ตอนที่ 35 : รอยยิ้มจิ้งจอก
เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม่ม้าที่อ้วนเตียวกำลังขี่อยู่ ถูกคัดเลือกมาอย่างดี นอกจากก้าวย่างมั่นคง นิสัยยังอ่อนโยน ไม่เตลิดง่าย แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้น เช่นแมวป่าที่วิ่งไล่กระต่ายออกมาจากข้างทาง ส่งผลให้ขาหน้าทั้งคู่ของม้าโผนขึ้นกลางอากาศ ร่างเล็กของอ้วนเตียวจึงไม่อาจทรงตัวได้ หงมิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองฉับไว เขารีบคว้าเอวของนางเอาไว้ แล้วดึงข้ามมาอยู่ในอ้อมอกตน แต่ยามฉุกละหุกทุกอย่างย่อมผิดพลาดได้โดยง่าย
“โอ๊ย!!! เท้าข้า” เสียงร้องของอ้วนเตียว บอกถึงความเจ็บปวดที่นางได้รับ
ใจของอ๋องหนุ่มโลดขึ้นบนอก คราวนี้เขาไม่คำนึงถึงความไม่เหมาะสมแล้ว รอจนชักม้าออกห่างจากแม่ที่ยังไม่หายอาการตื่น หงมิ่งก็รีบอุ้มอ้วนเตียวลงจากหลังม้า หาพื้นที่ให้นางนั่งลง มองซ้ายขวาก็ไม่มีตรงไหนเหมาะ สุดท้ายก็ได้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ทอดตัวเอนอยู่ จัดการให้นางได้นั่งแล้วเขาก็รีบร้อนเปิดชายกระโปรงของนางขึ้น ตามด้วยถอดรองเท้าถุงเท้า โดยไม่สนเสียงอุทานตกใจใดๆ รอจนเห็นข้อเท้าบวมเป่งเพราะบิดงอจังหวะจะนำเท้าออกจากโกลนม้า ก็ยิ่งตระหนักกับอาการบาดเจ็บของนาง
เวลาเพียงครู่เดียว ข้อเท้าของนางก็บวมแดงขัดกับสีขาวของเท้าเรียวเล็กพอๆ กับฝ่ามือของเขา หงมิ่งรู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่ปกป้องดูแลนางไม่ดีพอ โดยเฉพาะเมื่อเงยหน้ามองว่าอ้วนเตียวมีท่าทางเจ็บปวดหรือไม่ เขาก็พบว่านอกจากใบหน้าที่บอกถึงความเจ็บปวดแล้ว นางกำลังอับอายแทบตาย
“ขออภัย ขะ.... ข้า” ชายหนุ่มอึกอัก พูดจาไม่เป็นคำ
อ้วนเตียวก็ไม่ตอบอันใด ทำเพียงผลักมือหงมิ่งออกจากขาของนาง แล้วร้อนรนเลื่อนชายกระโปรงซ่อนเท้าเปลือยเปล่า พลางมองข้ามแผ่นหลังเขาไป ชายหนุ่มถึงเพิ่งนึกออกว่าทั้งคู่มิได้อยู่ตามลำพัง เขาใช้ร่างกายที่ใหญ่กว่าบังเท้าของนางเอาไว้ก่อนจะหันเพียงใบหน้าไปตวาดสั่งลูกน้อง
“หันไปทางอื่น!!!”
