ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Kimetsu no Yaiba] 無限の夢 : Infinity dream : ความฝันนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #5 : ความฝันที่ 5 : ฮิโนะคามิคางุระ และ พักค้างแรม (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 63



    ความฝันที่ 5


    ฮิโนะคามิคางุระ และ พักค้างแรม




     

     

    ทันจิโร่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาพบว่าตนเองอยู่บนเตียงในห้องพยาบาลของคฤหาสน์ผีเสื้อ บ่งบอกได้ว่าครั้งนี้เขาตื่นขึ้นมาในโลกความเป็นจริง ไม่ใช่ในโลกคู่ขนานแต่อย่างใด


    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ทันจิโร่คุง” เด็กสาวผู้สวมฮาโอริลายผีเสื้อเอ่ยทักทายเสียงใส


    ช่วงหลายวันมานี้ ชิโนบุมักจะเข้ามาพูดคุยและตรวจร่างกายของทันจิโร่อย่างสม่ำเสมอ เธอต้องการสังเกตอาการรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของเด็กหนุ่มหลังการรักษาด้วยมนต์อสูรโลหิต เพื่อใช้ในการรวบรวมข้อมูลไว้จัดทำกรณีศึกษา


    ทำให้ในทุกครั้งที่ตื่นจากความฝัน ทันจิโร่ก็จะพบกับเสาหลักแมลงที่นั่งทำงานในห้องพักฟื้นแห่งนี้หรือไม่ก็ในห้องวิจัยยาที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันอยู่เสมอ


    “อรุณสวัสดิ์เช่นกันครับคุณชิโนบุ”


    เด็กหนุ่มเจ้าของเส้มผมสีแดงเอ่ยตอบ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดผิดกับรอยยิ้มสดใสที่เห็นอยู่เป็นประจำ เห็นดังนั้นชิโนบุจึงเข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มงดงามเช่นเคย


    “ในโลกคู่ขนานแห่งนั้น... หลังจากที่ทันจิโร่คุงได้ลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตลงไปแล้ว มันเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมาใช่มั้ยล่ะคะ?”


    ทันจิโร่พยักหน้ารับแต่โดยดี “ใช่ครับ... มันมีหมีป่าตัวใหญ่ที่ไม่ได้จำศีลโผล่มาโจมตีข้ากับพวกน้องชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ช่วงเวลาตอนนั้นไม่มีเรื่องราวแบบนี้เลยแม้แต่น้อย”


    “มีสัตว์ร้ายปรากฏออกมางั้นเหรอคะ...” ชิโนบุพึมพำ ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “แต่ทันจิโร่คุงไม่เป็นอะไรสินะ? พวกน้องชายก็ปลอดภัยเหมือนกันใช่รึเปล่าคะ?”


    “ครับ... ข้าใช้ขวานและปราณวารีจัดการมันไปได้ แต่เพราะร่างกายข้าไม่แข็งแรงพอ เมื่อใช้ปราณแล้วข้าก็สลบไปเลย จากนั้นข้าก็ตื่นขึ้นมาที่นี่เลยครับ”


    ชิโนบุรับฟังด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น


    “นั่นเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่ฉันเคยเตือนเอาไว้ค่ะ” เด็กสาวเบนสายตาออกไปยังกระจกใสที่ส่องให้เห็นสวนดอกไม้ของคฤหาสน์หลังนี้ ทันจิโร่ก็มองตามสายตานั้นไป เขาเห็นผีเสื้อปีกสีม่วงตัวหนึ่งปรากฏอยู่นอกหน้าต่างบานนั้น มันกระพือปีกเบาๆ ก่อนจะบินผ่านไป


    “เหมือนกับผีเสื้อตัวนั้น แค่กระพือปีกเพียงครั้งเดียวก็ส่งผลกระทบต่อหลายสิ่ง... แรงลมใต้ปีกเพียงเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดเป็นพายุได้...” ชิโนบุพูดก่อนจะหันกลับมาสบตากับทันจิโร่อีกครั้ง


    “เดิมที ครอบครัวของทันจิโร่คุงมีชะตาประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ นั่นคือการถูกอสูรสังหารทั้งครอบครัว แต่เมื่อเธอตัดสินใจและลงมือเปลี่ยนแปลงมัน หลายสิ่งเลยเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยค่ะ อย่างเช่นว่า ...แทนที่จะเจอเหตุร้ายแรงครั้งใหญ่ ก็จะผ่อนหนักเป็นเบา กลายเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงน้อยลงมา แต่อาจจะพบเจอบ่อยๆ แทนน่ะค่ะ”


    ทันจิโร่ลอบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ “หมายความว่า...ในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ ครอบครัวของข้า อาจจะโดนสัตว์ร้ายจู่โจมอีกหลายครั้งงั้นเหรอครับ?”


