ตอนที่ 9 : พี่สือซานกับน้องซานเอ๋อร์
“หม่อมฉันขออภัยที่กระทำการไม่เหมาะสมเพคะ”
กู่ซานกล่าวไปก็ถลึงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นใส่หงจูเชวี่ยไปด้วย หากไม่ได้ยินว่าเป็นคำขอโทษ เขาคงนึกว่านางกำลังแช่งให้เขาสิ้นชีพอยู่
หงจูเชวี่ยเคยพบเจอเจตนาร้ายมาทุกรูปแบบ แต่นี่เป็นคราวแรกที่มีคนคุกเข่าขออภัยเขา ด้วยน้ำเสียงและท่าทางแฝงเจตนาร้ายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทว่าเขารู้จักกู่ซานมาสองปี โดนนางเล่นงานทั้งซึ่งหน้าและลับหลังเกินจะนับไหว พบว่านี่แหละปฏิกิริยาตามปกติของซานเอ๋อร์เด็กดีที่มีต่อเขา
คราวนี้เด็กหญิงเรียนรู้จะไม่เล่นงานเขาตรงๆ ด้วยหมัดเท้าเข่าศอก แต่อาศัยใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้ม ทำทีเป็นมาชวนคุย เอ่ยปากอย่างน่ารักอ่อนหวาน
‘องค์ชายหงจูเชวี่ย คราวก่อนข้าผิดไปแล้ว เรามาเป็นสหายกันได้หรือไม่’
ใครเล่าจะต้านทานเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักได้ หงจูเชวี่ยผ่านเล่ห์กลแห่งวังหลังที่เหี้ยมโหดยิ่งกว่าสนามรบมาหลายปี ก็ยังอดใจอ่อนยอมเดินตามการจูงมืออันแสนกระตือรือร้นของนางเข้าไปในสวนไผ่ใกล้เรือนพักไม่ได้ หนำซ้ำยังซื่อจนไม่ยอมให้องครักษ์ลับตามไปด้วย
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หลงวนอยู่ในค่ายกลหาทางออกไม่เจอ รู้แค่ว่ามีเสียงเล็กๆ ลอยตามลมมาหัวเราะเยาะทิ้งท้าย
‘องค์ชายปีศาจโง่ หลงอยู่ในนั้นจนหิวตายไปเถอะ’
ถึงจะรู้ว่านางไม่มีทางปล่อยให้เขาตาย หงจูเชวี่ยก็ยังถือทิฐิหาทางออก เพียงเพราะอยากเห็นสีหน้าขัดใจจนแก้มป่องของกู่ซาน แล้วเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาช่างเป็นองค์ชายผู้อ่อนด้อยสู้เด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ได้ เดินวนเวียนในค่ายกลสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงแทบหมดสติ สุดท้ายเป็นกู่เฟยสังเกตท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของกู่ซานกับกู่หาน คาดคั้นจนพบความจริงแล้วมาช่วยเขาออกจากค่ายกลในสภาพอ่อนเปลี่ยเพลียแรง แต่เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้มีหรือจะปิดบังกู่เอ่อคังได้
แต่ถึงหงจูเชวี่ยจะเอาชนะด้านกลศึกของกู่ซานไม่ไหว ใช่ว่าด้านวาจาเขาจะด้อยกว่า
“ถ้าเจ้าไม่อยากขอโทษก็ไม่ต้องพูดหรอกซานเอ๋อร์” หงจูเชวี่ยกล่าวยิ้มๆ ดูออกยากยิ่งว่าประชดหรือไม่ เล่นเอาเด็กแสบแก้มพอง แต่อย่างไรคนรอบข้างก็ไม่ปล่อยให้นางอาละวาดก่อเรื่องอีก เพราะการทำร้ายเชื้อพระวงศ์ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้
“เจ้ายังไม่สำนึกผิดอีกหรือซานเอ๋อร์”
