ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เหตุผลของคนตาย

    ลำดับตอนที่ #65 : Chapter7 คำตอบที่แท้จริง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 184
      1
      21 ต.ค. 56

    Chapter7 คำตอบที่แท้จริง

     

    วันที่ 18 ธันวาคม 2011 เวลา 07.19 นาฬิกา (ลานวัด)

              ในที่สุดโอภาสและนารีก็ล่วงรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้นายแพทย์เอกณรงค์บุตรชายคนเดียวของตนเองเลือกทำอัตวิบากกรรม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ใจของทั้งคู่สงบลงเลยแม้แต่น้อย และสำหรับพุทธศาสนิกชนที่พึ่งสุดท้ายก็ย่อมเป็นสถานแห่งธรรม สองสามีภรรยาจึงจำต้องเดินทางไปยังวัดเพื่อขอคำชี้แนะจากหลวงตาแสงอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าท่านจะช่วยบอกหนทางให้พ้นจากความทุกข์ที่กำลังเผชิญ แม้จะเป็นวันอาทิตย์ที่ตรงกับวันพระ ทำให้ภายในวัดคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่เจ้าอาวาสก็ยังปลีกตัวเพื่อมาคุยกับพ่อแม่ของผู้วายชนม์ด้วยความสงสารและเห็นใจ

    แสงยามสายจับต้องลานวัดจนดูปลอดโปร่งโล่งสบาย หลวงตาแสงเดินนำไปนั่งเก้าอี้โคนต้นไม้ใหญ่ โอภาสและนารีจึงทรุดนั่งกับพื้นที่กวาดสะอาดแล้ว เพื่อสนทนากับพระภิกษุ แต่ผ่านไปเกือบนาทีก็ไม่อาจเปิดปากเล่าเรื่องได้ พระแสงจึงเอ่ยถามก่อน

                “พวกโยมรู้แล้วใช่ไหม ว่าทำไมลูกชายของโยมถึงได้ฆ่าตัวตาย”

                เพียงแค่เห็นสีหน้าของสองสามีภรรยาพระแสงก็รู้ว่าทั้งคู่พบเจอคำตอบที่เฝ้าตามหามาหลายวัน เพียงแต่คำตอบที่ได้นั้นยังไม่อาจช่วยตัดความทุกข์ที่มีอยู่ในใจได้ เมื่อถูกถามนารีจึงเป็นผู้เริ่มบอกเล่าถึงเหตุผลในการมาพบหลวงตา

    “ดิฉันรู้แล้วค่ะ พอได้อ่านความคิดเห็นที่เขาเขียนในไดอะรี่ ดิฉันก็มองออกว่าใจของเขาคิดอะไรอยู่ น่าเสียดายที่เรียนจบมาสูง แต่คิดอะไรผิดๆ ที่แล้วมาเขาเอาแต่ทำร้ายตัวเอง ทั้งเรื่องผู้หญิง ทั้งเรื่องยาเสพติด แต่พอมีปัญหาก็โทษคนอื่นแถมยังไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่มีความละอายใจเลยสักนิด”

    ต่อจากนั้นเกือบชั่วโมงคำบอกเล่าก็พรั่งพรูออกจากปากของสองสามีภรรยา ว่าพวกเขาค้นพบอะไรบ้างจากบันทึกส่วนตัวของบุตรชาย ทั้งความคิดเห็นที่ไม่ดีงาม การดูถูกเหยียดหยามคนอื่น และยังไม่เคารพเชื่อฟังบิดามารดา

    “ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็ตรงที่ ทั้งที่เขาเป็นคนแบบนี้ แต่คนเป็นแม่อย่างดิฉันกลับไม่รับรู้อะไรเลย เป็นแม่คนแต่ไม่ยอมสั่งสอนลูกตัวเองให้ดี”

                พูดแล้วนารีก็น้ำตาไหลพราก มีสามีคอยโอบบ่าปลอบโยน ทั้งที่ตัวโอภาสเองก็น้ำตาคลอหน่วย พระแสงมองสองสามีภรรยาด้วยสายตาเวทนาสงสาร ท่านปล่อยให้ทั้งคู่สงบใจลง ก่อนจะเอ่ยปากบอก

                “อาตมาคงไม่อาจพูดได้หรอกว่าสิ่งที่พวกโยมทำมันผิดหรือถูก เพราะการสั่งสอนของโยมมันเห็นผลกันอยู่แล้ว แน่นอนว่าพวกโยมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ถ้าพูดตรงๆ ก็คือพวกโยมเองก็มีส่วนที่ทำให้ลูกของพวกโยมฆ่าตัวตาย แต่พวกโยมจะทำยังไงล่ะ จะย้อนเวลากลับไปรึ หรือว่าจะโทษตัวเอง ทำร้ายตัวเองไปจนวันตาย มันทำไม่ได้ทั้งสองข้อใช่ไหมล่ะ”

