ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าก่อนเช้ารุ่ง (ชื่อชั่วคราว)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนแรก : หยดน้ำในลำคลอง

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ค. 57


    *** คุยกันก่อนนิดนึง

     

    *** เรื่องนี้เป็นนิยายทดลอง ฝึกเขียนเพื่อพัฒนาฝีมือด้านการเขียนนิยาย

     

    *** รบก่วนคุณผู้อ่านแนะนำติชมเต็มที่ เพื่อที่ผู้เขียนจะได้นำไปปรับปรุงในภายภาคหน้า

    *** ปล. ผู้เขียนขาดทักษะในการบรรยายคนเป็นอย่างมาก ตัดสินใจอยู่ว่าจะบรรยายน้อย เอาแค่พอรู้ว่าหล่อไม่หล่อดีใหม่ จะได้ไม่เป็นการปิดกั้นจินตนาการตามคอนเซปเดิมผม^_^


    Update 20/06/2556 ให้จบตอนจริงๆ ครับ 

    Update 30/01/2557 ปรับฟอนต์

    ---------------------------------------

    ตอนที่หนึ่ง หนึ่งระลอกน้ำ

     

    เสียงดังเอะอะโวยวายตีเกราะเคาะเหล็กแสดงสัญญาณฉุกเฉิน ปนกับเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลางดึกในคืนฤดูหนาวของหมู่บ้านไอน์  คบเพลิงถูกจุดขึ้นคบแล้วคบเล่าตามจำนวนชาวบ้านซึ่งถูกปลุกขึ้นมากลางดึก ด้วยเหตุฉุกเฉินบางอย่าง มองจากบนฟ้าจะเห็นแสงสว่างที่แผ่ขยายจากลางหมู่บ้านกระจายออกไป เหมือนกลีบดอกไม้ผลิบานกลางดึก ทั้งหมู่บ้านสว่างไสวไปด้วยแสงจากคบเพลิงราวกับมีงานเทศกาลประจำปีของหมู่บ้าน ก่อนที่แสงจากคบเพลิงจะค่อยๆ ทยอยไปรวมกันเป็นจุดเดียว ที่ลานพิธีกลางหมู่บ้าน

    บัดนี้ลานหมู่บ้านเต็มไปด้วยชาวบ้านที่เป็นผู้ชายซึ่งเป็นตัวแทนจากแต่ละบ้าน ตามข้อตกลงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของหมู่บ้านที่ไม่เคยได้ประกาศใช้มา ก่อนตั้งแต่ตั้งหมู่บ้านมาจนกระทั่งคืนนี้

     “เอ้าเงียบๆ ฟังทางนี้ !! ” เสียงตะโกนสั่งจากชายชรา ซึ่งมีศักดิ์เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อสงบเสียงพูดคุยจอแจ จากเหล่าชายหนุ่ม ชายแก่ ซึ่งถูกปลุกขึ้นมากลางดึกที่อากาศหนาวเย็น โดยที่บางคนยังงุนงงอยู่ว่าเกิดเหตุอะไร บางคนต้องหันไปถามคนข้างๆ จนก่อให้เกิดเสียงดังจอแจ ทำให้ผู้ใหญ่บ้านต้องพูดด้วยเสียงอันดังเพื่อดึงความสนใจ ก่อนหันไปกระแอมเล็กน้อยเนื่องจากใช้เสียงมากเกินขีดจำกัด

    นี่มันเรื่องอะไรกันผู้ใหญ่บ้าน ถึงกับต้องรวมพล ‘ก.ส.ม.’ กลางดึกด้วย!” หนึ่งเสียงตะโกนถาม มาจากด้านหลังของกลุ่มชาวบ้านกว่าร้อยคน

    เจ้าของเสียงคือ พิฟอน หรือพิฟ ขี้สงสัย ซึ่งมีรูปร่างเตี้ย อายุสามสิบปลาย แต่ความสูงเท่าเด็กอายุสิบสามขวบเท่านั้น ยิ่งยืนอยู่แถวหลังทำให้ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ต้องมองหาต้นเสียงอยู่นาน

