คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ลำดับตอนที่ 4
บทที่ 3
ณ... หอคอยแห่งราตรีกาล
"อะ... อืม... ที่นี่ที่ไหนเนี่ย..."
เสียงครางอย่างแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากปากของเจ้าหญิงแห่งมหานครเซราฟ นางค่อยๆ ลืมดวงเนตรงามขึ้นช้าๆ แล้วฉับพลันดวงเนตรสีน้ำนมของนางก็ไปพบกับดวงตาสีฟ้าอมเขียวประดุจสีของท้องทะเลลึกที่ดูเหมือนจะแฝงแววเศร้าๆ ซึมๆ เอาไว้ด้วยของใครบางคนเข้า นางสะดุ้ง พลางรีบยันกายลุกขึ้นนั่งทันที พลางจับจ้องมองเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างหวาดระแวง แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรแม้แต่น้อยในการที่เห็นนางสะดุ้งตื่นพรวดพราดขึ้นมาแบบนี้ และท่าทีของเขาก็เงียบๆ นิ่งๆ ดูท่าทางไม่มีพิษมีภัยอะไรเท่าไหร่ เขาเหลือบสายตามามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
"ตื่นแล้วรึ เจ้าหญิง ตื่นซะได้ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องนั่งเฝ้าท่านอีก น่าเบื่อจะตาย..." ว่าแล้วเขาก็ขยับจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง แต่ก็หยุดชะงักเมื่อเสียงใสๆ ของเด็กสาวเรียกเอาไว้ซะก่อน
"เดี๋ยวสิ เจ้าเป็นใคร แล้วที่นี่มันที่ไหน แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้ว..." นางตั้งท่าจะถามต่อไปอีก ถ้าไม่มีเสียงๆ หนึ่งมาขัดจังหวะไว้ซะก่อน
"หยุด... ถ้าคิดจะถามคำถามคนอื่นน่ะ ก็ถามทีละคำถามสิ ถามรัวอย่างกับกระสุนปืนกลแบบนี้ใครจะไปตอบทัน..." แล้วเด็กหนุ่มแปลกหน้าก็ถอนใจออกมาเบาๆ อย่างปลงอนิจจัง พลางเดินกลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงที่เจ้าหญิงเอวาเนสนอนอยู่ตามเดิม แล้วจึงเริ่มตอบคำถามของนาง
"คืออย่างนี้... ข้าชื่อ อัลเบิร์ต เป็นบุตรชายคนเดียวของท่านจอมปีศาจแห่งรัตติกาล ท่านพ่อของข้าเป็นคนลักพาตัวท่านมาที่นี่ และที่นี่ก็คือหอคอยแห่งราตรีกาล ไม่เคยมีแสงตะวันส่องผ่านเข้ามาในนี้ได้ และที่นี่ก็อยู่อีกมิติหนึ่ง ไม่ใช่มิติของท่าน เพราะฉะนั้นถึงท่านจะหนีออกจากหอคอยนี้ไปได้ แต่ท่านก็ไม่มีทางกลับไปยังมิติของท่านได้หรอก ข้าขอเตือนไว้ หากไม่มีใครพาท่านกลับไป ท่านก็กลับไปไม่ได้ยังมิติของท่านอีกเลย" อัลเบิร์ตตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เรื่อยๆ แต่ความหมายของคำพูดนั้น ทำเอาเจ้าหญิงน้อยซึ่งกำลังหาทางหนีทีไล่อยู่ถึงกับอึ้งกิมกี่ไปเลย ...ก็พ่อคุณเล่นพูดดักไว้หมดทุกทาง แล้วจะหนีไปทางไหนได้วะเนี่ย...
ฝ่ายอัลเบิร์ตเองนั้น ก็กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน ...นี่นะรึเจ้าหญิงแห่งมหานครเซราฟ ไม่นึกว่าจะเหมือนกันได้ถึงเพียงนี้ มิน่าล่ะ ท่านพ่อถึงได้...
ฉับพลันเสียงทุ้มๆ นุ่มๆ แต่แฝงไปด้วยอำนาจของใครบางคนก็ดังขึ้นที่หน้าประตูซึ่งปิดสนิทอยู่ กระแสเสียงนั้นไม่มีแววของการข่มขู่เลยแม้แต่น้อย แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มได้ยิน สีหน้าสบายๆ ของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที...
