คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่1
1
[
“ไปเรียนก่อนนะคะ...”ฉันส่งเสียงอำลาความว่างเปล่าภายในบ้านก่อนจะปิดประตูไม้ของคฤหาสถ์สไตล์ยุโรป ฉันต้องเรียกมันว่าคฤหาสถ์เพราะมันมีลักษณะเหมือนวังของเจ้าหญิงในนิทานขนาดย่อมๆ (ที่ใหญ่จนพอจะให้คนทั้งหมู่บ้านมาพักอาศัยได้โดยไม่อึดอัดแม้แต่น้อย) นี่เป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ของฉันเหลือไว้ให้และตั้งใจจะพาฉันมาเห็นด้วยตาตัวเองในวันนั้น
วันที่ตาของฉันพร่ามัวไปด้วยสายฝนและหยดเลือด
ถึงจะเป็นคฤหาสถ์ที่ใหญ่เวอร์จนไม่น่าจะอาศัยอยู่คนเดียวอย่างเห็นแก่ตัว แต่เชื่อเถอะว่าฉันอยู่คนเดียว...และแน่นอน ในละแวกนี้ก็มีแค่บ้านฉันบ้านเดียว ตลกมั๊ยล่ะ = =
ตอนแรกมันก็เป็นคฤหาสถ์ที่ครึกครื้นและสนุกสนานเต็มไปด้วยผู้คนทั้งแม่บ้าน คนสวน คนขับรถแต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นทุกคนก็พากันย้ายออกเมื่อได้ยินข่าวว่า
รถของเจ้านายชนเข้ากับรถขนตุ๊กตาอลิส เทียส์ที่โจทย์จันไปทั่วทั้งเมือง!
พวกเขาโบกมือลาฉันแทบจะในทันทีที่รู้ข่าว...ซึ่งฉันเข้าใจพวกเขาดี
“ทำไมทำหน้าเบื่อโลกแต่เช้าเลยล่ะคนสวย”จิลเลี่ยน ผู้ชายที่ร่าเริงและแสนจะเจิดจ้าราวกับพกเอาไวรัสแห่งความสดใสไว้กับตัวตลอดเวลาถือวิสาสะเอาแขนพาดคอฉันอย่างอารมณ์ดี
“นายคิดว่าฉันควรจะเดินยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้าเดินไปเดินมาเหมือนนายหรอ...”ฉันกรอกตาอย่างเอือมระอา จริงๆฉันก็ไม่ใช่คนมืดมนไม่ยิ้มไม่หัวเราะเลยหรอกนะแต่ว่าฉันไม่ค่อยได้มีโอกาสยิ้มหรือหัวเราะกับเพื่อนๆแบบสาวๆทั่วไปซักเท่าไหร่ และการยิ้มการหัวเราะคนเดียวก็ไม่ใช่สไตล์ฉันซะด้วยสิ
“หูยเจ็บเลย...ไม่ใช่ให้ยิ้มคนเดียวหัวเราะคนเดียวสักหน่อย อย่างน้อยก็ยิ้มให้ฉันนี่ไง...นี่อะไรเจอกันแต่ละทีเอาแต่ทำหน้าเหม็นเบื่อ แห้งแล้งชิบ”ฉันถอนหายใจก่อนจะหันไปยิงฟันใส่เขาน้อยๆ
เห็นแก่ที่อุตส่าห์ยอมลงทุนเดินมารับฉันถึงที่นี่นี่นา
คฤหาสถ์...เอ่อ เอาเป็นว่าบ้านของฉันตั้งแทบจะสุดทางถนนซึ่งอยู่บนเขาและแน่นอน การเดินกลับบ้านทุกวันของฉันจึงเป็นการเดินที่ทรหดมากโดยเฉพาะหน้าร้อน!
“ขี้เหร่ว่ะ...”คนข้างๆฉันกรอกตาอย่างหงุดหงิดก่อนจะชะงัก เขาหยุดยืนตรงก่อนจะโค้งให้กับเสาหลักกิโลบอกเลขไมล์ถนนที่มีช่อดอกเดซี่วางอยู่ช่อนึง “พวกเราไปเรียนแล้วนะคร๊าบบคุณลุงคุณป้า”
ตรงนี้เป็นจุดเกิดเหตุที่พ่อของแม่ของฉันเสียชีวิต...
