ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าก่อนเช้ารุ่ง (ชื่อชั่วคราว)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนสอง : ความฝันที่กลอกกลิ้ง ความจริงที่หลอกหลอน

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ค. 57



    *** คนเขียนบ่น
    - หายไปนานการงานมันกัดกินจินตนาครับ(เผื่อมีคนยังตามมาอ่านให้)
    - mystery + triller นี่มันเขียนยากวุ้ย T_T
    - ลงเต็มตอน 16/5/2014 บังเอิญเจ้านายไม่อยู่ 555+
    ---------------------


    ตอนที่สอง : ความฝันที่หลอนหลอก ความจริงที่กลอกกลิ้ง

                “หยุดนะ อย่าทำอะไรบ้าๆ อย่างนั้น!!” หญิงกลางกลางคนกรีดร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว

                “วางมีดลงเถอะลูก” เสียงผู้ชายวัยกลางคนอีกคนนั่งบนเก้าอี้โยก ที่ขณะนี้มีมีดคม วาวปลาบจ่อที่คอพูดด้วยเสียงสั่นๆ ส่งสายตาวิงวอนไปยังเด็กหนุ่มที่ถือมีด

                เด็กหนุ่มแสยะยิ้มไม่ตอบคำ สายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันอีกคนที่จ้องคุมเชิงอย่างใจเย็น พลางกล่าวคำพูด

                “กษาปณ์แดงกำลังรอพวกเราอยู่” ประกายมีดสีขาวไหววูบ ก่อนประกายสีแดงจากลำคอของชายกลางคนจะไหลรินออกมาพร้อมกลิ่นสนิม ชีวิตคนหนึ่งคนกลับถูกปลิดลงอย่างง่ายดาย

                “ไม่!!!” เสียงจากสองคนจากหญิงกลางคนและชายหนุ่มดังขึ้นพร้อมกัน พลันบังเกิดประกายมีดอีกวูบ หญิงวัยกลางคนก็ล้มลงไปนอนบนพื้นไม่ห่างกันมาก

                พริบตาเดียวกันหากแต่ช้าเพียงเสี้ยววินาที เด็กหนุ่มอีกคนขยับตัวไปยังด้านตรงข้ามกับมีดที่สะบัดไป มือขวาแย่งมีด พร้อมกระทุ้งเข่าไปที่สีข้างทำให้อีกฝ่ายจุกจนตัวงอ จากนั้นคว้าคอเสื้อขึ้นมา

                “ทำไม!” เด็กหนุ่มตวาดถาม

                เด็กหนุ่มผู้ถูกคว้าคอแค่นหัวร่อ ก่อนตอบคำอยากยากเย็น

                “โลกนี้มันกว้างกว่าที่คิด..พี่ชาย ชีวิตก็มีอะไรให้ทำกว่าที่รู้” เขาพูดลอยๆ ขึ้นมา แต่กลับคล้ายเป็นคำตอบเสียอย่างนั้น

                “บอกมา!! ถึงท่านจะไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงเรา ทำไมแกต้องฆ่าท่านด้วย!!” เด็กหนุ่มอีกคนกระชากเสียง

                แท้จริงเด็กหนุ่มทั้งสองเป็นเด็กที่สองสามีภรรยารับมาอุปการะ เมื่อแปดปีก่อนหนึ่งคน และหกปีก่อนอีกหนึ่งคน เนื่องจากตนแม้แต่งงานกันมานาน แต่ภรรยากลับไม่อาจมีลูกได้ เมื่อมีโอกาสจึงรับอุปการะเด็กทั้งสองเอาไว้

                “หึ หึ หึ ... นี่มันก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เราบอกแล้วโลกนี้มันกว้างกว่าที่คิด นี่แค่จุดเล็กๆ พวกเรามีจุดหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก อีกไม่นานหรอก เจ้าจะได้รับรู้มัน และมาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา... วิคทาย” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างเป็นปริศนา ก่อนหัวเราะราวบ้าคลั่ง

                เด็กหนุ่มผมสีดำขบกรามแน่น ในดวงตาที่น้ำหลังไหลราวกำทำนบแตกปรากฏแววเกรี้ยวกราดมองเด็กหนุ่มผมทองที่หัวเราะราวกับไม่สนสิ่งใดในโลก มีดในมือขวาถูกยกขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนตวัดไปที่ลำคอขาวบางของเด็กหนุ่มผมทอง พลันได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านหลังทำให้เขาชะงักไปเสี้ยววินาที คมมีดพลาดจากลำคอ กลับกรีดผ่านไหล่ซ้ายไปยังหน้าอกด้านขวาของเป้าหมายเป็นทางยาว

