ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เหตุผลของคนตาย

    ลำดับตอนที่ #4 : วันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 เวลา 15.35 นาฬิกา

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 56


    วันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 เวลา 15.35 นาฬิกา (กุฎิพระจรูญ)

              ถึงจะอยู่ในช่วงเวลาบ่าย แต่แดดกล้าก็ไม่อาจย่างกลายเข้ามาในสถานแห่งความศรัทธาได้ ดังนั้นภายในกุฎิขนาดใหญ่ที่พรั่งพร้อมด้วยความสะดวกสบาย จึงเป็นที่ต้อนรับเหล่าพุทธศาสนิกชนที่ต้องการความร่มเย็นในชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวของชายหนุ่มที่เพียบพร้อมอย่างนายแพทย์เอกณรงค์และบิดามารดา อันได้แก่โอภาสและนารี สองสามีภรรยาที่อยู่ในวัยห้าสิบกลางๆ

    “เดี๋ยวหมอเอกเอาน้ำไปรดต้นโพธ์หน้าโบสถ์ แล้วค่อยกลับมาคุยกับอาตมาก่อนกลับหน่อยนะ”

    หลังจากนำสวดบทกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลเสร็จ พระจริยะโรจณธรรม หรือหลวงพ่อจรูญ ก็หันไปบอกชายหนุ่มที่มาพร้อมครอบครัวบ่อยๆ จนหลวงพ่อคุ้นเคยพอจะทราบว่าเขามีอาชีพเป็นแพทย์

    “ครับหลวงพ่อ”

    เอกณรงค์รับคำที่พระจรูญบอก แล้วเอื้อมมือไปหยิบขันน้ำที่ได้จากการกรวด เพื่อจะนำไปรดต้นไม้ตามที่พระจรูญบอก แต่ก่อนที่หมอเอกจะลุกขึ้นก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในกุฎิของพระจรูญพอดี

    หญิงชราในวัยแปดสิบปีที่ยังกระฉับกระเฉงกวาดตามองเห็นพระจรูญที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ห้อมล้อมด้วยลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งในกลุ่มนั้นมีโอภาส นารีและเอกณรงค์รวมอยู่ด้วยจึงทักทายตามประสาคนคุ้นเคย

    “สวัสดีค่ะหลวงพ่อ คุณนารี คุณโอภาส วันนี้ลูกชายมาด้วยหรือค่ะ แปลกจังวันนี้วันธรรมดาหมอเอกไม่ทำงานหรอ”

    นารีหันไปยิ้มให้คุณยายน้อยที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอ พร้อมกับยกมือไหว้ในฐานะที่เธออ่อนอาวุโสกว่า

    “สวัดดีค่ะป้าน้อย พอดีวันนี้ตรงกับวันเกิดของเอก เขาเลยลาหยุดพาพ่อกับแม่มาถวายสังฆฑาน”

    หมอเอกยกมือไหว้ผู้มาใหม่ ที่มาเพียงลำพังเพราะลูกหลานติดงาน โชคดีที่ยายน้อยมีฐานะร่ำรวยจึงสามารถจ้างรถมาวัดได้อย่างสม่ำเสมอ

    เมื่อเห็นว่าในกุฎิของพระจรูญที่เนืองแน่นด้วยลูกศิษย์ลูกหาและผู้นิยมเครื่องรางของขลังไม่มีคนรู้จักอื่นนั่งอยู่ ยายน้อยจึงถือโอกาสเดินเข้าไปทรุดนั่งพับเพียบข้างคุณนารี พร้อมกับชวนคุยต่อ

    “หายากนะคะเด็กสมัยเนี่ย ที่วันเกิดจะพาพ่อพาแม่เข้าวัด มีแต่ไปเที่ยวไปฉลองกับคนอื่น ไม่มีหรอกจะคิดถึงพ่อแม่”

