ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : คนใกล้ตัว
ตอนที่ 5 คนใกล้ตัว
เรียนนายแพทย์สัมมาพินิจพิจิตรสกุลชัย
จดหมายฉบับนี้ ผมต้องการให้ถึงมือคุณโดยไว เนื่องจากฉบับที่แล้วคุณไม่ตอบกลับ ผมจึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อความที่ส่งไปให้ คุณได้รับรู้หรือเปล่า จึงส่งมาอีกเพื่อความมั่นใจ ถึงจะคิดว่าคุณได้รับแล้วก็ตาม
ผู้หญิงคนนี้เคยเป็นคนที่คุณเคยอยู่ใกล้ ผมมั่นใจว่าคุณคงจดจำเธอได้ เธอไม่ได้ทำอะไรผิดต่อผม หรือเคยทำร้ายผม ความเกี่ยวข้องของผมกับเธอคือคุณ
ผมอยากให้คุณรู้สึกถึงการมีอยู่ของผมให้มากกว่านี้ มากเท่าที่คุณจะสามารถทำได้ ผมไม่รู้ว่าจะทนต่อความเพิกเฉยของคุณได้หรือเปล่า แม้ว่าคุณจะไม่เจตนาก็ตาม ผมอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่กลับเหมือนอยู่เพียงลำพัง เช่นเดียวกับที่คุณที่มีคนข้างกายแต่กลับเหมือนไม่มีใคร หากเราได้มีโอกาสพูดคุยกันคงจะช่วยได้มาก
หวังว่าเราจะได้เจอกันในเร็ววัน
ด้วยความรักและเคารพ
คนที่อยู่ใกล้ตัวคุณ
ป.ล. หวังว่าคุณจะชอบของที่แนบมาด้วยพร้อมจดหมาย ส่วนที่เหลือคุณคงได้พบแล้ว
“มึงคิดยังไงกับจดหมายฉบับนี้”
หมวดชาญเดชถามหมอสัมมา เมื่อเห็นเพื่อนจ้องมองจดหมายสั้นๆ หลายนาทีโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ หมอหนุ่ม บรรจงพับมันตามแบบเดิมและใส่ลงในถุงใส่หลักฐานพร้อมกับซองสีขาวและซองพลาสติกที่ใส่มันมา ก่อนจะกวาดตามองคนที่ยืนในห้อง นอกเหนือจากสมเจตที่เป็นผู้ช่วยของเขา ก็ยังมีผู้กองธนูที่เข้ามาร่วมสืบคดีด้วยเพราะเป็นผู้รับแจ้งเหตุการยิงปืนเมื่อตอนเช้ามืด ก่อนจะกลายเป็นการพบศพหญิงสาวบ้านข้างๆ และจบตรงจดหมายที่มีจ่าหน้าระบุชื่อ นายแพทย์สัมมา พินิจพิจิตรสกุลชัย จดหมายที่ใส่ซองพลาสติกใสกันความชื้นอีกชั้นเพื่อกันเปียกจากการวางทับของสิ่งที่แนบมาด้วย นั้นคือก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นสีคล้ำที่เรียกว่า หัวใจ
เมื่อยังไม่อาจเรียบเรียงได้ หมอสัมจึงรวบรวมหลักฐานต่อเงียบๆ หมวดชาญรู้ว่าเพื่อนไม่สามารถตอบได้ในตอนนี้จึงไม่พยายามถามต่อ แต่ผู้กองธนูที่ยังคาใจอยู่ถามซ้ำอีกครั้ง
“หมอคิดว่าข้อความในจดหมาย หมายความว่ายังไงบ้างครับ”
“ผมคิดหลายเรื่อง แต่ผมว่าเราแยกเป็นประเด็นดีกว่าครับ เพราะว่านอกจากจดหมาย ยังมีเรื่องของคนที่ตายด้วย”