    ส่วน ‘ก.ส.ม.’ นั้นเป็นตัวย่อของ ‘กองกำลังอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน’ ซึ่ง เป็นกลุ่มที่รวบรวมผู้ชายในหมู่บ้านอายุตั้งแต่สิบห้าปี จนถึงห้าสิบปีมารับการฝึกโดยสมัครเข้าตามความสมัครใจ ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้งหลังฤดูเก็บเกี่ยวรอบสองเสร็จสิ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นกลุ่มดูแลความสงบในหมู่บ้าน ตรงตามกลุ่มชื่อนั่นเอง

    ที่ปลุกพวกเจ้ามากลางดึกนั้น สืบเนื่องมากจากเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นกับครอบครัววิลเทียร์” เมื่อลูกบ้านได้รู้เหตุผลที่ตนถูกปลุกขึ้นมากลางดึกที่หนาวเหน็บก็ทำให้เกิด เสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง ผู้ใหญ่บ้านต้องตะโกนสั่งให้เบาเสียงลง

    ในประวัติศาสตร์นับแต่ก่อตั้งหมู่บ้านมา ไม่เคยเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเช่นการที่มนุษย์ฆ่ากันเองมาก่อน อย่างมากก็มีแค่ทะเลาะวิวาทหัวร้างข้างแตกเพราะฤทธิ์สุราเท่านั้น เมื่อหมดฤทธิ์สุราก็กลับมาพูดคุยกันตามปกติ ไม่ได้ผูกใจเจ็บอะไรกัน เพราะไอน์เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างอยู่กันอย่างเป็นเครือญาติ แม้เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีปะชากรกว่าร้อยหลังคาเรือนก็ตาม แต่คนในหมู่บ้านก็รู้จักกันหมด ในครั้งนี้กลับมีเรื่องสะเทือนขวัญเกิดขึ้นในหมู่บ้านอันแสนสงบแห่งนี้ ทำให้ชาวบ้านอดที่จะเกิดความหวาดกลัวไม่ได้

    ครอบครัววิลเทียร์นั้น เป็นครอบครัวที่นับว่าเป็นที่รักใคร่ของคนในหมู่บ้าน ด้วยความมีน้ำใจของสองสามีภรรยา หากมีคนถามว่าใครเป็นผู้มีใจกุศลที่สุดในหมู่บ้าน ทุกเสียงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณและคุณนายวิลเทียร์นั่นเอง

    เดิมครอบครัววิลเทียร์มีกันอยู่สามคนสามีภรรยาวิลเทียร์ และลูกชายคนเดียวชื่อพีเชลอายุแปดขวบ เด็กคนนี้ก็เป็นที่รักใคร่ของเด็กๆ ในวัยเดียวกันและผู้ใหญ่ต่างให้ความเอ็นดู แต่เมื่อหกปีก่อนสองสามีภรรยารับอุปการะเด็กผู้ชายอายุไล่เลี่ยกับลูกชายไว้ เป็นลูกบุญธรรม ซึ่งคุณนายวิลเทียร์ไปพบเด็กชายโดยบังเอิญขณะจะไปเก็บฝ้ายสีครามริมคลอง เพื่อนำมาทอผ้า  ในสภาพนอนสลบอยู่อีกฝั่งคลอง มีแผลฉกรรจ์คล้ายถูกของแข็งกระแทกที่ศีรษะ ตามตัวเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและบาดแผล คล้ายพยายามพยุงกายหนีออกมาจากป่านักซ่อนเงาซึ่งอยู่ห่างจากลำคลองไปเพียงสาม ร้อยเมตรแต่มาได้ถึงเพียงริมคลองก็ล้มลงสิ้นสติไปก่อน ด้วยความเมตตาคุณนายวิลเทียร์จึงตัดสินใจพาเด็กน้อยกลับไปรักษาที่บ้าน

