหนุ่มก่อนหน้า เขารีบถามถึงหมอสัมที่อ้างว่าลืมแจ้งขนของเข้า ก่อนจะหายไปพร้อมกับรถของชาญ ซึ่งเจ้าของรถคาดว่าเพื่อนเจตนาหนีงานหนักมากกว่า
“มึงจะถามถึงข้าว หรือยอดข้าวกันแน่ไอ้ศก”
เมื่อแน่ใจว่าพ้นระยะเท้าตำรวจ ไอ้จุ๊ยก็กลับมาปากดีได้เหมือนเดิม
“กับข้าวมีกินกันจนอิ่มทุกคนแน่ แต่ยอดข้าวกูเลี้ยงตามปริมาณเหงื่อที่เสียไปนะ”
หมวดชาญบอกเสียงดังพร้อมกับปรายตามองไอ้ตัวแสบ ที่ยังไม่มีจิตสำนึกคิดจะช่วยเพื่อนๆ ขนของบ้าง แต่จังหวะนั้นจุ๊ยกำลังมองออกไปยังทางเข้าตึกแล้วเห็นรถโฟว์วีลของชาญเลี้ยวเข้ามาพอดี ก่อนจะรีบโวยวายบอกคนอื่น
“เฮ๊ย เฮ๊ย พี่สัมพาหญิงมาว่ะ ตุ๊กตาหน้ารถรุ่นใหม่หรือเปล่าว่ะ”
ไม่ต้องเขม้นมองชาญเดชก็รู้ว่าหมอสัมพาใครมา เมื่อรถจอดสนิทผู้หมวดจึงรีบไปทำหน้าที่ประจำ โดยเปิดประตูรถแล้วรวบเอวบาง ดึงคนตัวเล็กกว่ามาตราฐานหญิงไทยลงมา หูของเขาแว่วๆ ว่าจุ๊ยตะโกนแซวอะไรบางอย่าง แต่หมวดหนุ่มไม่สนใจเพราะกำลังเพ่งพิศคนตรงหน้า
เกือบครึ่งเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากโรงพักกับออฟฟิศของธัญญ์ชยาอยู่ใกล้กัน หมวดชาญจึงไปรับไปส่งหญิงสาวตามประสาเพื่อนบ้านที่ดี ต่อมาถ้าไม่ติดธุระอะไรก็จะไปนั่งกินข้าวด้วยตามประสาคนทำงานใกล้กัน เรียกได้ชาญเดชกับธัญญ์ชยาเจอหน้ากันแทบทุกมื้อตลอดหลายวัน และทุกวันผู้หมวดก็จะพบหญิงสาวในสภาพเอี่ยมสะอาดในตอนเช้า และโทรมหมดสภาพในตอนเย็น จนเขาสงสัยว่าไปทำงานเอกสารในออฟฟิศติดแอร์ ทำไมถึงได้เหมือนไปออกรบกรุงแบกแดด
แต่วันนี้ธัญญ์ชยาอยู่ในสภาพเรียบร้อยเพราะเพิ่งออกจากห้อง ที่สำคัญดวงตากลมโตที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกรอบแว่นทรงนกฮูก อวดโฉมให้เห็นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เช้าวันที่ตื่นมาเจอกัน แต่วันนั้นชาญยังมึนงงจากฤทธิ์สุราเกินกว่าจะจำได้ว่ามันหวานซึ้งแค่ไหน
“ธัญญ่าใส่คอนแทคเลนส์ด้วยหรือครับ”
“ค่ะ เพิ่งได้มาเมื่อกี้นี่เอง”
รอยยิ้มแจ่มใสทำให้ชาญเดชอดใจไม่ไหว เอื้อมมือไปลูบศรีษะคนห้องตรงข้ามเบาๆ ก่อนจะชะงักมือ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวจัดการผมยาวที่เคยรวบเป็นหางม้ารุงรัง เป็นเปียสวยถึงกลางหลัง และจังหวะนั้นธัญญ์ชยาก็เล่าเรื่องคอนเทคเลนส์ต่อ
