คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คืนที่ฝนพรำ
แสงจันทร์ สาดส่องไปทั่วคุ้งน้ำที่ไหลผ่านทางด้านหลังของเรือนลั่นทม ไอเย็นของลำคลองในคืนที่ฟ้าฉ่ำฝนเช่นนี้ ชวนให้ผู้ที่จำเป็นจะต้องมาที่เรือนเล็กซึ่งปลูกอยู่ทางด้านหลังติดริมน้ำ รู้สึกขนลุกไปตามๆกัน หากไม่ใช่เพราะหน้าที่ คงไม่มีใครยอมเดินมาที่นี่เป็นแน่ โดยเฉพาะในคืนวันพระใหญ่เช่นนี้
ทั้งๆที่หนทางจากเรือนใหญ่ออกมาสู่เรือนหลังเล็กนั้นไม่ห่างกันนัก แต่ด้วยต้นลีลาวดี ที่ปลูกอยู่เรียงรายระหว่างทาง ก็สามารถทำให้สองสาวใช้พากันหวาดผวาได้ง่ายๆ ด้วยเงาของร่มไม้ใบบัง อีกทั้งนกกลางคืนที่คอยส่งเสียงร้องเป็นระยะๆ พลอยทำให้ทั้งคู่ต่างนึกถึงเรื่องเล่าชวนขนลุกที่ฟังมาหมาดๆจาก เพื่อนๆสาวใช้ที่อยู่มาก่อน ทำให้ทั้งคู่ก้าวขาแทบไม่ออก
“เอื้อง แกว่าจริงรึเปล่าวะ ที่พี่แววเล่าให้ฟังน่ะ” หนึ่งในสาวใช้เอ่ยปากถามส่วนสายตาก็กวาดไปรอบๆด้วยความหวาดกลัว
“เรื่องที่...คุณจันทร์เธอ สามวันดีสี่วันไข้เพราะว่า.... มีผีน่ะหรอ”
เพียงแค่ได้ยินคำว่าผี ทั้งสองสาวก็ร้องลั่นพลางกอดกันกลมอยู่หน้าเรือนเล็กไม่กล้าแม้แต่จะเดินขึ้นบันได ยังไม่รวมกับที่ทั้งคู่กลับหลังหันตั้งท่าจะเดินกลับ แต่แล้วต่างก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูเรือนที่อยู่ด้านหลังเปิดออกอย่างช้าๆ ทั้งสองสาวต่างตกใจจนร้องลั่น ก่อนที่จะทรุดฮวบลงไปนั่งสวดมนต์ไม่เป็นภาษาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยที่ทั้งคู่ต่างไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหันกลับมามอง
“นี่หล่อนทั้งสองคนน่ะ มายืนเอะอะอะไรตรงนี้ มาถึงแล้วทำไมไม่ขึ้นข้างบน” เพียงแค่จบประโยค ทั้งสองสาวก็หันขวับกลับมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบรับด้วยเสียงที่แห้งพอๆกัน
“ค่ะ คุณนม” ทั้งคู่ยิ้มแห้งๆก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตามนวลลออ คนเก่าคนแก่เข้าไปอย่างหวาดระแวง
นวลลออเดินนำสาวใช้ทั้งสอง มาจนถึงห้องด้านใน เธอดึงประตูให้เปิดออกช้าๆ ราวกับจะให้สองสาวใช้หน้าใหม่มีเวลาทำใจก่อนที่จะก้าวเข้าไปด้านใน
ภายในห้องนั้น ถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนแบบไทยโบราณ โดยจัดแบ่งเอาไว้เป็นส่วนๆ อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า หรือแม้แต่ฉากบังตาไว้เปลี่ยนเสื้อผ้า ทุกอย่างล้วนดูเก่าแก่และมีราคา ในสายตาของสาวใช้ทั้งคู่ และสิ่งสุดท้ายที่ทั้งสองคนได้เห็นนั่นก็คือ ร่างของหญิงสาวเจ้าของเรือนหลังนี้ ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง
“อ้าว มาถึงกันพอดี หมอให้ยานอนหลับเธอไว้ แล้วก็จัดยาเผื่อให้แล้วนะครับ ระวังอย่าให้คุณจันทร์เธอโดนละอองฝนหรือทำอะไรหักโหม ช่วยนี้อากาศเปลี่ยน ป้านวลต้องคอยดูแลเธอให้มากๆนะครับ” หมอหนุ่มที่กำลังง่วนกับการจัดยาอยู่ข้างเตียงเอ่ยขึ้น โดยไม่มองหน้าคู่สนทนา
“ถ้าหมอวี มีอะไรจะกำชับเป็นพิเศษล่ะก็ บอกมาเลยนะคะ เพราะคืนนี้ป้าคงไม่ได้เฝ้าคุณจันทร์ เพราะคุณท่านก็อาการไม่ค่อยดี เลยต้องให้แม่สองคนนี้อยู่แทน” พูดจบเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แล้วกัน ทำไมไม่ให้ผมไปดูคุณหญิงท่านล่ะครับ ไหนๆก็เรียกหมอมาแล้ว คนสูงอายุปล่อยไว้ไม่ดีนะครับ” หมอหนุ่มหันมายิ้มให้
“ตอนแรกก็ว่าจะโทรตามหมอปวีต์เหมือนกันล่ะค่ะ แต่คุณท่านไม่ยอม ป้าก็ไม่กล้าขัดท่าน เอาเถอะค่ะ ไหนๆก็มาแล้วไปซะหน่อยก็คงไม่เป็นไร ป้าจะได้มีข้ออ้างด้วย” นวลลออยิ้มก่อนที่จะหันหลังเดินนำหมอปวีต์ออกจากห้องนอนของคนป่วย ก่อนออกจากห้องเธอยังไม่ลืมที่จะหันกลับมาสั่งความกับสาวใช้หน้าใหม่ทั้งคู่
“นี่หล่อนสองคนน่ะ ดูแลคุณจันทร์ให้ดีๆล่ะ มีอะไรก็ฉุกเฉินก็โทรเรียกรถพยาบาลเข้าใจมั๊ย อ้อ แล้วอย่าไปมัวแต่กลัวอะไรที่ไม่เป็นเรื่องอยู่ล่ะ” กล่าวจบแม่นมของคุณจันทร์ ก็เดินนำหมอปวีต์ลงจากเรือนไป โดยมีช่อเอื้อง เดินไปปิดประตูเรือนให้อย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนที่จะวิ่งเข้ามากอดกับเพื่อนสาวใช้ ที่รออยู่ด้านใน ก่อนที่สายฝนจะเริ่มหนาเม็ดและกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
“เอื้อง คืนนี้เราต้องมานอนที่นี่จริงๆหรอ แกจำเรื่องที่พี่แววเล่าให้ฟังได้รึเปล่า เกี่ยวกับที่นี่น่ะ” พูดไปเธอก็เงยหน้าสำรวจรอบๆตัวไป
“จำได้สิ แกคิดว่าชั้นอยากจะมานอนนักหรอ”
“จะเอาไงดีแก ชั้นกลัวนะ” ความกลัว ทำให้ทั้งสองคนกระเถิบเข้ามากอดกันใกล้มากเข้าไปอีก
“เบาๆสิวิไล เดี๋ยวคุณจันทร์เธอก็ตื่นพอดี” ช่องเอื้องเอ่ยปากปรามก่อนที่ทั้งคู่จะแกะมือออกจากกันแต่ก็ยังไม่วายที่จะเอามาลูบแขนตัวเองด้วยความรู้สึกหนาวยะเยือก
“พูดถึงคุณจันทร์...” เพียงแค่จบประโยค สองสาวก็พร้อมใจกันหันหลัง แล้วชะโงกหน้าไปหมองหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง
“ดูเธอซี๊ดซีดนะ ยังกับ...” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ฟ้าก็ผ่าลงมาดังเปรี้ยง พร้อมกับเสียงหมาที่หอนรับกันเป็นทอดๆ ทำให้ทั้งสองคนผละจากเตียงคนป่วยลงมานั่งกอดกันกลมตามเดิม
ในขณะที่เสียงหมาหอนยังไม่ทันขาด ก็มีเสียงโครม ดังมาจากห้องพระ สองสาวใช้ยิ่งผวา พาลนึกถึงเรื่องที่เพิ่งฟังมา
“พวกแกรู้รึเปล่า เรือนริมคลองนั่นน่ะ เขาเล่ากันว่ามีวิญญาณผู้หญิงสิงอยู่จริงๆนะแกเขาว่ากันว่า..
