ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Kimetsu no Yaiba] 無限の夢 : Infinity dream : ความฝันนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #6 : ความฝันที่ 6 : การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 63



    ความฝันที่ 6


    การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง

     




     

    การเดินทางของครอบครัวคามาโดะจากบ้านบนภูเขาลงมาที่หมู่บ้านอันเป็นจุดหมายถือว่าเป็นการเดินทางที่ราบรื่นดี แม้ว่าเส้นทางลงเขาจะยาวไกล เต็มไปด้วยหิมะ อีกทั้งยังมีอากาศที่หนาวเย็น แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคมากนัก เมื่อครอบครัวคามาโดะพากันเดินด้วยท่าทีแข็งขันพลางร้องเพลงอย่างสนุกสนานไปตลอดทาง


    แม้เสียงของพี่ชายคนโตจะเพี้ยนจนทำให้ความไพเราะของการประสานเสียงลดลงไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วทุกคนก็คิดว่าเป็นการเดินทางและร้องเพลงที่สนุกมากๆ


    กว่าจะเดินทางมาถึงบ้านคุณปู่ซาบุโร่ พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว คิเอะกล่าวทักทายชายชราเจ้าของบ้านที่ตีนเขาพร้อมๆ กับบรรดาลูกชายลูกสาวของเธอ คุณปู่ซาบุโร่ตอบรับคำทักทายแล้วเชิญชวนให้ครอบครัวคามาโดะเข้าไปพักผ่อนในบ้าน


    เนื่องจากการเดินทางที่ยาวไกลตลอดวันทำให้เด็กๆ เหน็ดเหนื่อยกันมาก หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จทุกคนจึงรีบอาบน้ำเข้านอนกันในทันที


    เช้าวันต่อมา ครอบครัวคามาโดะทั้งคิเอะ ทันจิโร่ รวมไปถึงลูกๆ คนอื่นช่วยกันทำความสะอาดและตกแต่งบ้านให้คุณปู่ซาบุโร่ เนื่องจากชายชราผู้นี้ไม่มีครอบครัวคนอื่นอีก เขาอาศัยอยู่คนเดียวเป็นเวลานานสิ่งของเครื่องใช้และเสื้อผ้าบางส่วนเลยเสียหายไปตามกาลเวลา คิเอะและเนซึโกะจึงซ่อมแซมให้สุดความสามารถจนสามารถกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม 


    ตกเย็น ทุกคนช่วยกันเตรียมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นผักป่าต่างๆ และเนื้อสัตว์ ใช้เวลาไม่นานนักหม้อไฟสำหรับอาหารเย็นวันนี้ก็พร้อมให้ทุกคนได้ทานแล้ว อาหารมื้อนี้เด็กๆ บ้านคามาโดะลงความเห็นว่าอร่อยมาก คุณปู่ซาบุโร่เองก็ดูมีความสุขมากที่มีคนมาทานอาหารด้วยกันเยอะๆ แบบนี้


    หลังจากทานอาหาร เก็บจาน และทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว พี่น้องคามาโดะได้มานั่งล้อมวงรอบกองไฟฟังเรื่องเล่าต่างๆ มากมายจากคุณปู่ซาบุโร่ ไม่ว่าจะเป็นนิทาน ตำนานเมือง หรือการผจญภัย เด็กน้อยทั้งหลายพากันตั้งใจฟังด้วยความกระตือรือร้น


    เรื่องเล่าเกือบทั้งหมดน่าตื่นตาตื่นใจ ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานยามที่ได้รับฟัง


    ยกเว้น... เพียงเรื่องเล่าเกี่ยวกับอสูร...


    “เคยมีคำกล่าวเตือนเอาไว้ อย่าได้ออกไปเดินเถลไถลนอกบ้านในเวลากลางคืน...พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไม...?” คุณปู่ซาบุโร่มองไปยังเด็กน้อยบ้านคามาโดะที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ “...เพราะ อสูรมันจะออกมายังไงล่ะ” 


    “อสูร?” ทาเคโอะพึมพำก่อนจะยกมือถามด้วยความสนใจ “อสูรมันเป็นแบบไหนเหรอครับ?”


    “ตั้งแต่สมัยก่อน ยามอาทิตย์ตกดิน... ความมืดมิดเข้าปกคลุมท้องฟ้า เมื่อนั้นอสูรกินคนจะออกมาเพ่นพ่าน” ชายชราเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อสูรร้ายจะเข่นฆ่าและกัดกินมนุษย์เป็นอาหาร ...นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ไม่ให้ออกไปเดินนอกบ้านในยามวิกาล...”