“สัมแนะนำให้ไปตัดน่ะค่ะ พอดีทางร้านแว่นเขาบอกว่าได้ของวันนี้ สัมเลยพาไปรับคอนเทคเลนท์ก่อนมาที่นี่”
“หรอครับ”
หมวดชาญตอบรับสั้นจนผิดปกติ ธัญญ์ชยาจึงหันมองหน้าอีกฝ่าย แล้วพบว่ากำลังมองเปียของเธอด้วยแววตาสงสัย หญิงสาวจึงบอกโดยไม่คิดอะไร แต่คนฟังกลับคิดไปไกล
“สัมถักให้ค่ะ”
“ให้ธัญญ่ามัดผมหางม้า อยู่ได้ไม่ถึงสองชั่วโมงก็ยุ่งแล้ว ถักเปียจะได้ไม่พะรุงพะรังเวลาช่วยเก็บของ”
หมอสัมบอกจากอีกด้านของรถ เขาลงรถมายืนมองตั้งนานแล้ว แต่เพื่อนยังยืนจ้องหน้าธัญญ์ชยาไม่เสร็จเสียที ไม่แม้แต่จะคิดปิดประตูรถ หญิงสาวหันไปยิ้มให้หมอหนุ่มด้วยสายตาขอบคุณ เธอเรียนรู้มาหลายวันแล้ว ว่าสัมมาปากร้ายแต่ใจดีแถมยังเป็นคนละเอียดอ่อนช่างสังเกต สามวันก่อนเขามองเห็นแว่นตาของเธออยู่ในสภาพจวนพัง ก็แนะให้ไปหาคอนเทคเลนส์มาใส่ มาวันนี้พอเธออาสามาช่วยขนของ ตอนแรกสัมมาก็อ้างว่าเกะกะไม่อยากให้ไป แต่เมื่อหญิงสาวยังยืนยันจะขอมาด้วย หมอหนุ่มก็ช่วยถักเปียเก็บผมให้เรียบร้อย พร้อมกับอบรมการดูแลตัวเองไม่ให้อยู่ในสภาพกระเซ๊อะกระเซิง เหมือนพี่ชายใหญ่คอยสอนน้องทั้งที่ความจริงทั้งคู่อายุเท่าๆ กัน
จู่ๆ ชาญก็ดึงร่างของหญิงสาวให้พ้นประตู ก่อนจะปิดมันแรงกว่าที่เคย หมอสัมเลิกคิ้วมองเพื่อนด้วยแววตาขบขัน เมื่อเห็นว่าหมวดหนุ่มโอบแขนรอบบ่าของธัญญ์ชยาด้วยกิริยาแสดงความเป็นเจ้าของก่อนจะพามาแนะนำกับเพื่อนๆ พอมีสาวมาใกล้ๆ สี่หนุ่มก็เข้ามาทักทายธัญญ์ชยาด้วยความกระตือรือร้น เพราะเมื่ออยู่ในชุดไปรเวทเสื้อยืด กางเกงยีนส์ หญิงสาวดูเหมือนอายุยี่สิบกลางๆ มากกว่าสามสิบต้นๆ จนพวกหนุ่มๆ รุ่นน้องขอเรียกชื่อธัญญ่าเฉยๆ ไม่ยอมเรียกพี่
หลังจากช่วยหยิบจับไม่กี่อย่าง ชาญเดชก็ไล่หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มให้ไปนั่งรอเฉยๆ โดยมีจุ๊ยอู้งานนั่งป้ออยู่ใกล้ๆ จนสัมมาต้องเข้าไปสะกิดเตือนให้ดูตาขวางๆ ของหมวดชาญ สมจุ๊ยจึงรีบไปรวมกลุ่มขนของแบบทันทีทันใด แต่คนเตือนยังแอบมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ พร้อมกับคิดแผนการณ์บางอย่างในใจ
........................................