“ผมก็ว่าดี งั้นเราเริ่มจากเรื่องศพก่อนดีกว่าจะได้ย้ายศพไปตรงอื่น ชาวบ้านชักจะสนใจมากเกินไปแล้ว ส่วนเรื่องตรงนี้ผมว่าเราค่อยมาตีความทีลังก็ได้”
ผู้กองธนูเอ่ยเบาๆ เมื่อไม่มีใครแย้งทั้งหมดจึงย้ายไปไปยังหน้าบ้าน โดยสมเจตเป็นคนเก็บหัวใจของเหยื่อใส่กล่องแช่แข็งก่อนจะเดินปิดท้ายออกมาไปสู่จุดที่กั้นไว้ เมื่อทั้งหมดยืนอยู่พร้อมหน้าหมอสัมก็เริ่มวิเคราะห์ทันที
“ผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ผมจำได้ เธอเรียนรุ่นเดียวกับผม”
หมอสัมบอกเมื่อยืนตรงหน้าร่างอวบอัดที่ปราศจากอาภรณ์ ผิวขาวอมชมพูที่ขาดเลือดเริ่มกลายเป็นคล้ำเขียว สองแขนสองขากางออกเหมือนจะโอบกอดโลก แต่ก็อยู่ในท่วงท่าที่แลดูงดงามมากกว่าอนาจาร ดวงตาปิดสนิทแต่ไม่มีทางดูผิดพลาดว่ากำลังนอนหลับ แม้จะไม่เห็นรอยกระสุนบนหน้าผาก หรือรอยโหว่ที่อกข้างซ้ายก็ตาม นายแพทย์หนุ่มมองร่างที่เคยเป็นอดีตเพื่อนนักเรียนด้วยสายตาที่ยากจะบ่งบอกถึงอารมณ์ภายใน จนผู้รับผิดชอบคดีอดที่จะถามต่อไม่ได้
“แบบเดียวกับรายที่แล้วหรือเปล่าครับ”
ถึงผู้กองธนูจะไม่ได้รับผิดชอบคดีของอลงกรณ์ แต่ก็พอจะทราบเรื่องพอสมควร จึงปะติดปะต่อเรื่องได้ไม่ยาก หมอสัมเห็นว่าตำรวจหนุ่มตามเรื่องได้จึงอธิบายเพิ่มเพราะหมวดชาญและสมเจต รู้จักกับเขาตั้งแต่เด็กและรู้เรื่องระหว่างเขากับเหยื่อแต่ละรายอยู่แล้ว
“ไม่ใช่ครับทาทา เอ่อ...อลงกรณ์น่ะครับ เขาเป็นแค่เพื่อนร่วมรุ่นที่พอรู้จักกันผิวเผิน แต่แอน ค่อนข้างจะคุ้นเคยกันมากกว่า”
“เธอเคยคบหากับหมอหรือเปล่าครับ”
คำถามนี้หมอสัมไม่รู้จะอธิบายยังไงไม่ให้ผู้ตายดูไม่ดีในสายตาคนอื่น หมวดชาญที่เห็นเพื่อนชะงักจึงช่วยตอบเสียเอง
“ไม่ใช่ครับ เธอเคย...ไงดีล่ะ ผู้กองนึกภาพเด็กวัยรุ่นสมัยมัธยมได้ไหมครับ คือวัยรุ่นก็มักจะตามจีบกันแบบเด็กๆ น่ะครับ แต่จะว่าไปก็ไม่เด็กเท่าไหร่นักหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผมเรียนโรงเรียนนานาชาติ ก็ค่อนข้างจะมากกว่าเด็กไทยนิดหน่อย แต่แอนเขาเป็นเด็กลูกครึ่งเลยอาจจะเกินเด็กไทยธรรมดาไปค่อนข้างเยอะ”
หมวดหนุ่มไม่อยากจะบอกต่อด้วยว่าโดยเฉพาะเด็กลูกครึ่งไทยใจฝรั่งอย่างแอน ค่อนข้างจะมากกว่าเด็กสาวไทยทั่วไปมากทีเดียว แต่ผู้กองธนูก็สามารถเข้าใจได้เอง
“ผมคงต้องขอโทษนะครับที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว แต่ผมอยากทราบว่าระหว่างหมอกับผู้ตาย เคย...แบบว่า”
