ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 10 หัวใจที่คงเดิม
ตอนที่ 10 หัวใจที่คงเดิม
ถ้าพี่สัมไม่มีอะไรกับเมย์ ผมคงไม่ต้องฆ่าเธอ
ถ้าพี่ไม่รักผม ก็อย่ารักใคร
จาก คนที่อยู่ใกล้ตัวพี่
จดหมายเลือดที่เห็นจากภาพถ่ายนอกจากจะไม่ชัดเท่าของจริง ความรู้สึกสยดสยองยังต่างกันอย่างมากมาย แต่มันอาจจะเป็นเพราะร่างไร้ลมหายใจที่เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ประกอบฉาก สำหรับการส่งจดหมายฉบับบนี้ก็ได้ สัมมามองร่างที่เคยอบอุ่นด้วยไฟพิศวาสซึ่งตอนนี้เย็นชืดภายใต้กองเลือดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งสลดสังเวชกับสิ่งที่หญิงสาวทำจนต้องพบจุดจบเยี่ยงนี้ และเศร้าเสียใจที่เป็นสาเหตุให้เธอต้องพบที่ตาย
“มองไปก็ไม่ฟื้น จะทำอะไรก็ทำดีกว่ามั้ง”
เสียงชาญเดชเอ่ยลอยๆ เตือนสติเพื่อนที่ยืนเหม่อลอยมองศพหลายนาทีแล้ว โดยไม่ขยับเข้าไปตรวจ ปล่อยให้สมเจตตรวจเก็บหลักฐานบริเวณรอบๆ แทน
“ใช่ครับคุณหมอจะสว่างแล้วด้วย ผมไม่อยากให้มีชาวบ้านมามุง” ผู้กองธนูสนับสนุนอีกเสียง เขาทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว และยังขอหมายศาลไปแล้วด้วย เหลือแต่รออณุมัติก่อนจะเข้าไปนำเทปวงจรปิดจากร้านออกมาตรวจหาคนร้าย
คนที่เป็นต้นเรื่องทั้งหมดมองหน้าตำรวจทั้งสองนาย แล้วหันไปมองสบตารุ่นน้องที่ยืนรออยู่ข้างๆ รถ เขาสั่งจุ๊ยสั้นๆ ก่อนจะเคลื่อนกายไปยังศพที่เบาะหน้า
“จุ๊ยเอาโทรศัพท์แกมาอัดเสียงฉันไว้ กลับไปค่อยเอาไปเพิ่มในโปรไฟล์”
เมื่อสมเจตปฎิบัติตาม สัมมาก็เอื้อมมือไปปิดเปลือกตาที่เบิกโพรงของเมย์ให้ปิดลง แล้วทำมือให้ตำรวจและผู้ช่วยเข้ามาใกล้ๆ สีหน้าทุกคนเคร่งเครียดยิ่งขึ้นเมื่อต้องมองศพหญิงสาวในระยะไม่ห่าง เพราะร่างของผู้เสียชีวิตครั้งนี้ยิ่งกว่าสยดสยอง ปากอ้ากล้างบิดเกร็งเหมือนพยายามสูดลมหายใจ ทำให้สาเหตุการตายต่อให้ไม่ต้องผ่าศพก็บอกได้ว่าเกิดจากการขาดอากาศหายใจเพราะหลอดลมถูกตัด แต่เพื่อเน้นย้ำความวิปริตด้านหน้าเสื้อที่เปิดอ้าจึงพบเห็นแต่เศษซากของอดีตร่างมนุษย์ที่ใช้คำว่าเศษซากนั้นก็เพราะหน้าอกทั้งสองข้างถูกเฉือนออก หน้าท้องเปิดอ้าเห็นอวัยวะภายใน และส่วนที่ฆาตกรจงใจนำออกมาวางเคียงคู่กับก้อนเนื้อหน้าอกก็คือ มดลูก