    แค่เพียงได้ยินก็ทำให้จินตนาการเห็นภาพของอสูรร้าย...สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่กำลังกัดกินเลือดเนื้อของมนุษย์  ราวกับมันกำลังปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ความหวาดกลัวเล่นพล่านไปทั่วร่างกาย พี่น้องคามาโดะเริ่มมีสีหน้าหวาดหวั่นกัน เว้นเพียงแต่ทันจิโร่และเนซึโกะที่ดวงตาฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว


    เพราะในความทรงจำของทันจิโร่.. เรื่องเล่าเกี่ยวกับอสูรนี้... คุณปู่ซาบุโร่ได้เล่าให้เขาฟังในค่ำคืนเดียวกันกับคืนที่อสูรบุกมาสังหารทุกคนที่บ้าน


    เรื่องของอสูรนั้นน่าสนใจ ชวนให้สงสัยใคร่รู้และน่าหวาดกลัวไปในเวลาเดียวกัน ชิเงรุรวบรวมความกล้าชั่วอึดใจ กลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วเอ่ยถามชายสูงวัยตรงหน้า


    “ที่บอกว่าไม่ให้ออกไปเดินนอกบ้านในเวลากลางคืน... หมายความว่า ถึงจะเป็นตอนกลางคืน แต่อสูรจะไม่เข้ามาในบ้านใช่มั้ยครับ?” 


    เมื่อถามออกไป ความเงียบก็เข้าปกคลุมรอบบริเวณ คุณปู่ซาบุโร่ไม่ได้กล่าวอะไร เขาเหม่อมองกองไฟอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันมาสบตากับชิเงรุแล้วค่อยๆ พูดขึ้น


    “...ไม่ใช่ มันจะเข้าไป... ถึงจะเป็นในบ้านมันก็เข้าไปได้...”


    น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบจนน่าพรั่นพรึง ถ้อยคำที่พูดออกมาชวนให้คิดขึ้นมาว่า บางที... อาจจะมีอสูรร้ายหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิด และพร้อมที่จะออกมาสังหารมนุษย์ได้ทุกเมื่อ


    ชิเงรุหน้าซีดเผือด พึมพำด้วยเสียงสั่นกลัว “ถ...ถ้าอย่างนั้น...ทุกคนจะถูกอสูรกิน”


    “...เพราะอย่างนั้น ท่านนักล่าอสูรเลยช่วยกำจัดอสูรให้ยังไงล่ะ” ซาบุโร่เล่าพลางลูบศีรษะปลอบเด็กชาย “พวกเขาเป็นผู้ตามล่าและกำจัดอสูร รวมถึงปกป้องมนุษย์จากอสูรร้ายมาเป็นเวลาช้านานแล้ว...”


    เนื่องจากเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว ออกจะดึกไปสำหรับเด็กๆ ด้วยซ้ำ เรื่องอสูรจึงเป็นเรื่องเล่าสุดท้ายของคุณปู่ซาบุโร่ในค่ำคืนนี้ หลังจากเล่าเสร็จคุณปู่ก็จัดฟูกให้เด็กๆ เข้านอนกัน ครอบครัวคามาโดะนอนเรียงกันบนฟูกโดยที่คนที่นอนริมสุดด้านซ้ายและขวาคือ คุณแม่และทันจิโร่ เมื่อทุกคนนอนบนฟูกเรียบร้อยแล้ว ชายชราจึงดับแสงไฟจากตะเกียงภายในห้องก่อนจะเดินกลับไปนอนที่ห้องของตนเอง


    เมื่อแสงไฟถูกดับไปจนรอบห้องมืดสนิทเหมาะแก่การนอน คุณแม่ของครอบครัวคามาโดะเป็นคนที่นอนหลับง่าย แค่วางศีรษะหนุนบนหมอนเธอก็หลับสนิทในทันที แต่ลูกๆ ของเธอกลับไม่มีใครนอนหลับเลยสักคน เรื่องอสูรกำลังทำให้ทุกคนขนหัวลุกจนหลับไม่ลง


    หลังจากพยายามฝืนหลับตานอนไปร่วม 20 นาที แต่กลับนอนไม่หลับเลย ในที่สุดน้องสาวคนเล็กจึงตัดสินใจพูดขึ้น


    “อสูรกินคน...น่ากลัวจังเลย” ฮานาโกะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ กำผ้าห่มแน่น ชิเงรุที่นอนห่างออกไปเอ่ยเห็นด้วย “ข้าก็กลัว...ถ้าข้าหลับ...อสูรจะบุกเข้ามาในบ้านรึเปล่า...”


    พูดจบบรรยากาศรอบข้างก็ตกอยู่ในความเงียบไปชั่วครู่ โรคุตะหันตะแคงไปหาพี่ชายคนโตที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและดวงตาที่เริ่มจะมีน้ำตาคลอ


    “พี่ทันจิโร่... ถ้าอสูรเข้ามาในบ้าน...พวกเราจะถูกอสูรฆ่าตายเหรอ...?”


    พี่ชายคนโตชะงักนิ่งไปชั่วขณะ คำถามนั่นทำให้เขานึกไปถึงเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในชีวิตของตน... เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนตลอดไป...


