ตอนที่ 6 : เด็กหน้าขาว
“พี่ใหญ่ พี่รอง เจ้าเด็กหน้าขาวคนนี้หาเรื่องอะไรพวกท่าน” นั่นเป็นประโยคแรกที่กู่ซานใช้ทักทายหงจูเชวี่ย
เด็กหน้าขาว เป็นคำพูดที่กู่ซานได้ยินบิดาซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ รวมถึงเหล่าขุนพลคนสนิทเอาไว้ใช้ปรามาสเหล่าข้าศึก หรือขุนนางตรวจการที่ไม่ได้ความ นางฟังแล้วคิดว่าช่างเป็นคำพูดที่ห้าวหาญยิ่งนัก แต่เชื่อได้เลยว่าหากมารดาได้ยิน นางต้องถูกตีจนก้นช้ำ และพอคำเหล่านี้หลุดจากปากนางไปกล่าวหาคนแปลกหน้า ก็ทำเอาทุกคนในครอบครัวหน้าเปลี่ยนสี
“ซานเอ๋อร์!! เจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล” กู่เฟยชิงดุน้องสาวก่อน
ถึงอาจารย์จะไม่ได้เอ่ยถึงฐานะของหงจูเชวี่ยอย่างชัดเจน แต่กู่เฟยมิใช่คนโง่ เห็นแค่กลุ่มคนที่ลอบอารักขาเด็กชายที่อายุมากกว่าเขาสองปี ทว่ากลับผอมแห้งสู้ไม่ได้แม้แต่น้องชายของเขา ก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายมีฐานะสูงส่งเพียงใด
เมื่อครู่ที่มีปัญหาวิวาทกันก็เพราะเด็กอื่นหาเรื่องหงจูเชวี่ยก่อน กู่เฟยกับกู่หานคิดจะไปไกล่เกลี่ย กลับถูกท่าทางน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่ายกวนโทสะ แต่พอได้ยินอารองหลุดปากแทนตัวว่ากระหม่อมก็ตระหนักว่าหงจูเชวี่ยเป็นเชื้อพระวงศ์ซึ่งมิอาจล่วงเกิน
เด็กคนอื่นๆ นอกจากทายาทจวนแม่ทัพกู่ มองหน้ากันไปมา รู้ตัวว่าก่อเรื่อง แต่ไม่รู้จะทำเช่นใดดี กู่เอ่อคังเห็นดังนั้นจึงโบกมือไล่
“พวกเจ้าไปได้แล้ว ซานเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยาท รีบขอโทษคุณชายหงจูเชวี่ยเดี๋ยวนี้”
หลังจากไล่คนนอกออกไปหมด กู่เอ่อคังก็จัดการหลานสาวก่อนเรื่องจะลุกลาม แต่เด็กน้อยที่ถูกตามใจจากคนทั้งบ้าน มีหรือจะยอมทำตามโดยไร้เหตุผล
สายตาของกู่ซานมองเด็กชายแปลกหน้าอย่างไม่เป็นมิตร เด็กหญิงโตพอจะแยกแยะความสวยงามกับความอัปลักษณ์ได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดยามแรกเห็นใบหน้างดงามที่ไม่ว่าใครก็ตะลึงงัน นางกลับไม่รู้สึกอะไร นอกจากไม่ถูกชะตาเป็นพิเศษ อาจเพราะครั้งแรกที่พบหน้าก็เห็นว่าเขากำลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับพี่ชายทั้งสองของนางอยู่
“ทำไมกัน ข้ายังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” กล่าวจบเด็กเอาแต่ใจก็เม้มปากแน่นทำท่าตีให้ตายก็ไม่รับผิด เล่นเอาผู้เป็นอาโกรธจนหนวดสั่น
หงจูเชวี่ยมองสองอาหลานพร้อมกับท่าสำรวมไม่ออกปากใดๆ แต่ยามหยุดสายตาที่เด็กหญิงตัวน้อย เขากลับถูกถลึงตาใส่
เจ้าตัวเล็กช่างน่ารักยิ่งนัก เขามองมากเท่าไรก็ยิ่งนึกชอบ เหมือนมองเห็นรูปปั้นเด็กหญิงที่อยู่ตรงฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ชวนให้คนเอ็นดู
เด็กหนุ่มไม่เคยข้องเกี่ยวกับเด็กหญิงอายุเท่านี้มาก่อน เหมยเยี่ยเซียงที่เขาเคยดูแลตอนอยู่ในวังยังเป็นทารกอ่อนแอไม่ต่างกับลูกแมวแรกเกิดที่ไม่อาจแตะต้องแรงๆ แต่กู่ซานเหมือนลูกแมวที่ยังไม่หย่านมทว่ามีเขี้ยวเล็บน้อยๆ และกำลังพองขนด้วยโทสะ เหมาะกับการแหย่เล่น
นางเท้าสะเอวเงยหน้าจ้องมองเขา ด้วยท่าทางของคนที่เหนือกว่า ทั้งที่สูงไม่ถึงเอวของเขาด้วยซ้ำ
ผมทรงซาลาเปาสองลูกหลุดลุ่ย แก้มป่อง ร่างกายเด็กน้อยที่ยังไม่ยืดตัวยามเอากำปั้นเท้าสะเอววางท่าน่าเกรงขามเช่นชายอกสามศอก กลับทำให้หน้าท้องน้อยๆ ยื่นป่องออกมา จนเขาเห็นแล้วมันเขี้ยวอยากจะยกตัวนางขึ้นมากัดแก้มสักคำ งับพุงหนักๆ สักหลายๆ ที
