คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ภาพลวงตา :: ONE (100%)
ภาพลวงตา :: ONE
สุริยันสีแสดที่เริ่มลอยอยู่เหนือขอบนภา..บ่งบอกว่าบัดนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างไสวแล้ว บุรุษเพศร่างเล็กกำลังเชยชมมวลหมู่บุปผากลิ่นหอมเย้ายวนใจ ริมฝีปากสีซีดยิ้มอ่อนโยนราวกับว่าเขากำลังมีความสุข หัวใจดวงน้อยๆเต้นโครมครามผิดวิสัย..แต่แล้วในชั่วยามต่อมาความเจ็บปวดเจียนตายก็เคลื่อนเข้ามาแทนที่...
มือเล็กกำ นัมจา ชอโกรี (เสื้อของผู้ชาย)เพื่อระบายความเจ็บปวดบริเวณหน้าอก...
“คุณชายมินซอกขอรับ!” วจีแสดงอาการตกใจของเด็กรับใช้ดังขึ้นเมื่อมินซอกทรุดลงไปอยู่กับพสุธา เด็กรับใช้ร่างบางวิ่งเข้ามาหาบุตรชายเพียงคนเดียวของใต้เท้าคิม มินวู ด้วยความเป็นห่วง.. หากจะกล่าวว่าคุณชายมินซอกคือผู้มีพระคุณ...ก็คงจะเป็นเช่นนั้นล่ะมั้ง...
“จุนมยอน! ลูกข้าอาการกำเริบอีกแล้วรึ..”
“ขอรับ ใต้เท้า..ข้าน้อยผิดเองที่มิได้ดูแลคุณชายตลอดเวลา..โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถอะขอรับ!” เด็กรับใช้ผิวขาวยังคงคำนับและไม่มีท่าทีว่าจะเงยหน้าขึ้นมา ขอบน้ำตาของเด็กหนุ่มร้อนผ่าวราวกับว่าอีกไม่นานน้ำตาจะไหลทะลักออกมาเสียให้ได้ ริมฝีปากสีซีดเม้มแน่นอึดอัดใจ..ในห้วงความคิดก็ยังคงโทษตนเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา...คุณชายมินซอกคงจะไม่เป็นเช่นนี้..
“ช่างมันเถอะ..ถ้าให้ข้าทาย เจ้ามินซอกคงไล่เจ้าไปซื้อยาที่ตลาดสินะ..”
“ขอรับ..”
“ใต้เท้าเจ้าคะ! องค์ชายชานยอลเสด็จเจ้าค่ะ!!” เสียงของเด็กรับใช้วัย 15 ที่วิ่งมาแจ้งทำให้ชายสูงอายุขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดกันองค์ชายชานยอลผู้หาทางกำจัดตระกูลของเขาให้หมดอำนาจถึงทรงเสด็จมาที่แห่งนี้ แต่หากปล่อยให้องค์ชายฤทัยร้อนดั่งเพลิงอเวจีรอนานคงไม่พ้นถูกสั่งประหารทั้งครอบครัวเป็นแน่แท้ รีบก้าวเท้าเดินไปหาองค์ชายอย่างรีบร้อนและหวั่นเกรง...
“อ..องค์ชายงั้นเหรอ!? จุนมยอนปล่อยข้า! ข้าจะไปกราบทูลเรื่องบางอย่างแก่องค์ชาย!!!” บัณฑิตร่างเล็กที่ฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบรีบลุกพรวดขึ้นมาอย่างร้อนรน ดวงตากลมเบิกกว้างมากยิ่งขึ้นก่อนจะพยายามลุก...แต่แล้วก็ต้องทรุดอีกครั้ง...
