ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คนรู้จักทีไม่คุ้นเคย(100%)
“มันมีอะไรกว่าที่ตาเห็นเยอะเชียวล่ะมึง”
“แต่ตอนนี้กูว่ากูเห็นหมดแล้วนะ”
หมวดชาญพูดพร้อมกับมองไปทั่วร่างเปลือยเปล่าของอลงกรณ์ ด้วยสายตาที่บอกว่าเขารู้ว่าก่อนจะจบชีวิต หลายชั่วโมงสุดท้ายชายหนุ่มได้ทำอะไรมาบ้าง
“ทาทามันเป็นพวกทั้งรุกและรับ แถมยังค่อนข้างจะพิศดารเสียด้วย”
“ถามจริง”
หมอสัมยิ้มพร้อมกับส่งสัญญานให้สมเจตพลิกร่างเหยื่อให้หมวดชาญเห็นด้านหน้า และทันทีที่เห็นเต็มตา ตำรวจที่คิดว่าตัวเองเคยเห็นมาแล้วทุกอย่างถึงกับสะดุ้ง
“ทำไปได้ ไม่เจ็บหรือไงว่ะนั้น”
การที่ใครจะมีห่วงร้อยหัวนมไม่ใช่เรื่องแปลก การฝังมุกก็ยังไม่แปลกเท่าไหร่ แต่การฝังมุกเรียงกันทั้งด้านบนและด้านล่างอย่างละสี่เม็ด แถมด้วยการเจาะตุ้มหูให้อัณทะสองข้างนับได้ว่าเกินกว่าที่นายตำรวจอย่างหมวดชาญจะจินตนาการไปได้ หรือหากหมวดหนุ่มยังไม่คิดว่าแรงพอ รอยสักเล่นลายคำว่า Welcome to Eden. บริเวณขาหนีบ ก็ทำเอาหมวดชาญพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“ไม่เคยเจอล่ะสิมึง”
“ใครจะไปเจอว่ะแบบนี้ มึงเคยเจอหรือไง”
หมอสัมยิ้มเยาะอยากจะเกทับตำรวจเหมือนกันว่าเคยเห็น แต่ที่เขาเคยเห็นแรงกว่านี้ก็คงมีแต่ในหนังสือเลยต้องบอกตามจริง
“ไม่เคยเหมือนกันว่ะ อาจจะมีบ้างแต่ไม่มากขนาดนี้ เอาล่ะจบโชว์ มาต่อด้วยเนื้อหา ซึ่งอันนี้นับว่าเป็นเนื้อหาแบบเนื้อสดซะด้วย”
พูดเสร็จหมอสัมก็ส่งสายตาให้สมเจตช่วยพลิกล่างของเหยื่ออีกครั้ง เมื่อร่างของอลงกรณ์กลับมานอนคว่ำ เขาก็ชี้มือที่ใส่ถุงมือไปยังจดหมายแนะนำตัวของคนร้ายที่เขียนฝากมาบนแผ่นหลังของผู้ตาย
“จากวิธีเขียน กูคาดว่าจะไม่ใช่มือข้างที่ถนัด ไม่งั้นก็คงลายมือห่วยจัดๆ และที่ด้านหลังต้นขาทั้งสองข้าง กับต้นแขนมีการปาดเนื้อออก กูว่าน่าจะมาจากการซ้อมมือ เพื่อให้เขียนได้ง่าย แต่ที่น่าสนใจสุดๆ มาจากยาที่ใช้ห้ามเลือด”
นิ้วชี้ของหมอหนุ่ม เลื่อนไปยังคราบที่ผสมกับเลือดของผู้ตายที่ตอนนี้ เห็นเป็นก้อนๆ สีคล้ำรอบๆ บาดแผล
“หือ ไอ้คราบๆ เนี่ยน่ะหรือ”
“ใช่ เป็นผงห้ามเลือดชนิดหนึ่งกูไปจิกพวกที่แล๊ปมาแล้ว”
“หรืออีกนัยคือพี่หมอไปบีบคอเร่งผลตรวจสอบมานั้นเอง”
ไอ้จุ๊ยที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีบท อดที่จะสอดไม่ได้ หมอสัมเหล่มันเล็กน้อยเป็นเชิงข่มขู่ ก่อนจะหันไปเล่าเรื่องที่รู้ให้หมวดชาญฟังต่อ
“เอาเป็นว่ามันเป็นผงห้ามเลือด”
“แบบที่ทหารใช้น่ะหรอ”