                “ฆ่าคนตาย!” เสียงร้องอย่างตกใจของผู้มาให้ใหม่ทำให้เด็กหนุ่มผมดำแตกตื่นพลางวิ่งหนีทะลุออกไปด้านหลังบ้าน ปล่อยร่างท้างสามที่นอนจมกองเลือดไว้ข้างหลัง

    ในขณะที่วิ่งพ้นหมู่บ้านไป กลับปรากฏเหล่าผู้คนนับร้อยคนกลับดักล้อมเขาทุกที่ทาง โดยไม่มีแม้แต่เสียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ด่าทอสาปแช่งต่างๆ นาๆ โลกทั้งใบเริ่มบิดเบี้ยวเป็นสีแดงฉาน อบอวนไปด้วยกลิ่นคาวเลือด พลันความหนาวถึงขั้วกระดูกจู่โจมอย่างฉับพลัน มีดวาวปลาบชะโลมไปด้วยเลือดแทงทะลุออกมาจากกลางอกของเขา

    “แกมัน ฆาตรกร!” เสียงเย็นชาดังขึ้นที่ข้างหู จากบุคคลคุ้นหน้าสามคน คนที่เป้นครอบครัวของเขาเอง หากแต่ทั้งสามนั้นผิวซีด ดุจซากศพ บาดแผลที่คอยังมีเลือดไหลออกมา ทันใดนั้นมือทั้งสามคู่คว้าจับเขายกขึ้น คนทั้งหมู่บ้านฮือโหมเข้าฉีกทึ้งเขาอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดประดังสุดที่จนทนทานได้

                “อ๊ากกกกก!!” เด็กหนุ่มผมสีดำสะดุ้งตื่นจากฝัน ที่นอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้ว่าอากาศจะเย็นจนรู้สึกหนาวก็ตาม

                วิคทายยกมือลูบคลำที่กลางหน้าอกโดยสัญชาตญาณ ความทรมานจากในฝันนั้นยังคงรู้สึกได้อย่างเลือนราง เหตุการณ์ในฝันนั้นแม้ผ่านเวลามากว่าสามเดือน แต่มันยังตามหลอกหลอนเขาทุกคืน

                เมื่อสามเดือนก่อน หลังจากที่เขาถูกดูดลงรูหนอน ด้วยแรงลมดูดอย่างรุนแรง เขากลิ้งกระแทกผนังรูหนอน ซึ่งเป็นโพรงหินขนาดใหญ่ หมดสติตั้งแต่แรก จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆ จึงฟื้นขึ้นมา และพบว่าตัวองอยู่ในชนเผ่าแห่งหนึ่งในหุบเหวลึกใต้พิภพ ได้รับการช่วยเหลือ และดูแลจากรองหัวหน้าเผ่า ชื่อว่า “เดรฟิส”

                ชนเผ่าใต้พิภพนี้เรียกตัวเองว่า ดอร์ไซ หนึ่งในหลายสิบเผ่าที่อาศัยอยู่ใต้หุบผาลึกนี้ คนเผ่านี้มีรูปเตี้ยเล็ก แต่ร่างกายกำยำ พละกำลังสูงจนถึงขั้นมหาศาล มีความสามารถมองเห็นในที่มืดสูง อาจเป็นวิวัฒนาการเพื่อเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมใต้หุบผาลึกที่แม้แต่แสงสว่างยังส่องลงมาไม่ถึง อาชีพของคนส่วนใหญ่ในเผ่าคือล่าสัตว์ แต่ละคนจะแต่งกายด้วยการตัดเย็บหนังสัตว์ และคลุมหนังสัตว์ทั้งผืนทับอีกชั้น โดย ผืนที่คลุมนี้จะต้องมาจากการ “ออกล่าเดี่ยว” สามารถเป็นตัวบอกระดับความสามารถและชนชั้นในเผ่าได้เป็นอย่างดี ยิ่งเป็นขนสัตว์ที่แข็งแกร่งและหายาก ยิ่งแสดงแดงถึงความเก่งกาจของผู้สวมใส่ และได้รับการนับถือในระดับสูงตามไปด้วย