“ประสาท”ฉันส่ายหัวอย่างเอือมระอากับท่าทางเว่อร์ๆล้นๆของเขาก่อนจะหันไปยิ้มให้กับช่อดอกไม้นั้นน้อยๆ เอ่อ ไม่ใช่ฝีมือของฉันหรอกนะ...ฉันเดาว่าคงจะเป็นจากใครซักคนหนึ่งที่รู้จักพ่อกับแม่ฉัน หรืออาจจะเป็นญาติของคนขับรถอีกคันก็ได้
“เค้าเรียกคนมีมารยาทเว้ย...เอาเถอะเร็วๆเข้ารถบัสรับส่งเที่ยวต่อไปจะมาแล้ว”จิลเปลี่ยนมาจับข้อมือฉันก่อนจะลากให้วิ่งไปรอรถบัสที่ป้ายรอรถ นี่เป็นอีกเหตุผลนึงที่ฉันคิดว่าฉันควรจะทำใบขับขี่เร็วๆนี้ เหนื่อยเป็นบ้าL
ฉันไม่ค่อยเข้าใจในตัวนิโคไล ฮาลเลอร์เลยซักนิดบางทีเขาก็ทำตัวเหมือนไม่รู้จักฉัน แต่บางทีเขาก็...เดินเข้ามาหาฉันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างตอนนี้
“พ่อให้ถามว่าเธอจะว่างเมื่อไหร่...”เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆพร้อมท่าทางที่บ่งบอกว่ารำคาญเต็มทน เขาสูงกว่าฉันราวๆเกือบ 10 เซนฯดังนั้นเวลาคุยกันฉันจึงต้องเงยหน้าอยู่ตลอด ดังนั้นฉันเลยได้เห็นหน้าเขาใกล้ๆก็เป็นมุมเงยหรือเวลาที่เขาก้มลงมามองเท่านั้น นิโคไลมีดวงตาเรียวคมเหมือนอินทรีย์ที่แสนดุดัน แถมใบหน้าได้รูปของเขาก็รับกับจมูกโด่งที่แสนเพอร์เฟ็ค รับกับผมสั้นซอยระต้นคอ เขาเป็นลูกครึ่งเอเชียเหมือนกันกับฉันแต่เราต่างกันมากในเรื่องส่วนสูง
ซึ่งฉันว่ามันน่าอิจฉาแบบสุดๆ
“ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรอ...”เขาท้วงเมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบคำถามเขาเสียที “พ่อฉันถามว่าเธอจะว่างตอนไหน...เธอต้องเอ่อ เช็คสภาพของมันหน่ะ”เขาชี้มาที่ผ้าปิดตาและมองต่ำลงมายัง....เอ่อ
เรื่องนั้นช่างมันเถอะ -//////-
“อ๋อ...ฉันต้องไปให้ปากคำอีกครั้งที่โรงพักน่ะ...เอาเป็นหลังจากนั้น”ฉันนึกทบทวนว่าตัวเองจะต้องไปไหนหรือเปล่าแต่ก็ลืมไปซะสนิท
ฉันไม่ได้มีธุระอะไรมากมายขนาดนั้นนี่เนอะ...
“โอเค...ตามนั้น”เขาพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเดินไปยังทิศทางที่เพื่อนของเขายืนรออยู่ ดูเหมือนพรรคพวกของเขาจะสนใจการพูดคุยระหว่างฉันกับนิโคไลน้อยๆ แต่แน่นอนไม่มีใครอยากยุ่งเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับฉันมากนักหลังจากเหตุการณ์การตายปริศนาของเมแกน ฮาร์เปอร์ผู้หญิงที่ทุกคนลงความเห็นว่าโดนฉันสาป
ไร้สาระนะว่ามั๊ย...