กู่เอ่อคังที่ตามใจหลานสาวมาตลอด โกรธจนยกมือขึ้นจะตีนางสักที แต่ก็ทำได้เพียงเงื้อมือ แค่นางน้ำตาร่วง เขาก็ใจอ่อนยวบแล้ว
“ท่านอารองใจเย็นๆ ซานเอ๋อร์ยังเด็ก ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายองค์ชายหงจูเชวี่ยแน่ นางก็แค่ต้องการหยอกเขาเล่น ค่ายกลที่นางทำไม่ได้ถึงแก่ชีวิต”
เห็นสถานการณ์ไม่ดีกู่หานรีบเข้ามาขวางระหว่างอารองกับน้องสาวเอาไว้ ส่วนกู่เฟยโน้มน้าวกู่เอ่อคังให้ลดโทสะ ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาขอร้องไปหาหงจูเชวี่ยเพราะกู่ซานจะได้รับโทษสถานเบาหรือหนักขึ้นอยู่กับการเอ่ยปากช่วยเหลือของเขา
“องค์ชายโปรดยกโทษให้ซานเอ๋อร์ด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ น้องของข้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้เดียงสา”
ต่อให้ออกจากปากของตน กู่เฟยยังรู้สึกกระดาก กู่ซานยังอยู่ในวัยเด็กแน่ แต่คำว่าไร้เดียงสาไม่อาจใช้อธิบายถึงตัวแสบที่วางแผนเล่นงานองค์ชายซึ่งอายุมากกว่านางเจ็ดปีได้
ปีก่อนกู่ซานชกหน้าหงจูเชวี่ยยังอ้างคำว่าไม่รู้ได้ แต่ปีนี้นางใช้เวลาตลอดปีศึกษาค่ายกลอย่างจริงจัง เพียงเพื่อวางกับดักให้องค์ชายได้รับความลำบาก กู่เฟยไม่รู้ว่าควรชมเชยน้องสาวที่มีพรสวรรค์ดี หรือควรสนับสนุนให้อารองลงโทษนางหนักๆ ดี
แต่อย่างไรก็ตามคนสกุลกู่ต้องช่วยเหลือกันยามเดือดร้อน เขาเองก็มีน้องสาวเพียงคนเดียว ต่อให้เป็นตัวแสบที่สมควรถูกลงโทษเพียงใดเขาก็ต้องออกหน้าปกป้อง
“องค์ชายโปรดมีเมตตาด้วย” กู่หานช่วยพูดอีกคน แม้กู่เอ่อคังจะออกตัวว่าจะลงโทษกู่ซาน แต่ดูแล้วคงเป็นการยอมถอยเพื่อลดความโกรธจะได้ขออภัยง่ายขึ้นมากกว่าจะลงมือกับหลานสาว หงจูเชวี่ยฟังพวกเขาช่วยเหลือกันและกัน แล้วแสร้งทำหน้าประหลาดใจ
“ข้าไม่ได้พูดสักคำว่าจะไม่ยกโทษให้” หงจูเชวี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วก็เห็นสีหน้าของสกุลกู่ทั้งสี่ที่แปรเปลี่ยนไปหลากอารมณ์
หลังจากถูกกู่ซานเอากำปั้นกระแทกหน้า หงจูเชวี่ยก็ค้นพบว่ายามที่เขากล่าวคำว่า ‘ข้าไม่ได้พูด’ คนฟังล้วนมีสีหน้าอยากจะฆ่าเขาให้ตาย เขาจึงเก็บประโยคนี้เอาไว้ใช้ในสถานการณ์เคร่งเครียด เพราะมันจะบีบคั้นให้คนมีโทสะมากขึ้น และยามโกรธ คนมักจะแสดงออกให้เห็นถึงนิสัยใจคอที่แท้จริง
“หรือเจ้าว่ายังไงซานเอ๋อร์”
“ข้าขอโทษ ท่านจะลงโทษอย่างไรก็ได้” เห็นสีหน้าคนรอบข้างแล้ว กู่ซานกล้าโกรธแต่ไม่กล้าหาเรื่องอีก ตัดสินใจยอมอ่อนข้อให้เขาถึงที่สุด
“เจ้าหาเรื่องข้าเพราะครั้งแรกที่เจอกันข้ากำลังแลกเปลี่ยนวรยุทธิ์กับพวกพี่ชายของเจ้าใช่หรือไม่”
คิ้วเรียวขมวดมุ่นราวกับขบคิดเรื่องสำคัญ แต่คำพูดของหงจูเชวี่ย ส่งผลให้คนสกุลกู่มองหน้ากัน คาดเดาว่าองค์ชายต้องการอะไรกันแน่ หรือจะหาเรื่องลงโทษพวกเขาไปด้วยที่ให้ท้ายกู่ซาน