“เริ่มเลยนะ คนร้ายเกลียดเพศหญิงหรือไม่ก็เกลียดที่ตัวเองไม่สามารถทำหน้าที่แม่ได้ ต่อให้สามารถมีเซ็กส์กับผู้หญิงได้ ก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงสักเท่าไหร่ สันนิฐานเบื้องต้นไม่น่าจะมีครอบครัวหรือทนอยู่กับผู้หญิงได้ ถ้าอยู่ก็คงทารุณกรรมหรือกดขี่อีกฝ่าย”
คนที่ยืนรายรอบไม่พูดขึ้นมาแสดงว่าเห็นด้วย สัมมาจึงพูดต่อ
“คนร้ายมองว่าการร่วมเพศเป็นการครอบครอง เป็นการกระทำแบบทำร้ายอีกฝ่าย พวกนี้มักต่อต้านการรวมกลุ่ม หรือการคบหาสมาคม ยกเว้นว่าเขาจะเป็นระดับหัวหน้า หรือเด่นกว่าคนอื่น”
“คบได้แต่ไม่ผูกพันธ์ว่างั้นเถอะ” หมวดชาญช่วยเสริมประโยค หมอสัมพยักหน้าแล้วพูดต่อ
“คนร้ายลงมือรุนแรงและเท่าที่ดูไม่ได้วางแผนมาก่อน แสดงว่าเขาเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน เขาถึงพลาดได้ขนาดนี้” พูดแล้วผู้กองธนูก็บุ้ยไบ้ไปทางจดหมายเลือด หมวดชาญกับหมอสัมทำหน้าเห็นด้วยกับหลักฐานที่ชัดเจน และมันชัดพอที่สมเจตจะมองออกเช่นกัน
“ฆาตกรเป็นรุ่นน้องพี่หมอ”
“ใช่ ครั้งนี้เท่ากับเราลดจำนวนผู้ต้องสงสัยไปได้มากทีเดียว และยิ่งมากถ้าได้เทปจากกล้องวงจรปิดที่ร้าน” หมวดชาญบอกขณะที่ในใจกำลังคำนวณเวลาที่จะได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ก่อนจะดำเนินการตามแผนต่อ แต่แผนกลับสะดุดเมื่อสมเจตท้วง
“คงไม่ได้หรอกพี่ เทปเสีย”
“เหี้ยเอ๊ย แล้วเรื่องเทปเสียใครรู้มั้ง” ชาญเดชสบถก่อนจะถามสมเจตที่เข้านอกออกในร้านเป็นประจำ
“ก็คนที่ทำงานที่ร้านทั้งหมดน่ะแหละพี่”
“กูว่ามันอาจจะช่วยจำกัดวงผู้ต้องสงสัยได้นะไอ้หมวด ถ้าเราบีบจากคนที่เรียนนานาชาติ กับคนที่ทำงานที่ร้านหรือเข้าออกจนคุ้นเคยกับพนักงานในร้าน”
พูดแล้วในใจของหมอสัมก็คิดถึงอรัญที่ตั้งแต่เมื่อคืนเขายังไม่เห็นหน้ารุ่นน้องเลย หมวดชาญสบตาหมอสัมแล้วคิดไปในทางเดียวกัน แต่ผู้กองธนูที่สุขุมเสมอแย้งขึ้นมา
“แต่ก็อาจเป็นได้ว่าคนร้ายลงมือทั้งที่ไม่รู้ว่ากล้องวงจรปิดไม่ทำงานก็ได้นะครับ ทางร้านเขาวางกล้องค่อนข้างระวังไม่ให้เด่น คนร้ายอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ในร้าน มันอาจจะเข้ามาในร้านเห็นคุณหมออยู่กับผู้หญิงอื่นแล้วโกรธจนขาดสติก็ได้”
ความเห็นของผู้กองธนูทำให้ทุกคนต้องนิ่งคิดก่อนที่สัมมาจะตัดสินใจในบางสิ่งได้ในที่สุด แม้ว่าเขาเองจะไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำก็ตาม
“ผมคิดวิธีหยุดมันได้แล้ว”
.......................................