    เมื่อเด็กชายรู้สึกตัวหลังจากนอนสลบจนถึงสี่วัน กลับจำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง ไม่รู้ที่จะไป สามีภรรยาวิลเทียร์จึงรับเลี้ยงดูคู่กับบุตรชายแท้ๆ โดยลูกบุญธรรมมีศักดิ์เป็นพี่เพราะมีอายุเก้าขวบ กลายเป็นสมาชิกในครอบครัวคนที่สี่ของบ้านวิลเทียร์ เด็กชายได้ชื่อและสกุลใหม่ตามครอบครัววิลเทียร์ของเขาว่าวิคทาย เด็กๆ ในหมู่บ้านมักจะล้อเขา ‘ว่าวิคทายเงาดำ’ เนื่องจากเขามีผมสีดำ และเชื่อกันว่าเด็กชายเป็นผู้มาจากป่านักซ่อนเงา เด็กชายแตกต่างกับคนในหมู่บ้านและผู้ที่อาศัยอยู่ในทวีปเทรเวียทั้งหมดล้วนมีผมสีเหลือง ทองหรือส้ม เป็นเรื่องน่าแปลกที่คนผมดำที่มีอยู่เฉพาะทวีปโพ้นทะเลจะพลัดหลงมาอยู่แถว หมู่บ้านไอน์ซึ่งมีที่ตั้งแทบจะอยู่กลางทวีปเทรเวียต้องขี่ม้าถึงสามวันสามคืนโดยไม่พักเลยทีเดียว

    ใครกันทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้” พิฟคนเดิม ถามแทรกขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เบียดฝ่าฝูงชนขึ้นมาอยู่แนวหน้าแล้ว

    สแปดและเมลด้าพยานที่บังเอิญเห็นเหตุการแจ้งว่าเห็นเจ้าเด็กเงาดำลูกชายบุญธรรม เป็นผู้ลงมือสังหารผู้เลี้ยงดูมันอย่างเลือดเย็น เป็นความโชคดีของพิเชลที่เมลด้าเข้าไปเห็นซะก่อน ขณะที่มันกำลังจะลงมือสังหาร ทำให้มันตกใจจนคมมีดสังหารพลาดเป้าไป มันจึงหลบหนีไป พิเชลรอดชีวิตมาได้แต่บาดเจ็บหนัก ตอนนี้พวกกองพรานกำลังออกตามล่าฆาตกร” ผู้ใหญ่บ้านเล่าแบบไม่หยุดหายใจ เพราะเกรงว่าจะโดนขัดคอ พร้อมออกท่าทางประกอบราวกับยืนชมอยู่ขณะเกิดเหตุด้วยตนเอง เมลด้าผู้ถูกกล่าวถึงยื่นตัวสั่นเทาในอ้อมอกของสแปดผู้เป็นสามีอยู่ด้านข้าง ปะรำผู้ใหญ่บ้าน หลังจากพบเจอเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญมาสดๆ ร้อนๆ

    เอาไข่คนแคระดำยัดจมูกเถอะข้า ว่าแล้วซักวันไอ้เด็กผีนั่นมันต้องก่อเรื่อง ข้าเตือนไอเดลกับมาร่าแล้วแท้ๆ ว่าอย่ารับไอ้เด็กนั่นมาเลี้ยง โธ่ ไม่น่าเลย” พิฟ คนเดิม สบถด้วยหนึ่งในหลายๆ ประโยคที่นิยมพูดกันของสมาชิกวงสุราในบาร์ไข่กบท้ายหมู่บ้าน ก่อนหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นสมาชิกวงสุราเช่นกัน

    ไข่คนแคระดำที่พิฟกล่าวถึงคือเห็ดที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ แต่มีสีน้ำตาลเข้มจนดูเหมือนดำ ขึ้นตามโคนต้นไม้ นำมารับประทานได้ แต่ต้องผ่านการต้มในน้ำกับใบมะกอกหวานกับปูนขาวทิ้งไว้สามวันเพื่อกำจัดกลิ่นของมัน เนื่องจากเป็นเห็ดที่มีกลิ่นรุนแรง เมื่อสุกจะให้รสสัมผัสกรุบกรอบเคี้ยวอร่อย  เห็ดนี้ขึ้นตามชายป่านักซ่อนเงาปีละครั้งช่วงเดือนที่ห้าจนถึงกลางเดือน จึงนับเป็นหนึ่งในของขึ้นชื่อของไอน์

