ตอนที่ 28 : ร่วมเดินทางไกล
เกลี้ยกล่อมสตรีผู้หนึ่งให้ร่วมเดินทางไกลไปด้วยกันย่อมต้องมีเหตุผลอันสมควร หงมิ่งรอจังหวะเหมาะมาสองวันแล้ว และไม่อาจยืดเวลาไปนานกว่านี้อีกจึงด้านหน้าขอเข้าพบอ้วนเตียวหลังนางออกว่าราชการ นัดแนะเวลาเรียบร้อย แต่ทางนางกลับล่าช้าเพราะมีเรื่องมากมายต้องถกเถียงหาข้อสรุปกับเหล่าขุนนางเฒ่า จึงเร่งรีบพบเขาที่รออยู่โดยไม่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
ท่าทางนางยามพบเจอใครยังคงแย้มยิ้มอ่อนหวานเช่นเคย แต่เขามองออกว่าภายใต้รอยยิ้มละมุนละไมคือความอ่อนล้ายิ่งนัก หงมิ่งจึงไม่อาจห้ามวาจาที่อยู่ในปากได้
“สีหน้าขององค์หญิงอ่อนเพลียไม่น้อย เป็นกระหม่อมรบกวนเวลาพักผ่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หงมิ่งรู้ว่าไม่ควรถามเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ แต่ไม่ได้มองว่าไม่เหมาะสม
หงมิ่งไม่ค่อยได้ใกล้ชิดสตรีนัก จะว่าไปนอกจากกู่ซานและเหมยเยี่ยเซียง คงมีเพียงอ้วนเตียวเท่านั้นที่เขาเคยพูดคุยเป็นการส่วนตัว โดยที่นางไม่ได้มีความเกี่ยวพันเป็นญาติของเขา
“เพียงแค่เหนื่อยบ้าง แต่คงเป็นเพราะยังไม่เคยชิน ได้ดื่มชาสนทนากับท่านอ๋องถือเป็นการผ่อนคลาย” อ้วนเตียวไม่ปฏิเสธแต่ไม่ลงลึกรายละเอียด
หญิงสาวไม่อาจพูดต่อได้ ว่าที่ไม่เคยชิน ไม่ใช่เหตุเพราะนางไม่ได้เรียนการปกครอง จึงไม่ชินกับการนั่งบัลลังก์ แต่เป็นเพราะเหล่าขุนนางที่ผ่านมาสองปีก็ยังไม่ชินกับการมีผู้นำเป็นสตรี ข้อเสนอแนะแก้ปัญหาใดจากปากของนาง กว่าพวกจิ้งจอกเฒ่าจะยอมทำตามต้องอธิบายชี้ชัดให้เห็นถึงผลดีซ้ำซาก ปัญหาส่วนตัวของนางเท่าเม็ดงาหากไม่ขยายความตำหนิจนยืดยาวล้วนไม่พอใจ ยิ่งเรื่องการสมรสเพื่อหาทายาทถูกนางยืดเยื้อไปมากเท่าไรก็ยิ่งถูกจ้องจับผิด การเผชิญหน้าในราชสำนักจึงน่าปวดหัวยิ่งนัก
“กระหม่อมเป็นเพียงอ๋องซึ่งไม่เคยบริหารงานแผ่นดิน คงไม่สามารถช่วยองค์หญิงผ่อนคลายใจได้เท่าไรนัก ถ้าเปลี่ยนเป็นเหนือหัวคงดีกว่านี้”
หงมิ่งแสร้งเอ่ยไปถึงหงจูเชวี่ยเพื่อเข้าเรื่อง และดูจากสายตาของอ้วนเตียว นางเองก็เริ่มคิดไปถึงฮ่องเต้กวนโทสะผู้นั้น ซึ่งยากจะปฏิเสธว่าเก่งกาจทั้งการบริหารแคว้นและการจัดการคน ดูได้จากการที่เขาครองบัลลังก์ในช่วงที่ต้าถังประสบความยุ่งยาก ขุนนางแบ่งฝักฝ่ายหาความภักดีไม่ได้ แต่เขากลับบ่มเพาะคนของตน จัดการผู้เห็นต่าง หนำซ้ำยังพลิกวิกฤติเป็นโอกาส