ถึงคนที่อยู่ใกล้ตัวผม
ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ผมอยากจะรู้ว่าเหตุใดคุณถึงพยายามทำความรู้จักกับผม จนทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่คุณทำวันนี้ลงไป มันไม่มีเหตุผลเลยที่คุณจะต้องฆ่าคนอื่น เพราะยังไงผมก็ไม่รู้จักคุณอยู่ดี
นายแพทย์สัมมา พินิจพิจิตรสกุลชัย
ท่ามกลางสายตาอีกสามคู่หมอสัมก็กดส่งเมล์ออกไป ข้อความในจดหมายอิเล็กโทรนิคอาจดูเขียนไปตามอารมณ์ที่ถูกกดดันจากศพหลายศพ แต่ความจริงเป็นถ้อยคำที่คิดมาแล้วเป็นอย่างดี ว่าสามารถยั่วยุให้อีกฝ่ายตอบโต้กลับมาได้ และพวกเขาก็หวังว่ามันจะช่วยยืดอายุให้เหยื่อรายต่อๆ ไป ก่อนที่พวกเขาจะจับตัวฆาตกรเอามาลงโทษได้
“น่าเสียดายที่ตามรอยจากแมคแอดแดรสไม่ได้” สมเจตบ่นด้วยความไม่พอใจ เพราะก่อนหน้านี้ชาญเดชและตำรวจที่รับผิดชอบด้านการสืบหาข้อมูลทางอิเล็คโทรนิคพบว่าแมคแอดเดรสในการส่งข้อมูลหาหมอสัมมาจากร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่ หรือไม่ก็ซิมโทรศัพท์แบบเติมเงินไม่ระบุชื่อ ส่วนอีเมล์มาจากข้อมูลปลอม ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทางด้านนี้ได้เลย
“ช่วยไม่ได้มันดันฉลาด แต่ถ้ามันพลาดได้แบบนี้เราก็ตลบหลังมันได้เหมือนกัน” หมวดชาญพยายามมองโลกในแง่ดี
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าคนร้ายที่ดูเหมือนวางแผนมาอย่างดีตลอด จะปล่อยให้อารมณ์มาทำให้ตัวเองเริ่มถูกเปิดโปงได้” คนนอกกลุ่มแต่เป็นเจ้าของคดีคิดถึงศพแรกจนถึงศพล่าสุดแล้วก็สงสัยว่าเหตุใดฆาตกรที่ลงมือพร้อมกับแผนการณ์ที่รัดกุมถึงปล่อยหลักฐานหลายชิ้นให้ตำรวจได้เห็น
เริ่มจากพยานหลายๆ ปาก ซึ่งอาจจะยากในการสอบสวน แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทางเหมือนที่แล้วๆ มา การใช้ภาษาในการเขียนจดหมาย การแทนตัวหมอสัมว่าพี่เป็นการบอกอายุว่าเจ้าตัวต้องเรียนในชั้นรุ่นน้องของหมอสัม เท่ากับตัดรุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน และเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกไป เท่านี้การงมเข็มในมหาสมุทรก็ดูจะเริ่มง่ายขึ้น และเมื่อได้รับการอณุมัติจากผู้ใหญ่ตอนนี้หมอสัมก็เข้าร่วมการสืบสวนได้ แม้จะเข้าร่วมในฐานะเหยื่อล่อก็ตาม
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีต่อล่ะพี่หมอ”
“รอ” สัมมาตอบคำถามแบบสั้นๆ แต่คนอยากยุ่งฟังแล้วโวยวายลั่น
“รอ ง่ายๆ แค่นี้อ่ะนะพี่หมอ ไม่ต้องออกไปบู๋ไปต่อยตีกับใครเลยหรอ หรือออกไปสืบไปค้นหาหลักฐาน"