“ผมกับแอนเป็นแค่เพื่อนครับ ไงดีล่ะ สมัยก่อนผมค่อนข้างหัวโบราณนิดหน่อย”
หมอสัมรีบปฎิเสธก่อนที่ผู้กองธนูจะคิดภาพไปไกล แต่ตัวป่วนอย่างจุ๊ยกลับหาเรื่องสร้างภาพไม่ดีให้รุ่นพี่เสื่อมเสียชนิดทันควัน
“ผิดกับสมัยนี้ลิบลับเลยแหละครับ แต่ก่อนผู้หญิงเข้าใกล้พี่หมอรีบกระเถิบหนี ตอนนี้ผู้หญิงแค่ชำเลืองมองพี่หมอก็ปรี่เข้าไปหา”
เสียงหัวเราะของหมวดชาญเป็นการการันตีทางอ้อมว่าสมเจตพูดความจริง หมอสัมอยากจะอัดรุ่นน้องโชว์ตำรวจแต่เปลี่ยนใจเป็นสั่งงานแทน
“จุ๊ยเดี๋ยวพอย้ายศพไปห้องแล๊ป แกกลับเข้ามาเก็บเส้นใย กับรอยนิ้วมือตั้งแต่หน้าบ้านถึงห้องนอนเลยนะ แล้วก็ให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ด้วย”
“เฮ๊ย...นั้นมันเกือบทั้งบ้านเลยนะพี่หมอ สองวันจะรีบไปไหมน่ะ”
“หรือจะไม่ทำ”
ไม่พูดเปล่าหมอสัมมองหน้ารุ่นน้องนิ่งๆ ให้สมเจตเห็นประกายสีม่วงในดวงตาแวบๆ เป็นสัญญาณบอกว่าถ้าเถียงจะโดนหนักขึ้นไปอีก ตัวแสบเลยได้แต่แอบบ่นในใจแทน
“หมอคิดว่าเธอโดนข่มขืนด้วยไหม”
ผู้กองธนูถามทันทีเมื่อหมอสัมลงมือตรวจสอบเหยื่อด้วยสายตา
“เท่าที่ดูผมว่าไม่มีร่องรอยการร่วมเพศด้วยซ้ำ แต่คงต้องรอผลยืนยันอย่างเป็นทางการจากทางห้องแล๊ปอีกที ไม่มีร่องรอยการทำร้ายร่างกายหนักๆ”
“ไอ้ที่ควักหัวใจนี่ไม่หนักหรอพี่”
“ก่อนตาย”
เสียงโหดๆ ของหมอสัมทำได้แค่หยุดตัวแสบชั่วคราว ดังนั้นหมวดชาญจึงขยับมายืนประชิดพร้อมโอบบ่าสมเจตเป็นการเตือน ว่าหมอผ่าศพกำลังเครียดไม่อยากตายเร็วอย่ากวนให้มากนัก
“มีรอยมัดที่ข้อมือและข้อเท้า ดูไปแล้วคล้ายๆ รายที่แล้วแต่จากรอยยิงผมคาดว่าไม่ใช่การจ่อยิงโดยตรง”
พูดไปหมอสัมก็ชี้ให้ดูรอยกระสุน
“ถ้าจ่อยิงบาดแผลจะเป็นรอยไหม้ อีกอย่างเมื่อกี้บนห้องนอนผมเห็นมีหมอนเป็นรูและมีคราบเลือดกับคราบเขม่าคาดว่าน่าจะยิงผ่านหมอน เดี๋ยวขึ้นไปข้างบนชาญเตือนด้วยนะว่าให้ดูอีกที เอาล่ะจุ๊ยมาช่วยพลิกศพตะแคงที”
เมื่อผู้ช่วยเข้ามาช่วยจับศพตะแคงข้าง หมอสัมก็ตรวจคร่าวๆ ก่อนจะส่งสัญญานให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิเข้ามาจัดเก็บศพเพื่อพาไปยังสถาบันนิติเวช ซึ่งเจ้าหน้าที่ครั้งนี้ก็เป็นวิทยาที่เคยเรียนที่เดียวกับผู้ตายเช่นเดียวกับหมวดชาญ หมอสัม และสมเจต
“ช่วงนี้เป็นเทศกาลเด็กนานาชาติโดนเจื๋อนหรือไงเนี่ย”