“ทำไมของ ของชาญถึงมีน้อยจังค่ะ”
ธัญญ์ชยาเอ่ยถามจากที่นั่งข้างคนขับ เพราะคนที่นั่งประจำอ้างว่าปวดหลังย้ายไปนอนเหยียดยาวที่เบาะด้านหลัง ส่วนคนที่เหลือไปนั่งที่รถขนของ
“ห้องเก่าของผมไฟไหม้หมดเลยน่ะครับ ผมขี้เกียจซื้อพวกเฟอร์นิเจอร์ใหม่ พอดีที่คอนโดนี้มีเขามีเฟอร์นิเจอร์ให้ด้วย ผมเลยมีแต่พวกเสื้อผ้ากับของใช้ไม่กี่อย่าง”
“ที่เห็นเป็นรอยที่หลัง กับ..เอ้อ...ที่สะโพกน่ะหรอค่ะ”
หญิงสาวถามไปหน้าแดงไป เพราะจำได้รางๆ ว่าเคยเห็นรอยแผลเป็นของชาญตอนที่ชายหนุ่มอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ในเช้าที่ตื่นมาเจอกันครั้งแรก ถึงวันนั้นเธอจะไม่ได้ใส่แว่นตา แต่ก็จำรอยแผลขนาดใหญ่ได้
“อันนั้นเป็นรอยที่หมอเอาเนื้อเยื่อไปปลูกถ่ายที่อื่นน่ะครับ ว่าแต่ทำไมธัญญ่าถึงยังอยู่กรุงเทพล่ะครับ ไหนบอกว่าจะกลับไปหาแม่”
ชาญอธิบายสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นที่มันไกลกว่าอุบัติเหตุในครั้งนั้น เรื่องแม่ของธัญญ์ชยา เป็นหนึ่งในเรื่องที่หมวดชาญกับหมอสัมช่วยกันสอบถามหญิงสาวแบบอ้อมๆ รวมกับแอบสืบลับๆ จนละเอียดยิบ เนื่องจากเคยพลาดกับประวัติเบื้องหลังของคนใกล้ตัวมาแล้ว ก่อนจะโล่งใจที่พบว่านอกจากนิสัยงุ่มง่าม กับขี้อายผิดปกติ หญิงสาวไม่มีอะไรที่แตกต่างจากคนทั่วไป
“แม่บอกว่าจะขึ้นมาเยี่ยมญาติที่กรุงเทพอาทิตย์หน้าน่ะคะ เลยบอกว่าไม่ต้องขึ้นไปหาที่บ้านเสียเวลาเปล่าๆ”
หมวดชาญซึมซับข้อมูลนั้น และยิ่งมั่นใจว่าคนที่อยู่ข้างๆ จะไม่เป็นเหมือนกับคนที่เขาเคยไว้ใจในอดีต
“หรอ แม่จะขึ้นมาหรอ งั้นต้องไปตัดผมนวดหน้าเสียหน่อยแล้ว เดี๋ยวแม่ยายมาเห็นไม่ประทับใจในความหล่อ”
คนนอนอยู่เบาะหลังลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่จู่ๆ ก็เอาคางเกยพนักข้างคนขับ แล้วยื่นหน้าไปแซวหญิงสาว เสียจนเกือบเฉียดแก้มใส คนที่ถูกแซวไม่คิดอะไรนั่งหัวเราะกิ๊ก แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องนั่งกัดฟันกรอด ก่อนจะบอกเพื่อนเสียงดุ
“ไปนั่งดีๆ สิไอ้หมอ ยื่นหน้ามาอย่างนี้ มันบังกระจกข้าง”
หมอสัมรู้ทันทีว่าเพื่อนไม่ได้ต้องการมองกระจกข้าง แต่วันนี้เขาก็ได้รู้มากพอแล้ว จึงเอนหลังกลับไปนอนที่เดิม ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
.............................