“หลักฐานก็นอนรออยู่ที่ห้องตรวจแล้วไงล่ะ แถมยังมีรถอยู่อีก แถมบ้านด้วยอีกหลัง อยากได้เพิ่มไหมล่ะ จะได้ให้ตรวจตั้งแต่หัวซอยถึงท้ายซอย หนอยอยากไปบู๋ ไอ้เรื่องนั้นให้ไอ้หมวดกับผู้กองไปทำเถอะ ซี่โครงเดาะงวดที่แล้วยังไม่เคล็ดอีกเรอะ” หมอผ่าศพบ่นเสร็จก็ทำท่าจะลากลูกน้องออกจากสน. เพราะถ้ารวมเวลาทั้งหมดเขาอดนอนจนยืนจะไม่อยู่แล้ว
“รอ อย่างเดียวไม่ต้องไปทำเสียวแถวไหนอีกล่ะไอ้หมอ” ชาญเดชอดที่จะกัดไม่ได้ หมอสัมพยักหน้ารับ เพราะเขาเองก็รู้สึกไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุให้ใครหลายๆ คนต้องตาย แม้จะมาจากความไม่ตั้งใจก็ตาม แต่เขาเองก็ผิดเพราะทั้งที่รู้ว่าฆาตกรจ้องจะฆ่าคนที่อยู่ใกล้ตัวเขา เขายังไปมีสัมพันธ์กับเมย์อีก
“คุณหมอต้องการคนไปคอยคุ้มกันไหมครับ หรือว่าจะย้ายไปเซฟเฮาท์ดี ผมชักไม่ค่อยมั่นใจในสุขภาพจิตของคนร้ายเท่าไหร่ ถ้าฝ่ายนั้นอดทนไม่ไหวพยายามฆ่าคุณหมอขึ้นมาจะได้มีคนช่วย” ผู้กองธนูเสนอด้วยความเป็นห่วงแต่สัมมาปฏิเสธทันที
“ไม่ดีหรอกครับ ผมควรจะอยู่ในสายตาของมันมากกว่า ไม่งั้นมันจะกลับไปหวาดระแวงเหมือนเดิม ที่สำคัญผมอยู่กับหมวดชาญ นอกจากนั้นเวลางานผมก็อยู่กับจุ๊ย คนจะเล่นงานผมไม่ง่ายนักหรอก” เหตุผลที่สัมมาบอกค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะมาตรการระวังตัว หมวดชาญถนัดทั้งอาวุธปืนและศิลปะการป้องกันตัว ส่วนสมเจตอาจไม่มีอาวุธแต่ความสามารถทางด้านการป้องกันตัวถือว่าอยู่ในระดับสูงทีเดียว ติดนิดหน่อยแค่เรื่องปากเสีย
“จะดีหรือพี่หมอ พี่ไม่กลัวแต่ผมกลัวนะ ถึงผมจะป้องกันตัวได้ แต่ป้องกันปืนไม่ได้นะ”
“เรื่องปืนไม่ต้องห่วงหรอก อยู่ๆ มันคงไม่เอาปืนมาส่องแกแน่ เพราะมันชอบทรมานเหยื่อ แต่ถ้าแกไม่พอใจจะดูแลฉันก็ไม่เป็นไร ฉันดูแลตัวเองได้”
“โอ๋ อย่าน้อยใจน่าพี่หมอ เอ้า...เป็นไงเป็นกัน เดี๋ยวผมย้ายมาอยู่กับพี่หมอพี่หมวดชั่วคราวก็ได้” ถึงจุ๊ยจะกวนตีนแต่เรื่องรักเพื่อนไม่น้อยหน้าใคร แต่เรื่องย้ายมาอยู่นั้นหมอสัมมีแผนอื่นให้มันอยู่แล้ว
“ไม่ต้องมา บทแกมีมากกว่าตัวประกอบเยอะ อยู่ที่ห้องแกน่ะดีแล้ว ฉันมีอะไรให้แกทำ”
ในที่สุดหมอสัมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องของอรัญให้สมเจตและผู้กองธนูฟัง ทำเอาทั้งคู่ถึงกับอึ้งที่รู้ว่าคนใกล้ตัวน่าสงสัยขนาดไหน
“ไอ้อาร์มมันกะจะเอาพี่เป็นสามีเลยหรอเนี่ย”
“มันอาจจะอยากได้เป็นเมียก็ได้” ชาญขัดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ ทำเอาหมออยากฆ่าตำรวจขึ้นมาทันที