หมวดชาญหมายถึงผงที่ใช้ในการห้ามเลือดที่ทั้งทหารและตำรวจใช้ แต่ระยะหลังทางตำรวจเปลี่ยนเป็นแผ่นห้ามเลือดแทนเพื่อความสะดวก แต่สำหรับทหารด้วยงบประมาณอันจำกัด บางพื้นที่จึงยังใช้แบบผงอยู่
“ใกล้เคียงแต่ไม่ใช่ มึงคิดว่าผงหรือแผ่นห้ามเลือดที่ทหารใช้หาได้ง่ายๆ หรือไง ร้านขายยาทั่วไปไม่มีหรอกนะ ถ้าจะสั่งซื้อก็ต้องจากผู้ผลิต แล้วก็ต้องมีปริมาณขั้นต่ำพอสมควร แล้วผู้ผลิตก็คงไม่ขายของซี้ซั้วหรอก”
“งั้นคนร้ายเอามาได้ยังไง”
“ก็เพราะมันไม่ใช่ผงสำหรับคนน่ะสิ แต่มันเป็นผงห้ามเลือดที่เอาไว้ใช่กับสัตว์”
สีหน้าของหมวดหนุ่มบอกให้รู้ว่าเรื่องที่ได้ยินค่อนข้างเกินคาด เขาเองไม่ได้คลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงพวกหมาแมวขนาดที่จะรู้จักพวกยาที่ไว้ใช้กับพวกนี้
“มันหาได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”
“ตามคลีนิค หรือร้านเพตช๊อปจะมีไว้ขายปลีกให้พวกเลี้ยงหมาแมว เวลาตัดเล็บแล้วพลาดจะได้ห้ามเลือด หรือบางทีก็แบ่งขายให้พวกที่ตัดหูตัดหางหมา”
“พอคิดภาพตามแล้วกูว่ามนุษย์เรานี่ก็วิปริตไม่เบาเมือนกันว่ะ”
หมวดชาญคิดถึงเรื่องที่หมดสัมพูดแล้วก็อดนึกสยองไม่ได้ เมื่อคิดถึงรสนิยมของคนที่คิดว่าสุนัขบางพันธุ์จะน่าเลี้ยงขึ้นถ้าถูกตัดแต่งหูหาง
“นั้นสิพี่หมอ แล้วไอ้คนฆ่าก็ยังเอามาใช้กับคนด้วยกันได้อีกเนอะ คิดภาพแล้วหยอง”
สมเจตเองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่หมอสัมคิดข้ามไปอีกช๊อต
“ไอ้ที่สยดสยองจริงๆ ก็ตรงวิธีการคิดของมันต่างหากล่ะ จุ๊ยมึงไปหยิบกระดาษปากกามาที เดี๋ยวเราจะมาสรุปโปรไฟล์กัน”
พอได้ยินคำสั่งตัวอู้ดูจะกระตือรือร้นมากกว่าปกติ เพราะชื่นชอบเวลาที่รุ่นพี่สองคนต่อยอดความคิดของกันและกันเป็นโปรไฟล์ เหมือนนักเล่นที่รวบรวมจิ๊กซอลที่กระจัดกระจายเป็นรูป และรูปในที่นี้ก็คือภาพลักษณ์ของคนร้ายที่เป็นประโยชน์ในการสืบสวน
“เอาที่กูคิดก่อนเลยนะไอ้หมวด ข้อแรกคนร้ายเป็นพวกรักร่วมเพศ หรือไม่ก็ไบเซ็กชวล กูตรวจแล้วว่าไอ้ทาทาไม่ได้โดนข่มขืน ออกจะสมยอมด้วยซ้ำ”
เมื่อได้กระดานรองเขียนหมอสัมก็เริ่มเขียนทีละข้อ โดยเริ่มต้นจากจุดที่เห็นชัดก่อน
“ข้อสองดูจากร่องรอยการร่วมเพศ กูว่าไม่ต่ำกว่าสามยกเผลอๆ จะสี่ห้า แสดงว่าความต้องการทางเพศสูง"
คนฟังสีหน้ากระดากเล็กน้อย เมื่อคิดภาพตาม แต่คนแบบหมอสัมที่มองว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่คิดว่าการพูดเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องน่าอายตรงไหน มีมากสิดีมนุษย์โลกจะได้ไม่สูญพันธุ์
“จากข้อที่แล้ว กูว่าร่างกายมันก็ต้องฟิตไม่เบา”