    เมลด้าผู้เห็นเหตุการณ์เล่าในบาร์ไข่กบในภายหลังว่าในคืนเกิดเหตุ ขณะที่ตนเตรียมแป้งหมัก เพื่อทำขนมปังสูตรเฉพาะขายที่ตลาดในตอนเช้าเหมือนทุกๆ คืน ก็ได้ยินดังเสียงเอะอะโครมคราม คล้ายคนทะเลาะกันมาจากบ้านวิลเทียร์ ซึ่งบ้านอยู่เยื้องกัน ตนจึงชวนสามีออกไปดูด้วยความเป็นห่วง

    เมื่อไปถึงบ้านวิลเทียร์เสียงเอะอะก็เงียบลงแล้ว ตนจึงคิดว่าคงไม่มีอะไรหมายกลับบ้าน แต่พอมองดูอีกครั้งพบว่าประตูหน้าบ้านวิลเทียร์กลับเปิดแง้มอยู่ ตนและสามีรู้สึกผิดสังเกต จึงถือวิสาสะเปิดประตูเขาไป

    สิ่งที่ตนและสามีพบหลังเปิดประตู คือกลิ่นคาวคล้ายสนิมคละคลุ้งกระทบจมูก ซึ่งมีที่มาจากร่างนองเลือดของไอเดลบนเก้าอี้โยก ในมือยังถือหนังสือตำนานหกนครคล้ายกำลังหลับอยู่หน้าเตาผิง หากแต่เป็นการหลับยาวนานและตลอดไป อีกด้านของไอเดล มีมาร่านอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น เลือดจากแผลถูกของมีคมแทงอาบนองพื้น  ภาพอันน่าสยดสยองทำให้เมลด้ากรีดร้องโดยไม่อาจควบคุม

    เสียงกรีดร้องของเธอทำให้เด็กหนุ่มผมดำผู้ถือมีดพรานผ่านการตีและลับคมอย่างดีจากร้าน ตีมีด'เหล้าและเหล็กซึ่ง ขณะนี้ไม่เหลือแววสะท้อน เนื่องจากถูกชโลมด้วยสีแดงของเลือดไปแล้ว เกิดชะงักเสียจังหวะ มีดที่บรรจงฟันลงที่คอจึงพลาดจุดหมาย กลายเป็นรอยเฉือนลากลงจากไหล่ซ้ายผ่านอกจนสุดใต้ราวนมแทน ก่อนที่วิคทายจะพุ่งตัวออกไปทางหลังบ้าน ในทิศทางป่านักซ่อนเงา ทิ้งร่างพีเชลซึ่งไม่รู้เป็นตายไว้เบื้องหลังไม่สนใจอีก

    ภายหลังเหตุการณ์นี้ได้มีคนนำเรื่องนี้ไปแต่งเป็นนิทานและบทเพลงเล่าขาน จนเป็นที่รู้จักกันไปทั้งหกอาณาจักร ผู้ใหญ่มักเอาไว้ใช้เล่าเพื่อขู่ให้เด็กที่ซุกซนเชื่อฟัง ถึงขนาดเด็กที่ร้องให้เมื่อได้ยินเรื่องนี้แล้วยังหยุดร้อง แม้ว่าเรื่องเล่าหลังจากนี้จะแผลงเป็นเฒ่ากระหายเลือดจากป่าซ่อนเงาก็ตาม แต่ก็เป็นนิทานสอนใจไม่ให้ไว้ใจคนแปลกหน้าไม่รู้ที่มาที่ไปนั่นเอง

    หลังจากนักวิพากษ์วิจารณ์แต่ละคนคุยกันจนพอใจแล้วเงียบเสียงลง ผู้ใหญ่บ้านจึงดำเนินการชุมนุมต่อตามจุดประสงค์เดิม โดยได้แบ่งสมาชิกออกเป็นหกกลุ่ม ชี้แจงหน้าที่ของแต่ละกลุ่ม ขานคำปลุกใจของกลุ่ม ‘ก.ส.ม.’ ก่อนแยกกันย้ายกันไปทำตามหน้าที่