    ทันจิโร่มองน้องชายที่หวาดกลัวเรื่องเล่ามากจนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อก่อนที่จะระบายยิ้มอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวให้คนตรงหน้า เจ้าของเส้นผมสีแดงโอบกอดร่างของโรคุตะแน่นพลางลูบศีรษะน้องชายคนเล็กเป็นเชิงปลอบประโลมไปด้วย


    “...ไม่หรอก จำได้ไหมที่คุณปู่เล่า” ลูกชายคนโตของบ้านคามาโดะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดีเช่นเคย “ถึงจะมีอสูร แต่ก็จะมีเหล่า [นักล่าอสูร] อยู่ด้วย... พวกเขาจะต่อสู้กับอสูรและช่วยปกป้องมนุษย์ เพราะฉะนั้น...พวกเราจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน”


    รอยยิ้มปลอบโยนของทันจิโร่ที่มอบให้โรคุตะนั้นสว่างสดใสเหมือนดวงตะวันที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า


    พี่ชายคนโตของบ้านคามาโดะ...พี่ทันจิโร่เป็นคนที่เหมือนกับพระอาทิตย์ดวงกลมโตบนท้องฟ้าสีคราม คอยให้ความอบอุ่นและแสงสว่างสดใสเข้าไปในจิตใจของคนรอบข้าง แค่เพียงคำพูด น้ำเสียง รวมไปถึงสีหน้าอันอ่อนโยนของพี่ชายก็สามารถปัดเป่าความหวาดกลัวออกไปจากจิตใจของโรคุตะได้


    เมื่อน้องชายคนเล็กของบ้านรู้สึกสบายใจขึ้น เขาจึงผ่อนคลายลงจนสามารถนอนหลับสนิทได้ในชั่วอึดใจ บรรดาน้องชายและน้องสาวคนอื่นที่เห็นภาพดังกล่าวก็รู้สึกคลายกังวลไปได้ พวกเขาจึงสามารถนอนหลับได้สนิทใจ


    เจ้าของดวงตาสีแดงกวาดสายตามองครอบครัวของตนเองที่เข้าสู่ห้วงนิทรา ใบหน้ายามนอนหลับสนิทของทุกคนดูมีความสุขดี แตกต่างจากเมื่อคราวนั้นลิบลับ


    ภาพของเหตุการณ์ในคราวนั้นปรากฏขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดในอากาศที่ขุ่นคลั่ก สีแดงฉาน ...และร่างไร้ชีวิตของคนในครอบครัวที่กระจัดกระจายไปทั่วบ้าน


    เด็กชายผู้สวมต่างหูลายไพ่ดอกไม้หลับตาลงเพื่อลบภาพพวกนั้นออกไปจากห้วงความคิด


    มันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก


    ทันจิโร่คิดด้วยความมุ่งมั่น เขาทำทุกอย่างใน 1 ปีนี้... ในโลกคู่ขนานแห่งนี้... เพื่อความปรารถนาเดียว คือการช่วยให้ครอบครัวคามาโดะให้รอดพ้นจากการถูกอสูรสังหาร


    ใช่แล้ว... [ข้า] จะปกป้องทุกคนเอง... จะไม่ยอมให้ครอบครัวต้องตายไปอีกแล้ว

     





    หลังจากที่ทุกคนนอนหลับไปได้สักพัก ทันจิโร่ก็ลุกขึ้นจากฟูกนอนอย่างเงียบเชียบ เขาเลื่อนบานประตูอย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินออกไปที่นอกบ้าน ไม่นานนักเนซึโกะก็เดินตามออกมาก่อนจะหยุดยืนอยู่เคียงข้างพี่ชาย


    เมื่อตอนที่ฟังคุณปู่ซาบุโร่เล่าเรื่องอสูร ทันจิโร่และเนซึโกะก็รู้ในทันทีว่ามันเป็นเหตุการณ์เดียวกับในคืนที่เกิดโศกนาฏกรรมบ้านคามาโดะ ทั้งสองคนจึงสบตากันเพื่อส่งสัญญาณนัดออกไปคุยนอกบ้านหลังจากที่ทุกคนหลับไปแล้ว


    “พี่คะ... ในอดีตที่พี่ผ่านพ้นมา คืนที่คุณปู่ซาบุโร่เล่าเรื่องอสูรให้พี่ฟัง คือคืนเดียวกับที่อสูรบุกมาที่บ้านใช่มั้ยคะ” ลูกสาวคนโตของบ้านเป็นคนพูดเปิดประเด็นเพื่อยืนยันความเข้าใจของตนเอง


    ทันจิโร่พยักหน้า สีหน้าปรากฏความกังวลใจ “ถูกต้องแล้วล่ะ ในโลกของพี่มันเป็นคืนเดียวกัน แต่คราวนี้... มันกลับแตกต่างไปจากเดิม”


    “ใช่จริงๆ ด้วยสินะคะ” สาวน้อยผู้สวมกิโมโนสีชมพูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดปนกังวลใจ “จากวันเวลาที่พวกเรานับกันมา คืนที่อสูรบุกมาจริงๆ ไม่ใช่คืนวันนี้ ...แต่เป็นคืนวันพรุ่งนี้ต่างหาก...”