“ไม่ต้อง..ข้ามาถึงที่แล้ว..” พระพักตร์ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ดูน่าเกรงขามเสียจนจุนมยอนเริ่มหวาดหวั่น คุกเข่าอย่างรู้หน้าที่..แต่หาได้เงยหน้าขึ้นมามองไม่ พระเนตรคมกริบยังคงนิ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าองค์ชายชานยอลนั้นรู้สึกเช่นไร
“องค์ชาย! จริงรึพ่ะย่ะค่ะที่ซองอึน อ..เอ่อ..องค์หญิง กำลังเป็นเป้าในสงครามเย็นครั้งนี้...!” เสียงแหบของมินซอกดูเป็นกังวลมากยิ่งกว่าใคร แต่หากเขาและองค์ชายปาร์คสังเกตซักนิดก็จะได้เห็นชายหนุ่มชนชั้นทาสอย่างจุนมยอนมีใบหน้าซีดขาว และสายตา..ที่กำลังแสดงความเป็นห่วงและกังวลอยู่..
“จริง..ตอนนี้ขุนนางฝ่ายคังจากับฝ่ายคังซากำลังโต้เถียงกันเรื่องนี้อยู่ ช่างน่าเบื่อเสียจริงๆ..”
“แต่องค์หญิงทรงมีพระชันษาเพียง 18 ปีเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ ทูลตามความจริงแล้ว...ตำแหน่งรัชทายาทควรจะเป็นองค์ชายจื่อเทามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ!”
“รึเจ้าไม่เห็นล่ะมินซอก เจ้าไม่เห็นความปราดเปรื่องและปัญญาของนางรึ..เจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือว่านางไม่ใช่เพียงสตรีธรรมดา นางฉลาดปราดเปรื่องยิ่งกว่าผู้เป็นพระบิดาเสียอีก..ไม่แปลกหรอกที่นางจะกลายเป็นหัวข้อโต้เถียง..”
“แต่พระองค์...”
“นางรู้จักใช้อำนาจ..เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนางหรอก..” หากนางไม่หลงระเริงไปกับอำนาจนั่นล่ะก็นะ...
“เจ้าคือลู่หานใช่ไหม?”
“ช..ใช่ขอรับ..” ร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าหวานตอบแบบกล้าๆกลัวๆ นี่ตะวันก็ลอยอยู่เหนือขอบฟ้าแล้ว แต่เหตุใดกันบุคคลที่ควรจะอยู่ข้างหน้ากลับเป็นทหารองครักษ์ของทางราชวังผู้มีใบหน้าสวยราวกับสตรีวัยแรกแย้ม อยากรู้เสียเหลือเกินว่าเมื่อไหร่คุณหนูผู้มีพระคุณจะส่งคนมารับ แล้วตนไปทำผิดประการใดถึงมีทหารองครักษ์มาปั้นหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้าเช่นนี้..
“จะไม่ไปกันหรือว่าไร! ฮึ่ย..ถ้าองค์หญิงไม่ทรงรับสั่งมาข้าคงจะส่งเจ้าไปยมโลกเสียประเดี๋ยวนี้!!” องครักษ์ร่างเล็กเอ่ยขึ้นด้วยความครุกกรุ่นในใจ ผิวขาวเนียนดุจหิมะและร่างกายผอมบางช่างไม่สมกับที่เป็นองครักษ์ของทางราชวังเลยแม้แต่น้อย ชั่ววินาทีหนึ่งที่เขาแอบคิดว่าเหตุใดกันหนอ..ทหารองครักษ์ผู้นี้ถึงมีร่างกายผอมบอบบางราวกับบุตรของผู้อำนาจเช่นนี้..
“ข้าหรือขอรับ?” ชี้นิ้วเรียวไปที่ตัวเองอย่างฉงน เหตุใดกันองค์หญิงแห่งราชวงศ์โชซอนผู้สูงส่งถึงทรงส่งทหารองครักษ์มารับเขาเช่นนี้ แม้จะไม่รู้ว่าองค์หญิงพระองค์ใดที่เรียก แต่การที่จะต้องไปตามพระราชประสงค์มันก็สมควรกว่ามิใช่หรือ..
“ใช่..เร็วๆเถอะ ก่อนที่ข้าจะพลั้งมือสังหารส่งเจ้าไปอยู่ปรโลก”
“ขอรับ..” ถือซะว่าเรื่องของคุณหนูซองอึน...เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน...
