คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : วันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 เวลา 16.34 นาฬิกา
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 เวลา 16.34 นาฬิกา (กุฎิพระจรูญ)
เวลากำลังล่วงเข้าสู่เย็นย่ำ คนที่มาเพื่อพบปะสนทนากับพระก็เริ่มจะทยอยขอตัวกลับบ้าน จนเหลือเพียงครอบครัวของเอกณรงค์และยายน้อย โอภาสจึงหันไปเตือนนารี และเตรียมตัวกลับเช่นกัน
“คุณโอภาสคุณนารี เดี๋ยวแวะไปที่บ้านพักแม่ชีแก้วกันหน่อยสิ เห็นว่าฝาผนังมันมีรอยร้าว เขาสงสัยว่ามันจะพังหรือเปล่า”
ยายน้อยเรียกคุณโอภาสที่เป็นอดีตหัวหน้าคุมงานก่อสร้างเอาไว้ เพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าแม่ชีแก้วที่คุ้นเคยกัน ออกปากบ่นเรื่องที่พัก
“ได้ครับป้าน้อย งั้นเรารีบไปกันเถอะ มืดแล้วจะดูไม่ถนัด”
พูดเสร็จโอภาสก็หันไปกราบลาพระจรูญ เช่นเดียวกับภรรยาและบุตรชาย ตอนแรกพระจรูญไม่กล่าวอะไร แต่พอเอกณรงค์เก็บของที่ติดตัวมาเสร็จจะลุกขึ้นเดินออกจากกุฎิ ท่านก็ร้องเรียกหมอเอก
“เดี๋ยวหมอเอกอยู่คุยกับอาตมาก่อนนะ อาตมาจะถามเรื่องอะไรหน่อย”
“หลวงพ่อมีเรื่องอะไรจะถามผมหรือครับ”
ทั้งกลุ่มหันมาทางพระจรูญด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก อาตมามีเรื่องจะถามอะไรหมอเอกนิดหน่อยน่ะ โยมโอภาสกับโยมนารีไปดูทางโน้นเถอะ”
สองสามีภรรยาคิดว่าพระจรูญคงจะถามหมอเอกเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของท่าน จึงเดินออกไปพร้อมยายน้อย
“หลวงพ่อมีอะไรจะถามผมหรือครับ”
เมื่ออยู่กันตามลำพังเอกณรงค์ก็เอ่ยถามพระจรูญทันที แต่ท่านส่ายหน้าปฎิเสธก่อนจะเล่าเรื่องที่อยากบอกให้หมอเอกรู้
“อาตมาไม่ได้จะถามหรอก แต่อาตมามีบางเรื่องจะบอกให้โยมรู้เอาไว้”
ภิกษุชรานิ่งเหมือนคิดคำพูด ก่อนจะพูดต่อ
“หมอเอกรู้ตัวบ้างไหมว่ากำลังจะมีเคราะห์ แถมครั้งนี้ยังเป็นเคราะห์หนักอีกด้วย เจ้ากรรมนายเวรของโยม กำลังจะมาเอาชีวิตของโยมแล้วรู้ไหม”
นายแพทย์หนุ่มมองหน้าพระจรูญด้วยสีหน้าประหลาดใจปนสงสัย ก่อนจะเอ่ยปากถามตรงๆ
“เจ้ากรรมนายเวรไหนกันครับหลวงพ่อ ผมไม่เคยไปทำอะไรใครมาก่อนเลยนะครับ แล้วผมจะมีเจ้ากรรมนายเวรได้ยังไง”
“ชาตินี้ไม่แต่ชาติที่แล้วมี หมอเอกไม่เคยรู้มาก่อนก็ไม่แปลกหรอก เพราะเขาไม่ได้ปรากฎตัวให้หมอเอกเห็น แต่เขาคอยตามหมอเอกมาตลอด”
สีหน้าของหมอเอกยังเต็มไปด้วยความกังขาจนพระจรูญต้องขยายความต่อ
“หมอเอกไม่เชื่อที่อาตมาพูดล่ะสิ อาตมาจะบอกให้นะ ชาติที่แล้วโยมไปทำเขาเอาไว้มาก เรียกว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่เผาบ้านเขาเลยแหละ เขาเลยอธิฐานจิตเอาไว้ว่าจะไม่ยอมปล่อยหมอเอกไป แล้วก็ตามมาจนถึงชาตินี้”
ถึงตรงนี้เอกณรงค์ก็ยังไม่เชื่อที่พระจรูญเล่าให้ฟังอยู่ดี แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวเขาจึงไม่พูดออกไป ได้แต่ถามเพื่อความเข้าใจ
“แล้วผมควรจะทำยังไงดีล่ะครับ”
“อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องเจอกรรมตัดรอน อะไรที่จะต่อบุญให้ตัวเองได้ก็ทำซะ ไม่งั้นถ้ากรรมเก่ามันตามเราทันเราจะแย่”
“ครับ”
เสียงรับคำแบบง่ายๆ ทำให้พระจรูญต้องย้อนถามคนตอบ
“นี่หมอเอกไม่เชื่อที่อาตมาพูดเลยใช่ไหม”
“ผมคงต้องบอกตรงๆ ว่าผมไม่ค่อยเชื่ออะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้”
คำพูดนั้นสุภาพตามปกติ แต่จากสีหน้าและแววตาแสดงออกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่พระจรูญเล่าแม้แต่น้อย แถมยังบอกให้ภิกษุรู้ว่าเขาไม่คิดจะเสียเวลาของตน มานั่งขบคิดหาข้อพิสูจน์อย่างแน่นอน
“อาตมารู้ว่าเรื่องบางเรื่องมันยากเกินกว่าที่ใครจะเชื่อ แต่โยมก็ควรจะเปิดใจให้กว้างกว่านี้ ว่าโลกของเรายังมีหลายสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้”
ความเงียบวิ่งไปมาระหว่างทั้งคู่ เหมือนจะเป็นสิ่งยืนยันความเคร่งเครียดในความคิดที่แตกต่างระหว่างทั้งสอง ในที่สุดหมอเอกก็ขอตัวลาอีกครั้ง โดยที่พระจรูญไม่อาจโน้มน้าวอีกฝ่ายให้เชื่อได้เลย
………Brake………
ความคิดเห็น