                นอกจากล่าสัตว์แล้วชาว ดอร์ไซ ยังทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นอีกอาชีพเสริม โดยในบริเวณใต้หุบผาบางแห่งจะมีจุดที่แสงส่องถึง ทำให้เกิดเป็นโอเอซิสขนาดพื้นที่สองไร่ สามารถปลูกพืชผักผลไม้ได้บางส่วน ชนเผ่าส่วนใหญ่ใต้หุบผาส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะตั้งรกรากใกล้ๆ โอเอซิส บ่อยครั้งที่เกิดการแย่งชิงโอเอซิสระหว่างเผ่า โอเอซิสแต่ละแห่งมีชื่อต่างกัน โดยที่แห่งนี้ตั้งชื่อตามเผ่าดอร์ไซผู้ที่ครอบครองพื้นที่แห่งนี้มานานนับร้อยปี เนื่องจากความแข็งแกรงของชาวเผ่านี้ และนิสัยที่รักสงบ ไม่นิยมรุกรานเผ่าอื่น จึงมีโอกาสน้อยนักที่จะถูกรุกรานจากชนเผ่าอื่น แต่เมื่อเกิดศึกรุกราน ชาวดอร์ไซก็ยังสามารถปกป้องพื้นที่ไว้ได้ทุกคราไป

                “ตื่นแล้วหรือ พ่อหนุ่ม ออกมาทานอะไรก่อนเถิด” เสียงชายวัยกลางคนเจ้าเลิกกระโจม ร้องถามด้วยภาษาถิ่น หลังจากได้ยินเสียงวิคทายละเมอร้องทรมานอย่างเช่นทุกๆ เช้า

                เขาคือเดรฟิส เจ้าของกระโจม เป็นชาว ดอร์ไซ ที่จัดว่าหน้าตาดี ตามลักษณะทั่วของคนเผ่านี้ ซึ่งจะมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ผิวขาวซีดเพราะอยู่ในเขตที่แสงส่องถึงได้น้อย เส้นผมสีน้ำตาลออกส้มรวบมัดไว้เป็นสองจุกละหูลงไป ดวงตาเบิกกว้างมองในที่มืดได้ดี สูงเพียงเมตรยี่สิบ หรือสูงเพียงอกเอวของ วิคทาย เท่านั้น

                เดรฟิสแต่งกายด้วยขนสัตว์ที่ล่าเดี่ยวมาได้สามชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ดุร้าย ที่มีความอันตรายสูง ประกอบด้วย ขนหมีวอรี่ดำดิน สีเทาดำ ตัดเย็บอย่างหยาบๆ เป็นเสื้อและกางเกง ประดับรอบคอด้วยขนปีกนกวาวา ซึ่งเป็นนกขนาดเท่าลูกวัว มีขนสีแดงแต้มขาวและส่วนปลายออกสีดำสดเข้มไม่มีวันจาง และพันรอบเอวด้วยขนจิ้งจอกหุบผาทั้งหัว

                “...” เขาไม่ตอบคำดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา นอกจากร้องอย่างทรมานทุกเช้า มีเพียงการพยักหน้า ส่ายหน้า และลงมือทำ แค่เท่านี้ที่เขาปฏิบัติมาตลอดเวลาที่อยู่ในชนเผ่าดอร์ไซ

                วิคทายลุกขึ้นเก็บที่นอนที่ทำจากขนจิ้งจอกหางหนาม สัตว์ที่สามารถพบได้ง่ายที่สุด ล่าง่ายที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเขาเป็นคนล่ามาเอง เมื่อเดือนที่แล้ว จากนั้นจึงลุกตามเดรฟิสไป ขณะที่โดโรร่าภรรยาของเดรฟิส และบุตรชายสองคนเดรรัส กับ เดรโดร่า ซึ่งมีวัยไล่เลี่ยกันกับวิคทาย รออยู่แล้ว

                อาหารเช้าโดยปกติของชาวดอร์ไซจะทานขนมปังแบบดอร์ไซกับนมแพะหุบเขา ที่เลี้ยงไว้เอง นั่งล้อมวงบนพื้นกระโจมที่ปูด้วยหนังวัวสองหาง สำหรับชนเผ่าพื้นเมืองนั้นขนมปังดอร์ไซเป็นอาหารที่เป็นที่นิยมมากเพราะรสสัมผัสกรอบพอดี แต่สำหรับวิคทายแล้ว ขนมปังดอร์ไซไม่ต่างจากหินสักเท่าไหร่นัก ทุกเช้าโดโรร่า จึงนำมาแช่นมแพะไว้รอเขาโดยเฉพาะ