“ผมก็ได้นะพี่หมอ มากกว่าห้ารอบต่อคืนเนี่ย”
เรื่องทะลึ่งไอ้จุ๊ยอดที่จะขัดคอขอโชว์พาวไม่ได้ แต่พอเจอสายตาไม่เชื่อถือของพวกรุ่นพี่ ตัวแสบก็อ้อมแอ้มพูดต่อ
“เอ้อ...แต่คงต้องพักบ้าง อะไรบ้าง”
หมวดชาญยิ้มเยาะไอ้คนขี้คุยที่กล้าพูด พร้อมกับสบตาหมอสัมที่คิดแบบเดียวกัน แล้วคนพูดค้างไว้จึงไล่เรียงข้อมูลต่อ
“ความรู้ด้านการแพทย์ต้องมีไม่น้อย ดูจากการใช้อุปกรณ์ ข้อห้าจากลักษณะแผลมันต้องเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองไม่น้อย ถ้ามือสั่นแผลต้องเละ แต่นี่ถึงจะมาจากมือข้างที่ไม่ถนัดแต่แผลค่อนข้างสวย ใจต้องถึงมือต้องนิ่ง”
“มีร่องรอยการวางยาไหม”
ชาญเดชถามด้วยความสงสัย หมอสัมปฎิเสธพร้อมกับชี้ให้มองข้อมือและข้อเท้าอลงกรณ์ที่มีแผลถูกเชือกบาด
“ไม่ และที่สำคัญมึงดูที่ข้อมือข้อเท้าสิ มีร่องรอยการพยายามดิ้นให้หลุดจากอะไรสักอย่างที่มัดไว้ ซึ่งกูคิดว่าเป็นเชือก แสดงว่าตอนที่ถูกกรีดเนื้อ ทาทามันต้องรู้สึกตัวตลอดเวลา”
“มันจะโหดไปเพื่ออะไรว่ะ วางยาสลบไม่ง่ายกว่าหรือไง”
ตำรวจพูดด้วยความรู้สึกส่วนตัว แม้ว่าจะไม่สนิทสนมกับอลงกรณ์ แต่เขาก็ไม่อยากให้คนเคยรู้จักต้องมาประสบอะไรที่มันโหดร้ายแบบนี้
“เพื่อให้กูสนใจยังไงล่ะ ถ้ากูตรวจกูต้องรู้อยู่แล้วว่าเขียนสดๆ และที่สำคัญแทนที่จะฆ่าทิ้งก่อนมา มันกลับมาฆ่าให้ตายหน้าสถาบัน แสดงว่ามันต้องการเรียกร้องความสนใจจากกูสุดๆ”
“แสดงว่ามันรักมึงมาก”
ฟังแล้วหมอสัมก็ทำหน้าเบ้ การมีคนมารักมาชอบเป็นเรื่องดี แต่ถ้าชอบแล้วทำแบบนี้ หมอหนุ่มคิดว่าอย่ามายุ่งกับเขาเลยดีกว่า
“อันนี้กูไม่รู้ แต่มันเป็นพวกเรียกร้องความสนใจ ไอ้ต้นนี่ก็เหมือนกัน ถ้าจะสังเกตดีๆ ตามเนื้อตัวหรือนอกร่มผ้ามันไม่มีจุดเด่นเลยเห็นไหม แสดงว่ามันค่อนข้างวางตัวให้ดูดีในสายตาสังคม มันทำอาชีพอะไร”
“สจ๊วต”
“ว้าว อาชีพที่ต้องใช้หน้าตารูปร่างเลยนะนั้น”
ไอ้จุ๊ยอดคิดถึงหนังที่เคยดูไม่ได้ ว่าพวกนี้มักจะมีพวกที่มีอาการแอบอยู่ในตัวหลายคน หมอสัมก็คิดเช่นเดียวกัน
“หรืออีกนัยก็คืออาชีพในฝันของคนที่ต้องการความโดดเด่น ถ้าให้กูทายกูคิดว่างานอดิเรกของมันต้องเป็นพวกนายแบบ”
“จากเท่าที่สืบ มันเคยทำตอนเรียนมหาลัย เคยถ่ายพวกเอ็มวีด้วย แต่กูไม่เคยเห็นน่าจะไม่ดัง หรือไม่ก็ไม่กล้าทุ่มสุดตัว”
“เป็นพวกอยากเด่น แต่เกรงใจสังคม กูว่าที่บ้านมันต้องไม่รู้แน่นอนว่ามันเป็นเกย์ แต่มันต้องการความโดดเด่นทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะด้านเพศ สังเกตจากแอดแซสเซอรี่ มันเน้นตรงจุดที่ค่อนข้างเฉพาะด้านเลยทีเดียว”