    กลุ่มแรกมีสมาชิกสามสิบคน สุนัขพรานสำหรับตามกลิ่นสามตัว เพื่อติดตามเส้นทางที่วิกโก้ทิ้งรอยไว้ให้ติดตาม เนื่องจากในป่าทั้งมืดและเต็มไปด้วยสัตว์กินเนื้อ สัตว์มีพิษ พืชมีพิษที่มีไม่ต่ำกว่าร้อยชนิด อีกทั้งตำนานหรือเรื่องเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่กล่าวถึงภูติ ผี ปิศาจ วงกตโดยธรรมชาติของป่าที่สามรถทำให้คนหลงทางได้ง่ายๆ หากเผลอเพียงวินาทีเดียว สิ่งต่างเหล่านี้เป็นเสมือนเกราะที่คอยรักษาความสงบสุขของป่าและผู้อาศัยในป่าซ่อนเงาแห่งนี้

    กลุ่มที่สองมีสมาชิกสิบคน ทำหน้าที่จัดการศพสามีภรรยาผู้เคราะห์ร้ายก่อนที่จะส่งต่อไปให้ อิ๊ค สัปเหร่อประจำหมู่บ้าน ทำพิธีการทางความเชื่อต่อ

    กลุ่มที่สามกลุ่มสุดท้าย ประกอบด้วยหัวหน้าหมู่บ้าน และสมาชิกอาวุโสอีกเจ็ดคน มีหน้าที่ วางแผน ถกประเด็นยุทธศาสตร์ต่อจากนี้ ซึ่งที่ปฏิบัติจริงๆ คือการนั่งจิบชาพูดคุยนินทานักการเมืองและราชวงศ์กันอย่างออกรส ในห้องที่อบอุ่นปลอดภัย ระหว่างที่สมาชิกหลายคนต้องอดตาหลับขับตานอนทำงานกลางดึก ที่หิมะโปรยปราย และอากาศที่เหน็บหนาวถึงขั้วหัวใจ

    พื้นที่ป่านักซ่อนเงาแทบทั้งหมด ประกอบด้วยพืชยืนต้นที่เรียกว่าผู้เฒ่านักสานขึ้นอยู่มากมาย ผู้เฒ่านักสานเป็นต้นไม้ยืนต้น มีอายุได้ถึงสองร้อยปี มีลำต้นเล็กขนาดโตเต็มที่ไม่ถึงสองคนโอบ แต่มีความสูงได้ถึงยี่สิบเมตร กิ่งก้านมากมายกางแผ่เป็นรูปร่มที่กว้างห้าถึงสิบเมตร ด้วยลักษณะที่พืชชนิดนี้ชอบขึ้นเป็นกลุ่มจึงทำให้กิ่งก้านของมันร้อยเรียงสานกันเป็นรูปโดมขนาดใหญ่ แต่ละต้นต่างช่วยเกาะพยุงกันไว้เป็นปราการเสริมความแข็งแรง แม้จะเป็นไม้เนื้ออ่อน ถึงมีพายุแรงซัดกระหน่ำก็ไม่หักโค่นลงได้ง่าย ปิดข้อด้อยดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านจึงให้ชื่อต้นไม้นี้ว่าผู้เฒ่านักสานตามลักษณะของกิ่งก้านมัน

    นอกจากผู้เฒ่านักสานแล้วมีพืชต้นเล็ก หรือพืชประเภทหัวอยู่ประปรายตามบริเวณที่แสงส่องถึง โดยส่วนใหญ่เป็นบริเวณที่กิ่งก้านผู้เฒ่านักสานถูกหนูเขี้ยวตันแทะเป็นช่องรับแสง มีทั้งสมุนไพรและพืชพิษอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด บางชนิดออกผลที่มีพิษแต่รากสามารถใช้แก้พิษของผลได้ บางชนิดเพียงข่วนเป็นรอยก็แพร่พิษร้ายแรงถึงตาย พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเถาวัลย์หรือพุ่มไม้ใบหญ้าที่เป็นอุปสรรคนักจนแทบจะควบม้าผ่านได้ แต่ด้วยพื้นที่ในป่าเต็มไปด้วยพุ่มไม้ที่หน้าตาแทบจะไม่ต่างกันหลายร้อยพุ่มเรียงตัววกวนเหมือนเขาวงกต เพียงเดินไปไม่ถึงหนึ่งร้อยก้าวก็สามารถทำให้ผู้ที่พลั้งเผลอเดินเข้ามา ติดอยู่ในป่าจนถึงแก่ความตาย