เรือนหลังนี้ ถูกทิ้งร้างมาหลายชั่วอายุคนไม่ว่าใครมาอยู่ จะต้องเจอดี จากเจ้าของคนเก่าที่ตายบนเรือนนี้ ว่ากันว่าเธอเป็นอดีตนางรำ วันดีคืนดีก็มีเสียดนตรีไทยดังโดยที่ไม่มีใครเล่น หรือไม่ก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยเดิมไปเดินมาบนเรือน”
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริง หรือคิดไปเองที่อยู่ๆทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงหอนของเหล่าหมาจรจัดก็ลอยยะเยือกแว่วข้ามคุ้งน้ำเข้ามาในโสตประสาทอีก
“วิไล! แล้วเสียงโครมที่ห้องพระเมื่อกี๊ล่ะ เอาไงดี” ช่อเอื้องกล่าวเตือนทั้งๆที่ยังกอดวิไลแน่นอยู่อย่างนั้น
“แกมาพูดอะไรเอาตอนนี้ อยากรู้แกก็ไปดูเองสิ” วิไลรีบชิงพูด
“แล้วถ้าเป็นขโมยล่ะแก ถ้ามีอะไรหายไปซักอย่างชั้นกับแกทำงานใช้หนี้กันไหวหรอ” ช่อเอื้องพยายามหว่านล้อมก่อนที่จะเห็นวิไลพยักหน้าแกนๆอย่างยอมแพ้
“แต่แกต้องเป็นคนเปิดห้องพระนะ” วิไลต่อรอง
“เออรู้แล้วน่า”
หลังจากตกลงกันได้ 2 สาวใช้ต่างก็พากันออกมาจากห้องของคนป่วยมาที่ชานเรือนอย่างกล้าๆกลัวๆ เดินไปพลางมือก็ระดมเปิดไฟทุกดวงที่ผ่านให้สว่างตาม คิดว่ายังไงเสียก็ขอแสงไฟเป็นเพื่อน จนในที่สุด ทั้งคู่ต่างก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเจ้าปัญหา
“ไม่เห็นมีอะไรเลยวิไล สงสัยชั้นจะคิดมากไป” เอื้องรีบจัดบท พร้อมกับจัดแจงทำท่าจะกลับ เพราะเธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะเข้าไปดูดีรึเปล่า
“แต่ไหนๆก็มาถึงแล้ว ไม่ดูหน่อยล่ะเอื้อง” ว่าแล้วก็จัดให้เพื่อนยืนอยู่ตรงตำแหน่งประตูพอดี ส่วนตัวเองก็คอยลุ้นอยู่ข้างหลังอย่างกล้าๆกลัวๆ
ช่อเอื้องเหลือบมองหน้าเพื่อนอย่างชั่งใจ ก่อนที่จะเอามือดึงสลักไม้ที่ใช้ล็อคประตูออก หล่อนหันมามองหน้าเพื่อนอีกครั้งก่อนที่จะกลั้นใจเอามือผลักบานประตูให้เปิดออก
เบื้องหน้าประตูบานนั้น ยังคงเป็นโต๊ะหมู่บูชา ที่มีพระพุทธรูปหลายยุคหลายสมัย เก่าบ้างใหม่บ้าง ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ประดับด้วยแจกันดอกไม้โบราณและพวงมาลัยดอกมะลิตามปกติ โดยเฉพาะวันที่เป็นวันพระใหญ่เช่นวันนี้
คนเปิดประตูถอนหายใจเฮือกกับเหตุการณ์ปกติ ที่ดูเหมือนตนเองจะคิดมากเกินไป
“ท่าทางจะคิดมากไปเองจริงๆแหละวิไล” เธอหันมากบอกกับเพื่อนที่คอยลุ้นอยู่ที่นอกห้อง
“งั้นก็ไปเถอะ ปล่อยคุณจันทร์เธอไว้นานๆไม่ดี” พูดพลางจึงเอื้อมมือไปดึงบานประตูให้ปิดลง แต่ยังไม่ทันไร สายตาก็ไปจับอยู่ที่ด้านข้างของบานประตู ในฝั่งที่เป็นหน้าต่าง ภาพๆนั้นทำให้คนเห็นต้องผงะพลางสะกิดเรียกเพื่อน ให้มอง
“เอื้อง... แกเห็นเหมือนที่ชั้นเห็นมั๊ย” คนที่ถูกถามพยักหน้าแทนคำตอบได้ดี เพราะภาพของหญิงสาวผมยาวสยายสะบัดไปตามแรงลมไปพร้อมๆกับสไบเฉียงที่หล่อนใส่ ยังไม่รวมผ้าถุงยาวกรอมเท้า อีกทั้งยังสว่างวาบด้วยสายฟ้าที่ผ่าลงมาเบื้องหลัง พร้อมกับเสียงหมาหอนและสายลมเย็นจากสายฝนพัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เป็นภาพที่ทำให้ทั้งคู่พร้อมใจกันร้องออกมาอย่างสุดเสียง แล้วพากันวิ่งกลับมาที่ห้องนอนของคนที่ตนต้องดูแล คนหนึ่งปิดประตูใส่กลอน ส่วนอีกคนคว้าโทรศัพท์ แล้วรีบกดเบอร์ภายในอย่างผิดๆถูก พลางภาวนาขอให้มีคนรับสายโทรศัพท์แต่ปลายสายกลับไม่มีใครรับเลย เธอวางสายลง แล้วทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไง นอกจากกอดกันกลมที่หน้าเตียงของคนป่วยพลางฟังเสียงฟ้าร้องและเสียงฝนที่กระหน่ำลงมา คล้ายเสียงหัวเราะสลับกับเสียงร้องไห้ของหญิงสาว
ความคิดเห็น