    แม้ปลายเสียงแสดงออกถึงความน้อยใจ แต่เรื่องที่ถูกลูกหลานละเลย เป็นหนึ่งในเรื่องที่หญิงชรามักจะเอามาบ่นเสมอด้วยนิสัยที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย จนคนที่เคยคุ้นมองว่าเป็นเรื่องปกติ จนไม่เอามาใส่ใจ

    “เอกเขาทำบุญวันเกิดกับพ่อแม่ทุกปีแหละค่ะ”

    ประโยคบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่สีหน้าของนารีและโอภาสบอกให้รู้ว่าปลาบปลื้มแค่ไหนที่มีลูกชายเป็นอภิชาติบุตร

    “คุณนารีนี่เลี้ยงลูกมาดีจังเลยนะคะ”

    “น่าจะเรียกว่าเป็นบุญเก่ามากกว่าค่ะ โชคดีของดิฉันกับคุณโอภาสที่เอกเขาว่านอนสอนง่าย”

    คำพูดอาจจะดูว่าถ่อมตัว แต่ในใจของนารีภาคภูมิใจมากที่ตัวเองและสามีสามารถสั่งสอนลูกชายคนเดียวจนได้ดีถึงขนาดนี้ ทุกคนหันไปมองหมอเอกด้วยสายตาชื่นชมจนชายหนุ่มต้องหลบสายตามองไปทางอื่น จะออกไปข้างนอกก็กลัวว่าจะเสียมารยาท เพราะตัวเองตกเป็นหัวข้อสนทนาอยู่

    “แล้วเมื่อไหร่จะพาแฟนมาขอฤกษ์แต่งงานมั้งล่ะหมอเอก ถ้ายังไม่มีใคร หลานสาวของยายยังว่างอยู่นะ”

    เอกณรงค์ไม่ตอบโต้ได้แต่หลบตา ทำให้ยายน้อยอดที่จะหัวเราะไม่ได้ นารีจึงต้องแก้เก้อให้ลูกชาย

    “เอกเขามัวแต่ทำงานยังไม่มีเวลาหาแฟนหรอกค่ะ นี่ก็เพิ่งจะสามสิบอยู่เป็นเพื่อนพ่อเพื่อนแม่อีกสักพักแล้วกัน”

    “อะไรกันคุณนารี สามสิบเนี่ยเขาแต่งงานกันเยอะแยะไป แต่งสิดีจะได้มีหลานให้คุณนารีอุ้ม ไม่งั้นอยู่สองคนตายายไม่มีอะไรทำเหงาแย่”

    พูดกับนารีแล้ว ยายน้อยก็หันไปแซวหมอเอกต่อ

    “ตกลงสนใจหลานสาวของยายไหม ถ้าเป็นคนดีอย่างหมอเอก ยายยกให้เลยฟรีๆ แถมข้าวสารอีกเกวียนยังได้”

    คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง จนหมอเอกต้องก้มหน้าหลบสายตาคนอื่น พระจรูญจึงหันไปสั่งหมอเอกอีกครั้ง

    “โยมเอกเอาน้ำไปรดต้นไม้ก่อนดีไหม จะได้กลับมาคุยกัน”

    “ผมเอาน้ำไปรดต้นไม้ก่อนนะครับ”

    เมื่อได้โอกาสหมอเอกจึงรีบลุกขึ้น แต่ก็ยังไม่ลืมจะหันไปบอกกับมารดาก่อน ตามนิสัยที่ทำเป็นประจำ

    “จ๊ะ รีบไปรีบมานะลูก”

    ร่างของชายหนุ่มเคลื่อนออกไปจากกุฏิ ท่ามกลางสายตาที่มองด้วยความนิยมชมชอบ และเสียงชมเชยจากคนรอบตัว ที่รู้ว่าหมอเอกไม่ได้เป็นลูกที่ดีเฉพาะในวันนี้ แต่เป็นบุตรชายที่ดีตลอดมา

    ………Brake………

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×