    แต่กลลวงของป่านักซ่อนไม่เป็นผลใดกับวิกโก้จอมพราน ผู้คุมกองพรานทั้งสิบสองนาย คนกลุ่มเดียวที่สามารถหาผลประโยชน์จากป่าแห่งนี้ได้ ประสบการณ์สี่สิบปีของวิกโก้พาลัดเลาะไปตามทางวงกตของป่าอย่างคล่องแคล่ว ติดตามร่องรอยที่เหยื่อทิ้งไว้ หมาล่าเนื้อชั้นยอดนำทางไปรวดเร็วโดยแทบไม่ต้องชะลอดมกลิ่น จนที่สุดหลังจากตามมาเป็นเวลานาน บาร์ค หมาล่าเนื้อคู่หูของวิกโก้ก็ส่งสัญญาณว่าเป้าหมายอยู่ไม่ไกลแล้ว วิกโก้จึงลดความเร็วลง เพื่อแอบเข้าใกล้เป้าหมายโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว

    ในระยะสามสิบก้าว วิคโก้ก็พบเห็นวิคทายกิ่งเดินกึ่งวิ่งด้วยความเหนื่อยล้า เนื่องจากหนีมาเป็นระยะทางกว่าสองกิโลเมตร ร่างกายมีรอยแผลขีดข่วน ชุดหนังจิ้งจอกดำเย็บมือเต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้และใบไม้ จึงส่งสัญญาณให้บาร์เข้าพัวพัน เบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนจะหยิบม้วนเชือกเอ็นคามิลล่า วัวดึกดำบรรพ์ขนาดเส้นเชือกเท่านิ้วหัวแม่มือออกมาจ่างกระเป๋าข้างเอว มัดเป็นเงื่อนบ่วงอย่างคล่องแคล่วก่อนจะแอบไปดักทิศทางที่วิคทายมุ่งหน้าไป

    บาร์ค เข้าพัวพันกับเป้าหมายตามคำสั่ง โดยการขู่สกัดเด็กหนุ่มทำท่าพร้อมจะกระโดดเข้าขย้ำหากเขาพลั้งเผลอ ในขณะที่เขาเพ่งความสนใจไปที่สุนัขล่าเนื้อทำให้วิคทายต้องเปลี่ยนทิศทางไปในเส้นที่วิกโก้วางแผนไว้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในจุดอับแล้ว

    ด้านหลังมีสุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ขวาง ด้านหน้าเป็นผาลึก รอบๆ มีต้นไม้รกครึ้ม ฉับพลันที่เขาแบ่งสมาธิก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศมาจากด้านขวามือ ก่อนที่เชือกทำจากพืชอย่างดีจะคล้องเข้าที่ข้อมือและถูกกระตุกรัดแขนแน่น

    กลับไปกับฉันซะดีๆ วิคทาย!วิกโก้ ปรากฏตัวออกมาจากที่ซ่อน สาดสายตาคมกล้าอยู่อีกสุดปลายเส้นเชือกที่คล้องข้อมือ ย่างเข้าหาวิคทาย พลางม้วนเชือกเก็บอย่างใจเย็น

    วิคทายไม่ตอบคำ มืออีกข้างที่ไม่ถูกพันธนาการรั้งเชือกสู้แรงอีกฝ่าย มองไปที่วิกโก้ด้วยแววตาที่ยากจะบรรยายความรู้สึก ทำให้จอมพรานรู้สึกแปลกใจเมื่อมองเข้าไปในตาสีดำของเด็กหนุ่ม

    กลับไปที่หมู่บ้านด้วยกันเถอะ วิคทาย ฉันเชื่อว่ามันต้องมีการเข้าใจผิดแน่ๆด้วยต้องออกแรงรั้งเชือกทำให้วิกโก้ไม่สามารถก้าวต่อได้ จึงรักษาระยะ และเปลี่ยนไปใช้การเจรจาแทน

    คุณรู้หรือ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นวิคทายมีท่าทีอ่อนลง แต่ยังไม่คลายแรงรั้งเชือก