“เอ้อ...อันนี้ไม่ต้องสังเกตก็เห็นได้แล้วมั้งพี่”
สมเจตคิดภาพแล้วอดแย้งไม่ได้
“ใช่ แต่มึงจะสังเกตได้จากไหนล่ะ ถ้ามันไม่ได้แก้ผ้า หรือว่าเวลามึงไปยืนฉี่ในห้องน้ำสาธารณะ มึงยืนจ้องไอ้น้องคนข้างๆ”
“ก็เหลือบๆ มองบ้าง เปรียบเทียบขนาด”
หมวดชาญอดหัวเราะไม่ได้ แม้แต่หมอสัมที่พอคิดถึงนิสัยของตัวเองที่ชอบเปรียบเทียบเวลาเผลอตัว แล้วก็ยังต้องหัวเราะตาม ก่อนจะตัดบทไปเรื่องที่พูดค้างไว้
“เอาล่ะข้อหกมันต้องเป็นพวกชอบความรุนแรง แค่ยิงหัวก็พอ แต่นี่เพื่อความชัวส์แทนที่จะยิงหลายๆ นัด มันเลือกที่จะเชือดคอก่อน ใจไม่ถึงไม่โหดจริงทำไม่ได้หรอกนะ กูหมดแค่นี้มึงมีอะไรต่อหรือเปล่า”
หมอยื่นกระดาษพร้อมปากกาให้เพื่อนบันทึกต่อ ตำรวจรับมาเขียนพร้อมกับเอ่ยถึงสิ่งที่เขาคิดเอาไว้
“งั้นกูต่อข้อเจ็ดนะ มันต้องรู้จักมึงตั้งแต่สมัยเรียน จากจุดนี้วงจะจำกัดพวกที่แก่กว่าเราห้าปี หรือไม่ก็เด็กกว่าพวกเราห้าปี ไม่น่าจะเป็นพวกอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่ เพราะพวกนี้มักจะอายุมากเกินไป”
“ซึ่งเยอะมาก”
หมอสัมคิดตามแล้วก็ส่ายหัว เพราะถึงพวกเขาเรียนโรงเรียนนานาชาติ เด็กอาจไม่เยอะนัก แต่ถ้าตามที่หมวดชาญบอกก็มีจำนวนไม่ใช่น้อย
“ไม่มากเท่าไหร่หรอกแค่ไม่กี่ร้อยเอง”
หมวดบอกแล้วก็อดยิ้มเครียดไม่ได้ ก่อนมาที่นี่เขาให้ลูกน้องตามข้อมูล แต่กว่าจะจบว่ามีกี่คนคงต้องใช้เวลาหลายวัน
“ข้อแปดเป็นพวกที่ทำงานในกรุงเทพ หรือไม่ก็ต้องสะดวกพอที่จะจับตาความเคลื่อนไหวของมึง เรียกว่ารู้วงในมึงเชียวแหละ ไม่งั้นจะรู้อีเมล์มึงได้ไง ว่าแต่มันแอดมึงจริงหรือเปล่าว่ะ”
“จริง ตอนนี้กูเลยต้องให้พวกสืบสวนอิเล็คโทรนิคก์มาขุดคุ้ยกูอยู่ไง”
หมอสัมไม่พอใจเหมือนกันที่โดนรุกรานความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะช่องทางการสื่อสารส่วนตัว ที่ค่อนข้างจะส่วนตัวมากในความรู้สึกของเขา
“เออน่า เขาไม่ขุดคุ้ยเรื่องที่มึงดูภาพโป๊หรอก”
ตำรวจพยายามปลอบแต่โดนหมอย้อน
“ทำอย่างกะมึงไม่ได้ดู พวกอีเมล์ภาพพิเศษๆ ส่วนใหญ่ กูก็ได้มาจากมึงนี่แหละ ดีนะที่กูไหวตัวทันรีบลบ”
“มาต่อข้อเก้าดีกว่า มันต้องเก่งเรื่องเทคโนโลยีพอตัว และข้อสุดท้ายมันรู้จักพวกใต้ดินพอที่จะหาปืนเถื่อนได้”
“ทำไมมึงถึงคิดว่าเป็นปืนเถื่อนว่ะ”
เรื่องนี้หมอสัมไม่ทันได้รู้เพราะเพิ่งตามเรื่อง และยังต้องไปเร่งตรวจสารเคมีอีก
“ก็ที่หัวหน้ามึงส่งผลเบื้องต้นไปให้หัวหน้ากูว่าหัวกระสุนมีรอยอัดดินปืนซ้ำไง ของหลวงไม่ชุ่ยขนาดนั้นหรอก อีกอย่างเท่าที่คาดกูว่าน่าจะเป็นพวกปืนนอก ซึ่งเราไม่ได้นำเข้า เว้นแต่จะเป็นของเถื่อนหรือลักลอบเอามาเอง จะว่าไปมันก็เถื่อนเหมือนกันนั้นแหละ”