แต่หงจูเชวี่ยฉลาดพอจะเก็บความคิดเอาไว้ในใจ เพราะสังเกตเห็นว่านอกจากจะมีริมฝีปากสีแดงสดเหมือนผลอิงเถา[1] กู่ซานยังมีฟันเขี้ยวแหลมคมอยู่สองซี่ ดูจากลักษณะไม่คล้ายแมวน้อยสักเท่าไหร่ คล้ายจะเป็นจิ้งจอกน้อยเขี้ยวคมซึ่งอาจจะกระโดดกัดศีรษะของเขาก็ได้
ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่กับแก้มและพุงกลมๆ ของเด็กหญิง
“มองทำไม อยากโดนดีหรือ” กำปั้นเล็กๆ เงื้อง่าเลียนแบบท่าทางวางโตของบิดา ทว่าน่าขำเพราะการถลึงตายิ่งทำให้นางเหมือนลูกจิ้งจอกขู่คำรามมากขึ้น
แก้มกับพุงดูนุ่มน่าฟัดขนาดนี้กลับทำท่าเหมือนอันธพาลน้อย มุมปากของหงจูเชวี่ยจึงเผลอกระดกยิ้มโดยไม่ได้เกี่ยวกับการดูแคลนอันใด แต่ส่งผลให้กู่ซานทำท่าจะอ้าปากพ้นคำหยาบคายที่ฝึกจากพี่ๆ ในค่ายทหารออกมา กู่เอ่อคังเกรงว่าหลานสาวจะทำผิดกว่าเดิม รีบตวาดดุเสียงเข้ม
“หุบปากซะ!! เจ้ากล่าววาจาเยาะหยันผู้อื่นโดยไร้เหตุผล เสียมารยาทเพียงนี้ ยังไม่ขออภัย จะให้คนอื่นกล่าวหาว่าสกุลกู่ไม่สั่งสอนบุตรหลานหรือ”
ปากของกู่ซานกำลังจะตอบโต้ว่าเรียกเด็กหน้าขาว ไม่ได้เป็นการเยาะหยันโดยไร้เหตุผล ใบหน้าหงจูเชวี่ยทั้งขาวทั้งซีด เป็นบุรุษแต่กลับดูอ่อนหวานราวสตรี มองอย่างไรก็เป็นพวกเจ้าเล่ห์อ่อนแอ ประเภทเดียวกับนางจิ้งจอกที่หญิงรับใช้บอกเล่า
แต่นางฉลาดพอจะอ่านสีหน้าคน ไม่นับเรื่องที่ว่านางก็มีความผิดจริง ต่อให้คนสกุลกู่ต้องปกป้องกันและกัน นางก็ไม่ควรตัดสินใจว่าใครถูกผิดชิงหาเรื่องผู้อื่นก่อนรู้เรื่องราว
“ข้ากู่ซานพูดจาไม่เหมาะสม ขออภัยท่าน” นางประสานมือแบบไม่เต็มใจนัก แต่ผู้เป็นอาไม่อยากต่อความยาว รีบพานางและหลานชายสองคนแยกย้ายไปให้ไกลจากคนแปลกหน้า
ขณะขาสั้นๆ ของกู่ซานเดินตามการจับจูงของอารอง สายตาของนางก็ยังตวัดมองหงจูเชวี่ย แต่คนหนึ่งกังขาแกมไม่พอใจ ส่วนอีกคนแย้มยิ้มเอื้อเอ็นดู
แม้จะยังไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร แต่กู่ซานที่เติบโตมากับเหล่าทหาร ชอบฟังเรื่องเล่าเหลวไหลรอบกองไฟ ก็ตราหน้าเขาไปแล้วว่าคนหน้าตาดีย่อมมิใช่คนดี
ใช่แล้ว รูปงามเช่นนี้ย่อมเป็นปีศาจ หงจูเชวี่ย เจ้าปีศาจร้าย
ฝ่ายหงจูเชวี่ยก็เอาแต่มองเด็กตัวป้อมขาสั้นแก้มกลมผมซาลาเปาด้วยสายตาอ่อนโยน ถึงขั้นขั้นเผลอตัวเขย่งปลายเท้าชะเง้อมองตามหลังกู่ซาน หารู้ไม่ว่าตนเองนอกจากถูกด่าว่าเป็นปีศาจแล้วเขายังเริ่มล้มป่วย ป่วยด้วยโรครักษาไม่หายที่ชื่อว่า ‘โรครักเด็ก’
......................................
โปรดติดตามตอนต่อไป
#ยอดพธูคู่หทัย
ไม่ทันไรว่าที่ฮ่องเต้หงจูเชวี่ยก็พลาดซะแล้ว พลาดหนักด้วยเพราะดันไปตกหลุม(รัก)เด็กแสบ ที่สำคัญไม่คิดจะปีนขึ้นมาเลย555
เนื่องจากอัพตอนสั้น (จริงๆ ช่วงนี้ก็ปั่นไม่ได้ยาว555) ก่อนงานหนังสือแว่นจะอัพทุกวันนะคะ เพราะอีกวันเดียวก็งานหนังสือแล้ว555 หลังจากนี้จะอัพทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ นะคะ
สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านความเป็นมาของสกุลกู่และสกุลหง ฝาก #ยอดพธูคู่แผ่นดิน ด้วยนะคะ แล้วอาจจะยิ่งรักกู่ซานกับหงจูเชวี่ย
แต่ถ้าใครมีแล้วและอยากอ่านอะไรใหม่ๆ แนะนำผลงานใหม่ที่เพิ่งจะวางแผง #ขันทีตัวปลอมจอมใจตัวจริง ค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตกหลุมเด็กห้าขวบ ฮาาาาาา
น้องอายุห้าขวบ ใจเย็นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตอนเป็นเด็กนี่น่ารักน่าหยิกมากเลยซานเอ๋อ
สนุกมากค่า????