                “บ่ายนี้หัวหน้าเผ่าจะออกล่าเดี่ยวหมูจ้าวหุบเขา พวกเจ้าสนใจไปด้วยไหม... เจ้าด้วยพ่อหนุ่มผมดำ” เดรฟิสชักชวนลูกชายทั้งสองร่วมชมการล่าของหัวหน้าเผ่าเพื่อเป็นประสบการณ์และแรงบันดาลใจ ก่อนจะหันไปถามวิคทาย ซึ่งเขาฟังออกแค่ หัวหน้าเผ่า..ล่าเดี่ยว...ไปด้วยไหม...ผมดำ เท่านั้น

                “ไปสิพ่อ หากยากที่เดียวที่หัวหน้าจะออกล่าเอง” บุตรทั้งสองตกลงทันที ส่วนวิคทายพยักหน้าตกลง เพราะเห็นว่าวันนี้ไม่มีงานอะไรค้างเหลืออยู่ ทั้งเขาชื่นชอบเรื่องป่าและสัตว์ป่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

                สายวันนั้นคนที่สนใจจะร่วมเดินทางไปชมการล่าเดี่ยวของหัวหน้าเผ่าได้รวมตัวกันบริเวณโอเอซิสของเผ่า ทั้งเด็กน้อย เด็กหนุ่ม ผู้ใหญ่ วัยชรา กว่าสามสิบคน ร่วมเป็นขบวนชมหัวหน้าล่าหมูจ้าวหุบเขา ซึ่งต้องจ่ายค่าเข้าชมโดยการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง กล่าวคือจัดการกับสัตว์อสูรที่เข้าโจมตีในระหว่างทางไปด้วย เพื่อให้ผู้ล่าได้ทำการ ดวลเดี่ยว กับเป้าหมายโดยราบลื่นนั่นเอง

                ชาวดอร์ไซถือคติว่า ยิ่งผ่านอันตราย ยิ่งเติบโต ทุกคนในเผ่าจะถูกสอนไปพร้อมกับพบประสบการจริง จึงไม่แปลกเลยที่ในขบวนจะมีเด็กร่วมไปด้วย แต่ต้องรับผิดชอบตนเองเป็นสำคัญ หากได้รับอันตรายคนอื่นจะยุ่งเกี่ยวแค่ช่วยทำแผลหรือเก็บกู้สังขารเท่านั้น

                เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็ปรากฏตัว หัวหน้าเผ่าเป็นชายอายุห้าสิบ ไว้แพะยาวถึงอกรวบไว้อย่างดี แต่งกายประดับด้วยหนังกิ้งก่าดึกดำบรรพ์สีดำประกายเขียวทั้งตัว พันรอบคอด้วยหนังเสือเหล็กสีขาวตำ สร้างบรรยากาศให้เขาดูน่าเกรงขามสมเป็นผู้นำมากยิ่งขึ้น เขามีร่างกายกำยำสูงใหญ่กว่าชาวดอร์ไซทั่วไป เต็มไปด้วยรอยแผล โดยเฉพาะรอยแผลเป็นขนาดใหญ่พาดจากไหล่ซ้ายถึงไหล่ขวาอันมาจากการล่ากิ้งก่าดึกดำบรรพ์สัตว์อสูรที่ร้ายกาจที่สุดในแถบนี้ มันเป็นกิ้งก่าที่เดินด้วยสองขาสูงเก้าเมตร แขนที่ยาวถึงสามเมตรพร้อมที่จะส่งกรงเล็บอันแหลมคมกระชากเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ เพียงโบกผ่าน เทียบกับชาวดอร์ไซที่สูงไม่เกินเมตรครึ่งนับว่าต่างกันไกล แต่สุดท้ายเขาก็ล้มมันลงได้หลังจากสู้กันนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ก่อนตัดกระดูกแขนท่อนปลายทั้งท่อนรวมทั้งกรงเล็กแหลมคมของกิ้งก่าดึกดำบรรพ์มาเป็นอาวุธประจำตัว ซึ่งขนาดมันเท่ากันกับตัวเขาเลยทีเดียว  จากนั้นชาวดอร์ไซจึงร่วมใจยกเขาขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ดอร์ไซ ซึ่งหลังจากรับตำแหน่งหัวหน้าเผ่า ชาวดอร์ไซจะทิ้งชื่อเดิม และเรียกขานเป็นเพียงหัวหน้าเผ่าเท่านั้น นับเป็นการให้เกียรติให้กับบุคคลในเผ่าอย่างสูงสุด