ราชวังคยองบกดูงามสง่าสมกับที่เป็นที่ประทับของเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์และพระมหากษัตริย์แห่งโชซอน แต่นั่นก็หาได้ตราตรึงใจบุรุษหน้าหวานไม่..ดวงตากวางมองไปรอบๆอย่างสนอกสนใจ เหตุใดกันชนชั้นทาสอย่างเขาถึงได้เข้าวังมา..มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ และหากฟังจากถ้อยคำวาจาที่ทหารองครักษ์ร่างบางเอ่ยแล้ว..องค์หญิงพระองค์นั้นคงจะเป็นสตรีผู้ดูน่าเกรงขามเป็นแน่แท้..
“ข้าคอยอยู่พอดี...บยอน แบคฮยอน เจ้าออกไปได้แล้ว..” วาจาเรียบนิ่งแต่ทรงอำนาจของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของพระตำหนักโฮยอน ทหารองครักษ์และนางกำนัลทั้งหลายโค้งคำนับบุคคลผู้มีฐานันดรศักดิ์สูงกว่า สตรีผู้มีใบหน้าคมคายงดงามราวกับมวลหมู่บุปผาทอดสายตามองไปยังบุรุษหน้าหวานที่พึ่งจะพบเจอกันเมื่อคืนวาน.. ชอโกรีสีน้ำเงินเข้มกับตัดกับชีมาสีขาวสะอาดราวกับเป็นความแตกต่างที่ลงตัว ปิ่นปักผมสีทองประดับด้วยพลอยไพลินดูเด่นสะดุดตา ส่งเสริมให้ผู้พบเห็นรู้ว่า สตรีผู้นี้มียศถาบรรดาศักดิ์เช่นไร..
ดวงตากวางเบิกกว้างเมื่อมองเห็นสตรีผู้ยืนอยู่เบื้องหน้า แท้จริงแล้วสตรีผู้นั้นที่กล่าววาจาว่าให้ส่งคนไปรับเขาคือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์โชซอน... พลันสติที่ล่องลอยไปไกลก็ลอยกลับมาเมื่อได้ยินเสียงสบถแสดงอาการไม่พอใจของทหารองครักษ์ร่างบางผู้ซึ่งกำลังมองเขาปรปักษ์..
“ค..คุณหนู ไม่สิ! องค์หญิงมีเหตุอันใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เกือบจะหลุดปากพูดคำไม่สมควรที่อาจจะทำให้หัวหลุดออกจากบ่า ดวงตากวางสำรวจใบหน้าของสตรีผู้สูงส่ง เพราะเมื่อคืนมีทูรูมากีปิดบังใบหน้า จึงสังเกตอะไรไม่ชัดเจน...พึ่งจะรู้ว่าสตรีผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ตรงหน้ามีผิวขาวแต่ก็ไม่ถึงกับซีด ดวงตาคมดูสง่าผ่าเผยและมีอำนาจ ริมฝีปากสีพีชที่กำลังเหยียดยิ้มเสมือนครั้งแรกที่พบกัน เกศาสีดำขลับเงางาม...
ช่างไร้ที่ติ...
“หึ..เปล่าหรอก ข้าก็เพียงแค่เห็นว่าเจ้าดูเป็นบุคคลมีความสามารถ น่าจะสามารถช่วยงานข้าในบางเรื่องได้..” ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดชั่ววูบนึงแววตาไร้ความรู้สึกกลับดูอ่อนแรงอย่างประหลาด เคยได้ยินตามท้องตลาดอยู่เช่นกันว่าองค์หญิงปาร์ค ซองอึนนั้นเป็นองค์หญิงผู้ปราดเปรื่องไปด้วยปัญญาและไหวพริบ มีใบหน้าสวยคมคายราวกับเทพธิดาจากแดนสุขาวดีอันสวยงาม ใครบอกกันว่าพระราชาฮันจงเป็นผู้ว่าราชการและทำประโยชน์ให้แก่ประชาชน พระมหาราชทรงประชวรหนักมาเกือบ 2 ปีได้แล้ว และเนื่องจากยังหาได้มีการเลือกองค์รัชทายาท ทางฝ่ายขุนนางทั้งหลายจึงหาลือกันให้องค์หญิงซองอึนผู้เต็มไปด้วยพรสวรรค์ว่าราชการแทนตลอด 2 ปีที่ผ่านมา...