“ข้าไม่ได้พบฝ่าบาทมานาน จะว่าไม่คำนึงถึงพระปรีชาเลยก็คงไม่ได้” มาถึงตรงนี้ อ้วนเตียวก็พอจะมองออกแล้วว่าจุดประสงค์ที่หงมิ่งมาเยือนแคว้นถู่ปอ ก็เพราะต้องการชักนำตนกลับไปยังแคว้นต้าถัง ทว่านางไม่คิดจะกลับไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ
“พระปรีชาของเหนือหัวเป็นโชคดีของต้าถัง”
“อย่างไรข้าก็เคยพำนักในวังหลวงมานาน ท่านอ๋องคงไม่ถือสาหากข้าจะสอบถามว่าฝ่าบาททรงเกษมสำราญดีหรือไม่”
หงมิ่งมองสบตาอ้วนเตียว พบแววตาของคนที่รู้เท่าทันกัน เขานึกย้อนกลับไปในวันเก่า ผู้คนกล่าวหาว่าเหมยเยี่ยเซียงน้องสาวของเขาเป็นอสรพิษแห่งวังหลวง แต่หากจะวัดกันที่เล่ห์เพทุบาย สตรีตรงหน้าต่างหากที่เหมาะสมกับฉายานี้
“เรื่องราวในวังหลวง กระหม่อมมาอยู่ชายแดนเช่นนี้ไม่รู้แน่ชัดนัก แต่เท่าที่ทราบ ฝ่าบาทเองก็ตรัสถึงท่านบ่อยครั้ง โดยเฉพาะบุญคุณที่ท่านช่วยเหลือ เห็นชัดว่าทรงต้องการพบเพื่อปูนบำเหน็จรางวัลเพิ่มเติม ติดตรงที่ท่านอยู่แดนไกล เกรงว่าอยู่ๆ เอ่ยถึงจะทำให้ผู้คนสงสัย”
อ้วนเตียวฟังแล้วก็ยกยิ้มอ่อนโยนเหมือนปลื้มปีติโดยไม่คิดอะไรให้ลึกซึ้ง ทั้งที่ในใจคาดเดาอย่างถี่ถ้วน การตกรางวัลมีหรือจะทำให้คนสงสัยอะไร และรางวัลที่มอบให้คราวก่อนก็ถือว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งแล้ว ไม่นับว่าระหว่างนางกับหงจูเชวี่ยหาได้มีบุญคุณคั่งค้างอันใดกันอีก
ดังคำว่า ‘ไม่มีความชอบ ไม่อาจรับผลตอบแทน’ การจะให้โดยไร้จุดมุ่งหมายย่อมเป็นความเท็จ ถ้าเช่นนั้นต้องมองไปยังบางประโยคที่เหลือ ต้องการพบหน้า แปลว่าหงจูเชวี่ยต้องการพบนางเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างที่นางเท่านั้นจะมอบให้ได้
เวลาเพียงชั่วจิบชา อ้วนเตียวก็ใช้สมองคิดวิเคราะห์ได้อย่างแตกฉาน สิ่งที่หงจูเชวี่ยต้องการจากนางยากจะคาดเดาได้ แต่นางไม่คิดว่าฮ่องเต้ที่ใครๆ มองว่าโฉดคนนั้นจะหาหลอกล่อนางเข้าวังไปสังหาร หงจูเชวี่ยมีข้อเสียมากมาย แต่เขาไม่เคยได้ชื่อว่าอำมหิตโหดเหี้ยม
ที่สำคัญนางมองออกว่าการที่แคว้นถู่ปอเป็นเช่นทุกวันนี้มีประโยชน์ต่อต้าถังมากกว่ายึดกลับไปเป็นเมืองขึ้น อย่างน้อยเขาก็ลดปัญหาจุกจิกไปได้มาก ไม่ต้องส่งกำลังสนับสนุน ไม่ต้องระแวงการก่อกบฏ
ดังนั้นเรื่องที่ยังค้างคาใจอ้วนเตียวจึงไม่ใช่ ควรไปพบหงจูเชวี่ยดีหรือไม่ แต่เป็น จะจากแคว้นที่ตนปกครองอยู่ได้อย่างไร