“นี่...มนุษย์หินอย่างหมอนั่นมาคุยอะไรกับเธออ่ะ”อ้อ ยกเว้นไว้คนนึง = = จิลยื่นเบอร์เกอร์ให้ฉันก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปยังทิศทางที่นิโคไลและเพื่อนยืนอยู่
“ลุงเอ็ดเวิร์ดน่ะ...ถึงเวลาตรวจเช็คสภาพอะไหล่ของฉันแล้ว...”ฉันยักไหล่ก่อนจะหันมาสนใจเบอร์เกอร์เนื้อชิ้นโตตรงหน้า
“เธอคือแม่มดอลิสที่พวกเขาพูดถึงกันหรือเปล่า…”
“แค่กๆ!...”จิลถึงกับสำลักน้ำเมื่อเสียงหวานของคนตรงหน้าดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว “จะมาป่วนหรือไงวะ!”จิลลุกขึ้นถลึงตาใส่สาวน้อยน่ารักตรงหน้าอย่างโมโห
“ตอบมาเถอะใช่หรือเปล่า ^^”ผู้หญิงคนนั้นยังคงส่งยิ้มน่ารักน่าชังมาทางฉัน และไม่สะทกสะท้านต่อสายตาดุดันของจิลเลยแม้แต่น้อย ฉันมองยัยผมบลอนด์ตาฟ้านั่นหน่อยๆก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ใช่ฉันคืออลิส...แต่ฉันไม่ใช่แม่มดหรอกนะ..”ฉันบอกเธอเนือยๆก่อนจะกัดเบอร์เกอร์อย่างทุลักทุเล
“งั้นเหรอ...งั้นเธอ...ช่วยฆ่าคนคนหนึ่งให้ฉันหน่อยสิ...”
“แค่กๆๆ!...ห้ะ O[]o”
“ขอโทษนะ...แต่ฉันมีธุระเลิกตามฉันเถอะ”ฉันหันไปบอกเซเลน่า อลอนโซยัยผู้หญิงที่เอาแต่ยิ้มแล้วยังตื้อขอร้องให้ฉันช่วยเธอให้ได้
“เธอก็ช่วยฟังเรื่องของฉันหน่อยสิ...”ยัยอลอนโซช่างยิ้มยังคงเดินตามฉันต้อยๆพร้อมกับพยายามตามตื้ออย่างไม่ลดละ ในเวลาแบบนี้ฉันล่ะเห็นความสำคัญของการมีจิลอยู่กวนประสาทข้างตัวจนได้ ก็หมอนั่นน่ะดันมีนัดออกงานสังคมกับครอบครัว
ตามประสาครอบครัวคนดังล่ะนะ...
“ขอโทษนะ ฉันฆ่าใครไม่ได้ ถึงทำได้ก็จะไม่ทำ = =;”ฉันกรอกตาอย่างหงุดหงิดก่อนจะโบกมือให้รถคันสีขาวคุ้นตา
“นิโคไลงั้นหรอ…”ยัยนั่นพึมพำอะไรบางอย่างซึ่งนาทีนี้ฉันไม่สนใจแล้วล่ะ
“ขอโทษนะ ฉันต้องไปทำธุระของฉันแล้ว...ล้มเลิกความคิดนั้นซะหรือไม่ก็ไปหาคนอื่นซะเถอะ...บาย”
ฉันรีบเข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับทันทีโดยไม่รอฟังยัยนั่นอีกต่อไป...มีอย่างที่ไหนมาขออะไรประหลาดแบบนั้น บอกฉันที่ว่านั่นน่ะความคิดของสาวสวยวัย 20
“เธอต้องรีบอะไรขนาดนั้นเลยหรือไง...”พลขับจำเป็นของฉันเอ่ยถามเรียบๆตามสไตล์ของเขา ฉันส่งยิ้มแหยให้เขาน้อยๆก่อนจะดึงเข็มขัดมาคาดเงียบๆ
“ฉันเจอคนประหลาดน่ะ”ฉันตอบแบบขอไปทีก่อนจะเอนตัวพิงพนักพิงอย่างเหนื่อยๆ