                หลังจากหัวหน้าเผ่าปรากฏตัว ประชุมวางแผนการเดินทางคร่าวๆ กับรองหัวหน้าและผู้มีระดับสูงในเผ่าอีกสี่คน จากนั้นจึงแจ้งให้ลูกคณะได้ทราบแผนการและเส้นทาง และออกเดินทางในทันที

     

    --- จบตอนที่สอง

                “วางมีดลงเถอะลูก” เสียงผู้ชายวัยกลางคนอีกคนนั่งบนเก้าอี้โยก ที่ขณะนี้มีมีดคม วาวปลาบจ่อที่คอพูดด้วยเสียงสั่นๆ ส่งสายตาวิงวอนไปยังเด็กหนุ่มที่ถือมีด

                เด็กหนุ่มแสยะยิ้มไม่ตอบคำ สายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันอีกคนที่จ้องคุมเชิงอย่างใจเย็น พลางกล่าวคำพูด

                “กษาปณ์แดงกำลังรอพวกเราอยู่” ประกายมีดสีขาวไหววูบ ก่อนประกายสีแดงจากลำคอของชายกลางคนจะไหลรินออกมาพร้อมกลิ่นสนิม ชีวิตคนหนึ่งคนกลับถูกปลิดลงอย่างง่ายดาย

                “ไม่!!!” เสียงจากสองคนจากหญิงกลางคนและชายหนุ่มดังขึ้นพร้อมกัน พลันบังเกิดประกายมีดอีกวูบ หญิงวัยกลางคนก็ล้มลงไปนอนบนพื้นไม่ห่างกันมาก

                พริบตาเดียวกันหากแต่ช้าเพียงเสี้ยววินาที เด็กหนุ่มอีกคนขยับตัวไปยังด้านตรงข้ามกับมีดที่สะบัดไป มือขวาแย่งมีด พร้อมกระทุ้งเข่าไปที่สีข้างทำให้อีกฝ่ายจุกจนตัวงอ จากนั้นคว้าคอเสื้อขึ้นมา

                “ทำไม!” เด็กหนุ่มตวาดถาม

                เด็กหนุ่มผู้ถูกคว้าคอแค่นหัวร่อ ก่อนตอบคำอยากยากเย็น

                “โลกนี้มันกว้างกว่าที่คิด..พี่ชาย ชีวิตก็มีอะไรให้ทำกว่าที่รู้” เขาพูดลอยๆ ขึ้นมา แต่กลับคล้ายเป็นคำตอบเสียอย่างนั้น

                “บอกมา!! ถึงท่านจะไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงเรา ทำไมแกต้องฆ่าท่านด้วย!!” เด็กหนุ่มอีกคนกระชากเสียง

                แท้จริงเด็กหนุ่มทั้งสองเป็นเด็กที่สองสามีภรรยารับมาอุปการะ เมื่อแปดปีก่อนหนึ่งคน และหกปีก่อนอีกหนึ่งคน เนื่องจากตนแม้แต่งงานกันมานาน แต่ภรรยากลับไม่อาจมีลูกได้ เมื่อมีโอกาสจึงรับอุปการะเด็กทั้งสองเอาไว้

                “หึ หึ หึ ... นี่มันก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เราบอกแล้วโลกนี้มันกว้างกว่าที่คิด นี่แค่จุดเล็กๆ พวกเรามีจุดหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก อีกไม่นานหรอก เจ้าจะได้รับรู้มัน และมาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา... วิคทาย” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างเป็นปริศนา ก่อนหัวเราะราวบ้าคลั่ง

                เด็กหนุ่มผมสีดำขบกรามแน่น ในดวงตาที่น้ำหลังไหลราวกำทำนบแตกปรากฏแววเกรี้ยวกราดมองเด็กหนุ่มผมทองที่หัวเราะราวกับไม่สนสิ่งใดในโลก มีดในมือขวาถูกยกขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนตวัดไปที่ลำคอขาวบางของเด็กหนุ่มผมทอง พลันได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านหลังทำให้เขาชะงักไปเสี้ยววินาที คมมีดพลาดจากลำคอ กลับกรีดผ่านไหล่ซ้ายไปยังหน้าอกด้านขวาของเป้าหมายเป็นทางยาว

                “ฆ่าคนตาย!” เสียงร้องอย่างตกใจของผู้มาให้ใหม่ทำให้เด็กหนุ่มผมดำแตกตื่นพลางวิ่งหนีทะลุออกไปด้านหลังบ้าน ปล่อยร่างท้างสามที่นอนจมกองเลือดไว้ข้างหลัง