ข้อมูลนี้ทำเอาหมอสัมฟังแล้วอยากจะร้องไห้ แต่ทำได้แค่รำพึงรำพันเท่านั้นเอง
“งั้นก็บวกเพิ่มไปด้วยว่ามันรวย ฉลาด โหด ใจถึง มีตังส์ แถมยังลงทุนขนาดเชือดคนเพื่อส่งข้อความถึงกู จะหาแฟนคลับแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกล่ะเนี่ย แต่มันน่าจะถามกูก่อนนะ กูอยากได้เป็นดอกไม้หรือไม่ก็ช๊อกโกแลตมากกว่าว่ะ”
“มึงคิดว่ามันต้องการอะไร”
หมวดชาญหันไปถามเพื่อนเสียงเครียด แต่จุ๊ยชิงตอบแทน
“โหพี่หมวด ยังดูไม่ออกอีกหรอ มันต้องการตัวพี่หมอไง”
“อันนั้นควายที่ไหนก็ดูออกโว๊ย แต่ถ้าแค่อยากสะด๊วบไอ้หมอ ทำไมมันต้องลงทุนขนาดนี้ด้วย เดินมาขอดีๆ ก็ได้"
หมวดชาญแค่ด่าไม่พอยังมีการพาดพิงถึงหมอสัม เจ้าตัวจึงรีบแย้งปกป้องตัวเอง
“ไม่ได้โว๊ย กูไม่เอา”
“กูก็แค่ล้อเล่น และกูว่ามันก็ต้องรู้เหมือนกัน แต่ทำไมมันถึงต้องทำแบบนี้”
“ก็เพราะมันรู้ไงล่ะว่ามันไม่ใช่แบบที่กูชอบ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงทำใจ หรือไม่ก็ปลุกปล้ำแล้วก็ปาดคอกูทิ้งซะ"
หมอสัมอธิบายตามที่คิด เมื่อเขามองไปยังอลงกรณ์ที่ต้องตายเพื่อสนองความวิปริต จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเครียดเจือสะเทือนใจ
“มันอยากให้กูสนใจมัน สนใจพอที่จะติดตามหามัน สืบหาว่ามันเป็นใคร แต่อีกนัยมันก็ไม่ได้อยากให้กูรู้จักมัน”
“ผมว่าออกแนวสับสนนะเนี่ย”
ไม่ใช่เฉพาะสมเจตที่งง หมวดชาญเองก็ทำท่าไม่เข้าใจ
“จิตใจของคนเหมือนจักวาลอันไร้ขอบเขต แล้วเราก็ไม่มีบรรทัดฐานในการตรวจวัด แม้ว่าเราจะศึกษามากแค่ไหน แต่ทุกวันนี้เราได้มากที่สุดก็แค่คาดคะเน ไม่มีวันเข้าใจได้จริงๆหรอก"
“เหมือนมึงเคยพูดประโยคนี่ให้กูฟังมาแล้วนะ”
นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นมาเพราะจำได้ว่าเพื่อนเคยพูดคล้ายๆ แบบนี้ เมื่อครั้งสืบหาฆาตกรต่อเนื่องที่ลงท้ายกลายเป็นคนรักของเขา ซึ่งหมอสัมเองก็จำได้เช่นกัน
“ใช่ กูยังย้ำคำเดิม เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าฆาตกรคิดอะไรอยู่”
พูดไปหมอสัมก็ก้มลงดูหน้าอลงกรณ์อีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้ามาคลุมร่างอดีตเพื่อนร่วมรุ่น ขณะที่ปิดใบหน้าของเหยื่อสมองของนายแพทย์หนุ่มก็เริ่มคาดเดา ว่าบางทีคนที่ทำอาจเป็นคนรู้จักที่เขาไม่คุ้นเคยเช่นกัน
To be continue.
To be continue.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น