“พวกชาญตัวใหญ่ทุกคนเลยนะค่ะ เอ้อ...ยกเว้นจุ๊ย”
หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยปากถามในวงข้าวกึ่งวงเหล้า ที่เริ่มตั้งวงทันทีเมื่อลำเลียงของไปวางไว้รอบห้องจนหมด เธออดแปลกใจไม่ได้ว่าเมื่อยืนเทียบกับพวกหนุ่มๆ ในห้องนี้เธอสูงแทบไม่พ้นไหล่พวกเขาด้วยซ้ำ
“ไอ้จุ๊ยมันรับแต่ส่วนดีๆ จากพ่อกับแม่ เลยได้มาแค่นั้น เตี้ยเหมือนแม่ ผิวเหมือนพ่อ แต่ปากหมาไม่เหมือนใคร”
คนถูกถามยังไม่ทันตอบ หมอสัมก็ชิงกัดรุ่นน้องในแล็บเสียเอง
“ถึงผมจะไม่ได้ไซร์ด้านสูงอย่างพ่อ แต่ได้ไซร์ยาวแบบยิวมาเต็มๆ เลยนะครับ”
จุ๊ยเอ่ยปากเถียงทันทีพร้อมกับแอบหยอดมุขทะลึ่งตามนิสัย จนอรัญที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องสะกิดเตือนว่ามีผู้หญิงอยู่ด้วย แต่คนที่ว่านอกจากจะไม่เข้าใจมุขแล้วยังสงสัยเรื่องอื่นแทนอีกต่างหาก
“จุ๊ยก็ลูกครึ่งเหมือนกันหรอ”
ธัญญ์ชยาถามซื่อๆ แต่คนถูกถามที่ห่างไกลคำว่าใสซื่อไปมาก ตอบกลับด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ไม่ครึ่งหรอกธัญญ่า ถ้าครึ่งป่านนี้สูงแล้ว ได้มาแค่เสี้ยว แต่ก็เสียวนะ”
คราวนี้วิทยาที่นั่งอีกข้างศอกใส่เต็มแรง เพื่อระงับปากเปราะๆ ของเพื่อน แต่ช้าเกินไปหน่อยเพราะคนหัวช้าเริ่มหน้าแดงก่ำ ชาญมองหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู ถึงเขาจะเคยควงผู้หญิงเปรี้ยวมาเยอะ แต่รสนิยมด้านเลือกเป็นแฟน เขามักจะเลือกผู้หญิงขี้อายมากกว่า ซึ่งเพื่อนร่วมห้องที่นั่งอีกด้านของหญิงสาวรู้ดี จนต้องแอบกลั้นยิ้มเมื่อเห็นสายตาที่เพื่อนใช้มองคนห้องตรงข้าม เมื่อหน้าเริ่มหายร้อนธัญญ์ชยาจึงถามเรื่องที่กำลังสงสัยต่อ
“หมู่นี้ทำไมเจอแต่พวกลูกครึ่งก็ไม่รู้ ชาญกับสัมก็ลูกครึ่ง”
ทั้งวงหัวเราะกับคำพูดนั้น แล้วปล่อยหน้าที่เฉลยให้เป็นของผู้หมวดหนุ่มแทน
“ก็เพราะพวกเราเจอกันที่โรงเรียนนานาชาติน่ะสิ ผมกับไอ้สัมเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว พวกที่เหลือเป็นรุ่นน้องผมอยู่สองปี อย่างกอร์ฟนี่เล่นบาสด้วยกันมา อาร์มกับศกเป็นเพื่อนกับกอร์ฟอีกที ส่วนไอ้จุ๊ยมันมาคุ้นเคยกับสัมเพราะสนใจด้านอนาโตมี่ ไปๆ มาๆ เลยสนิทกันหมด ตอนนี้ก็มารวมอยู่ตึกเดียวกัน สงสัยตอนแก่ก็คงไปอยู่บ้านพักคนชราด้วยกันอีก”
“งั้นก็แสดงว่าเป็นลูกครึ่งกันหมดเลยน่ะสิค่ะ”
จากการพูดคุยไม่กี่นาทีสอนว่าอย่าคุยเรื่องมีสาระกับจุ๊ย ธัญญ่าจึงถามชาญแทน
“ก็ครึ่งมั่ง เสี้ยวมั้ง ตอนเด็กๆ พวกผมก็ดูต่างจากเด็กอื่นอยู่หรอก แต่พอโตขึ้นก็ดูไม่ค่อยออก แล้วสมัยนี้คนไทยแท้ๆ ก็สูงๆ กันทั้งนั้น”
หญิงสาวเถียงในใจทันทีว่าไม่จริงเพราะระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในห้องนี้ เยอะจนแทบระเบิดเลยทีเดียว
“ธัญญ่าเพิ่งย้ายมาหรอ แล้วรู้จักกับพี่สัมได้ยังไง”
วิสุจน์ที่นั่งตรงข้ามหญิงสาวถามด้วยความสงสัย ที่เห็นธัญญ์ชยาดูจะไม่รู้เรื่องที่เกี่ยวกับคนห้องตรงข้ามเลย
“ก็ย้ายมาเกือบปีแล้วค่ะ แต่เพิ่งรู้จักกับสัมไม่นาน คือ...เอ้อ...บังเอิญได้คุยกันนิดหน่อย”