"อัลเบิร์ต เดี๋ยวตามพ่อลงไปข้างล่างหน่อยนะลูก พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย เกี่ยวกับอะไรเจ้าก็คงจะรู้อยู่แล้ว"
แล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินลงบันไดไป เจ้าหญิงเอวาเนสละสายตาจากประตูไปจับอยู่ที่อัลเบิร์ต ซึ่งทำหน้าเครียดผิดกับเมื่อกี้นี้โดยสิ้นเชิง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมาบอกเจ้าหญิงเอวาเนสว่า
"เดี๋ยวข้ากลับมาคุยด้วยอีกนะ รอแป๊บนึงก็แล้วกัน"
แล้วเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู แล้วจึงเดินลงไปข้างล่างอย่างเงียบๆ เมื่อเขาเดินมาถึงห้องนั่งเล่นแล้ว เขาก็พบพ่อของเขานั่งรออยู่ก่อนแล้วที่โซฟา เขาจึงเดินไปนั่งลงที่โซฟาตัวข้างๆ พ่อของเขา แล้วจึงพูดขึ้นว่า
"ท่านพ่อ ข้ารู้ดีว่าท่านจะพูดอะไรกับข้า แต่ข้าก็จะขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายว่า ข้าก็ยังคัดค้านการกระทำของท่านอยู่เหมือนเดิม และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!"
กระแสเสียงแน่วแน่และจริงจังที่หลุดออกมาจากปากของบุตรชายคนเดียวอันเป็นที่รัก ทำให้ผู้เป็นพ่อแทบจะลมใส่เอาซะตรงนั้น ในเมื่อเขาพูดเท่าไหร่ๆ เจ้าลูกชายตัวดีมันก็ยังคัดค้านอยู่เหมือนเดิม นี่ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงฆ่าไปนานแล้ว แต่นี่คนที่คัดค้านกลับเป็นลูกชายสุดที่รัก ทำให้เขาทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากถอนใจเฮือกๆ
"เฮ้อ... เมื่อไหร่เจ้าจะเข้าใจพ่อซะทีนะอัลเบิร์ต เอาเถอะ... เมื่อใดที่เจ้ามีความรักฉันท์หนุ่มสาว เจ้าก็คงจะเข้าใจพ่อเอง... ไปดูแลเจ้าหญิงเถอะ แต่พ่อขอบอกไว้ก่อนนะว่า ยังไงพ่อก็ไม่มีวันเปลี่ยนความตั้งใจเป็นอันขาด"
กระแสเสียงหนักแน่นมั่นคงของผู้เป็นพ่อ ที่ย้ำเน้นมาในประโยคหลังนั้น ทำให้อัลเบิร์ตซึ่งกำลังจะเดินกลับขึ้นไปข้างบนชะงักฝีเท้าไปชั่วครู่ แล้วจึงสาวเท้าขึ้นบันไดไปตามเดิมกับที่ตั้งใจไว้ ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อมองตามหลังไปอย่างอิดหนาระอาใจ...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ณ... ห้องพักของเจ้าหญิงเอวาเนส
ในขณะที่อัลเบิร์ตกำลังเถียงกับผู้เป็นพ่ออยู่นั้นเอง เจ้าหญิงเอวาเนสก็กวาดสายพระเนตรไปรอบๆ ห้อง ...อืม ก็น่าอยู่ใช้ได้เหมือนกันนี่ นึกว่าในหอคอยแห่งราตรีกาลจะมีแต่ห้องมืดๆ ทึมๆ ซะอีก แต่นี่ห้องกลับเป็นสีชมพูกับสีขาว สีที่ข้าชอบซะอีก เอ๊ะ! นั่นมันอะไรน่ะ... เด็กสาวคิด พลางเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบรูปใบหนึ่งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ เตียงขึ้นมาทอดพระเนตร ในรูปถ่ายใบนั้นมีคนอยู่สองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง บุรุษผู้นั้นมีดวงหน้าคมเข้มมีเสน่ห์ เส้นผมสีดำสนิทและดวงตาสีฟ้าอมเขียวเช่นเดียวกับอัลเบิร์ต ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนสตรีในรูปนั้นก็มีความงดงามยากที่จะหาใครเทียม แต่เมื่อนางมองจ้องไปนานๆ นางก็พบว่าสตรีในรูปนั้น...
