ตอนที่ 33 : นั่งร่วมม้ากันไหม
ฝีเท้าในการวิ่งหนีเร่งขึ้น ฝีเท้าในการวิ่งตามก็ไม่อาจผ่อน ยังดีที่ขบวนคาราวานของหงจูเชวี่ยเสียเวลาในการปลอมแปลงตนและให้เหนือหัวโดยสารด้วยรถม้าซึ่งไม่อาจขับเคลื่อนด้วยความว่องไว กลุ่มของหงมิ่งกับอ้วนเตียวจึงไม่ลำบากในการเร่งติดตามนัก แต่นั่นก็สำหรับบุรุษหาใช่สตรีไม่
“องค์หญิงทรงเป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หงมิ่งส่งสัญญาณมือให้ม้ารอบๆ ก่อนจะชะลอม้าของตนเพื่อสอบถามอ้วนเตียว
“ไม่เป็นไร เพียงแต่อ่อนล้านิดหน่อย แต่ยังเดินทางต่อไปได้ อย่าเสียเวลาเพราะข้าเลย” ถึงสีหน้าจะอ่อนล้าแต่อ้วนเตียวก็ยังปฏิเสธความหวังดี
อ้วนเตียวไม่อาจหลอกถามหงมิ่งได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหงจูเชวี่ย แต่เมื่อเขาเร่งเดินทางเช่นนี้ แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญ นางจึงพยายามทนความเคี่ยวกรำบนหลังม้าเพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงเขามากนัก
เพื่อให้เดินทางไวขึ้น อ้วนเตียวต้องเปลี่ยนจากการนั่งรถม้ามาเป็นขี่ม้า แต่การที่นางขี่ม้าเป็น ไม่ได้แปลว่านางขี่ได้คล่องแคล่ว รวมกับร่างกายที่ไม่เคยแบกหามทำงานหนัก โดนแดดฝนมาก่อน เริ่มแรกสภาพของนางจึงแย่ยิ่งกว่าตู้จงชินเสียอีก ทว่าต่อมานางกลับยืนหยัดบนหลังม้าต่อไปได้ ต่างจากนางกำนัลที่ร่างกายทนไม่ไหว ถูกเจ้านายสั่งให้หยุดพักกลางทางรอรถม้าขนของ แล้วค่อยติดตามนางไปทีหลัง
“ต้องขออภัยด้วย แต่กระหม่อมจำเป็นต้องพาองค์หญิงไปพบเหนือหัวโดยเร็ว” นอกจากขอโทษหงมิ่งไม่อาจทำสิ่งใดเพื่ออำนวยความสะดวกให้อ้วนเตียวได้เลย
“ไม่ต้องเกรงใจ การไปพบเหนือหัวสำคัญกว่า”
หงมิ่งได้ฟังวาจาเปิดเผยใจกว้างของอ้วนเตียวแล้วพาลให้ละอายใจนัก นั่นเพราะเขาไม่รู้ว่านางคิดการใดเอาไว้ในใจ หรือให้ถูกคือคิดเช่นไรกับหงจูเชวี่ย
ช่างสร้างความยุ่งยากนัก ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงยามนี้ คนที่อ้วนเตียวอยากจะเล่นงานที่สุดย่อมเป็นหงจูเชวี่ย ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นฮ่องเต้ ส่วนนางเป็นเจ้าครองแคว้นเล็กๆ ที่ต้องพึ่งบารมีของเขา รับรองได้ว่านางจะอยู่ในแคว้นของตนอย่างไร้ความลำบากกาย จิบชาแล้วรอแค่เวลาส่งหนังสือแสดงความเสียใจในการตายของเขา
“หลังจากผ่านการพักผ่อนคืนนี้ รุ่งเช้าพวกเราอาจจะต้องเร่งความเร็วขึ้นอีก” หงมิ่งมองตะวันที่คล้อยต่ำแล้วเอ่ยออกมากด้วยความลำบากใจ
ชายหนุ่มถนัดเรื่องการคาดการณ์ล่วงหน้า เขาเดาได้ด้วยซ้ำว่าขบวนอารักขาฮ่องเต้ ปลอมแปลงตนเช่นไร และจะเดินทางไปยังเฉิ่นตงด้วยเส้นทางไหน พร้อมทั้งคำนวณเวลาที่จะเข้าไปถึงเมืองชายทะเลตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องการไปสมทบให้เร็วที่สุดก่อนพวกเขาจะทำภารกิจเสี่ยงอันตราย จะดียิ่งถ้าเจอกันก่อนเข้าเมืองพ้นสายตาขุนนางท้องถิ่นที่เป็นภัยแฝงเร้น แต่ดูจากระยะเวลาแล้ว คงล่าช้ากว่าเกือบครึ่งเดือนถ้าไม่ทำเวลาให้ไวขึ้น หากหงมิ่งไม่ได้มาพร้อมอ้วนเตียวคงง่ายกว่า ทว่าเขาจำเป็นต้องมีนางไปด้วย
“ข้าจะพยายาม” อ้วนเตียวตอบรับ แต่ก็เผยสีหน้าลำบากใจออกมา
