ตอนที่ 24 : ใครจะเล่นงานใคร
บรรยากาศระหว่างงานเลี้ยงต่อให้ไม่รื่นรมย์ ก็ต้องแสร้งรื่นรมย์ หงมิ่งยิ่งมองก็ยิ่งมั่นใจว่าบุรุษที่อ้วนเตียวหมายตามิใช่เขา
กลับกันยิ่งผ่านเวลาสีหน้าของเต้อจือเสียยิ่งดูไม่ได้ เพราะองครักษ์ป้ายทองมั่นใจ ว่าเมื่อผู้เป็นนายจำต้องขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงแคว้นถู่ปอ หากนางมีเงื่อนไขคือต้องการตัวเขา หงมิ่งจะแลกเปลี่ยนโดยไม่ลังเล แม้นี่จะเป็นวิถีของขุนนางภักดี แต่เขายังไม่พร้อมพลีกาย
“ข้ารู้จักกับใต้เท้าเต้อมานาน แต่กลับเพิ่งมีโอกาสร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นการส่วนตัว ยิ่งเมื่อรวมกับบุญคุณที่ท่านเคยช่วยเหลือ ไม่ให้แคว้นถู่ปอพบความยากลำบาก ข้าอ้วนเตียวขอคารวะสุราท่านหนึ่งจอก”
อ้วนเตียวกล่าวจบก็ยกสุราขึ้นดื่มตามด้วยคว่ำจอก เต้อจือเสียจะทำอะไรได้นอกจากทำตามมารยาทยกจอกในมือขึ้นกระดกรวดเดียว
“องค์หญิงกล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าเพียงทำตามหน้าที่อารักขาท่านอ๋องเท่านั้น” สุราจำใจรับได้ แต่คำชื่นชมเกินจริงเต้อจือเสียไม่กล้ารับ
ในสายตาของคนสกุลเต้อ บุคคลแรกที่ไม่ควรขัดแย้งก็คือหงจูเชวี่ย เพราะฮ่องเต้หนุ่มภายนอกตรงไปตรงมา แต่ภายในลดเลี้ยวเคี้ยวคด ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับสตรีตรงหน้า ภายนอกงดงามเปิดเผย ภายในล้ำลึกสุดจะหยั่ง คนเราเมื่อเห็นเหวไร้ก้นอยู่ตรงหน้ายังยอมกระโดดลงไป หากไม่เรียกว่าโง่งมจะเรียกว่าอะไร
“เท่าที่ข้าทราบ แม่ทัพเต้อติดตามอารักขาท่านอ๋องมาหลายปี จนบัดนี้อายุยี่สิบเจ็ดก็ยังไม่ตบแต่งภรรยา ผู้มีจิตใจซื่อสัตย์เช่นนี้ ย่อมคู่ควรต่อคำชม ท่านแม่ทัพอย่าได้ถ่อมตนเลย”
ใบหน้าเต้อจือเสียยากจะรักษารอยยิ้มมากขึ้นทุกที ในขณะที่หงมิ่งมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขารอดพ้นอันตรายแล้ว เนื่องจากเพิ่งนึกได้ว่าตนอายุน้อยกว่าองค์หญิงแคว้นถู่ปอหนึ่งปี
ปีหน้าอ๋องหนุ่มจะเข้าพิธีสวมกวาน คนที่ยังไม่นับได้ว่าเป็นชายหนุ่มเต็มตัวเช่นหงมิ่ง เมื่อเทียบกับชายฉกรรจ์อายุยี่สิบเจ็ดอย่างเต้อจือเสีย หญิงสาวอายุยี่สิบปีซึ่งเกือบจะเกินวัยเหมาะสมในการออกเรือน ย่อมเลือกฝ่ายหลังจะเป็นการเหมาะสมกว่า
ที่สำคัญฐานะของหงมิ่งสูงเกินไป ถ้ามีการแต่งงานเกิดขึ้นแคว้นถู่ปออาจจะถูกแคว้นต้าถังที่เข้มแข็งกว่าครอบงำ โดยอาศัยฐานะท่านอ๋องของเขาบีบบังคับให้แคว้นเล็กกว่าแต่งตั้งเขาเป็นเจ้าครองแคว้น แย่งชิงอำนาจปกครองไปจากมือของอ้วนเตียว