    พูดจบทั้งสองก็นิ่งเงียบไป พวกเขาเข้าสู่ห้วงความคิดของตนเองเพื่อครุ่นคิดและวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้น


    ในช่วงเวลา 1 ปีมานี้ ทันจิโร่พบเหตุการณ์ที่ต่างไปจากความทรงจำของเขามากมาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุหรือโชคร้ายเล็กๆ น้อยๆ รองลงมาคือสัตว์ร้ายในป่าที่ออกมาอาละวาดมากขึ้น ทั้งหมดนั่นคือ การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง เป็นสิ่งที่เสาหลักแมลงเตือนเอาไว้แล้วว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อได้ลงมือทำบางสิ่งเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นไป


    นึกได้ดังนั้น เจ้าของเส้นผมสีแดงก็เบิกตากว้าง ใบหน้ามีเม็ดเหงื่อผุดพรายพลางพึมพำข้อสันนิษฐานบางอย่างของตนเองออกมา


    “หรือว่า...การที่คุณปู่ซาบุโร่เล่าเรื่องนี้เร็วไปจากเดิม 1 วัน ก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน” สีหน้าของทันจิโร่ดูกังวลมากขึ้นไปอีก เมื่อเขานึกถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด


    “ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็... หมายความว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในเรื่องอื่นๆ ได้อีก อย่างเช่นว่า...วันที่อสูรบุกมาจะถูกเปลี่ยนเป็นวันนี้... หรือสถานที่ที่อสูรบุกมาจะถูกเปลี่ยนเป็นบ้านหลังนี้แทน”


    “...ไม่จริงน่ะ!” เนซึโกะหลุดเสียงร้องด้วยความตกตะลึง “เรื่องแบบนั้น...จะเกิดขึ้นได้งั้นเหรอคะ..?”


    หากมันเกิดขึ้นได้จริง... หมายความว่าทุกสิ่งที่ทันจิโร่และเนซึโกะพยายามทำกันมาตลอดปีนี้ก็จะไร้ความหมายไปในทันที เพราะการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงนั่นกำลังทำให้ทุกอย่างกลับสู่ผลลัพธ์เดิมที่ควรเป็น นั่นคือ โศกนาฏกรรมของครอบครัวคามาโดะ ...การถูกอสูรฆ่าตายทั้งครอบครัว


    ทันจิโร่กำหมัดแน่น สิ่งที่เขาพูดไปเป็นเพียงการคาดเดาก็จริง แต่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่ ทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้คือต้องป้องกันสถานการณ์นั้นเอาไว้ก่อน


    “ไม่ต้องกังวลหรอก เนซึโกะ นั่นเป็นแค่การคาดเดาของพี่น่ะ...มันเป็นกรณีเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้... เราคงได้แต่ป้องกันตัวเอง และภาวนาไม่ให้มันเกิดขึ้นจริงๆ”


     ทันจิโร่พูดขึ้นพลางใช้ผ้าพันคอผืนสีฟ้าของตนคลุมที่ศีรษะเพื่อป้องกันหิมะ เขาปรับสายคาดเก็บขวานที่ข้างกายให้สะดวกพร้อมสำหรับหยิบขวานออกมาทุกเมื่อ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว เด็กชายเจ้าของเส้นผมสีแดงจึงหันมาพูดกับน้องสาวอีกครั้ง


    “...คืนนี้พี่จะออกไปเฝ้าระวังข้างนอกบ้านนะ เนซึโกะกลับไปนอนกับทุกคนเถอะ”


    ลูกสาวคนโตของบ้านมองทันจิโร่ด้วยสีหน้าคัดค้าน เธออยากจะอยู่ช่วยพี่ชายมากกว่า “พี่ทันจิโร่...ให้ข้าอยู่ข้างนอกบ้านกับพี่ด้วยได้ไหมคะ ถึงข้าจะไม่แข็งแกร่งหรือใช้ปราณได้เหมือนกับพี่ แต่ข้าฝึกฝนทักษะการวิ่งและหลบหลีกมาตลอด อาจจะพอช่วยเป็นตัวล่อตอนพี่ต่อสู้ได้...”