    ในขณะที่วิ่งพ้นหมู่บ้านไป กลับปรากฏเหล่าผู้คนนับร้อยคนกลับดักล้อมเขาทุกที่ทาง โดยไม่มีแม้แต่เสียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ด่าทอสาปแช่งต่างๆ นาๆ โลกทั้งใบเริ่มบิดเบี้ยวเป็นสีแดงฉาน อบอวนไปด้วยกลิ่นคาวเลือด พลันความหนาวถึงขั้วกระดูกจู่โจมอย่างฉับพลัน มีดวาวปลาบชะโลมไปด้วยเลือดแทงทะลุออกมาจากกลางอกของเขา

    “แกมัน ฆาตรกร!” เสียงเย็นชาดังขึ้นที่ข้างหู จากบุคคลคุ้นหน้าสามคน คนที่เป้นครอบครัวของเขาเอง หากแต่ทั้งสามนั้นผิวซีด ดุจซากศพ บาดแผลที่คอยังมีเลือดไหลออกมา ทันใดนั้นมือทั้งสามคู่คว้าจับเขายกขึ้น คนทั้งหมู่บ้านฮือโหมเข้าฉีกทึ้งเขาอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดประดังสุดที่จนทนทานได้

                “อ๊ากกกกก!!” เด็กหนุ่มผมสีดำสะดุ้งตื่นจากฝัน ที่นอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้ว่าอากาศจะเย็นจนรู้สึกหนาวก็ตาม

                วิคทายยกมือลูบคลำที่กลางหน้าอกโดยสัญชาตญาณ ความทรมานจากในฝันนั้นยังคงรู้สึกได้อย่างเลือนราง เหตุการณ์ในฝันนั้นแม้ผ่านเวลามากว่าสามเดือน แต่มันยังตามหลอกหลอนเขาทุกคืน

                เมื่อสามเดือนก่อน หลังจากที่เขาถูกดูดลงรูหนอน ด้วยแรงลมดูดอย่างรุนแรง เขากลิ้งกระแทกผนังรูหนอน ซึ่งเป็นโพรงหินขนาดใหญ่ หมดสติตั้งแต่แรก จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆ จึงฟื้นขึ้นมา และพบว่าตัวองอยู่ในชนเผ่าแห่งหนึ่งในหุบเหวลึกใต้พิภพ ได้รับการช่วยเหลือ และดูแลจากรองหัวหน้าเผ่า ชื่อว่า “เดรฟิส”

                ชนเผ่าใต้พิภพนี้เรียกตัวเองว่า ดอร์ไซ หนึ่งในหลายสิบเผ่าที่อาศัยอยู่ใต้หุบผาลึกนี้ คนเผ่านี้มีรูปเตี้ยเล็ก แต่ร่างกายกำยำ พละกำลังสูงจนถึงขั้นมหาศาล มีความสามารถมองเห็นในที่มืดสูง อาจเป็นวิวัฒนาการเพื่อเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมใต้หุบผาลึกที่แม้แต่แสงสว่างยังส่องลงมาไม่ถึง อาชีพของคนส่วนใหญ่ในเผ่าคือล่าสัตว์ แต่ละคนจะแต่งกายด้วยการตัดเย็บหนังสัตว์ และคลุมหนังสัตว์ทั้งผืนทับอีกชั้น โดย ผืนที่คลุมนี้จะต้องมาจากการ “ออกล่าเดี่ยว” สามารถเป็นตัวบอกระดับความสามารถและชนชั้นในเผ่าได้เป็นอย่างดี ยิ่งเป็นขนสัตว์ที่แข็งแกร่งและหายาก ยิ่งแสดงแดงถึงความเก่งกาจของผู้สวมใส่ และได้รับการนับถือในระดับสูงตามไปด้วย