ความจริงหงมิ่งไม่ต้องสั่ง เหล่าลูกน้องของเขาก็ไม่กล้าจ้องมองอยู่แล้ว ไม่นับว่าช่วงลำตัวสูงใหญ่ของเขาบดบังเท้าของอ้วนเตียวจนมิด ดังนั้นที่พวกเขาลอบมองพร้อมตั้งข้อสงสัยก็คือ ‘ทำไมหัวหน้าจึงทำกิริยาไม่เหมาะสมเช่นนี้กับสตรี’ ซึ่งเป็นคำถามเดียวกับที่หงมิ่งกำลังถามตนเองเช่นกัน
“ข้า... กระหม่อมทำกิริยาไม่เหมาะสม ขอองค์หญิงโปรดลงพระอาญา”
ตามหลักแล้วหงมิ่งไม่ใช่ข้าราชบริพารในแคว้นถู่ปอ อ้วนเตียวไม่มีสิทธิ์สั่งลงทัณฑ์ใดๆ แต่เขาพร้อมจะรับการลงโทษจากนาง
“ท่านอ๋องกล่าวหนักเกินไปแล้ว เมื่อครู่เหตุการณ์ฉุกละหุกเกินใครจะคาดคิด ข้าต้องขอบใจท่านด้วยซ้ำที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
คำพูดของอ้วนเตียวยิ่งทำให้หงมิ่งนึกละอายใจ เพราะนางกล่าวอย่างสุภาพมีเหตุมีผล ขัดกับใบหน้าแดงก่ำและน้ำตาที่เอ่อคลอเพราะความเจ็บปวดอับอาย ทว่าเขาก็ไม่อาจกล่าวหักล้างวาจาของนางได้ และยิ่งไม่ควรประวิงเวลาให้นางทนรับความลำบากมากไปกว่านี้
“อีกไม่ไกลจะเป็นจุดพักแรมแล้ว องค์หญิงทรงอดทนอีกนิดได้หรือไม่ กระหม่อมจะอุ้มท่านขี่ม้าไปที่นั่น ท่านจะได้รักษาอาการบาดเจ็บโดยเร็ว”
ขี่ม้าร่วมกันก็ไม่เหมาะสมแล้ว นี่ถึงกับเป็นการโอบอุ้มขึ้นหลังม้า มิเท่ากับฉีกจารีตประเพณีเลยหรือ แต่เพราะความเร่งรีบพวกเขาไม่มีรถม้า และสภาพร่างกายของนางตอนนี้ก็คงขี่ม้าเองไม่ได้เป็นแน่ หญิงสาวขบริมฝีปากชั่งใจชั่วครู่ ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า ก็พยักหน้าแล้วกล่าวหนักแน่นพอๆ กับชายชาติทหาร
“รีบไปเถอะ พวกเรามิได้ทำเรื่องควรละอายใจ ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงเรื่องไร้สาระ”
หงมิ่งนับถือจิตใจของอ้วนเตียวเป็นอย่างยิ่ง ยามโอบอุ้มร่างนุ่มนวลอ่อนละมุนของนางมาแนบอก เขาจึงระมัดระวังประหนึ่งปฏิบัติต่อสิ่งล้ำค่า ตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะกำชับทหารทุกคนที่ติดตามมา ไม่ว่าจะเป็นทหารของตนหรือของนางก็ตามให้ปิดปากสนิท เขาจะไม่ยอมให้ใครหยามศักดิ์ศรีของสตรีดีงามเช่นนาง
และเพราะความตั้งใจมั่นที่จะดูแลหญิงงามในอ้อมแขนโดยไม่แบ่งสมาธิวอกแวก หงมิ่งจึงมองไม่เห็นรอยยิ้มจิ้งจอกที่อ้วนเตียวซ่อนเอาไว้
มีผู้ใดไร้ความลับปิดซ่อนบ้าง แต่หงจูเชวี่ยแน่ใจว่าเขาซุกซ่อนได้แนบเนียนกว่าใคร จึงไม่หวั่นกลัวกับการนอนข้างกายกู่ซาน แต่เขากลับประเมินร่างกายตัวเองสูงเกินไป หรืออีกนัยก็คือ ความอดทนทางกายต่อสิ่งเย้ายวนของเขาช่างต่ำเกินไป
“อาบน้ำอะไรตอนนี้” กู่ซานกังขา แต่ก็ยังสั่งให้คนยกถังน้ำเข้ามาพร้อมกับสั่งกั้นม่านชั่วคราว พลางเอียงคอมองหงจูเชวี่ยด้วยความสงสัย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เอ่ยปากโต้แย้ง ยั่วให้นางมีโทสะ