วิทยาทำงานพร้อมกับฟังสมเจตบอกรายละเอียด และพอฟังจบก็อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ หมวดชาญที่อยู่ใกล้ๆ เลยถือโอกาสเตือนรุ่นน้อง
“แกก็ระวังตัวไว้มั้งก็ดีนะ”
“ผมจะโดนอะไรล่ะพี่ชาญ ผมไม่เคยหิ้วผู้ชายเข้าโรงแรมสักที ยิ่งพาไปที่ห้องยิ่งไม่มีทาง ผู้หญิงผมยังไม่พาไปเลย”
เจ้าหน้าที่มูลนิธิหนุ่มบอกยิ้มๆ โดยเฉพาะเรื่องหลังพวกในกลุ่มก็รู้กันดีเพราะวิทยากับสมเจต เช่าห้องอยู่ร่วมกันกับอรัญ ในเมื่ออยู่ร่วมกันหลายคน มันจึงเป็นมารยาทที่เหมือนเป็นกฎแบบกลายๆ ว่าห้ามพาแฟนหรือหญิงที่เจอระหว่างเที่ยวมาทำกิจกรรมที่ห้อง
“จะดักตีหัวก็คงยาก ผมคงไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรผมง่ายๆ หรอก ดูนี่นะพี่ เห็นป่ะ ฟิตเปรี๊ยะ ฟิตเปรี๊ยะ”
พูดแล้ววิทยาก็ถกแขนเสื้อฟอร์มเบ่งกล้ามเป็นเชิงอวด ให้รุ่นพี่เห็น แต่หมวดชาญก็ยังไม่วายเตือนต่อ
“ถึงจะล่ำก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ทาทาล่ำกว่ามึงอีกยังไปนอนห้องเย็นเลย เอาเป็นช่วงนี้จะไปเมาไหนก็ไปกับพวกที่สนิทๆ หน่อยแล้วกัน”
“เพื่อนสนิทก็คิดไม่ซื่อได้นะพี่”
เสียงไอ้จุ๊ยเหมือนพูดเล่นลอยๆ แต่คำที่บอก แฝงนัยถึงอดีตเพื่อนร่วมห้องอย่างวิสุทน์ที่แม้จะสนิทกันมาหลายปี แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีอาการทางจิตที่ฆ่าได้แม้แต่ผู้หญิงอันเป็นที่รักของเพื่อน
“เลิกเมาร์ได้แล้วไอ้จุ๊ย มึงเข้ามาดูในบ้านได้แล้ว มึงด้วยไอ้หมวดไม่ต้องเป็นห่วงไอ้กอร์ฟนักหรอก คิวต่อไปยังไม่ใช่วันนี้”
เสียงหมอสัมตะโกนบอกห้วนๆ หมวดชาญนึกสงสัยคำพูดเพื่อนทันที แต่รู้ว่าอีกฝ่ายคงอยากคุยในสถานที่ ที่ไกลจากการรับรู้ของคนนอก จึงเดินไปยังห้องนอนของผู้ตายพร้อมสมเจต
“มึงคิดออกแล้วหรอ ว่าฆาตกรมีรูปแบบยังไง”
“เลขอะไรที่หมายถึงรัก”
นอกจากไม่ตอบหมอยังหันมาถามตำรวจ เสียเฉยๆ จึงได้คำตอบแบบมั่วๆ ให้แบบห้วนๆ
“สอง”
“คิดง่ายไปแล้ว”
หมวดชาญตอบโดยอิงจากการที่คิดว่ารักหมายถึงคู่ แต่ยังไม่ใช้คำตอบแบบที่หมอสัมคิด คนที่ตอบต่อมาจึงเป็นนักนิติเวชที่มีอารมณ์ศิลปินเยอะอย่างจุ๊ย
“เลขหกพี่”
“ใช่ได้ เลขหกหมายถึงรักในภาษาสากล”
หมอสัมนึกชมลูกน้องที่มีความรู้รอบตัว เขาหยิบเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กขึ้นมากดบันทึกเพื่อกันลืม ก่อนจะพูดสิ่งที่เป็นสมมุติฐานของตัวเองออกมา