                นอกจากล่าสัตว์แล้วชาว ดอร์ไซ ยังทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นอีกอาชีพเสริม โดยในบริเวณใต้หุบผาบางแห่งจะมีจุดที่แสงส่องถึง ทำให้เกิดเป็นโอเอซิสขนาดพื้นที่สองไร่ สามารถปลูกพืชผักผลไม้ได้บางส่วน ชนเผ่าส่วนใหญ่ใต้หุบผาส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะตั้งรกรากใกล้ๆ โอเอซิส บ่อยครั้งที่เกิดการแย่งชิงโอเอซิสระหว่างเผ่า โอเอซิสแต่ละแห่งมีชื่อต่างกัน โดยที่แห่งนี้ตั้งชื่อตามเผ่าดอร์ไซผู้ที่ครอบครองพื้นที่แห่งนี้มานานนับร้อยปี เนื่องจากความแข็งแกรงของชาวเผ่านี้ และนิสัยที่รักสงบ ไม่นิยมรุกรานเผ่าอื่น จึงมีโอกาสน้อยนักที่จะถูกรุกรานจากชนเผ่าอื่น แต่เมื่อเกิดศึกรุกราน ชาวดอร์ไซก็ยังสามารถปกป้องพื้นที่ไว้ได้ทุกคราไป

                “ตื่นแล้วหรือ พ่อหนุ่ม ออกมาทานอะไรก่อนเถิด” เสียงชายวัยกลางคนเจ้าเลิกกระโจม ร้องถามด้วยภาษาถิ่น หลังจากได้ยินเสียงวิคทายละเมอร้องทรมานอย่างเช่นทุกๆ เช้า

                เขาคือเดรฟิส เจ้าของกระโจม เป็นชาว ดอร์ไซ ที่จัดว่าหน้าตาดี ตามลักษณะทั่วของคนเผ่านี้ ซึ่งจะมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ผิวขาวซีดเพราะอยู่ในเขตที่แสงส่องถึงได้น้อย เส้นผมสีน้ำตาลออกส้มรวบมัดไว้เป็นสองจุกละหูลงไป ดวงตาเบิกกว้างมองในที่มืดได้ดี สูงเพียงเมตรยี่สิบ หรือสูงเพียงอกเอวของ วิคทาย เท่านั้น

                เดรฟิสแต่งกายด้วยขนสัตว์ที่ล่าเดี่ยวมาได้สามชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ดุร้าย ที่มีความอันตรายสูง ประกอบด้วย ขนหมีวอรี่ดำดิน สีเทาดำ ตัดเย็บอย่างหยาบๆ เป็นเสื้อและกางเกง ประดับรอบคอด้วยขนปีกนกวาวา ซึ่งเป็นนกขนาดเท่าลูกวัว มีขนสีแดงแต้มขาวและส่วนปลายออกสีดำสดเข้มไม่มีวันจาง และพันรอบเอวด้วยขนจิ้งจอกหุบผาทั้งหัว

                “...” เขาไม่ตอบคำดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา นอกจากร้องอย่างทรมานทุกเช้า มีเพียงการพยักหน้า ส่ายหน้า และลงมือทำ แค่เท่านี้ที่เขาปฏิบัติมาตลอดเวลาที่อยู่ในชนเผ่าดอร์ไซ

                วิคทายลุกขึ้นเก็บที่นอนที่ทำจากขนจิ้งจอกหางหนาม สัตว์ที่สามารถพบได้ง่ายที่สุด ล่าง่ายที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเขาเป็นคนล่ามาเอง เมื่อเดือนที่แล้ว จากนั้นจึงลุกตามเดรฟิสไป ขณะที่โดโรร่าภรรยาของเดรฟิส และบุตรชายสองคนเดรรัส กับ เดรโดร่า ซึ่งมีวัยไล่เลี่ยกันกับวิคทาย รออยู่แล้ว

                อาหารเช้าโดยปกติของชาวดอร์ไซจะทานขนมปังแบบดอร์ไซกับนมแพะหุบเขา ที่เลี้ยงไว้เอง นั่งล้อมวงบนพื้นกระโจมที่ปูด้วยหนังวัวสองหาง สำหรับชนเผ่าพื้นเมืองนั้นขนมปังดอร์ไซเป็นอาหารที่เป็นที่นิยมมากเพราะรสสัมผัสกรอบพอดี แต่สำหรับวิคทายแล้ว ขนมปังดอร์ไซไม่ต่างจากหินสักเท่าไหร่นัก ทุกเช้าโดโรร่า จึงนำมาแช่นมแพะไว้รอเขาโดยเฉพาะ

                “บ่ายนี้หัวหน้าเผ่าจะออกล่าเดี่ยวหมูจ้าวหุบเขา พวกเจ้าสนใจไปด้วยไหม... เจ้าด้วยพ่อหนุ่มผมดำ” เดรฟิสชักชวนลูกชายทั้งสองร่วมชมการล่าของหัวหน้าเผ่าเพื่อเป็นประสบการณ์และแรงบันดาลใจ ก่อนจะหันไปถามวิคทาย ซึ่งเขาฟังออกแค่ หัวหน้าเผ่า..ล่าเดี่ยว...ไปด้วยไหม...ผมดำ เท่านั้น

