คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : วันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 เวลา 15.35 นาฬิกา
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 เวลา 15.35 นาฬิกา (กุฎิพระจรูญ)
ถึงจะอยู่ในช่วงเวลาบ่าย แต่แดดกล้าก็ไม่อาจย่างกลายเข้ามาในสถานแห่งความศรัทธาได้ ดังนั้นภายในกุฎิขนาดใหญ่ที่พรั่งพร้อมด้วยความสะดวกสบาย จึงเป็นที่ต้อนรับเหล่าพุทธศาสนิกชนที่ต้องการความร่มเย็นในชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวของชายหนุ่มที่เพียบพร้อมอย่างนายแพทย์เอกณรงค์และบิดามารดา อันได้แก่โอภาสและนารี สองสามีภรรยาที่อยู่ในวัยห้าสิบกลางๆ
“เดี๋ยวหมอเอกเอาน้ำไปรดต้นโพธ์หน้าโบสถ์ แล้วค่อยกลับมาคุยกับอาตมาก่อนกลับหน่อยนะ”
หลังจากนำสวดบทกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลเสร็จ พระจริยะโรจณธรรม หรือหลวงพ่อจรูญ ก็หันไปบอกชายหนุ่มที่มาพร้อมครอบครัวบ่อยๆ จนหลวงพ่อคุ้นเคยพอจะทราบว่าเขามีอาชีพเป็นแพทย์
“ครับหลวงพ่อ”
เอกณรงค์รับคำที่พระจรูญบอก แล้วเอื้อมมือไปหยิบขันน้ำที่ได้จากการกรวด เพื่อจะนำไปรดต้นไม้ตามที่พระจรูญบอก แต่ก่อนที่หมอเอกจะลุกขึ้นก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในกุฎิของพระจรูญพอดี
หญิงชราในวัยแปดสิบปีที่ยังกระฉับกระเฉงกวาดตามองเห็นพระจรูญที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ห้อมล้อมด้วยลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งในกลุ่มนั้นมีโอภาส นารีและเอกณรงค์รวมอยู่ด้วยจึงทักทายตามประสาคนคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะหลวงพ่อ คุณนารี คุณโอภาส วันนี้ลูกชายมาด้วยหรือค่ะ แปลกจังวันนี้วันธรรมดาหมอเอกไม่ทำงานหรอ”
นารีหันไปยิ้มให้คุณยายน้อยที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอ พร้อมกับยกมือไหว้ในฐานะที่เธออ่อนอาวุโสกว่า
“สวัดดีค่ะป้าน้อย พอดีวันนี้ตรงกับวันเกิดของเอก เขาเลยลาหยุดพาพ่อกับแม่มาถวายสังฆฑาน”
หมอเอกยกมือไหว้ผู้มาใหม่ ที่มาเพียงลำพังเพราะลูกหลานติดงาน โชคดีที่ยายน้อยมีฐานะร่ำรวยจึงสามารถจ้างรถมาวัดได้อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเห็นว่าในกุฎิของพระจรูญที่เนืองแน่นด้วยลูกศิษย์ลูกหาและผู้นิยมเครื่องรางของขลังไม่มีคนรู้จักอื่นนั่งอยู่ ยายน้อยจึงถือโอกาสเดินเข้าไปทรุดนั่งพับเพียบข้างคุณนารี พร้อมกับชวนคุยต่อ
“หายากนะคะเด็กสมัยเนี่ย ที่วันเกิดจะพาพ่อพาแม่เข้าวัด มีแต่ไปเที่ยวไปฉลองกับคนอื่น ไม่มีหรอกจะคิดถึงพ่อแม่”
แม้ปลายเสียงแสดงออกถึงความน้อยใจ แต่เรื่องที่ถูกลูกหลานละเลย เป็นหนึ่งในเรื่องที่หญิงชรามักจะเอามาบ่นเสมอด้วยนิสัยที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย จนคนที่เคยคุ้นมองว่าเป็นเรื่องปกติ จนไม่เอามาใส่ใจ
“เอกเขาทำบุญวันเกิดกับพ่อแม่ทุกปีแหละค่ะ”
ประโยคบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่สีหน้าของนารีและโอภาสบอกให้รู้ว่าปลาบปลื้มแค่ไหนที่มีลูกชายเป็นอภิชาติบุตร
“คุณนารีนี่เลี้ยงลูกมาดีจังเลยนะคะ”
“น่าจะเรียกว่าเป็นบุญเก่ามากกว่าค่ะ โชคดีของดิฉันกับคุณโอภาสที่เอกเขาว่านอนสอนง่าย”
คำพูดอาจจะดูว่าถ่อมตัว แต่ในใจของนารีภาคภูมิใจมากที่ตัวเองและสามีสามารถสั่งสอนลูกชายคนเดียวจนได้ดีถึงขนาดนี้ ทุกคนหันไปมองหมอเอกด้วยสายตาชื่นชมจนชายหนุ่มต้องหลบสายตามองไปทางอื่น จะออกไปข้างนอกก็กลัวว่าจะเสียมารยาท เพราะตัวเองตกเป็นหัวข้อสนทนาอยู่
“แล้วเมื่อไหร่จะพาแฟนมาขอฤกษ์แต่งงานมั้งล่ะหมอเอก ถ้ายังไม่มีใคร หลานสาวของยายยังว่างอยู่นะ”
เอกณรงค์ไม่ตอบโต้ได้แต่หลบตา ทำให้ยายน้อยอดที่จะหัวเราะไม่ได้ นารีจึงต้องแก้เก้อให้ลูกชาย
“เอกเขามัวแต่ทำงานยังไม่มีเวลาหาแฟนหรอกค่ะ นี่ก็เพิ่งจะสามสิบอยู่เป็นเพื่อนพ่อเพื่อนแม่อีกสักพักแล้วกัน”
“อะไรกันคุณนารี สามสิบเนี่ยเขาแต่งงานกันเยอะแยะไป แต่งสิดีจะได้มีหลานให้คุณนารีอุ้ม ไม่งั้นอยู่สองคนตายายไม่มีอะไรทำเหงาแย่”
พูดกับนารีแล้ว ยายน้อยก็หันไปแซวหมอเอกต่อ
“ตกลงสนใจหลานสาวของยายไหม ถ้าเป็นคนดีอย่างหมอเอก ยายยกให้เลยฟรีๆ แถมข้าวสารอีกเกวียนยังได้”
คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง จนหมอเอกต้องก้มหน้าหลบสายตาคนอื่น พระจรูญจึงหันไปสั่งหมอเอกอีกครั้ง
“โยมเอกเอาน้ำไปรดต้นไม้ก่อนดีไหม จะได้กลับมาคุยกัน”
“ผมเอาน้ำไปรดต้นไม้ก่อนนะครับ”
เมื่อได้โอกาสหมอเอกจึงรีบลุกขึ้น แต่ก็ยังไม่ลืมจะหันไปบอกกับมารดาก่อน ตามนิสัยที่ทำเป็นประจำ
“จ๊ะ รีบไปรีบมานะลูก”
ร่างของชายหนุ่มเคลื่อนออกไปจากกุฏิ ท่ามกลางสายตาที่มองด้วยความนิยมชมชอบ และเสียงชมเชยจากคนรอบตัว ที่รู้ว่าหมอเอกไม่ได้เป็นลูกที่ดีเฉพาะในวันนี้ แต่เป็นบุตรชายที่ดีตลอดมา
………Brake………
ความคิดเห็น