“กูประมาณคร่าวๆ ว่าฆาตกรเป็นพวกลึกซึ้งพอตัว ดูจากคำพูด และของที่สื่อถึงความรัก ดังนั้นเลขที่จะใช้น่าจะเป็นเลขนั้น”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับลำดับการฆ่าล่ะครับ”
ผู้กองธนูยังไม่เข้าใจเช่นเคย หมอสัมจึงอธิบายต่อ
“เยื่อรายแรก คือเพื่อน ที่รู้จักแต่ไม่สนิท การลงมือค่อนข้างจะโหดเป็นพิเศษ เหมือนการเปิดตัวที่ต้องการให้คนสนใจ รายที่สองเป็นคนที่เคยให้ความสนใจผมในแง่เพศ แต่ผมไม่สนใจตอบ ดังนั้นต่อไปต้องเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยหน่อย”
“อย่างนี้ไอ้กอร์ฟก็เข้าข่ายสิ”
หมวดชาญเสริมให้พร้อมกับนึกห่วงรุ่นน้องในใจ เพราะวิทยาเป็นพวกไม่ค่อยห่วงใยสวัสดิภาพตัวเองเท่าไหร่นัก
“ใช่ และอาจจะเป็นจุ๊ยหรืออาร์มด้วย แล้วก็อย่าลืมว่าเพื่อนสมัยเรียนที่เข่าข่ายอีกอีกเพียบเลย นับจากระดับมัธยมต้นถึงปลายเลยนะ”
“พี่หมอผมชอบพี่นะ แต่เราเลิกคบกันเถอะ”
จุ๊ยแทรกหน้าตาเฉย หมอสัมเลยตบหัวมันไปหนึ่งที โทษฐานพยายามฮาไม่ดูสถาณการณ์ แม้แต่ผู้กองธนูที่หน้าขรึมเป็นนิจ ยังยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า
“สายไปแล้วครับ ผมว่าต่อให้เลิกคบวันนี้ พรุ่งนี้คุณจุ๊ยก็ยังมีสิทธิตายเปลือยได้อยู่เลย แต่มันก็ยังพอมีเวลาไปเสริมความงามนะครับ”
“เป็นข้อคิดเห็นที่น่าอบอุ่นใจมาก ขอบคุณนะครับผู้กอง”
สมเจตหันไปกัดฟันบอกผู้กองหนุ่ม ก่อนจะหันไปถามรุ่นพี่นิติเวช
“พี่หมอว่าผมควรจะไปขัดผิวก่อนไหม พรุ่งนี้เวลานอนตายจะได้ไม่อายชาวบ้าน หรือว่าจะไปนวดตัวกับแวกซ์ขนตูด”
“มะรืนก็ทัน ตามคิวน่าจะอาทิตย์หน้า”
หมอสัมบอกหน้าตาเฉย โดยมีหมวดชาญที่ตามเรื่องทันบวกกับความรู้ที่เคยเรียนจิตวิทยาด้วยกันกับเพื่อนช่วยเสริม
“หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ถ้าไอ้หมอกระตุ้น”
“แบบไหนครับ”
“ผมคิดว่าฆาตกรกำลังเรียกร้องความสนใจของผมอยู่ เดิมทีเขาต้องการให้ผมติดต่อกลับ แต่พอผมไม่สน เขาเลยเริ่มฆ่าอีกราย และจะรอจนกว่าจะแน่ใจว่าผมไม่ยอมติดต่อด้วยถึงจะเริ่มฆ่าอีกคน ซึ่งน่าจะใช้เวลารอเท่าเดิมก็ตกราวๆ อาทิตย์นึง”
“อาทิตย์นึงน้อยมากเลยนะครับ ถ้าคิดจากจำนวนผู้ต้องสงสัย แล้วยังจะเรื่องมาตการป้องกันคนที่อาจจะเป็นเหยื่อด้วย”
“ผมก็คิดงั้น อันนี้คงต้องขอความร่วมมือจากทางตำรวจ ผู้กองธนูกับหมวดพอจะคิดหาทางได้ไหมครับ ผมอยากให้เรื่องนี้จบลงเร็วที่สุด”