“ถ้าแบบนี้ผมว่านอกจากเวลาที่คุณจุ๊ยอยู่กับคนชื่ออรัญ ผมจะให้ตำรวจนอกเครื่องแบบตามประกบด้วยดีกว่า แต่เวลาอยู่ด้วยกันคุณจุ๊ยต้องมั่นใจว่ามีคุณกอร์ฟอยู่ด้วยตลอดนะครับ”
เนื่องจากในเวลาเกิดเหตุวิทยามีพยานค่อนข้างชัดเจน ดังนั้นจึงเป็นคนที่เชื่อถือได้ว่าจะป้องกันไม่ให้สมเจตตายไวขึ้น เป็นมติที่ทุกคนเห็นชอบโดยปราศจากข้อขัดแย้ง
“ผู้กองไม่ต้องบอกผมก็ระวังสุดตีนอยู่แล้วครับ แต่แหมผมก็อุตสาห์คิดว่าพี่หมอจะไม่รักผม มอบบทเด่นให้ซะด้วย”
คงจะมีแต่สมเจตคนเดียวที่เปลี่ยนเรื่องซีเรียสให้เป็นเรื่องตลกได้ หลังจากนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อย หมอสัมกับสมเจตก็ออกจากสน. เพื่อกลับไปเผชิญหน้ากับปัญหาที่รออยู่
..................................
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับเอย” สัมมาเอ่ยตรงๆ เมื่อเธอเปิดประตูออกมาพบเขา
หลังจากอาบน้ำนอนพักจนมั่นใจว่าตัวเองกลับสู่สภาพปกติสัมมาก็ตัดสินใจจบปัญหาที่กำลังคาราคาซังเสียที แต่ดูเหมือนว่าปัญหาที่เรื้อรังมานับสิบปีจะแก้ไขไม่ได้ง่ายๆ นัก เมื่ออริญไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง
“ผมไม่คิดว่าเอยกับพี่สัมต้องคุยอะไรกันอีก” วิทยาพูดพร้อมเดินมาโอบบ่าอริญเป็นเชิงปกป้อง สัมมามองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นหนักหน่วงผิดจังหวะ แต่ก่อนที่เขาจะมาที่ตรงนี้สัมมาคิดได้แล้วว่าหัวใจของเขากำลังคิดเช่นไรและสิ่งที่วิทยาทำก็ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจให้กับเขา
“มีสิ และเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับแกด้วยไอ้กอร์ฟ”
วิทยามองหน้ารุ่นพี่ที่ปัจจุบันกำลังเป็นศัตรูหัวใจด้วยสายตาไม่เข้าใจ แต่พอเขาคิดบางเรื่องขึ้นมาได้ก็ก้มลงมองหน้าหญิงสาวในวงแขนแล้วก็พบกับสายตาที่แน่วแน่เหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ยังไม่อาจแน่ใจในตัวเธอได้ จนกว่าจะได้ยินบทสรุปจากปากเธอ ซึ่งมันอาจจะเป็นบทสรุปรักข้างเดียวของเขาก็ได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยินดีเพราะเขาเฝ้าหลงรักอริญมาเนิ่นนาน นานจนรู้ว่าอริญรักสัมมามากเพียงใด
“เข้ามาคุยกันข้างในดีกว่าไหมสัม เอยก็อยากจะคุยทุกอย่างให้มันเคลีร์ยๆ ไปเหมือนกัน”
อริญพูดพรางดึงแขนวิทยาให้ไปหยุดนั่งกับเธอริมขอบเตียง โดยมีสัมมาเดินไปหยิบเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับทั้งคู่ เขามองหน้ารุ่นน้องเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนจะตัดสินใจพูดแม้ว่าจะเสี่ยงต่อการเจ็บตัวก็ตาม
“เอย ถ้าตอนนี้ผมอยากให้เอยคบกับผม เอยจะว่ายังไง”