“ข้าก็คำนึงถึงฝ่าบาทไม่น้อย จนใจที่แคว้นถู่ปออยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว ทั้งปากท้องชาวบ้าน ทั้งกิจการบริหารบ้านเมือง ไม่อาจละทิ้งได้สักวัน”
“ขอกระหม่อมกล่าวด้วยมุมมองของคนนอกได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ในสายตาของกระหม่อม หากองค์หญิงเดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วยตนเอง ปัญหาปากท้องชาวบ้านย่อมลดลงด้วยสิ่งของที่ทางต้าถังพร้อมจะมอบให้ด้วยไมตรี และหากท่านไปในฐานะสหายของฝ่าบาท อาศัยเพียงมิตรภาพของสองแคว้น บางคนที่คิดเรื่องไร้สาระอยู่ ก็ย่อมเพลาๆ ความคิดไม่ชอบลงไปได้”
คำกล่าวของหงมิ่งบอกชัดว่าเขารู้เรื่องราวในราชสำนักถู่ปอมากกว่าที่อ้วนเตียวต้องการให้เขารู้ แต่ยามนี้ไม่เหมาะจะแสดงความไม่พอใจที่เขาแอบสอดแนม สิ่งสำคัญคือทั้งหมดที่เขาพูดล้วนเป็นสิ่งที่นางต้องการ
เผชิญภัยสงคราม ขาดแคลนกำลังผลิตภาคเกษตร ความเป็นอยู่ของชาวบ้านย่อมยากไร้ ไม่มีคนหนุนหลัง ย่อมถูกพวกอวดดีในราชสำนักคอยสั่นคลอนรากฐานร่ำไป
“ฟังแล้วการที่ข้าไปมีแต่ผลดี หามีผลเสียไม่ แต่ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ ทหารของถู่ปอก็ไม่ได้มากมาย คงต้องรบกวนท่านอ๋องและใต้เท้าเต้อช่วยดูแล พวกท่านจะสะดวกหรือไม่”
ชื่อเต้อจือเสียถูกระบุอย่างชัดเจน แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ร่วมวงสนทนา แสดงถึงความสำคัญของเขาในใจของอ้วนเตียว หงมิ่งรู้สึกลำบากใจแทนสหาย แต่เพื่อหงจูเชวี่ย และคาดเดาว่าเหนือหัวต้องหาทางเอาตัวรอดให้ฝ่ายนั้นได้ เขาจึงยิ้มแล้วรับปากอย่างหนักแน่น
“ถ้าองค์หญิงประสงค์จะเดินทาง กระหม่อมกับใต้เท้าเต้อจะอารักขาไม่ห่างตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะให้คำมั่นสัญญาที่ควบรวมเอาสหายเข้าไปด้วยโดยไม่ถามความสมัครใจก่อน หงมิ่งมั่นใจว่าเต้อจือเสียคงกำลังหนาวสั่น จามไม่หยุดเป็นแน่
......................................
โปรดติดตามตอนต่อไป
#ยอดพธูคู่หทัย
สองพี่น้องสกุลหง หลอกสาวมาได้ทั้งคู่ ถึงจุดหมายจะต่าง แต่ปลายทางไม่แน่นะคะว่าจะเป็นยังไง ตอนหน้ามาดูลีลาเฮียเต้กันค่ะว่าหลอกสาวได้แล้วจะไปต่อได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า แถมยังปิดบังอาการป่วยอีกจะรอดหรือจะร่วงมาดูกัน555
ฝาก โหลด #ขันทีตัวปลอมจอมใจตัวจริง ในรูปแบบ E-Book ด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แหม แหมขายเพื่อนได้หน้าตาเฉยเลยนะท่านอ๋อง 5555