แต่องค์หญิงซองอึนหาได้เป็นพระราชธิดาของพระมเหสีแต่อย่างใด พระองค์เป็นพระราชธิดาของพระราชาและพระสนมปาร์คฮวาบินต่างหาก...
“ช่วย? ช่วยพระองค์น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“หึ เดี๋ยวเจ้าก็คงจะรู้เอง..”
“ฝ่าบาท..องค์หญิงซองอึนมีปัญญาเฉลียวฉลาด เหมาะที่จะเป็นองค์หญิงรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” คิม มินวู กราบทูลมหาราชแห่งโชซอนด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวาน ในท้องพระโลงขนาดใหญ่ ขุนนางฝ่ายคังซาต่างกราบทูลไปในทางเดียวกัน องค์หญิงปาร์ค ซองอึน มีความฉลาดปราดเปรื่องและเต็มไปด้วยเล่ห์กล จึงหาได้แปลกไม่ที่จะถูกโยงเข้าไปในสงครามเย็นระหว่างพวกขุนนาง
“กราบทูลฝ่าบาท..แต่เดิมนั้นพระสนมฮวาบินเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา องค์หญิงซองอึนจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นองค์หญิงรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ เราควรแต่งตั้งองค์ชายจื่อเทา ซึ่งเป็นพระโอรสของพระมเหสีเป็นองค์รัชทายาทนะพ่ะย่ะค่ะ!” อู๋ หลี่ฟาน ผู้นำของฝ่ายคังจากราบทูลไปในทิศทางตรงกันข้าม ต้องมีอำนาจ...นั่นคือกฎของการที่จะสามารถอยู่รอดในวังหลวงที่มีแต่การแกร่งแย่งอำนาจกัน ต้องมีอำนาจ..และแน่นอน..
ว่าต้องรักษาอำนาจไว้ให้ได้..... กฎข้อนี้ขุนนางทั้งหลายรู้ดี..
และองค์หญิงซองอึนก็ทรงรู้เช่นกัน...
55%
เสียงสายลมที่พลัดผ่านนำพาความหนาวเหน็บยะเยือกใจมาให้สตรีผู้ดูสง่า แต่หัวใจอันด้านชาหาได้มีความรู้สึกใดไม่ ฤทัยดวงน้อยๆยังคงนิ่งสงบไร้เสียงการเต้นราวกับตายไปแล้ว แต่มิใช่...นางนารีผู้เลอโฉมผู้นี้เพียงแค่มีจิตใจด้านชาไร้ความรู้สึกและไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งนั้น ความรักเหรอ..มันคือสิ่งใดล่ะ? นางไม่รู้จัก... ความเศร้าโศกงั้นเหรอ? มันคืออะไรล่ะ? กินได้รึไม่? ความอบอุ่น? มิตรภาพ? ครอบครัว? ความไว้ใจ? ความเชื่อใจ?....
นางไม่เคยรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นหรอก...
หากต้องการมีชีวิตรอดอยู่ในวัง..ทางเดียวคือต้องมีอำนาจ..
และต้องรักษาอำนาจไว้ให้ได้..
“องค์หญิงเพคะ.. ใต้เท้าจงแดทูลขอเข้าเฝ้าเพคะ..” เสียงของนางกำนัลคนสนิทดังขึ้นท่ามกลางความหนาวเหน็บในสวนพฤกษานานาพันธุ์ของตำหนักโฮยอน โฮยอนที่หมายถึงขาวบริสุทธิ์...ขาวบริสุทธิ์งั้นรึ!? หึ...ตรงไหนกันล่ะ? มันมีแต่เปื้อนไปด้วยโลหิตสีแดงฉานและมลทินต่างหากล่ะ เหล่าข้าราชการในวังต่างก็รู้ดี..เพียงแค่นางผู้เลอโฉมกระดิกนิ้ว ก็ได้สิ่งที่ใจปรารถนา...องค์หญิงซองอึนเป็นสตรีผู้ฉลาดปราดเปรื่อง นางคือผู้ว่าราชการแทนพระบิดาที่ทรงประชวร..และแน่นอนว่านางเคร่งในกฎระเบียบของราชวัง...นางไม่เคยละเว้นโทษให้ใคร องค์หญิงซองอึนดูเป็นเพียงสตรีผู้ฉลาดปราดเปรื่องและยุติธรรม แต่มนุษย์เมื่อมีด้านสว่างก็ย่อมมีด้านมืดควบคู่กันไป.. แน่นอน....องค์หญิงซองอึนคือหนึ่งในผู้แสวงหาอำนาจ และนาง...อำมหิต... ด้านมืดของนางที่มีเพียงแค่คนสนิทเท่านั้นที่รู้...