    ฉันเชื่อนะ ว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำ กลับไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจเถอะ ยิ่งเธอหนีไปยิ่งจะเป็นการบอกคนอื่นๆ ว่าเธอนั่นแหละที่เป็นคนผิดวิกโก้กล่าวโน้มน้าว เด็กหนุ่มก้มหน้าลงแรงที่ดึงรั้งเชือกผ่อนลง

    กลับไปกับฉันนะ วิคทายวิคโก้กล่าวย้ำ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ท่าทีอ่อนลง

    ในเสี้ยววินาทีที่วิกโก้เผลอคลายความระวัง เด็กหนุ่มคลายมือที่รั้งเชือก มีดจากข้างเอวถูกควักออกมาตวัดครั้งเดียว เชือกคามิลลาดึกดำบรรพ์ก็ขาดอย่างง่ายดาย ทำให้วิกโก้เสียหลักถอยหลังไปหนึ่งก้าว วินาทีถัดมาเด็กหนุ่มก็ทำในสิ่งที่นายพรานต้องตกใจ วิคทายพุ่งตรงไปที่หุบเหว หรือหากจะพูดให้ถูกคือหลุมขนาดกว้างที่มองไม่เห็นก้นนั่นเองโดยเฉพาะเวลากลางคืนอย่างนี้ เขาหยุดอยู่หน้าเหวดังกล่าวหันไปสบตาวิกโก้ที่ตามหลับมา

    มันไม่มีทางหรอกวิกโก้... สักวันคุณจะเข้าใจเด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะทิ้งร่างลงไปในหลุมที่ไม่รู้ว่าลึกสุดแค่ไหน ไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกสุดแรงของนายพราน ปลายบ่วงเชือกที่โยนไปเฉียดปลายเท้าวิทายเพียงเส้นผม ร่างเด็กหนุ่มกลับถูกลมดูดจากในหลุมดึงหายไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าวิกโก้

    บ้าเอ๊ย!วิกโก้สบถออกอารมณ์ เขาพลาดที่ไล่ต้อนเด็กหนุ่มมาที่ทวารพิภพซึ่งมีอยู่มากมายในป่าวแห่งนี้ โดยลืมคำนวณความพิเศษของทวารพิภพ หรือหลุมลึกที่ไม่เห็นก้นนี้ ในแต่ละวันปากทวารจะมีลมดูดอย่างรุนแรงดึงทุกอย่างเข้าไปในปากหลุมด้วยเวลาที่ไม่แน่นอน ชาวบ้านเชื่อกันว่ามันคือประตูสู่ที่เชื่อมสู่โลกใต้พิภพ ตามหลักความเชื่อมาแต่โบราณ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ และไม่มีรู้พาไปที่ใด อาจจะเป็นโลกใต้พิภพ นรก หรือพื้นหินขรุขระที่บดขยี้ทุกสิ่งให้แหลกสลายก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น

    วิกโก้จึงตัดสินใจกลับหมู่บ้าน ซึ่งพบเจอกลุ่มชาวบ้านระหว่างทาง ก่อนจะร่วมเดินทางกลับไปพบผู้ใหญ่บ้าน เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟังกลุ่มผู้น้ำหมู่บ้านฟัง สุดท้ายผู้ใหญ่บ้านตัดสินใจสั่งปิดคดีนี้ลงโดยระบุว่าฆาตรกรเสียชีวิตไปแล้ว

    พีเชลถูกส่งไปรักษาที่เมืองเฮลีเนีย เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการแพทย์และสุขภาพหลังจากได้รับการปฐมพยาบาลจากหมอหมู่บ้านอย่างเร่งด่วน ภายหลังได้รับการอุปถัมภ์จากครอบครัวขุนนางและย้ายไปอาศัยที่เมืองหลวงน้ำพุสีทอง โกโลโนเรีย

    ก้อนหินได้ถูกปล่อยลงสู่ผืนน้ำแล้ว สร้างคลื่นน้ำกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปกระทบกับสิ่งใด ไม่ใครรู้ว่าอนาคตสิ่งใดจะเกิดขึ้น จุดเริ่มต้นของกลียุค เริ่มต้นจากบุคคลเพียงไม่กี่คนที่ไม่มีคนสนใจนี้เอง

    ------ จบตอนที่หนึ่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×