เดินทางร่วมกันมานาน สิ่งหนึ่งที่หงจูเชวี่ยไม่กระทำคือทำตัวเรื่องมาก ถึงเขาจะเป็นคนรักสะอาดเพียงใด ก็มักจะอาบน้ำเต็มที่นานๆ ครั้ง หากไม่ใกล้แหล่งน้ำ ที่จะลงไปอาบได้ เขาก็ทำเพียงเช็ดตัว โดยมีกู่ซานนั่งหันหลังขัดกระบี่คู่กายอยู่ปากกระโจม พร้อมกับฟังเสียงยั่วเย้าให้นางอย่าได้แอบมองชายงามเช่นเขา หรือไม่ก็แกล้งถามว่าทำไมนางไม่หันมามองเวลาพูดคุย
‘ซานเอ๋อร์ การขัดขืนดื้อรั้นต่อความต้องการในส่วนลึกของจิตใจตนเอง เป็นการกระทำที่ไร้ความหมายเจ้ารู้หรือไม่’
คำพูดราวกับกู่ซานแสร้งมีคุณธรรมทั้งที่ภายในใจของนางเป็นโจรปล้นสวาทใจโฉด ส่งผลให้หงจูเชวี่ยถูกนางตำหนิกลับไปด้วยถ้อยคำร้ายกาจเสมอ เรียกว่าการทำความสะอาดร่างกายของเขาทุกครั้งเป็นการทำสงครามปากทุกคราว แต่ในเวลาส่วนตัวของนาง เขาก็มีมารยาทพอจะออกไปนั่งนอกกระโจม โดยไม่กลั่นแกล้งใดๆ ทั้งสิ้น
“ร่างกายของท่านมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า” ความเงียบผิดปกติเช่นนี้ชวนให้กู่ซานกังขาจริงๆ
“เจ้าเข้ามาอาบน้ำพร้อมข้าไหมเล่า จะได้ดูด้วยตา จับสังเกตด้วยมือว่าผิดปกติตรงไหน”
เอาล่ะนี่แหละหงจูเชวี่ยตามปกติ เห็นเขาต่อปากต่อคำได้ กู่ซานก็เลิกหาเรื่องใส่ตัว หารู้ไม่ว่าคนที่กำลังอาบน้ำกำลังเกิดอาการผิดปกติจริงๆ
ที่แท้อาการง่วงนอนเกือบตลอดเวลาของหงจูเชวี่ยเกิดจากยาต้านพิษที่เขาแอบกินเป็นประจำ ผลของมันช่วยยืดเวลาอาการกำเริบ ถึงหมอหลวงจะไม่เก่งกาจเท่าเหมยเยี่ยเซียงแต่ก็ไม่ถึงกับไร้ความสามารถ แม้ไม่อาจหาวิธีแก้พิษที่กระจายอยู่ตามเส้นโลหิตและลมปราณได้ แต่ก็ชะลอความถี่ในการกำเริบได้ และเชื่อว่ายิ่งพิษกำเริบช้าลงเท่าไรก็จะช่วยยืดระยะเวลาในการมีชีวิตของหงจูเชวี่ยมากขึ้นเท่านั้น แต่ข้อเสียของยาก็คือทำให้ชีพจรของเขาเต้นช้าลง เข้าสู่ภาวะกึ่งจำศีลในยามหลับ
เขาไม่ยอมกลืนยาต้านพิษลงคอสักเม็ดเดียวไม่ว่าจะอยู่ในวังหรือนอกวังก็ตาม เพราะในวังคนที่เขาไว้ใจมีเพียงฉางเฉินซึ่งชราแล้ว นอกวังคนที่เขาไว้ใจมีเพียงกู่ซาน ดังนั้นเขาจึงเริ่มกินยาช่วงที่อยู่กับนางหวังว่านอกจากชะลอการกำเริบ อาจจะช่วยให้เขาอยู่ได้นานพอจะไม่ให้นางจับได้ว่าเขาถูกพิษ
การกินยาช่วยได้ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ร่างกายหงจูเชวี่ยต่างจากคนทั่วไปในยามหลับ ดังนั้นเมื่อกู่ซานเสนอให้นอนร่วมเตียงเขาจึงงดการกินยาในคืนนี้ แล้วใช้น้ำเย็นลดอุณหภูมิร่างกายที่จะร้อนขึ้นเพราะพิษทลายประสานสี่ทิศในเส้นลมปราณ ซึ่งแน่นอนว่าครั้งนี้ที่ร่างกายของเขาร้อนขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับพิษเท่านั้น แต่เกี่ยวกับการที่เขาวาดภาพล่วงหน้าถึงการนอนอยู่ข้างกายนางด้วย