                เจ้าอาวาสเงียบไปชั่วครู่ให้โอภาสกับนารีได้คิด แล้วจึงกล่าวต่อ

                “แน่ล่ะว่าการสอนสั่งของโยมมีผลต่อความคิดของเขา มันทำให้เขาเป็นอย่างนี้ แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นทั้งหมด อาตมาสังเกตเห็นว่าที่ผ่านมาพวกโยมไม่เคยจะโทษคนอื่นเลยสักครั้งว่าทำให้ลูกตัวเองตาย เขาเป็นลูกโยม อยู่กับพวกโยมมาหลายสิบปี เขาต้องสังเกตสิ่งที่พ่อแม่ทำบ้างล่ะ แต่นี่เขายังโทษคนอื่นที่ทำให้ชีวิตเขาตกต่ำ จะเป็นเพราะโยมสอนลูกไม่ดีได้ยังไง”

                พระแสงท้วงติงความคิดของนารีที่เศร้าโศกเพราะโทษตัวเอง แล้วท่านยังอธิบายความจริงที่เห็นๆ กันอยู่จนทั้งคู่สามารถเห็นภาพตาม แต่โอภาสก็ยังมีข้อโต้แย้ง

                “แต่โบราณว่าไว้ ว่าพ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูกนะครับ พวกผมเป็นคนสอนสั่งเขามาตั้งแต่เกิดจนโตไม่เคยจะปล่อยให้ใครดูแล แต่พวกผมกลับทำให้เขาเป็นคนดีไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะว่าผมสอนลูกดีได้ยังไง”

                “อาตมาไม่ได้บอกว่าพวกโยมไม่เคยสอนลูกผิดและที่โยมพูดมานั้นก็ถูก แต่คนจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราเอง ไม่งั้นลูกโจรก็ต้องเป็นโจรสินะ อาตมาเห็นลูกของโจรเป็นคนดีตั้งมากมาย เฉพาะคนที่พ่อแม่ไม่ยอมเลี้ยงดูต้องมาอาศัยวัดก็ไม่ใช่น้อย บางคนก็มาอยู่ตอนโต ตอนเด็กพ่อแม่ก็อบรมมาผิดๆ ถูกๆ สอนให้ลักทรัพย์สอนให้โกหก แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อในคำสอนผิดๆ ที่พ่อแม่สอนตอนเขายังเด็ก อาศัยความเชื่อมั่นในสิ่งดี ทำดีสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นคนดีของสังคมจนได้”

                คำตอบของภิกษุชรากระจ่างชัด แต่ความรู้สึกผิดในใจของผู้ที่เป็นพ่อแม่ใช่ว่าจะกำจัดได้ง่ายๆ โอภาสคิดว่าหลวงตาแสงพูดเพื่อปลอบใจพวกเขา จึงยังเฝ้าแต่โทษตัวเองไม่เลิก

    “มันก็จริงอย่างที่หลวงพ่อบอกครับ แต่ลูกของผมมีเรื่องในใจตั้งมากมาย ผมกลับไม่ให้โอกาสเขาได้ปรึกษาเลย”

    “แล้วโอกาสแค่ไหนถึงจะพอล่ะ อย่าคิดว่าโยมสองคนไม่เคยให้โอกาสเขา และก็อย่าคิดว่าเขาไม่ได้รับโอกาสจากใคร เท่าที่ฟัง เขาได้รับโอกาสหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทั้งจากพวกโยม จากเพื่อน จากเจ้านาย แต่เขาก็เลือกที่จะละทิ้งมันไปเอง”

    เมื่อทั้งคู่ไม่โต้แย้ง หลวงตาแสงจึงพูดต่อ

    “เขาตัดสินใจของเขาเองจึงได้รับผลลัพธ์ตามที่เขาเลือก คนเราจะฟังใครพูดก็ตาม มันก็ขึ้นอยู่ที่เราจะเชื่อคำพูดของใคร แล้วนำไปปฎิบัติ มันก็เหมือนเวลาเราผ่านไปถึงทางแยกเจอป้ายบอกทาง สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะเลือกเส้นทางไหน ลูกชายของโยมเลือกเองว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ ถ้าเขาคิดจะบอกพ่อแม่ว่าเขามีปัญหา เขาก็ไม่ต้องมานั่งกลุ้มอยู่คนเดียว ถ้าเขาตัดใจจากแฟนเขาได้ หรือเชื่อที่เพื่อนๆ แนะนำ เขาก็คงไม่ต้องไปหมกมุ่นอยู่กับผู้หญิงไม่ดี  ถ้าเขาไม่เสพยาเขาก็ไม่ต้องติดยา และสุดท้ายเขาจะฆ่าตัวตายหรือไม่ก็ได้ ปืนอยู่ในมือเขา เขาต่างหากเป็นผู้ที่เลือกเอง”