“ชอนซังกุง บอกให้ใต้เท้าไปรอข้าที่ศาลาริมน้ำ..และห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน ประเดี๋ยวข้าจะตามไป..” ริมฝีปากสีพีชเผยอพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ แน่นอนว่าซังกุงคนสนิทย่อมได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ
ศาลาริมน้ำสถานที่พักผ่อนที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นชาชั้นดีและกลิ่นมวลบุปผานานาพันธุ์ ดวงตาเรียวเหม่อจ้องมองผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางสายลม ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เขาถูกจองจำด้วยดวงตาคมหลงเสน่ห์คู่นั้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขายอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อประสงค์จะได้พบเจ้าของดวงตาคมคู่นั้น เหยียดยิ้มมุมปากอย่างนึกสมเพชตัวเอง...
“ข้าให้ท่านรอนานไปรึไม่ ใต้เท้า?” เสียงหวานนุ่มละมุนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ดวงตาเรียวที่เหม่อลอยเบนสายตามามองสตรีผู้สูงศักดิ์ ยืนขึ้นโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะกลับไปนั่งที่ของตน ใบหน้าเรียบเฉยของนารีผู้เลอโฉมไม่อาจลดความงามเหนือมนุษย์บนใบหน้าให้ลดลงได้ ช่างงดงามเสียจริง...
“ไม่หรอกขอรับ..” ไม่นานหรอก...นี่แค่ 1 ชั่วยามเอง...มากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว..
สิ้นสุดคำตอบเท็จที่พูดลั่นวาจาไปหมาดๆ มือบอบบางเรียวเล็กก็หยิบซองกระดาษสีเนื้อขึ้นมาวางไว้บนห้องรับรอง ริมฝีปากสีพีชเหยียดยิ้มเล็กน้อยตามประสา ดวงตาคมมองไปที่ใต้เท้าคนสนิทโดยไม่แม้แต่จะละสายตา มิต้องลั่นวาจาใต้เท้าจงแดคนสนิทก็รู้ว่าตนต้องทำเช่นไร
“ข้าคิดว่างานนี้ค่อนข้างอันตรายน่ะขอรับ ให้เด็กนั่นไปมันจะ...”
“ไม่อันตรายหรอก สำหรับ โด คยองซู งานนี้มันยังแค่เล็กน้อยเท่านั้น...” ใบหน้านิ่งสนิทปกปิดความรู้สึกส่วนลึกไว้ จิตใจว่างเปล่าไร้ความรัก มิตรภาพ ความคิดถึง ความห่วงใย สิ่งที่เธอปกปิดไว้...คือความมืดที่ยิ่งนานมันก็ยิ่งเกาะกุมไปทั้งหัวใจ ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าการที่ให้เด็กหนุ่มวัย 15 มาทำงานแบบนี้นั้นมันบาปและผิดมหันต์ แต่จะให้ทำเยี่ยงไร...ในเมื่อทุกอย่างมันจะเริ่มต้นขึ้นไม่ได้ถ้าคนทำไม่ใช่คยองซู.......
“จงแด การเมืองก็เสมือนการเล่นหมากรุก เมื่อใดที่เดินพลาด...นั่นหมายถึงจุดจบ...”
“นั่นสินะ และจุดจบมันไม่เคยสวยงาม...แต่มันจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เรื่องนี้กระหม่อมรู้ดี..”
กระหม่อมรู้ดี..และกระหม่อมจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น...
เด็ดขาด...
ความคิดเห็น