พิจารณาทุกด้านอย่างถ้วนถี่เสร็จแล้วหงมิ่งก็ถอนใจอย่างโล่งอกพร้อมกับลอบส่งสายตาเห็นใจให้กับองครักษ์ที่ติดตามเขามาเป็นสิบปี
“ปีหน้าข้าก็จะเข้าพิธีสวมกวานแล้ว ใต้เท้าเต้อคงหมดกังวล สามารถระวางหน้าที่ปกป้องดูแลข้า สามารถทำหน้าที่ของตนตบแต่งภรรยามีบุตรเสียที”
หงมิ่งทำเหมือนกล่าวลอยๆ แต่ขายคนของตนอย่างไร้ความละอายใจ ไม่สนใจสายตาเชือดเฉือนที่เต้อจือเสียมอบให้ เช่นเดียวกับอ้วนเตียวที่พยักหน้าแล้วรีบกล่าวเสริม
“นับเป็นเรื่องดีของใต้เท้าเต้อ สำหรับบุรุษ นอกจากหน้าที่ที่มีต่อแผ่นดิน ก็ต้องมีหน้าที่ต่อครอบครัว ถือโอกาสนี้ข้าขออวยพรให้แม่ทัพเต้อมีภรรยาและบุตรชายบุตรสาวโดยไว”
มือขาวยกสุราขึ้นดื่มอีกจอก เต้อจือเสียจะทำอะไรได้นอกจากยกจอกสุราของตนคารวะขอบคุณก่อนจะดื่มตอบ และก็แทบสำลักเมื่อได้ฟังคำพูดต่อมาของหงมิ่ง
“คงสมดังคำอวยพรขององค์หญิง ท่านคงไม่รู้ว่าสกุลเต้อพิเศษยิ่งนัก นอกจากมีลูกหลานมากมาย ยังมีแต่บุตรชายเท่านั้น เหมาะอย่างยิ่งจะเป็นสามีที่ดี”
เต้อจือเสียอยากจะล้มโต๊ะสุราอาหารตรงหน้า เขาเป็นคนมิใช่พ่อพันธุ์หมู จะอวดอ้างสรรพคุณทางด้านนั้นเพื่อประโยชน์อะไร ยิ่งเห็นสายตาของอ้วนเตียวกับนางกำนัลคนสนิท เขาก็ยิ่งหนาวเยือกไปทั้งกาย นั่นเป็นสายตาของสตรีบอบบางที่ไหนกัน เป็นสายตาของคนเชือดหมูกับผู้ช่วยชัดๆ
ไม่ได้มีเพียงคนต่างแซ่เท่านั้นที่กระอักเลือดด้วยความแค้นต่อคนสกุลหง คนสกุลหงเองก็อยากจะแดดิ้นสิ้นใจเพราะความคั่งแค้นที่มีต่อคนร่วมแซ่เช่นกัน
“ฝ่าบาทหลบหนีจากการอารักขาของแม่ทัพใหญ่เต้อรั่วซี เสด็จไปโดยลำพัง”
หงหนานปิงอ่านสารด่วนที่มาโดยนกเหยี่ยวเสร็จก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ ครู่ก็มาก็ถึงกับส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ สองมือทุบโต๊ะระบายความโกรธรัวๆ
อ๋องผู้สุภาพเรียบร้อย ควบคุมกรมกองและราชสำนักให้อยู่ในระเบียบแม้ในยามที่ฮ่องเต้หายตัวไปหลายวัน ถึงขั้นรักษากิริยาไม่อยู่ สมควรเป็นเรื่องชวนตกตะลึงเพียงใด หากเป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่ฉางเฉินกับเต้อซาประสบเหตุนี้เข้าด้วยตาตนเอง คงตะโกนเรียกหมอหลวงเข้ามาดูอาการ แต่เพราะทั้งสองรู้ดีว่าหงหนานปิงระงับอารมณ์ไม่อยู่เนื่องจากสาเหตุใด คนหนึ่งจึงทึ้งผม อีกคนทึ้งหนวด ที่เหมือนกันคือมองหาผนังที่ใกล้ที่สุดหวังจะเอาศีรษะกระแทกจบชีวิตของตนเองลงจะได้สิ้นเรื่องราวไป