    พูดแล้วท่านก็อดที่จะทอดถอนใจด้วยความเวทนาในตัวเพื่อนมนุษย์ไม่ได้

                “น่าแปลกนะทั้งที่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่มนุษย์ก็ยังเป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่คิดจะฆ่าตัวตาย”

                “แล้วอย่างนี้ลูกชายของดิฉันจะตกนรกไหมค่ะหลวงพ่อ”

                นารีถามในสิ่งที่ทรมานใจเธอกับสามีมากที่สุด

                “อาตมาคงไม่อาจบอกได้หรอกนะว่าที่เขาทำลงไปมันผิดบาปแค่ไหน อาตมาบอกว่ามีนรกมีสวรรค์ก็ได้ เพราะว่าไม่มีใครรู้จริงว่ามีหรือไม่ ได้แต่เดาๆ กันไป อาตมาก็ไม่สามารถบอกว่ามันมีจริง แล้วที่สำคัญคืออาตมายกนรกหรือสวรรค์มาให้โยมดูไม่ได้หรอก เพราะมันยังไม่ใช่สิ่งที่สามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้ ดังนั้นโยมต้องคิดเอาเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร”

                หลวงตาหยุดพูดให้ทั้งคู่ได้ตรึกตรองว่าจะเชื่อหรือไม่ ก่อนจะสอนสิ่งสำคัญในเรื่องความเชื่อ

                “แต่เวรกรรมมันไม่ได้อยู่ที่นรกสวรรค์ มันอยู่ที่ตัวเราทำ ถ้าทำดี เราก็จะรู้สึกถึงความปลอดโปร่งโล่งใจ รู้สึกถึงความสุข แต่ถ้าเราทำชั่วทำบาป จะนั่งก็ทุกข์ จะนอนก็ทุกข์ อย่างที่เขาเรียกว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจยังไงล่ะ”

    โอภาสและนารีรับฟังด้วยความสงบ

    “สำหรับลูกชายของพวกโยม ตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอะไรที่ใครจะให้เขาได้อีกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกโยมควรทำในเวลานี้ก็คือให้โอกาสตัวเอง สิ่งที่เคยทำผิดก็เอาไว้เตือนตัวเอง จำไว้นะพวกโยมยังมีกันและกันอยู่ อย่าทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง อย่าทำร้ายกันและกันเพราะความรู้สึกผิด เรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกชายของโยม มันเป็นบทเรียนราคาแพงพออยู่แล้ว พวกโยมอย่าทำอะไรที่มันจะสร้างความทุกข์ใจให้แก้กันมากไปกว่านี้เลย”

                แล้วพระแสงก็สรุปให้โอภาสและนารีได้ฟัง เพื่อชี้ทางออกที่ทั้งคู่คิดว่าตีบตันจากการตายของเอกณรงค์ให้เห็น

                “คนเรากว่าจะเกิดมาก็ยาก โยมทั้งคู่ก็เห็นอยู่ว่าคนเรามันตายง่ายแค่ไหน พอตายไปแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก แต่ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังมีโอกาส มีหนทางที่จะมีความสุขได้ จงดีใจเถอะที่เรายังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยเราก็ยังมีโอกาสได้ทำในหลายอย่างที่คนตายทำไม่ได้”

                คำตอบของหลวงตาปลดทุกข์ออกจากบ่าของโอภาสและนารี และยังเป็นแสงสว่างให้ชีวิตที่คิดว่ามืดมนไปแล้ว ถึงวันนี้โอภาสและนารีจะยังเศร้าโศก แต่ทั้งคู่ยังมีโอกาสที่จะพบความสงบสุขในชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งมันย่อมดีกว่าเอกณรงค์ ผู้ที่เลือกจะจบชีวิตของตนเอง ทั้งที่ชีวิตข้างหน้าของเขายังอีกยาวไกล

    เหตุผลของคนที่เลือกความตายอาจจะมี แต่เหตุผลของคนที่เลือกจะมีชีวิตต่อไปมีมากมายกว่าหลายเท่า ชั่วชีวิตของคน คนหนึ่งไม่ว่าจะยาวหรือสั้นย่อมพาลพบทั้งความสุขและความทุกข์ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ใฝ่หาความสุขแล้วหลบเลี่ยงความทุกข์ แต่อยู่ที่ไม่มัวเมากับความสุขจนหลงลืมตน และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ทำให้เกิดทุกข์จนสิ้นหวัง ชีวิตจะคุ้มค่าไม่ได้อยู่ที่อยู่ที่ใช้ชีวิตให้หมดไป แต่อยู่ที่ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่มุ่งเจตนาทำร้ายตนเองและผู้อื่น เพราะหากว่าวันหนึ่งมีเหตุที่เราจำเป็นต้องลาจากโลกนี้ไป จะได้ไม่มีสิ่งใดให้ติดค้างในใจก่อนตาย

    ………End………

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×