    สาวน้อยในชุดกิโมโนสีชมพูรู้ตัวดีว่าเธอในตอนนี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้แข็งแกร่งหรือฆ่าไม่ตายเหมือนกับเนซึโกะที่กลายเป็นอสูรจากโลกเดิมของพี่ชาย แต่เธออยากจะอยู่เคียงข้าง ไม่ให้พี่ชายต้องต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้เพียงลำพัง


    ทันจิโร่รับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นของน้องสาวได้ กลิ่นอายของอารมณ์รอบตัวเธอได้บอกทุกอย่างหมดแล้ว เขาจึงระบายยิ้มบางๆ ก่อนจะลูบหัวน้องสาวเบาๆ


    “ไม่เป็นไรหรอก เนซึโกะ คืนนี้พี่จะอยู่เฝ้าเอง พี่อยากให้เธอเก็บแรงเอาไว้สำหรับคืนพรุ่งนี้มากกว่าน่ะ... เพราะในโลกของพี่ มันเป็นคืนที่อสูรบุกมาฆ่าทุกคนจริงๆ จึงมีโอกาสเจออสูรมากกว่าคืนนี้ ...พวกเราต้องอยู่เฝ้าระวังพรุ่งนี้ด้วยอีกหนึ่งคืน เมื่อถึงตอนนั้นพี่คงต้องขอแรงช่วยจากเนซึโกะนะ เพราะฉะนั้น คืนนี้กลับไปพักผ่อนเถอะ”


    เมื่อพี่ชายพูดแบบนั้นแล้วคงไม่เปลี่ยนใจแน่นอน เนซึโกะจึงยอมรับการตัดสินใจของเขา


    “เข้าใจแล้วค่ะ... ระวังตัวด้วยนะคะ พี่ทันจิโร่” เธออวยพรให้ทันจิโร่ปลอดภัยแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน


    หลังจากที่แผ่นหลังของน้องสาวหายลับไปหลังบานประตู ทันจิโร่ก็เลือกต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ไกลจากบ้านของคุณปู่ซาบุโร่มากนัก แล้วปีนขึ้นไปนั่งด้านบน การอยู่บนที่สูงจะทำให้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนกว่า เด็กชายผมแดงสังเกตดูโดยรอบบริเวณพลางใช้จมูกที่มีประสาทดมกลิ่นเป็นเลิศของตนเองค้นหาอสูรไปด้วย นอกจากต้นไม้ และหิมะ เขาก็ไม่ได้พบอะไรอีก


    ถึงอย่างนั้นทันจิโร่ก็ไม่ได้ลดการเฝ้าระวังเลยแม้แต่น้อย


    ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล จะประมาทไม่ได้โดยเด็ดขาด...

     




    เมื่อยามราตรีมาเยือน ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท มันคือช่วงเวลาที่เหล่าอสูรจะออกหากิน อสูรไม่อาจปรากฏตัวภายใต้ดวงตะวันได้เพราะแสงอาทิตย์จะเผาร่างของอสูรให้มอดไหม้ ดังนั้นเวลากลางคืนคือยามที่พวกมันจะออกล่าเหยื่อได้โดยอิสระ


    ถึงอย่างนั้นก็มีเงื่อนไขจุกจิกอีกเล็กน้อย นั่นคือต้องฆ่ามนุษย์โดยไม่ให้ผิดสังเกต เช่นการฆ่าคนไร้ครอบครัวญาติมิตร คนที่อยู่ห่างไกลแหล่งชุมชน คนจรจัด เพราะเมื่อมีข่าวว่าพบเห็นอสูร หรือมีมนุษย์หายตัวไป...ถูกฆ่าตายไป มันจะไปเข้าหูพวกองค์กรนักล่าอสูร และคนพวกนั้นจะส่งนักล่าอสูรออกมาสังหารอสูรให้สิ้นซาก


    ดาบเพลิงสุริยัน...ดาบของพวกนักล่าอสูร เป็นอีกสิ่งหนึ่งนอกจากแสงอาทิตย์ที่สามารถฆ่าอสูรได้ โดยทั่วไป บาดแผลของอสูรจะฟื้นฟูได้ ความช้าเร็วของการฟื้นฟูและความแข็งแกร่งของอสูรขึ้นอยู่กับว่าอสูรตนนั้นกินมนุษย์ไปมากมายแค่ไหน ทว่าหากถูกดาบของนักล่าอสูรตัดคอ ร่างกายจะไม่อาจฟื้นตัวได้อีก และจะสูญสลายเป็นเถ้าถ่าน


    ท่ามกลางหิมะสีขาวที่โปรยปรายจากผืนฟ้ายามราตรี ช่วงเวลาดึกสงัดเป็นเวลาที่พวกมนุษย์เข้าสู่ห้วงนิทรา อสูรตนหนึ่งกำลังมองหาอาหารของมันในค่ำคืนนี้ มันออกเดินทางไปตามป่าเขามองหาบ้านเรือนที่ห่างไกลผู้คนจนในที่สุดก็พบกับหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ภูเขา


    เมื่อมองจากสายตา เจ้าอสูรคาดเดาว่าหมู่บ้านนั้นคงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีคนอยู่ไม่มากนัก เหมาะสำหรับเป็นเป้าหมายในค่ำคืนนี้ มันเดินตามทางไปหมู่บ้านเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เจอบ้านหลังหนึ่งอยู่ที่ตีนเขา เป็นบ้านหลังเดียวที่ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านออกมา