“เดิมน้องชายของข้าลอบส่งข่าวมาว่าฝ่าบาทเสด็จไปทางเหนือ เช่นนี้เราควรจะทำอย่างไรดี ส่งสารไปให้แม่ทัพกู่ดีหรือไม่”
เต้อซาทั้งร้อนใจทั้งจนปัญญา เขารับราชการมาสองรัชสมัยมีตำแหน่งสูงส่งย่อมไม่ใช่คนไร้สติปัญญา แต่ใครเล่าจะคาดเดาจิตใจของหงจูเชวี่ยได้
“ต้องตามอยู่แล้ว สารก็ต้องส่งไปทางเหนือด่วน แต่ข้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะไปที่นั่น”
ฉางเฉินกับเต้อซามองหน้ากัน หากหงจูเชวี่ยไม่ไปทางเหนือซึ่งมีเหมยเยี่ยเซียง หลานสาวอาศัยอยู่กับกู่เฟยสหายเก่าแก่ เหนือหัวยังจะไปไหนได้อีก
“หรือจะไปแดนใต้ สมทบกับเจิ๋นหนานอ๋อง” ฉางเฉินวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล เพราะเขาเป็นผู้เดียวที่หงจูเชวี่ยเผยความลับ เรื่องออกคำสั่งให้หงมิ่งไปแคว้นถู่ปอเพื่อเกลี้ยกล่อมองค์หญิงอ้วนเตียว
นิ้วของหงหนานปิงเคาะโต๊ะช้าๆ ขณะครุ่นคิดตามความเป็นไปได้ทั้งสองทาง ขึ้นเหนือไปเจอกู่เฟย ย่อมต้องถูกจับตัวส่งกลับมาแน่นอน แต่ถ้าลงใต้ไปพบหงมิ่งจะมีความเป็นได้แค่ไหน
“ข้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะเสด็จไปแดนใต้เช่นกัน”
ฉางเฉินลังเลอย่างหนักว่าจะเปิดเผยอาการเจ็บป่วยของหงจูเชวี่ยดีหรือไม่ เต้อซาเป็นคนอารมณ์ร้อน มุทะลุ หากรู้ว่าเหนือหัวป่วยหนัก คงไม่สนอะไรทั้งสิ้น ไล่ตามไปโดยไม่กลัวว่าจะมีผู้อื่นสอดมือมาก่อเหตุร้าย ส่วนหงหนานปิง ขันทีชรายอมรับว่าด้วยอคติหลายอย่างเขาไม่อาจเชื่ออ๋องหนุ่มได้เต็มที่ หนำซ้ำหากหงจูเชวี่ยเชื่อใจคนผู้นี้ ย่อมเผยความลับออกไปแล้ว ไม่ใช่เก็บงำเอาไว้
“ฉางกงกง คิดอะไรอยู่หรือ”
จู่ๆ หงหนานปิงก็เอ่ยถาม ทำเอาฉางเฉินสะดุ้งตกใจเพราะกำลังใคร่ครวญเกี่ยวกับอีกฝ่ายอยู่ เพื่อกลบเกลื่อนพิรุธ ขันทีชราจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“บ่าวกำลังคิดว่าในเมื่อแม่ทัพใหญ่เต้อรั่วซีต้องกลับมาประจำการเมืองหลวง ใครจะรับหน้าที่ติดตามฝ่าบาทต่อจากเขา”
ฟังคำถามจบหงหนานปิงกับเต้อซาก็อยากจะพากันกุมขมับอีกรอบ แม่ทัพรักษาเมืองไม่ใช่ตำแหน่งเล็กไร้ความสำคัญ หลายวันมานี้ เมืองหลวงต้องอาศัยรองแม่ทัพช่วยรักษาความสงบ แต่หลังจากเหตุร้ายหมายชิงบัลลังก์ที่เพิ่งผ่านไปสองปี พวกเขาย่อมไม่ไว้ใจใครก็ตามที่ไม่ได้มาจากสกุลเต้อ ดังนั้นเต้อรั่วซีต้องรีบกลับมา แต่ใครจะไปไล่ตามหงจูเชวี่ยต่อจากนี้เป็นเรื่องน่าปวดหัวอย่างยิ่ง