“จะมีใครประหลาดไปกว่าเธอหรือไง”หมอนั่นส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะหันไปสนใจทางข้างหน้าต่อ และจากนั้นเราก็เงียบกันไปตลอดทาง
“สรุปว่าตอนนั้นคุณอยู่กับมิสเตอร์วอลเตอร์และครอบครัวของเขาตั้งแต่ ตอนเย็นจนถึงเช้าเลยอย่างนั้นสินะครับ...”เจ้าหน้าที่แอนเดอร์สันทวนคำตอบของฉันอีกครั้ง
“ค่ะ พอดีว่าฉันไปทานข้าวกับคุณพ่อของเขาและบังเอิญฝนตกฉันเลยยังติดอยู่ที่นั่น กว่าฝนจะหยุดตกก็ดึกเกินกว่าฉันจะกลับเองคนเดียวหรือรบกวนให้ที่บ้านเขามาส่งเพราะทางที่บ้านฉันค่อนข้างอันตรายค่ะ”ฉันอธิบายอย่างไม่รีบร้อน เขาจดตามที่ฉันบอกก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“แล้วอืม...คุณรู้จัก คอนเวย์ เจฟเฟอร์สัน ใช่มั๊ยครับ”เจ้าหน้าที่ถามต่อ
“ไม่มีใครในอีรอส ไม่สิ ทั้งคอนลินครอสเลยดีกว่า ...ไม่มีใครไม่รู้จักทายาทคนเดียวของนายกเทศบาลของเมืองนี้หรอกค่ะ”ฉันตอบก่อนจะนึกไปถึงใบหน้าหยิ่งยะโสของคนที่ได้ชื่อว่าผู้ยิ่งใหญ่ของเมือง
“แล้วรู้จักกันเป็นเชิงส่วนตัวมั๊ยครับ...”ฉันส่ายหน้าน้อยๆ
“ขอบคุณคุณมากครับมิสเอมส์...”นั่นแปลว่าหน้าที่ของฉันกับเรื่องยุ่งนี้จบลงแล้วสินะ “ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม...”
“ติดต่อฉันได้เสมอค่ะ”ฉันส่งยิ้มให้เขาก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและก้าวออกจากห้องสืบสวนด้วยท่าทางสบายๆ ฉันเดินไปหานอโคไลที่นั่งอ่านอะไรบางอย่างรออยู่ก่อนจะสะกิดให้เขารู้ตัวกับการมาถึงของฉัน
“เสร็จแล้วหรอ”ฉันพยักหน้าก่อนจะหันไปโค้งลาคุณตำรวจหนุ่มพร้อมส่งยิ้มให้ “ลานะคะ^^”ดูเจ้าหน้าที่แอนเดอร์สันจะตะลึงเล็กน้อยกับรอยยิ้มของฉัน หรือเขาอาจจะกลัวคำสาปของฉันที่ลือกันไปต่างๆนาๆก็ได้
“ลานะครับ”นิโคไลโค้งน้อยๆให้คุณเจ้าหน้าที่ก่อนจะเดินนำฉันไปที่รถที่เขาจอดไว้...เฮ้อ อย่างน้อยก็จบเรื่องยุ่งไปอีกเรื่อง
คิดว่าน่ะนะ...
“นายตำรวจนั่นมองเธอตาไม่กระพริบเลยเมื่อกี๊”นิโคไลโน้มตัวลงมากระซิบเบาๆเพื่อไม่ให้คนรอบข้างได้ยิน
“กลัวฉันอีกคนล่ะมั๊ง...”ฉันยักไหล่ นิโคไลมองฉันก่อนจะถอนหายใจแล้วเอื้อมมือหนามายีหัวฉันหน้าตาย นั่นเป็นอีกสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจในตัวของเขา เขามักจะทำตัวเหมือนกับว่าไม่อยากเข้ามาเสวนากับฉัน แต่ก็ลงท้ายด้วยการทำเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก
เอาเป็นว่าฉันก็ไม่เข้าใจใครซักคนในเมืองนี้ล่ะนะ...