แม้แต่หมวดชาญยังประหลาดใจที่สัมมาเอ่ยปากขอร้องผู้กองธนู เพราะตั้งแต่เขาทำงานตำรวจ เพื่อนไม่เคยข้ามหน้าข้ามตาเขาไปก้าวก่ายตำรวจนายอื่นเลยสักครั้ง แต่ผู้กองธนูก็เต็มใจให้ความช่วยเหลือ
“เอาล่ะ ตอนนี้คดีสำหรับผมไม่มีอะไรด่วนนัก แล้วเท่าที่คิดผู้หมวดน่าจะมีแผนไว้แล้ว พอจะมีอะไรให้ผมไปต่อยอดได้ไหมครับ”
ถึงผู้กองธนูจะยศสูงกว่า แต่ก็สุภาพเสมอเมื่อต้องร่วมงานกับผู้อื่น หมวดชาญค่อนข้างจะชอบเพื่อนร่วมงานคนนี้ไม่น้อย ถึงจะไม่ค่อยชอบนิสัยเจ้าระเบียบของอีกฝ่ายก็ตาม
“ตอนนี้ผม หารายชื่อของผู้ชายที่เรียนร่วมกันกับหมอสัมออกมาแล้วทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ รวมทั้งอาจารย์และเจ้าหน้าที่ โดยแยกเป็นพวกที่น่าจะมีความสามารถในการก่อคดี และพวกที่สามารถเดินทางในกรุงเทพหรือใกล้”
“อืม...ผมเห็นด้วยนะแต่ถ้าจะเยอะไม่ใช่เล่น”
หมวดชาญมีสีหน้าไม่สบายใจทันที เมื่อนึกถึงจำนวนผู้ต้องสงสัยที่ช่างมากมายมหาศาลในความรู้สึกของเขา
“แปดสิบหกคน อันนี้ผมตัดพวกที่อายุเกินหกสิบปีออกไปแล้วนะ”
“จำนวนไม่ใช่น้อยทีเดียว เอาอย่างนี้ดีกว่าผมจะช่วยคัดประวัติอีกที เราอาจจะแยกพวกที่มีแนวโน้มใช่ความรุนแรงออกมาได้”
“แบบไหนหรือครับผู้กอง”
“ก็คงต้องดูจากประวัติการถูกจับกุม หรือถ้าจำเป็นก็ต้องขอหมายศาลให้ทางโรงพยาบาลยอมบอกประวัติของผู้มีอาการทางจิตกันบ้างล่ะ”
คนฟังแต่ละคนล้วนเห็นด้วย โดยเฉพาะสมเจต
“จริงของผู้กอง ผมก็เห็นใจเรื่องความเป็นส่วนตัวของคนที่มีปัญหาทางจิตนะ แต่ถ้าใครก็ตามที่มันพร้อมจะฆ่าคน ก็น่าจะเอาไปห่างๆ สังคมหน่อย”
“งั้นเรามาต่อกันที่เรื่องเหยื่อดีกว่า หมอกับผู้หมวดคิดเหมือนผมไหม ว่าตามเจตนาฆาตกรต้องการข่มขืน”
“ผมก็คิดอย่างนั้น และเมื่อกี้ผมเห็นด้วยว่าการจัดฉากร่างของเหยื่อแสดงออกถึงความลังเล ระหว่างความรุนแรง กับการให้เกียรติคนตาย มีการเปลื้องผ้าที่แสดงถึงความเหยียดหยามในเชิงเพศ แต่กลับไม่มีการทำลายศพมากกว่าที่จำเป็น”
“หรือว่ามันสงสารเหยื่อที่เคยหลงรักมึงเหมือนกับที่มันเคยหลงรัก”
ความเห็นหลังมาจากหมวดชาญ ซึ่งคนเป็นหมอก็คิดแบบเดียวกัน
“น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้มันสงสารหรือเห็นใจ กูก็ว่าถ้ามันคิดจะฆ่ามันก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่ เพราะมันเลือกแล้วและก็วางแผนมานานก่อนจะลงมือ เห็นไหมว่าในบ้านไม่มีร่องรอยการบุกรุก ไม่มีการต่อสู้ แสดงว่าแอนต้องเป็นคนพามันมาเอง”