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"
เสียงกรีดร้องที่ดังมาจากในห้องนั้น ทำให้อัลเบิร์ตผู้ซึ่งเดินมาถึงหน้าห้องแล้วกำลังจะเปิดประตูเข้าไปสะดุ้งสุดตัว แล้วเขาจึงรีบเปิดประตูห้องเข้าไปโดยเร็ว เมื่อเขาเข้าไปถึงก็พบว่า...
เจ้าหญิงคนงามนั่งวรกายสั่นอยู่บนเตียง พระเนตรสีน้ำนมคู่งามเบิกโพลงอย่างตกใจสุดขีด สายตาจับจ้องอยู่ที่รูปใบนั้น ซึ่งนางปาทิ้งไป ตอนนี้มันตกอยู่บนพื้นที่มุมห้อง อัลเบิร์ตขมวดคิ้ว แล้วจึงรีบเดินเข้าไปหานาง พลางร้องเรียกเบาๆ
"เจ้าหญิง ท่านเป็นอะไรไปรึ" เขาถามด้วยความฉงน ...ก็ในห้องนี้มันไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าตกใจกลัวเลยนี่นา... นางหันควับมาจ้องหน้าเขา แล้วจู่ๆ นางก็โผเข้ากอดเขาซะดื้อๆ ทำเอาเขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ เมื่อตั้งสติได้เขาจึงดันตัวนางออก พลางก้มลงมองพระพักตร์งามที่เริ่มซีดขาวด้วยความตกใจกลัวอะไรบางอย่าง เขาจึงนั่งลงบนเตียงข้างๆ นาง พลางดึงวรกายบางไปกอดอย่างปลอบประโลม สักพักนางก็ตั้งสติได้ พลางผละออกจากอ้อมกอดของเขา แต่ในดวงเนตรงามก็ยังคงมีแววหวาดหวั่นแฝงอยู่ เขาจึงค่อยๆ เริ่มถามนางใหม่อย่างอ่อนโยน
"เจ้าหญิง ท่านกลัวอะไรงั้นรึ ไหนลองบอกข้ามาสิ"
เจ้าหญิงเอวาเนสมองหน้าเขา แล้วก็ก้มพระพักตร์งามลงต่ำ และบอกกับเขาว่า
"ไหนท่านลองบอกข้าสิ ว่าสตรีในรูปที่ตกอยู่ที่มุมห้องนั้นคือใคร ทำไมนางถึง..."
ตรัสยังไม่ทันจบ สุรเสียงเบานุ่มก็แหบเครือและหายเข้าไปในลำคออย่างรวดเร็ว นางเริ่มวรกายสั่นอีกครั้ง พลางยกพระหัตถ์เรียวงามขึ้นปิดพระพักตร์ไว้ อัลเบิร์ตขมวดคิ้ว แล้วจึงเดินไปหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดู เขาชะงักไปนิดหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าอมเขียวคู่นั้นเปล่งประกายอะไรบางอย่างที่บุคคลอื่นไม่มีวันจะเข้าใจได้ นอกจากตัวของเขาเอง แล้วเขาก็เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม พลางต่อคำถามที่เจ้าหญิงเอวาเนสพูดค้างไว้
"...ทำไมนางถึงมีหน้าตาและรูปร่างลักษณะเหมือนกับท่านทุกอย่างน่ะหรือ... เอาล่ะ ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง... สตรีในรูปนี้ก็คือท่านแม่ของข้าเอง นางมีนามว่า มอร์แกน นางเป็นผู้หญิงที่ใจดีมีเมตตามากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมา ท่านพ่อของข้ารักนางมาก รักมากเสียจนเมื่อนางตายจากไปด้วยฝีมือของเพื่อนสนิทที่ท่านพ่อรักที่สุด ด้วยเหตุเพียงเพราะนางเป็นลูกสาวศัตรูเพื่อนสนิทของท่านพ่อ ท่านพ่อถึงต้องเป็นแบบนี้ เป็นผู้ที่ไม่เคยรักใครอีกเลยนอกจากลูกชายคนเดียวอย่างข้า เที่ยวทำร้ายเข่นฆ่าผู้คนไปทั่ว จนถูกตั้งฉายาว่าปีศาจแห่งรัตติกาล ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะ..."