บ้านลุงเอ็ดเวิร์ดยังคงอบอุ่นเสมอสำหรับฉัน ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาฉันรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแห่งครอบครัว คุณป้าซายากะเดินเข้ามาหาฉันทันทีที่มองเห็น ท่านมักจะเป็นกังวลกับทุกๆเรื่องของฉันราวกับฉันเป็นลูกนกตัวน้อยๆที่ต้องมีแม่นกกางปีกปกป้องตลอดเวลา
“สวัสดีค่ะคุณป้าซายากะ”ฉันทักทายท่านก่อนจะสวมกอดตามธรรมเนียมของบ้านนี้ ท่านบอกการกอดทักทายก็เหมือนการได้สัมผัสความอบอุ่นในร่างกายและเสียงหัวใจของอีกฝ่าย
และไม่น่าเชื่อมันสร้างความคุ้นเคยกับคนที่กอดได้
“สวัสดีจ้ะอลิส...เรากำลังทำพายฟักทองของโปรดของหนูอยู่เลย”คุณป้ายิ้ม...เราที่ท่านหมายถึงนั่นคือชาลีนลูกสาวของท่าน
เอ่อ แต่หล่อนไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่หรอกนะ
“ว้าว...ดีจังค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”ฉันผละออกจากอ้อมกอดเมื่อคุณลุงเอ็ดเวิร์ดเดินมาทางฉันฉันโค้งทักทายท่านน้อยๆก่อนจะเดินตามท่านไปยังโซนคลีนิค
บ้านหลังนี้เป็นคลีนิคขนาดย่อมๆชื่อดังของหมอฮาลเลอร์ คุณลุงเป็นหมอชื่อดังที่โรงพยาบาลใหญ่ๆมากมายอยากได้ตัวท่าไปเป็นหมอประจำตัว อย่างน้อยๆผลงานที่มีทำให้วงการแผนถึงกับทึ่งและยกย่องเขาก็คือ
การกู้ลมหายใจและชีวิตของฉันยังไงล่ะ
“ไตกับปอดของหนูยังงทำงานได้ดีอยู่ใช่มั๊ย...”แน่นอนไม่มีเกริ่นนำให้ยืดเยื้อ ฉันพยักหน้าให้ท่านก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆ
“หนูคิดว่ารอบนี้ร่างกายกับอะไหล่สัมพันธ์กัน”ฉันบอกยิ้มๆก่อนจะขึ้นยืนบนตราชั่งเพื่อเช็คน้ำหนักในรอบเดือน
อา...อายจังเลยแฮะ ช่วงนี้ฉันยิ่งกินแต่อาหารแคลอรี่สูงซะด้วย
“ผอมลงอีกแล้วนะอลิส”นั่นอาจจะเป็นเพราะฉันมีรูปร่างและขนาดตัวแบบชาวเอเชีย ทำให้ฉันดูตัวเล็กกว่าคนทั่วไปเมืองนี้ เชื่อเถอะถ้าเทียบกันโครงร่างฉันใหญ่กว่าคนเอเชียด้วยกันอยู่นิดหน่อยล่ะนะ
“แต่ไม่สูงขึ้นเลย”เป็นนิโคไลที่มาช่วยเป็นลูกมือเล็กๆน้อยๆให้พ่อของเขา ฉันมุ่ยหน้าใส่เขาไปรอบนึงโทษฐานล้อเลียนฉันในเรื่องที่ฉันเจ็บใจและอิจฉาเขาอยู่ตลอดเวลา
“นี่มันความสูงระดับสาวเอเชียล่ะน่า”ฉันมักจะยกข้ออ้างนี้มาตอบเขาอยู่เสมอ อา...รู้สึกพ่ายแพ้และอับจนทางสู้ ตามจริงฉันสูงเกือบ 170เชียวนะ แต่หมอนี่ปาไป 189 ซึ่งมันสูงระดับนักบาสใน NBA แล้ว!
เอาเป็นว่าฉันเกลียดเขา!