เจ้าของห้องกับรูมเมทแอบขำที่หญิงสาวใช้คำว่าได้คุยกันนิดหน่อย แต่มันก็จริงเพราะคืนนั้นพวกเขาต่างคนต่างหลับเลยไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ
“อ้อ...ยัยอ๊วกของพี่สัมนี่เอง”
สมเจตนึกออกก็พูดออกมาต่อหน้าทันที ทำเอาคนถูกอ้างชื่อสำลักน้ำที่กำลังดื่มทันที ในขณะที่คนได้ชื่อใหม่หน้าแดงก่ำ ด้วยความอับอายในวีรกรรมตอนเมาของตัวเอง เป็นโอกาสให้นายตำรวจได้สั่งสอนหญิงสาวอีกรอบ
“ถ้าอายทีหลังก็อย่าทำอีกนะครับ คราวที่แล้วโชคดีที่น้องน้ำพากลับห้อง ไม่งั้นจะเกิดอะไรบ้างก็ไม่รู้ จะกินเหล้าก็ควรไปกับคนที่ไว้ใจได้สิ”
“คงไม่ไปแล้วล่ะค่ะ ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”
คนทำผิดนอกจากไม่เถียงแล้วยังออกปากจะไม่ไปเที่ยวอีก เพราะนอกจากเสียหน้า แล้วยังเสียเงินไปอีกไม่ใช่น้อย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เธอจะไม่เฉียดใกล้แหล่งอบายนั้นอีกโดยเด็ดขาด แต่เมื่อพูดถึงเรื่องคืนนั้น ธัญญ์ชยาก็นึกเรื่องบางอย่างออก
“อืม...พูดไปธัญญ่ายังไม่ได้ขอบคุณน้องน้ำ กับเพื่อนเขาเลยนะเนี่ย”
“ไม่ใช่เพื่อนครับ คนที่ชอบแต่งตัวแบบเสี่ยนั้นเป็นพ่อแท้ๆ ของน้องน้ำ”
ชาญเดชรีบบอกเพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่าน้องน้ำกับพ่อ เป็นเด็กไซด์ไลกับเสี่ยใหญ่ที่ชอบเลี้ยงเด็ก
“ไม่ใช่ลุงคนนั้นค่ะ มีผู้ชายอยู่อีกคนหนุ่มๆ ธัญญ่าจำได้ว่าเห็นเขายืนอยู่ ตอนที่น้องน้ำเข้ามาทักธัญญ่า"
หมวดชาญกับหมอสัมแอบสบตากัน โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีหนึ่งคนในกลุ่มที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง เรื่องคืนนั้นผู้หมวดกับหมอเคยแอบถามธัญญ์ชยามาหลายครั้ง แต่เจ้าตัวจำอะไรเกือบไม่ได้เลย พวกเขาจึงคิดว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่กระเป๋าสะพายของหญิงสาวตกอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ถ้ามีบุคคลอื่นอยู่ที่นั่นในตอนนั้น คน คนนั้นก็อาจเป็นฆาตกรที่พวกเขาตามหาอยู่ หมอสัมจึงพยายามช่วยกระตุ้นความทรงจำของหญิงสาวแบบอ้อมๆ
“ธัญญ่าจำไม่ได้เลยหรอว่าเป็นใคร จะได้ไปขอบคุณเขา”
หญิงสาวทำหน้านิ่ว เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นเหมือนความฝันมากกว่าความจริง เนื่องจากปริมาณน้ำเมาในตัว ในขณะที่ธัญญ์ชยานิ่งคิด ก็มีผู้ชายสามคนในห้องกลั้นใจรอฟังคำตอบ
“จำไม่ได้เลยค่ะ แค่คุ้นๆ ว่ามีอีกคนยืนอยู่เท่านั้นเอง”
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กินข้าวต่อเถอะ”
ชาญเดชเลื่อนจานกับข้าวให้พร้อมกับสื่อสารทางสายตาบอกเพื่อน ว่ายังมีวันหลังให้ซักถามกันอีก ซึ่งมันก็ตรงกันกับความคิดของผู้ชายอีกคน ที่คิดว่าอาจมีสักวันที่หญิงสาวนึกเรื่องในคืนนั้นออก และเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ให้มีวันนั้นเกิดขึ้น
To be continue.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น