วินาทีแรกมือของวิทยาที่กุมบ่าของอริญไว้กุมแน่นขึ้นด้วยความลืมตัว แต่แค่ไม่กี่วินาทีเขาก็กลับละมือออกปล่อยให้เธอได้ตัดใจเอง แต่เขาไม่รู้ว่าเธอมีคำตอบเอาไว้แล้ว และคำตอบนั้นยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่เขาแสดง
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากได้แฟนเป็นหมอผ่าศพ” อริญพูดยิ้มๆ เช่นเดียวกับสัมมาที่ตอบรับประโยคนั้นด้วยรอยยิ้มเช่นกัน มีเพียงวิทยาที่มองอริญเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง พร้อมกับถามย้ำ
“เอยพูดว่าไงนะ”
“ก็ไม่ได้ว่ายังไงนี่กอร์ฟ แค่บอกว่าไม่อยากเป็นแฟนหมอผ่าศพ”
“นี่ผมอุตสาห์ยอมเป็นแฟนสกั้งเลยนะเนี่ย”
“ยี้เก็บความหวังดีของแกไปเถอะย่ะ แล้วก็กลับห้องแกไปเลยฉันมีเรื่องจะต้องเคลีร์ยกับกอร์ฟอีกเยอะ”
สัมมาเดินออกไปด้วยหัวใจที่เบาขึ้น ในขณะที่ความหวังที่หดหายไปในใจของวิทยากลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มรอจนรุ่นพี่ปิดประตูห้องก่อนจะหันมาถามอริญเพื่อความมั่นใจ
“ทำไมเอยถึงไม่อยากเป็นแฟนพี่หมอแล้วล่ะ หรือว่าเพราะผมอยู่ด้วยเอยเลยเกรงใจ โอ๊ย..เจ็บนะทำไมทำงี้ล่ะ” ประโยคหลังวิทยาโวยวายด้วยความเจ็บเมื่ออริญใช้มือบิดแก้มทั้งสองข้างของเขาเต็มแรง ไว้ลายเจ๊โหด
“อะไรจะไม่มั่นใจขนาดนั้นย่ะ แมนซะเปล่าหรือไม่ใช่”
พูดแล้วดวงตาของหญิงสาวก็แกล้งชำเลืองไปทางหลักฐานแสดงความแมนของอีกฝ่าย ที่เมื่อคืนวิทยาไม่ยอมเอามาใช้ด้วยเหตุผลที่ว่าเขารักเธอเกินกว่าจะล่วงเกินในเวลาที่เธอกำลังสับสนเสียใจ และการกระทำที่เป็นสุภาพบุรุษนั้นดึงความรู้สึกที่อริญเคยมีต่อสัมมาออกไปแล้วใส่บางอย่างที่มีต่อวิทยาเข้ามาแทน
“อย่ามองตรงนั้นสิ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแมนไม่แมนล่ะ”
“ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็ต้องมั่นใจในตัวเองหน่อยสิ เอยเป็นผู้หญิงยังเด็ดขาดเลย อ่ะ...ถ้ายังไม่มั่นใจเอยย้ำอีกครั้งก็ได้ ว่าต่อให้ไอ้หมอมาขอเอยเป็นแฟนอีกรอบ เอยก็ปฏิเสธอยู่ดี”
“เอยไม่รักพี่หมอแล้วหรอ” วิทยาเอ่ยถามทั้งที่กลัวคำตอบ
“จะให้บอกว่าไม่คิดอะไรเลยก็คงไม่ได้หรอก คนเคยรักมาตั้งเป็นสิบปี แต่เมื่อคืนมันเหมือนกับอาการช๊อคมันกระตุ้นปลายประสาทมั้ง เลยทำให้เอยคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง”
“เช่นอะไรบ้างล่ะ”
“เช่น เอยอาจไม่รักสัมมากเท่าที่เอยเคยคิดน่ะสิ เอยคิดว่าตัวเองรักสัม พอยิ่งสัมทำตัวแบบนี้เอยก็เลยมีความหวังเรื่อยมา แต่มันก็ไปปนกับการยึดติดด้วยแหละ กลัวถ้าตัวเองเปลี่ยนใจจะเหมือนกับว่าโลเล เอยเลยไม่ยอมเลิกยุ่งกับสัมเสียที”