“ยัยคนแคระ”เขาหัวเราะในลำคออย่างชอบใจที่หยอกล้อฉันได้
“ผลเลือดก็โอเคคงตัว...”คุณลุงที่ง่วนอยู่กับการตรวจเลือดของฉันพูดขึ้น “อลิส...หนูโกรธหรือเปล่าที่ลุงช่วยชีวิตหนู”
“คุณลุงคะ...ไม่มีเหตุผลที่หนูจะโกรธคนที่ช่วยชีวิต...ในความจริงแล้วหนูควรจะขอบคุณและซาบซึ้งในพระคุณของท่านด้วยซ้ำ”ฉันยิ้ม หลายคนคงมีความคิดที่เป็นอยู่แบบนี้บางทีตายไปซะยังทรมานน้อยกว่า
แต่ชีวิตของเรามีค่า...และฉันเชื่อว่าที่ฉันยังยืนอยู่ตรงนี้แสดงว่าชีวิตและลมหายใจของฉันยังมีความหมาย การละเลยและไม่เห็นคุณค่าของชีวิต
...คือการมองข้ามและดูถูกผู้ที่ให้กำเนิดชีวิต
“แต่เพราะลุง...หนูถึงได้ถูกมองว่าเป็นแม่มด...ลุงไม่ควรเป็นหมอด้วยซ้ำ”ลุงเอ็ดเวิร์ดพร่ำโทษตัวเองว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ฉันต้องถูกตราหน้าว่าเป็นภาชนะต้องสาปของตุ๊กตาอาถรรพ์ แต่ฉันว่าเป็นโชคชะตาของฉันเองมากกว่า
และฉันก็ไม่ถือโทษโกรธใคร
“แต่ก็เพราะลุง หนูถึงยังมีชีวิต...ได้มีโอกาสรู้จักคนดีๆอย่างจิลเลี่ยน วอลเตอร์...ได้รู้จักครับครัวที่แสนจะอบอุ่นอย่างครอบครัวฮาลเลอร์ ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสถ์ที่พ่อกับแม่เก็บตังค์ทั้งชีวิตสร้างให้...และยังทีเรื่องดีๆอีกมากมายที่ถ้าตายไปคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว”ฉันยื่มมือไปกุมมือเหี่ยวๆของชายวัย 50 ปลายๆตรงหน้าก่นจะส่งยิ้มให้เขา “คิดซะว่ามันเป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้กันนะคะ”
“เธอเนี่ยน้า...”คุณลุงหัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นว่าฉันฉีกยิ้มทะเล้น สำหรับฉันเรื่องที่เกิดไปแล้วก็คือผ่านไปแล้วส่วนเรื่องที่ยังไม่เกิดก็คือสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้นแหละ “ตอนนี้ค่าทุกอย่างคงที่ดีแล้ว...คิดว่าอวัยวะภายในเทียมของหนูคงค่อยๆปรับตัวเข้ากับร่างกายแล้ว”
“พลังฟื้นฟูแห่งวัยรุ่นไงล่ะคะ!”ฉันทำท่าเบ่งกล้ามจนนิโคไลต้องยื่นมือมาผลักหัวฉันเบาๆอย่างหมั่นไส้
“เอาล่ะ เดี๋ยวน้ำเกลือถุงนี้หมดเราไปทานพายฟักทองของโปรดหนูกันเถอะ”
เป็นเช้าอีกวันที่รู้สึกว่าสายตาของทุกคนในอีรอสจับจ้องมาทางฉันเป็นพิเศษ และแน่นอนทุกที่ที่ฉันก้าวเดินทุกคนจะแหวกออกถอยทางให้ฉันเหมือนหวาดกลัวอะไรซักอย่าง
ก็ถือว่าเป็นปกติล่ะนะ...สงสัยคงมีข่าวลืออะไรอีก
“สวัสดีครับมิสเอมส์...”เจ้าหน้าที่แอนเดอร์สันเดินมาทางฉันพลางยื่นมือออกมาทักทาย ฉันจับมือเขาตอบก่อนจะส่งยิ้มให้เล็กน้อย “เป็นอีกครั้งที่คุณคงต้องไปให้ปากคำที่โรงพัก...เพราะคุณอยู่กับเซเลน่า อลอนโซเป็นคนสุดท้ายก่อนที่เธอจะเสียชีวิต”
“!!”
-----------------------
TALKTALKTALK
03/05/14 - แก้คำผิดนิดหน่อยนะคะ
12/07/14 - อุต๊ะ ตายอีกแล้ววววอ่ะ T^T ..บอกแล้วนี่มันอลิสฮาเร็ม! นางเก็บเรียบเก็บแม้แต่คุณตำรวจ! ไม่เอาแล้วจิล อยากได้นิโคไลคนอบอุ่น คนสูง คนขี้เล่นหัว แงง เขินจูงเบย /)///~///(\ แล้วพระเอกปรากฎตัวมั๊ย ก็ไม่ ฮาาาาาาาา...จริงๆคือกั๊กไว้ ซิสค่อนแบบนั้นไม่เอามาเข้าฮาเร็มหรอก แบร่ 555555 = =;; สั้นอ่ะ งั้นเราแก้ตัวตอนหน้าเนอะ T^T ตอนหน้านางเอกจะอ่วมแล้วเอาใจช่วยนางนะทุกคน
ความคิดเห็น