น้ำเสียงที่ฟังดูเคียดแค้นของอัลเบิร์ตชะงักไปเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรต่ออีกแล้ว เจ้าหญิงเอวาเนสเองก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ เพราะแค่เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจ ทั้งสองจึงนั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้น โดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรกันอีกเลยแม้แต่คำเดียว...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ณ... พระราชวังโรรีอัส
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่พระราชวังโรรีอัสก็กำลังเกิดเรื่องใหญ่ เพราะด้วยเหตุที่เจ้าหญิงเอวาเนสถูกลักพาตัวไป จึงต้องเลื่อนงานฉลองวันประสูติของพระราชาออกไปก่อน แต่มันก็ส่งผลให้เหล่าอาณาประชาราษฎร์พากันสงสัยไปตามๆ กัน แต่พวกราชนิกูลทั้งหลายก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากการนำตัวว่าที่พระคู่หมั้นของเจ้าชายเคอัสกลับมาให้เร็วที่สุด ราชาคาตัสและราชินีวีเลล่ารีบแจ้งข่าวร้ายนี้ไปยังมหานครเซราฟทันทีเพื่อเรียกประชุมหาหนทางแก้ปัญหาโดยเร็ว ราชาทราดัสเมื่อทราบข่าวก็รีบเสด็จมายังมหานครโรรีอัสทันที และตอนนี้ทุกคนก็รวมกันอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่
"นี่เรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไง ลูกข้าไปทำอะไรให้มันงั้นรึ ทำไมมันถึงไม่จับตัวข้าไปแทนนะ..."
ประโยคหลังนั้นตรัสกับตนเองแผ่วเบา แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสตรีนางหนึ่งได้ยินเข้าพอดี สตรีนางนั้นก็คือมาเรียนนั่นเอง นางจับจ้องมองราชาทราดัสด้วยความฉงน ดวงตาสีเปลือกไม้คู่งามส่อแววครุ่นคิด ริมฝีปากสีชมพูอิ่มเต็มเม้มนิดๆ อย่างไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ซึ่งบังเอิญเจ้าชายอีลาสก็เพิ่งจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างนี้เหมือนกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา ได้แต่เก็บความรู้สึกงุนงงระคนสงสัยไว้ภายในใจ
“มาเรียน... เจ้ารู้สึกเหมือนข้ามั้ย ว่ากระแสเสียงของท่านพ่อน่ะฟังดูแปลกๆ อย่างไรก็ไม่รู้ เหมือนกับว่าท่านทรงทราบเรื่องอะไรบางอย่างแล้วท่านไม่ยอมบอกพวกเราอย่างงั้นแหละ...”
เจ้าชายอีลาสตรัสถามมาเรียนเบาๆ เหมือนจะขอความคิดเห็นทันทีที่เดินออกมาจากท้องพระโรงใหญ่ เด็กสาวก้มหน้านิ่ง พลางกัดริมฝีปากเบาๆ ...ก็นี่แหละปัญหาที่นางคิดไม่ตกอยู่ตอนนี้ ก็ในเมื่ออยากจะช่วยบุตรี แล้วเหตุอันใดถึงไม่ยอมบอกในสิ่งที่ทรงทราบเล่า...
“หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกับองค์ชายเพคะ แต่องค์ราชาท่านคงจะมีเหตุผลของท่านเองน่ะเพคะ... ท่านพ่อเคยเล่าให้ข้าฟังว่า คนที่เป็นกษัตริย์ เป็นผู้นำ หากคิดที่จะทำอะไรต้องมีเหตุผลเสมอเพคะ... ช่างเถิดเพคะ เมื่อใดที่ท่านต้องการที่จะบอก ท่านก็คงจะบอกพวกเราเอง ไม่ต้องไปบังคับท่านหรอกเพคะ... พวกเราไปในเมืองกันดีกว่าเพคะ จะได้สบายใจขึ้นไงเพคะ”
ว่าแล้วนางก็เดินนำไป เจ้าชายอีลาส เจ้าชายเคอัส และมาร์คัสจึงเดินตามไปด้วย ทั้งสามหารู้ไม่ว่ามีบุรุษผู้หนึ่งแอบได้ยินคำพูดของพวกเขาโดยตลอด บุรุษผู้นั้นถอนใจยาว แล้วก็เดินแยกไปอีกทางอย่างเงียบๆ...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น