    อสูรร้ายได้กลิ่นของมนุษย์จากบ้านหลังนี้ กลิ่นนั่นบ่งบอกว่าในบ้านหลังนั้นเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีแต่คนชรา ผู้หญิง แล้วก็เด็กๆ อีกหลายคน ถือว่าเป็นแหล่งอาหารชั้นยอด แค่เพียงจินตนาการว่าจะได้กินมนุษย์ทั้งหมดนั่นก็คงจะรู้สึกอิ่มหนำสำราญไปได้หลายมื้อเลยทีเดียว


    “ดีจริง บ้านหลังนี้มีอาหารดีๆ อยู่เยอะเลย แถมอยู่ห่างจากหมู่บ้านซะด้วย ลาภปากอะไรอย่างนี้”


    เจ้าอสูรแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความหิวกระหาย มันแสยะยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกไป ภาพที่เห็นตรงหน้าก็เอียงข้างแล้วพลิกกลับหลายตลบ ชั่วอึดใจนั้นอสูรรู้สึกสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอภาพพลิกกลับหยุดนิ่งลง อสูรก็เห็นว่าที่ตรงนั้นมีร่างที่ไร้หัวของมันเองยืนอยู่


    เอ๊ะ... นี่ข้า..ถูกตัดหัว งั้นเหรอ..!?’


    อสูรร้ายคิดด้วยความกระวนกระวายใจระคนสับสน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากแถมยังเงียบเชียบไร้เสียง ราวกับว่าอยู่ดีๆ ศีรษะของมันก็หลุดออกมาเอง ในวินาทีนั้นมันก็นึกออกทันที แม้ว่าอสูรจะไม่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แต่มันเองก็เคยพบเจออสูรตนอื่นๆ อยู่บ้าง อสูรหลายตนเคยพูดถึงคนพวกนั้นไว้ มนุษย์กลุ่มหนึ่งผู้ที่มีความสามารถในการสังหารอสูรโดยเฉพาะ   


    นักล่าอสูร... พวกมันอยู่ที่นี่ด้วยงั้นเหรอ!?


    เจ้าอสูรคิดด้วยความอาฆาตแค้น มันอุตส่าห์หลีกเลี่ยงที่ออกล่าในพื้นที่ที่มีมนุษย์ชุกชุมมาตลอด แต่ดันโชคร้ายมาเจอนักล่าอสูรในหมู่บ้านบ้านนอกกันดารแบบนี้ อสูรพยายามเหลือกตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาผู้ที่ตัดหัวของตนเอง ในที่สุดสายตาของมันก็มองเห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย


    ร่างนั้นเป็นเด็กผู้ชาย สวมฮาโอริลายตารางหมากรุกสีเขียวดำ และผ้าพันคอลายทางสีฟ้า สิ่งที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเด็กคนนั้นคือเขาสวมต่างหูลายไพ่ดอกไม้  มีแผลเป็นขนาดใหญ่บนหน้าผากด้านซ้าย และมีเส้นผมและดวงตาสีแดงตัดกับทิวทัศน์หิมะสีขาวโพลนรอบข้าง ราวกับถ่านไฟที่กำลังลุกไหม้บนพื้นหิมะอันหนาวเย็น


    ในมือของเด็กชายมีอาวุธอยู่ มันคือขวานตัดไม้ธรรมดาทั่วไป


    ไม่ใช่นักล่าอสูร...แค่เด็กธรรมดา... อสูรคิดก่อนจะมองดูอาวุธในมือเล็กนั้นให้ชัดๆ ...อาวุธนั่นก็ไม่ใช่ดาบของพวกนักล่าอสูรด้วย


    อสูรร้ายรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ถึงจะถูกตัดหัวแต่ถ้าอาวุธที่ใช้ตัดไม่ใช่ดาบเพลิงสุริยันของนักล่าอสูรก็ไม่สามารถฆ่าอสูรลงได้ มันแสยะยิ้มกว้างก่อนจะพูดเย้ยหยันเด็กชายผมแดงตรงหน้า


    “เฮ้ย! เจ้าเด็กเวร! ถึงตัดคอข้าไปแต่ข้าก็ไม่ตายหรอกนะ ข้าจะฟื้นตัวแล้วก็กินแกเข้าไปซะ!


    เด็กชายผู้สวมต่างหูลายไพ่ดอกไม้มองอสูรตรงหน้า สีหน้าของเขาไม่ได้เหมือนเด็กมนุษย์คนอื่นที่พบเจออสูรเลยสักนิด เด็กพวกนั้นเอาแต่หวาดกลัวและกรีดร้อง ไม่ก็วิ่งหนีให้เร็วที่สุด แต่กับเด็กผมแดงคนนี้กลับต่างไป เขามีสีหน้าแววตามั่นคงไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย


    “ข้ารู้อยู่แล้วล่ะ... ต้องตัดคอด้วยดาบของนักล่าอสูรเท่านั้น อสูรถึงจะตาย” ผู้สวมฮาโอริลายตารางหมากรุกกระชับขวานในมือ แล้วเดินเข้าไปใกล้อสูร พลางเอ่ยขึ้น  


     “หากข้ามีดาบเพลิงสุริยันก็คงจะดีกว่านี้... เพียงแค่ดาบเดียว เจ้าจะได้จากไปอย่างไม่ต้องทรมาน...”