การเผยออกไปว่าแท้จริงฮ่องเต้ไม่ได้ประชวร แต่กำลังเตร็ดเตร่ตามลำพังอยู่นอกวังมีแต่จะนำปัญหามาให้ แต่คนที่จะออกไปไล่ตามหงจูเชวี่ยได้ยังจะเหลือใครอีก เต้อซาต้องช่วยหงหนานปิงค้ำยันเรื่องในราชสำนัก ฉางเฉินต้องดูแลวังหลวง คนสกุลเต้อคนอื่นๆ แยกย้ายไปตามกองทหารทั่วแคว้นเพื่อรับใช้สกุลหงจนแทบจะหลังหักแล้ว ถ้าว่างขนาดวิ่งตามหาทั่วแคว้นโดยไร้ที่หมาย คงสมคบกันก่อกบฏแก้แค้นเหนือหัวมากกว่า
“ข้าจะ...” คำว่า ‘ไปเอง’ กำลังจะหลุดจากปากหงหนานปิง ก็ถูกสายตาดุดันสองคู่ดันให้กลับลงคอไป เขาจึงเปลี่ยนใจใหม่ ก่อนจะถูกจับมัดติดกับเสาท้องพระโรง
“ติดต่อเจิ๋นหนานอ๋องให้รีบกลับมาแล้วกัน”
ก่อนหน้าที่ไม่ติดต่อไปยังหงมิ่งก็เพราะเต้อรั่วซีลอบส่งจดหมายแจ้งความเคลื่อนไหวว่าหงจูเชวี่ยกำลังเดินทางขึ้นเหนือ แต่ยามนี้ฮ่องเต้หนีไปตามลำพังจะไปไหนก็ไม่อาจคาดคะเนได้ ตำแหน่งเจิ๋นหนานอ๋องแม้หน้าที่หลักจะเป็นการตรวจตราด่านทหารต่างๆ ในแดนใต้ แต่ก็ไม่ถึงกับปลีกตัวมาไล่ตามฮ่องเต้ไม่ไหว
เต้อซาฟังข้อเสนอของหงหนานปิงแล้วพยักหน้าเห็นด้วย แต่ฉางเฉินนิ่วหน้า ใคร่ครวญอย่างหนักว่าจะเปิดเผยคำสั่งลับของฮ่องเต้ดีหรือไม่ โชคดีที่เขาไม่ต้องตัดสินใจนาน เพราะมีทหารหน่วยข่าวกรองเข้ามาส่งมอบจดหมายสื่อสารเร่งด่วนฉบับหนึ่ง
“ไม่ต้องตามตัวเจิ๋นหนานอ๋องแล้ว กุนซือกู่จะไปตามหาเหนือหัวเอง”
หงหนานปิงอ่านจดหมายเสร็จแล้ว สรุปออกมาเป็นข้อมูลสั้นๆ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคนที่เหลือ
เมื่อนึกภาพฮ่องเต้ถูกพากลับมา ฉางเฉินก็รู้สึกแช่มชื่น แต่พอนึกภาพหงจูเชวี่ยถูกกู่ซานเล่นงาน เขาก็ไม่รู้จะบรรยายเช่นไร
แต่พอคิดๆ ดูว่าเขาถูกเด็กที่เลี้ยงมาปั่นหัวเช่นนี้ ปล่อยให้เหนือหัวถูกเล่นงานบ้าง เขาก็คิดว่าภาพเช่นนั้นมันก็รื่นรมย์ดี
......................................
โปรดติดตามตอนต่อไป
#ยอดพธูคู่หทัย
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามนะคะ ได้กำลังใจจากคอมเม้นแล้วหัวใจฟูฟ่อง ขอบคุณมากๆ ค่ะ
เต้อจือเสียกำลังจะถูกขาย หงหนานปิงกำลังจะ(บ้า)ตาย แต่เฮียเต้ยังคงลอยนวล555 ตอนหน้าจะมาปรากฏตัวแน่นอนค่ะ ฝากรักเฮียเต้น้อยๆ แต่รักนานๆ ด้วยนะคะ
ฝาก โหลด #ขันทีตัวปลอมจอมใจตัวจริง ในรูปแบบ E-Book ด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โถ่ โถ่ ท่านกงกงถึงกับอยากเห็นเต้ถูกกู้ซานรังแก 55555