“เต็มใจไปนอนให้มันยิงด้วยหรอพี่หมอ ว่านอนสอนง่ายเนอะ”
“ไม่หรอก มีรอยถูกมัด ถ้าตรวจหาสารพิษอาจมีการวางยาร่วมด้วย แต่ก็อาจจะเต็มใจ คราวทาทาไม่มียาสลบมาเกี่ยวสักนิด น่าจะมีความคุ้นเคยกับแอนพอสมควร หรือไม่ก็น่าจะคบหากันมาสักพักแล้ว”
“ถ้าฆาตกรเข้าถึงเหยื่อ ผมว่าอาจจะเคยมีคนสังเกตเห็นก็ได้ เอางี้ดีไหมครับหมวดชาญ เดี๋ยวผมดูเรื่องรายชื่อทั้งหมด แล้วคุณไปสอบพยานที่ใกล้ชิดผู้ตาย เขาอาจมีรูป หรืออาจจะบอกลักษณะที่ตรงกับคนที่หมวดรู้จักก็ได้”
“ก็ดีครับ ถ้าอย่างนั้นผมฝากผู้กองด้วยแล้วกัน เผื่อจะมีทางจับมันก่อนที่จะลงมืออีก แต่ยังไงผมขอดูรายชื่ออีกทีนะครับ ผมว่าไม่น่าจะเป็นคนอื่นคนไกล เพราะรู้เรื่องของไอ้สัมดีพอสมควร เผลออาจจะเป็นคนใกล้ตัวพวกผมเลยก็ได้”
ข้อคิดเห็นนี้ตรงใจผู้กองธนูมากทีเดียว เขาจึงหันไปถามหมอสัมต่อทันที
“มีใครไหมครับที่เข้าข่าย แบบว่าผู้ชายที่แสดงความชื่นชมหมอจนออกนอกหน้า จะได้จับตาเป็นพิเศษ”
แวบหนึ่งสัมมาคิดถึงอรัญ แต่แล้วก็คิดว่าควรจับตาดูเอาเองเป็นการส่วนตัวจะดีกว่า เพราะตั้งแต่คืนที่อยู่ด้วยกันตามลำพังชายหนุ่มรุ่นน้องก็ไม่เคยทำตัวเกินกว่าคำว่าเพื่อนอีก เขาจึงไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากเล่าความชอบทางเพศของอรัญให้เพื่อนสนิทอย่างชาญเดชฟัง
“ไม่มีครับ สมัยเรียนที่นานาชาติผมเป็นคนเงียบๆ คนที่แสดงออกว่าจะจีบผมจนออกนอกหน้าเลยไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่ไปตื้อไอ้หมวดมากกว่า”
“ลองนึกดูแล้วกันนะครับ”
หมอสัมพยักหน้ารับ ทั้งที่ความจริงเขาก็คิดมาตลอดเพียงแต่ยังคิดไม่ออกแม้แต่น้อย สมเจตที่กำลังเก็บหลักฐานนึกบางเรื่องขึ้นได้ จึงหันมาถามรุ่นพี่
“เออ...อย่างนี้อันดับต่อไปจากเพื่อนจะเป็นใครล่ะพี่หมอ”
“คนสุดท้ายน่าจะเป็นฉัน ดังนั้นก็จะเหลืออีกสามคน นั้นคือต่อจากเพื่อน ก็คงเป็นคนที่เคยแฟนฉันสมัยเรียน แต่ที่สำคัญตอนนี้เมียฉันก็ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นก่อนที่มันจะฆ่าฉันมันก็ต้องฆ่าคนที่สนิทกับฉันที่สุดให้ได้ซะก่อน”
หมอสัมจบประโยคด้วยการมองหน้าหมวดชาญ อันเป็นคำตอบต่อคำถามทั้งหมด ว่าเหตุใดเขาถึงต้องรีบแข่งกับเวลา เพราะเดิมพันในการปิดคดีครั้งนี้คือคนใกล้ตัว
To be continue.
To be continue.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น