    พูดจบเขาก็หายไปจากสายตาของอสูร เด็กชายผู้มีแผลเป็นบนหน้าผากใช้ด้านสันของใบขวานกระหน่ำฟาดลงไปบนศีรษะของอสูรที่ถูกตัดหลายต่อหลายครั้งอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงฉานของอสูรกระฉูดออกมาเต็มบริเวณจนเปรอะเปื้อนร่างเด็กชายเต็มไปหมด การโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วนั้นทำให้กะโหลกศีรษะของอสูรร้ายแหลกละเอียดก่อนที่มันจะทันได้ส่งเสียงกรีดร้องเนื่องจากความเจ็บปวดด้วยซ้ำ


    เพราะไม่มีดาบที่สามารถสังหารอสูรได้ในครั้งเดียว เด็กชายจึงพยายามโจมตีให้รุนแรงและเร็วที่สุดเพราะอสูรจะได้ไม่ตายอย่างทรมานมากนัก นั่นเป็นสิ่งที่เขาสามารถมอบให้พวกอสูรได้    


    ถึงทันจิโร่จะเป็นคนที่มีกลิ่นอายของดวงตะวันที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยน แต่เมื่อยามต้องสังหาร เขาก็เด็ดขาดพอที่จะปลิดชีพอสูร เพื่อลบล้างความเศร้าเสียใจของผู้ที่ตายจากไป... เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียไปมากกว่าเดิม ทันจิโร่จึงตั้งมั่นที่จะลงดาบเพื่อสังหารอสูรอย่างแน่วแน่


    แต่ถึงอย่างนั้น อสูรก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่น่ารังเกียจ พวกเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ว่างเปล่าและน่าเศร้า มีตัวตนอยู่โดยไร้ซึ่งความทรงจำ หลงลืมตัวตนของตนเอง สังหารบุคคลที่ตนเองรัก... เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์


    บนพื้นหิมะตรงหน้าเด็กชายผมแดง มีเศษซากศีรษะของอสูรร้ายตั้งอยู่ อสูรที่ถูกทำลายกะโหลกไปเริ่มมีสติเลือนราง ความตายที่กำลังมาเยือนทำให้มันมองเห็นความทรงจำบางอย่างที่ลืมไปแล้ว ความทรงจำสมัยยังเป็นมนุษย์ ทั้งความอบอุ่นของครอบครัวและผู้คน ทั้งเรื่องที่มีความสุขมากมาย รวมไปถึงเรื่องที่ตนเองเป็นผู้ทำลายและเข่นฆ่าคนเหล่านั้นด้วย


    น้ำตาของอสูรไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง มันเอ่ยเสียงแหบแห้งและแผ่วเบาออกมา  


    “ข้า...ขอโทษ”


    กลิ่นอายความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจและรู้สึกผิด ลอยฟุ้งรอบกายเศษซากอสูรตรงหน้า บ่งบอกถึงความรู้สึกทั้งหมดของอสูรตนนี้  แม้จะเป็นคนที่เข่นฆ่าผู้อื่นแต่เขาก็เป็นคนที่ทรมานกับการที่ตนเองเป็นอสูร และเสียใจกับเรื่องที่ตนเองทำลงไปเช่นกัน


    เพราะอสูรก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อนเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ


    ดังนั้น จึงไม่ควรเหยียบย่ำผู้ที่กลายเป็นอสูร...ผู้ที่ทรมานและรู้สึกผิดจากการเป็นอสูร


    ทันจิโร่มองเศษซากอสูรที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเห็นใจ  พลันนึกไปถึงครั้งแรกที่เขาพบเจออสูร ตอนนั้นในมือมีเพียงมีดและก้อนหินเท่านั้น เมื่อครานั้นเด็กชายคิดเยอะเกินไป มัวแต่คิดหาวิธีที่จะกำจัดอสูรโดยไม่ให้มันทรมาน... เพราะคิดนานไปเขาจึงไม่ได้ลงมือสังหารมัน อสูรตนนั้นโดนแสงแดดและร่างกายมอดไหม้ไปเสียก่อน


    ตอนนี้เด็กชายเจ้าของผมสีแดงได้รู้แล้ว การทุบทำลายกะโหลกของอสูรจนแหลกละเอียดสามารถสังหารอสูรได้ แต่ต้องเป็นอสูรระดับต่ำที่มีความสามารถในการฟื้นตัวไม่สูงมากนัก เมื่อกะโหลกศีรษะแตกละเอียด การฟื้นตัวจะทำได้ยาก อสูรจะสูญเสียพลังงานไปเรื่อยๆ เพื่อพยายามคงสภาพร่างกาย แต่นั่นเป็นการกระทำที่ไร้ผล มันจะทำให้อสูรหมดพลังงานชีวิตและสลายตัวไปในเวลาไม่นาน