จริงเช่นที่โต้วสือกล่าว มีเพียงบุรุษตายหรือพิการสิ้นสภาพเท่านั้น ถึงไม่รู้สึกอะไรกับการนอนเคียงข้างสตรี โดยเฉพาะสตรีที่ตนพึงใจ ต่อให้หงจูเชวี่ยถูกพิษทลายประสานสี่ทิศแอบแฝงในกายทำร้ายเส้นโลหิตและชีพจรอยู่ห่างปากประตูผีไม่ไกล แค่คิดถึงร่างนุ่มนวลของกู่ซาน ก็ยังไม่อาจข่มอารมณ์ให้สงบลงได้ เมื่อถังน้ำมาถึงเขาจึงปฏิเสธน้ำร้อน แล้วปีนเข้าไปแช่น้ำเย็นยะเยือกหวังจะแช่แข็งตนเองให้ไร้ความรู้สึก
“แช่น้ำเย็นกลางดึกระวังจะไม่สบายเอานะ” ทนรอเงียบๆ ได้ไม่นานกู่ซานก็ต้องเอ่ยปากขึ้นมาก่อน แล้วก็ถูกตอบโต้ด้วยคำพูดลอยๆ ของหงจูเชวี่ย
“มารดาของข้าบอกว่า ‘แช่น้ำเย็นมากๆ ร่างกายจะเจ็บป่วยง่าย’ ”
ใบหน้ากู่ซานงอง้ำทันทีที่ได้ยิน เพราะคำว่า ‘มารดาของข้า’ ไม่ได้หมายถึงมารดาผู้ให้กำเนิดหงจูเชวี่ยซึ่งตายตั้งแต่เขาเพิ่งถือกำเนิดจนไม่ได้สอนสั่งอะไรสักคำ แต่เขาหมายถึงมารดาของนาง และพวกนั้นเป็นคำพูดตอนยังเด็กที่นางสั่งสอนเขา
‘กินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ’
‘ต้องขยันขันแข็งถึงจะสร้างชื่อเสียงได้’
ตอนนั้นคือช่วงเวลาไร้เดียงสา ไม่มีทั้งฐานะและหน้าที่มากั้นขวางทั้งสองให้แยกห่างกัน ต่อให้ยามนี้นางจะกล้าลงไม้ลงมือกล้าโต้แย้ง แต่ก็เป็นเพราะเขาพยายามก้าวข้ามเส้นกั้นเข้าหานาง
“ท่านจะเอาเรื่องสมัยเด็กมาล้อเลียนอยู่ร่ำไปไม่ได้” กู่ซานเองก็ระลึกช่วงเวลานั้น แต่นางไม่ใช่หงจูเชวี่ย และเช่นกันที่เขาไม่สนใจจะฟังคำห้ามของนาง
“แต่ข้าคิดถึงเรื่องสิบกว่าปีนั้น ข้าคิดถึงของอร่อยที่เจ้าเอามาให้ข้าลองกิน แม้ข้าจะสงสัยว่ามันอร่อยจริงหรือก็ตาม”
เพราะยึดมั่นว่าหงจูเชวี่ยซึ่งเป็นคู่ปรับ เป็นกึ่งลูกน้องของนาง กู่ซานจึงทำใจกว้างเช่นลูกพี่ใหญ่ แอบมามอบของกินเล่นให้เขาเสมอ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นของแปลกๆ ที่นางเองยังไม่แน่ใจว่ากินได้หรือไม่ และทั้งหมดเป็นข้ออ้างในการลอบหนีมาเล่นสนุกที่เรือนของเขา
“ท่าน...” หลายถ้อยคำห้ามปรามไม่ให้รื้อฟื้นของกู่ซาน ถูกหยุดด้วยประโยคเดียวของหงจูเชวี่ย
“ข้าคิดถึงจิ้งจอกน้อยตัวนั้น”
ความเงียบครอบงำทั้งสอง เป็นครั้งแรกที่กู่ซานหันไปมองหงจูเชวี่ยที่กำลังนอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำอย่างลืมตัว และพบรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดุจราชาจิ้งจอกทว่าแสนเศร้าของเขา นางอยากกล่าวอะไรสักอย่างที่ยังนึกไม่ออก แต่ไม่ทันกับเสียงจากภายนอก
“มีคนร้าย!!!”
......................................
โปรดติดตามตอนต่อไป
#ยอดพธูคู่หทัย
ขอบคุณเพื่อนๆ นักอ่านที่ติดตามนะคะ และขอบคุณมากที่สนับผลงานชิ้นนี้อย่างต่อเนื่อง และสำหรับคนที่รอลุ้นอยู่ ไม่ว่าจะคู่หลักคู่รอง รับประกันความแซบทั้งสองคู่ค่ะ เพราะเรื่องนี้มีแต่คนร้ายๆ555
ฝาก โหลด #ขันทีตัวปลอมจอมใจตัวจริง ในรูปแบบ E-Book ด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เค้าอาบน้ำอยู่ คนร้ายมาไม่ดูเวลาเลย
หงมิ่งเจ้าไม่รอดหรอก 55555
ส่วนพระนางก็ยังต้องลุ้นกันต่อไป