                “ไปสิพ่อ หากยากที่เดียวที่หัวหน้าจะออกล่าเอง” บุตรทั้งสองตกลงทันที ส่วนวิคทายพยักหน้าตกลง เพราะเห็นว่าวันนี้ไม่มีงานอะไรค้างเหลืออยู่ ทั้งเขาชื่นชอบเรื่องป่าและสัตว์ป่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

                สายวันนั้นคนที่สนใจจะร่วมเดินทางไปชมการล่าเดี่ยวของหัวหน้าเผ่าได้รวมตัวกันบริเวณโอเอซิสของเผ่า ทั้งเด็กน้อย เด็กหนุ่ม ผู้ใหญ่ วัยชรา กว่าสามสิบคน ร่วมเป็นขบวนชมหัวหน้าล่าหมูจ้าวหุบเขา ซึ่งต้องจ่ายค่าเข้าชมโดยการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง กล่าวคือจัดการกับสัตว์อสูรที่เข้าโจมตีในระหว่างทางไปด้วย เพื่อให้ผู้ล่าได้ทำการ ดวลเดี่ยว กับเป้าหมายโดยราบลื่นนั่นเอง

                ชาวดอร์ไซถือคติว่า ยิ่งผ่านอันตราย ยิ่งเติบโต ทุกคนในเผ่าจะถูกสอนไปพร้อมกับพบประสบการจริง จึงไม่แปลกเลยที่ในขบวนจะมีเด็กร่วมไปด้วย แต่ต้องรับผิดชอบตนเองเป็นสำคัญ หากได้รับอันตรายคนอื่นจะยุ่งเกี่ยวแค่ช่วยทำแผลหรือเก็บกู้สังขารเท่านั้น

                เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็ปรากฏตัว หัวหน้าเผ่าเป็นชายอายุห้าสิบ ไว้แพะยาวถึงอกรวบไว้อย่างดี แต่งกายประดับด้วยหนังกิ้งก่าดึกดำบรรพ์สีดำประกายเขียวทั้งตัว พันรอบคอด้วยหนังเสือเหล็กสีขาวตำ สร้างบรรยากาศให้เขาดูน่าเกรงขามสมเป็นผู้นำมากยิ่งขึ้น เขามีร่างกายกำยำสูงใหญ่กว่าชาวดอร์ไซทั่วไป เต็มไปด้วยรอยแผล โดยเฉพาะรอยแผลเป็นขนาดใหญ่พาดจากไหล่ซ้ายถึงไหล่ขวาอันมาจากการล่ากิ้งก่าดึกดำบรรพ์สัตว์อสูรที่ร้ายกาจที่สุดในแถบนี้ มันเป็นกิ้งก่าที่เดินด้วยสองขาสูงเก้าเมตร แขนที่ยาวถึงสามเมตรพร้อมที่จะส่งกรงเล็บอันแหลมคมกระชากเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ เพียงโบกผ่าน เทียบกับชาวดอร์ไซที่สูงไม่เกินเมตรครึ่งนับว่าต่างกันไกล แต่สุดท้ายเขาก็ล้มมันลงได้หลังจากสู้กันนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ก่อนตัดกระดูกแขนท่อนปลายทั้งท่อนรวมทั้งกรงเล็กแหลมคมของกิ้งก่าดึกดำบรรพ์มาเป็นอาวุธประจำตัว ซึ่งขนาดมันเท่ากันกับตัวเขาเลยทีเดียว  จากนั้นชาวดอร์ไซจึงร่วมใจยกเขาขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ดอร์ไซ ซึ่งหลังจากรับตำแหน่งหัวหน้าเผ่า ชาวดอร์ไซจะทิ้งชื่อเดิม และเรียกขานเป็นเพียงหัวหน้าเผ่าเท่านั้น นับเป็นการให้เกียรติให้กับบุคคลในเผ่าอย่างสูงสุด

                หลังจากหัวหน้าเผ่าปรากฏตัว ประชุมวางแผนการเดินทางคร่าวๆ กับรองหัวหน้าและผู้มีระดับสูงในเผ่าอีกสี่คน จากนั้นจึงแจ้งให้ลูกคณะได้ทราบแผนการและเส้นทาง และออกเดินทางในทันที

     

    --- จบตอนที่สอง
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×