    เด็กชายในชุดฮาโอริลายตารางหมากรุกมองร่างอสูรที่กำลังสลายไปอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินจากไปเพื่อเฝ้าระวังโดยรอบอีกครั้ง โดยภาวนาว่าจนกว่าที่แสงอาทิตย์วันใหม่ปรากฏจะไม่มีอสูรเข้ามาใกล้บ้านหลังนี้อีก

     


    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

     

    6 / 3 / 63 (100%)

    สวัสดีค่ะ

    บทนี้กะว่าจะแบ่งตอนลงทีละครึ่งเหมือนเดิม แต่เนื้อหามันต่อกันเลยแต่งรวดเดียวเลยดีกว่าจะได้ไม่ค้างกันมากนัก บทนี้ส่วนมากเอาเนื้อเรื่องหลักของอ.เข้มาเล่าจึงไม่ค่อยมีอะไรน่าลุ้นมากเท่าไหร่ รับรองว่าคืนถัดไปมีอะไรให้น่าตื่นเต้นแน่นอน มาคอยลุ้นกันนะคะ!

    แอบคุยนอกเรื่อง

    เราแอบไปงอกตัวละครมา 1 ตัวค่ะ คล้ายๆ OC แต่ไม่ใช่ นี่คือ KazeRi มาสค็อตของเราต่างหาก!

     

    ชื่อ: KazeRi (คาเซริ)

    อายุ: XX ปี

    ส่วนสูง: XXX cm  /  น้ำหนัก: XX kg

    ปราณ: ปราณนักเขียน มี 2 กระบวนท่า

                       กระบวนท่าที่ 1 สร้างสรรค์

                       กระบวนท่าที่ 2 ทำลาย

    ประวัติ: ตัวละครมาสค็อตแทนตัวผู้เขียน เอาไว้ยิงมุก ชงมุกและตบมุกกับตัวละครในฟิค ไม่ได้เข้าไปอยู่ในฟิคเรื่องนี้แต่อย่างใด

     

    เป็นตัวละครแทนตัวคนแต่งฟิค ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในฟิคนี้นะคะ (เคยบอกไว้ที่หน้าปกฟิคแล้ว ว่าฟิคนี้ไม่มี OC อยู่ในฟิค) สร้างมาเพื่อตบมุก เฮฮาล้วนๆ

    เนื่องจากฟิคนี้บรรยากาศมันจะหม่นๆ หดหู่ (เหมือนเนื้อเรื่องหลักของ Kimetsu no Yaiba ช่วงหลังๆ TwT) แต่คนแต่งดันเป็นพวกชอบแนวตลกเฮฮา บางครั้งแต่งบทดราม่าหรือจริงจัง ก็ดันนึกมุกตลกออกมาซะงั้น ถ้าใส่มุกลงไปตรงนั้นมันจะคิลมู้ดมาก เราเลยสร้างตัวละครมาสค็อต KazeRi ขึ้นมาเพื่อเอาไว้ยิงมุก ชงมุก ตบมุกกับตัวละครอื่นๆ กันนอกรอบนี่แหละค่ะ

    (เผื่อบางทีจะมีใครหยิบไปวาดแฟนอาร์ตฟิคนี้มาให้เราดู 555 )

     

    มุกไม่ฮาพาเพื่อนเครียด มุกที่ 1       

    KazeRi : ทันจิโร่คุงคะ ถ้าเกิดว่าปลอบพวกน้องๆ แล้ว ทุกคนก็ยังนอนไม่หลับอีก ทันจิโร่คุงจะทำยังไงเหรอคะ?

    ทันจิโร่ : อืม... ถ้าทุกคนกลัวอสูรจนนอนไม่หลับกันล่ะก็ (//หันไปถามพวกน้องๆ) ให้พี่ร้องเพลงกล่อมนอนมั้ย?

    ทาเคโอะ : (//รีบยกมือห้ามด้วยสีหน้าวิตกกังวลกว่าเดิม) ได้โปรดหยุดเถอะพี่ ข้ากลัวว่าแทนที่จะได้กล่อมนอน พี่ทันจิโร่อาจจะได้ปลุกคนทั้งหมู่บ้านแทน

    ทันจิโร่ : ...

     

     

     

     ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์นะคะ >w< 

    ถ้าชอบก็ฝากคอมเม้นต์หรือกดปุ่มให้กำลังใจได้นะคะ หรือเข้าไปคุยกันที่แฮชแท็ก #ทันจิโร่ในความฝันนิรันดร์ ก็ได้น้า

    แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการค่า บ๊ายบาย

     

     

     

     

     

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×