คนมีตาย่อมเห็น ว่าหญิงสาวไม่ได้สันทัดการขี่ม้า การเร่งความเร็วก่อนหน้า เรียกว่าเป็นขีดจำกัดของนางที่จะกระทำได้แล้ว หงมิ่งเองก็ย่อมเห็นเช่นกัน ลังเลครู่อยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากถามอ้วนเตียว
“องค์หญิงจะถือสาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากจะต้องร่วมนั่งม้าตัวเดียวกับกระหม่อม” พร้อมคำถามคือใบหน้าแดงก่ำของหงมิ่ง
ไม่ใช่สามีภรรยาแต่ร่วมม้าตัวเดียวกันช่างผิดจารีตยิ่งนัก แค่ฟังคำถามอ้วนเตียวยังหน้าแดงไปถึงใบหู ไม่รู้จะตอบเช่นไรดี
“กระหม่อมไม่ได้คิดจะล่วงเกิน แต่ทำเช่นนี้นอกจากจะเดินทางได้เร็วขึ้น ยังรับประกันความปลอดภัยให้องค์หญิงได้มากขึ้นกว่าเดิม”
หงมิ่งพยายามไม่สนใจสีหน้าเขินอายของทั้งสอง อธิบายเหตุผลที่ต่างเห็นกันอยู่ อ้วนเตียวทำให้การเดินทางไม่อาจเร็วเท่าที่เหล่าทหารจะทำได้ หนำซ้ำการเร่งความเร็วจะยิ่งเสี่ยงต่อการที่นางจะพลาดพลั้งตกม้าบาดเจ็บ แล้วหากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นบุรุษ ไม่มีผู้ใดสะดวกใจดูแลอาการบาดเจ็บให้นางเลย การที่หงมิ่งเสนอตัวให้อ้วนเตียวร่วมม้ากับเขา ไม่ใช่เพราะเขาไม่คำนึงถึงความแตกต่างเรื่องหญิงชาย แต่เนื่องจากในคนที่เดินทางอย่างเร่งรีบนี้ มีเขาคนเดียวที่เหมาะสม
ก่อนออกเดินทางจากแคว้นถู่ปอ แม้หงมิ่งจะไม่ได้บอกเกี่ยวกับอาการป่วยของหงจูเชวี่ย แต่อ้วนเตียวก็มิใช่คนโง่ ความสามารถของนางที่ฮ่องเต้ต้าถังต้องการใช้งาน ย่อมเป็นความสามารถในการขจัดพิษจากแดนใต้ ดังนั้นนางจึงเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ มาอย่างครบครัน ทว่าของเหล่านั้น ก็ถ่วงรั้งการเดินทางไม่น้อย เมื่อตู้จงชินไม่อาจขี่ม้าไหว นางจึงมอบหน้าที่ดูแลข้าวของให้กับคนสนิท แต่เพราะของเหล่านั้นเป็นของสำคัญต่อเหนือหัว เต้อจือเสียซึ่งมีความสามารถพอๆ กับหงมิ่งจึงต้องแยกจากข้างกายเจ้านาย มาคอยอารักขาพวกมันให้เดินทางตามไปทีหลังอย่างปลอดภัย
ไม่ใช่ว่าหงมิ่งจะไม่อยากแลกเปลี่ยนหน้าที่กับเต้อจือเสีย อย่างไรเขาก็ไม่สันทัดงานคุ้มกันบุคคลเท่ากับอีกฝ่าย ติดตรงศักดิ์ฐานะของอ้วนเตียว และด้วยเหตุผลเดียวกัน เขาจึงเสนอตัวให้นางมาร่วมขี่ม้า
“ท่านแน่ใจหรือไม่ ว่าคนของท่านจะไม่พูดเรื่องที่ข้ากับท่านร่วมขี่ม้าตัวเดียวกันออกไป” ถามจบฟันซี่เล็กก็ขบลงบนริมฝีปากสีแดงด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ
ไม่รู้เพราะเหตุใดภาพนี้จึงยิ่งทำให้ใบหน้าของหงมิ่งร้อนผ่าว นึกตำหนิตนเองที่หวั่นไหว คงเพราะอีกไม่นานเขาอายุจะครบยี่สิบ เลือดของบุรุษร้อนรุ่มจึงปะทุโดยง่าย เพียงเห็นหญิงงามความหนักแน่นก็ลดลง กำลังนึกหาวิธีจะกลับคำก็บังเอิญเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
......................................
โปรดติดตามตอนต่อไป
#ยอดพธูคู่หทัย
ตอนที่แล้วได้เฮียเต้กำลังใจล้นหลามมาก แต้งกิ้วหลายๆ นะคะ จุ๊บๆๆ ทุกคอมเม้นต์ทุกไลท์ช่วยให้คนเขียนมีพลังในการทำงาน ขอบคุณมากมายค่ะ
ตอนที่แล้วชวนนอนร่วมเตียง คราวนี้ชวนนั่งร่วมม้า คิดว่าใครจะเสร็จใครก่อนค่ะ
ฝาก โหลด #ขันทีตัวปลอมจอมใจตัวจริง ในรูปแบบ E-Book ด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หงมิ่ง มากับข้า ข้ายินดีร่วมม้าเดียวกับท่าน แอร๊ยยย