รอครู่ใหญ่กว่าใบหน้างดงามของหงจูเชวี่ยค่อยผ่อนคลายลง แล้วส่งยิ้มอ่อนโยนให้กู่ซานเพียงคนเดียว แต่ก็ยิ่งทำให้นางเข่นเขี้ยวเพราะรู้ว่าเขามีบทลงโทษร้ายๆ จะเล่นงานนาง
“ในเมื่อเจ้าเห็นความสำคัญของพี่ชาย ต่อไปนี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ไม่ดีๆ ทำเช่นนี้ก็ซ้ำกับกู่เฟย เอาเป็นต่อไปเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่สือซาน ดีหรือไม่”
สือซาน หรือสิบสาม ไม่ได้เป็นพียงลำดับการเกิดของหงจูเชวี่ย แต่เป็นชื่อที่ไม่มีใครเรียก ก่อนหน้านั้นมีเพียงสองคน ซึ่งเป็นคนสำคัญในชีวิตของเขา
‘เจ้าคือน้องสิบสาม (สือซาน) หรือ’
ครั้งแรกที่พบหน้า อดีตรัชทายาทองค์ชายสี่กับเหมยซิ่ง ต่างถามเขาด้วยประโยคนี้
และตลอดเวลาแห่งความสุขในอันน้อยนิดในชีวิตของหงจูเชวี่ย ทั้งสองเรียกขานเขาว่าสือซานด้วยความรักและอาทร
ตอนนี้ไม่มีแล้ว พี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาจากโลกนี้ไป เหลือเพียงเขาที่ต้องมายังสำนักไร้นามเพื่อฝึกวิชากลับไปดูแลเหมยเยี่ยเซียง หลานสาวซึ่งทั้งคู่ทิ้งไว้ให้เขา
ดังนั้นหงจูเชวี่ยจึงหวังว่าจะมีใครสักคนเรียกเขาว่า สือซาน อีกครั้ง แต่ดูจากสีหน้าของกู่ซาน นางคงอยากเรียกเขาว่าปีศาจมากกว่า
““พี่สือซาน กับน้องซานเอ๋อร์ พี่สิบสามกับน้องสาม จุ๊ๆๆ ฟังดูแล้วเข้ากันจริงๆ แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบ เรียกข้าว่า ท่านพี่ก็ได้นะ”
แววตาของหงจูเชวี่ยระยิบระยับด้วยความคาดหวังว่ากู่ซานจะเรียกเขาเช่นนี้ ตรงข้ามกับสีหน้าอยากฆ่าให้ตายของนางเป็นอย่างยิ่ง
ท่านพี่ คล้ายคำเรียกขานของภรรยาที่มอบให้ต่อสามี ตีให้ตายกู่ซานย่อมไม่ยอมเรียกหงจูเชวี่ยเช่นนั้น แต่นั่นเป็นเรื่องที่ยังไม่แน่นอนในอีกหลายปีข้างหน้า สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาลมีเพียง นางเป็นซานเอ๋อร์เด็กดีของเขา ส่วนเขา เป็นองค์ชายปีศาจของนาง
......................................
โปรดติดตามตอนต่อไป
#ยอดพธูคู่หทัย
เหลืออีกห้าวันงานสัปดาห์หนังสือจะจบแล้วค่ะ ถ้าสะดวกอย่าลืมแวะศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์นะคะ
#ขันทีตัวปลอมจอมใจตัวจริง ก็มีให้โหลดอ่านในแบบอีบุ๊กค่ะ ฝากเสี่ยวเจี่ยด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

235 ความคิดเห็น
-
#146 pemipond (จากตอนที่ 9)วันที่ 29 พฤษภาคม 2562 / 18:52ข้าเรียกเองเจ้าค่ะ ท่านพี่ๆๆๆๆ#1460
-
#14 OuWate (จากตอนที่ 9)วันที่ 3 เมษายน 2562 / 08:34น้องสามกับพี่สิบสาม หึๆ#141
-
#14-1 วาณี ซิงซิน แว่นฟ้า(จากตอนที่ 9)4 เมษายน 2562 / 23:10พี่น้องรักกันรักกัน555#14-1
-