เมื่อเห็นวิทยานั่งเงียบด้วยความประหลาดใจ อริญจึงถามกลับบ้าง
“แล้วกอร์ฟล่ะถามตัวเองดีหรือยัง ว่ายังคิดกับเอยเหมือนเดิมหรือเปล่า”
หลังจากคำถามของอริญตามมาด้วยความเงียบจากวิทยากว่านาทีจนหญิงสาวเริ่มกลัวว่าชายหนุ่มจะได้ข้อสรุปว่าหมดรักเธอแล้ว และหากจะเป็นเพราะเรื่องที่ผ่านมาเธอก็ไม่อาจจะตำหนิเขาได้เลย
“ถ้าผมยังคิดเหมือนเดิมแปลว่าเอยจะเป็นแฟนผมใช่ไหม”
“ไม่ล่ะ” คำปฏิเสธของเธอทำเอาใบหน้าคร้ามเข้มเผือดไปเสี้ยววินาทีก่อนที่อริญจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “มันแปลว่าต่อไปเราจะเป็นแฟนกันต่างหาก”
วิทยารวบร่างของอริญมากอดแน่น สิบห้าปีไม่นานเลย มันไม่นานจริงๆ ในเมื่อวันนี้เขาได้มีเธออยู่ในอ้อมแขน ถึงในใจของเธอจะเคยมีใคร แต่วันนี้เขามั่นใจว่ามันมีเขาอยู่ เขาเรียนรู้ว่ารักของเธอมีค่าดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยเธอให้หลุดมือไปไหนแน่นอน
....................................
ในห้องตรงข้ามกับห้องที่เต็มไปด้วยความรักและความสุขสัมมานั่งอยู่เพียงลำพังแต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวเพียงเพราะเขาอยู่คนเดียว แต่ความว่างเปล่าในใจเขามันเป็นเพราะเขาไม่อาจจะเจอคนที่เขาคิดถึง
มือใหญ่ลูบนิ้วเรียวไปตามภาพถ่ายในมือ ภาพในวันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต เขาในชุดทักซิโด้สีขาวยืนกุมมือกรรณิกาในชุดสีขาวเช่นเดียวกัน วันแต่งงานของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสุขจนไม่น่าเชื่อ มันผ่านมานานหลายปีจนเขาจดจำรอยยิ้มแบบที่เขามีในภาพไม่ได้ แต่เขาจำรอยยิ้มของกรรณิกาได้ วันที่พบศพเธอไม่มีใครพบเจอศรีษะที่ถูกตัดทิ้ง และจนวันที่ฆาตกรสิ้นชีวิต เขาก็ยังไม่อาจรู้ว่าศรีษะของเธออยู่ที่ไหน ดังนั้นใบหน้าสุดท้ายของเธอคือใบหน้าแสดงความโกรธที่เขาตัดสินใจจะไปหาชาญเดชเพื่อนสนิทที่กำลังทุกข์เพราะความรัก มากกว่าที่จะใช้เวลาสร้างความสุขอยู่กับเธอ ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมใจสัมมาให้ยังยืนหยัดอยู่ได้ คือความคาดหวังว่าสักวันจะเจอใครสักคนที่จะเคียงข้างเขาได้เช่นเดียวกับกรรณิกา
“ทำไมก้อยถึงต้องทำให้พี่รักก้อยมากด้วย ถ้าพี่ไม่รักก้อยมากพี่คงจะรักคนอื่นได้”
สัมมายังคงมองรูปในมือที่ไม่อาจตอบคำถามของเขาได้ เหมือนกับใจของเขาที่ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าจะนานแค่ไหน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น