    “ฉันคิดว่าอีกหลายครั้งค่ะ แต่ไม่ใช่แค่สัตว์ร้ายนะคะ เป็นได้หลายอย่างตั้งแต่อุบัติเหตุลื่นล้มเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงภัยพิบัติธรรมชาติได้เลยค่ะ ...แล้วก็ ถึงจะมีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปแต่ก็ใช่ว่าครอบครัวของเธอจะรอดพ้นจากเหตุการณ์นั้นแล้วนะคะ ...เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” 


    เด็กสาวผู้สวมเครื่องประดับผมลายผีเสื้อเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะระบายยิ้มอ่อนโยน


    “ดังนั้นฉันจึงอยากให้ทันจิโร่คุงฝึกฝนร่างกาย ฝึกฝนการต่อสู้ ฝึกฝนการใช้ปราณ ทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นและปกป้องครอบครัวเอาไว้ให้ได้นะคะ”

     





    หลังจากพูดคุยและผ่านการตรวจร่างกายประจำวันจากเสาหลักแมลงเรียบร้อยแล้ว ทันจิโร่จึงได้ตั้งสมาธิแล้วหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทันจิโร่ก็กลับมาที่โลกคู่ขนานแล้ว เด็กชายเจ้าของผมสีแดงนอนอยู่บนฟูกในห้องรักษาโดยมีทาเคโอะนั่งเฝ้าอยู่ เขาดีใจมากที่ในที่สุดพี่ชายก็ตื่นสักที


    พวกน้องชายเป็นห่วงมากเพราะคราวนี้ทันจิโร่นอนหลับไป 3 วันเต็ม ถึงจะน้อยกว่าครั้งก่อน แต่ภายในไม่กี่เดือนพี่ชายคนโตของบ้านสลบไปตั้งสองครั้ง ทำให้ทาเคโอะกังวลว่าพี่ชายอาจจะป่วยแบบเดียวกับคุณพ่อก็ได้


    แค่คิดว่าพี่ชายผู้แสนอ่อนโยนคนนี้จะรีบด่วนจากไปเหมือนคุณพ่อก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว ทาเคโอะรวบรวมความกล้าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สบสายตากับพี่ชายอย่างแน่วแน่


     “พี่ทันจิโร่... นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว รำคางุระของปีหน้าน่ะ ถ้าพี่ไม่ไหวให้ข้าทำแทนได้ไหม...”


    การรำคางุระประจำตระกูลคามาโดะ เป็นการรำบวงสรวงต่อ ฮิโนะคามิ ปีละครั้งในช่วงต้นปี เป็นการทำพิธีร่ายรำขอพรต่อเทพให้คุ้มครองครอบครัว ผู้ร่ายรำจะสวมชุดสำหรับทำพิธี หน้ากากผ้าที่เขียนอักษรคำว่าเปลวไฟ และใช้ดาบเจ็ดเขี้ยวประดับกระพรวน ร่ายรำต่อเนื่องนับตั้งแต่ตะวันลับขอบฟ้าจวบจนแสงอรุณรุ่งของวันใหม่ปรากฏขึ้น มันเป็นการระบำท่ามกลางหิมะและอากาศหนาวเย็นเป็นระยะเวลานานต่อเนื่องตลอด 1 คืน หากไม่ใช้การหายใจแบบเฉพาะของท่ารำเหล่านี้คงไม่อาจร่ายรำจนเสร็จสิ้นได้


    นับตั้งแต่ คามาโดะ ทันจูโร่ พ่อของทันจิโร่เสียชีวิตไป ทันจิโร่ก็เป็นคนรับหน้าที่ร่ายรำฮิโนะคามิคางุระมาโดยตลอด เขาในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กธรรมดา ถึงจะรู้วิธีหายใจแต่ก็ไม่อาจใช้มันได้อย่างเข้าใจและถูกต้อง จึงต้องฝืนใช้เพียงกำลังกายเท่านั้นในการร่ายรำจนจบพิธี ทำให้ทุกครั้งหลังจากร่ายรำเสร็จ ทันจิโร่จะเหน็ดเหนื่อยจนนอนหลับเป็นตายไปหลายวันเลยทีเดียว


    ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทันจิโร่พบเจอเรื่องราวมากมายรวมทั้งการฝึกฝนเพื่อเป็นนักล่าอสูร ทำให้เขาไม่ได้ทำพิธีนี้เลย จนแทบจะหลงลืมไปแล้ว แต่ในตอนที่ต่อสู้กับอสูรข้างแรมที่ 5 ในภูเขานาตากุโมะ ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายทำให้เขานึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้


    ฮิโนะคามิคางุระ


    ท่ารำทั้งหมดรวมทั้งรูปแบบการหายใจของท่ารำนี้สามารถใช้ในการต่อสู้จริงได้ อีกทั้งยังช่วยให้ทันจิโร่มีชีวิตรอดจากศึกครั้งใหญ่มาได้หลายต่อหลายครั้ง


    ทันจิโร่เอ่ยตอบน้องชายพลางระบายยิ้มบางๆ


    “ไม่เป็นไรหรอก ทาเคโอะ พี่ยังไหว พี่ไม่ได้บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยสักหน่อย”


    “รำฮิโนะคามิคางุระน่ะ ต้องรำตลอดคืนเลยนะ ปีก่อนพี่ยังหอบหายใจเป็นพักๆ อยู่เลย หลังรำเสร็จก็เหนื่อยจนหลับเป็นตายไปหลายวัน” ทาเคโอะคัดค้าน ก่อนจะหลบตามองไปด้านข้างใบหน้าขึ้นสีแดงจางๆ เขาเอ่ยเสียงเบา “...ข้าไม่อยากเห็นพี่ต้องหลับนานแบบนั้นอีกแล้ว”


    เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของน้องชาย ทันจิโร่ก็ระบายยิ้มกว้างพลางลูบหัวทาเคโอะด้วยความเอ็นดู


    “ทาเคโอะเนี่ยเป็นเด็กดีจังเลยนะ เป็นห่วงพี่ด้วย”


    “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!” ทาเคโอะรีบปัดมือพี่ชายออกในทันทีด้วยความเขินอาย เขากระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะปรับโหมดตัวเองให้จริงจังขึ้น “ข้าพูดจริงนะพี่ทันจิโร่ ...ที่ว่าข้าจะรำแทนน่ะ ถึงข้าจะไม่เคยรำฮิโนะคามิคางุระในพิธีจริงมาก่อน แต่ข้าก็เคยเห็นพ่อกับพี่ทันจิโร่รำมาแล้ว เคยฝึกจนร่างกายจำท่าได้หมดแล้วด้วย...”


    ทันจิโร่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น


    “ขอบคุณนะทาเคโอะ แต่ครั้งนี้พี่อยากรำเองน่ะ” เด็กชายเจ้าของดวงตาสีแดงมองไปยังน้องชายคนรอง “พี่รู้เคล็ดลับบางอย่างที่ทำให้ร่ายรำตลอดทั้งคืนได้โดยไม่เหนื่อยแล้วล่ะ...ถึงจะรู้มาตลอดก็เถอะ แต่คราวนี้พี่ก็ใช้เคล็ดลับนั้นได้จริงแล้วล่ะ”


     การหายใจไงล่ะ มันมีวิธีหายใจที่ทำให้เคลื่อนไหวเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อย ถ้าหากหายใจอย่างถูกต้องแล้วล่ะก็ทันจิโร่เองก็จะร่ายรำได้นานเหมือนกัน


     พี่ชายคนโตนึกไปถึงคำพูดของพ่อที่เขานึกขึ้นได้ตอนที่ใช้ปราณฮิโนะคามิคางุระครั้งแรกในการต่อสู้ เขาระบายยิ้มอันอ่อนโยนให้น้องชาย


    “ทาเคโอะคอยดูให้ดีๆ นะ ...พี่คิดว่าครั้งนี้ รำคางุระของพี่จะไม่เหมือนปีก่อนๆ เลยล่ะ”

     





    ท่ามกลางหิมะสีขาวที่ร่วงโรยจากท้องฟ้า คบเพลิงถูกจุดรอบบริเวณพิธี คามาโดะ ทันจิโร่ ลูกชายคนโตของบ้านสวมชุดพิธีและปกปิดใบหน้าด้วยผ้าสีขาวเขียนอักษรเปลวไฟเอาไว้ เขาก้าวเข้าไปในลานพิธีพร้อมกับดาบเจ็ดเขี้ยวประดับกระพรวนในมือ


    วันปีใหม่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแสนสุขเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานนัก เวลาในการประกอบพิธีร่ายรำของตระกูลคามาโดะประจำปีนี้ก็มาถึง วันนี้โรคุตะกับชิเงรุเป็นหวัด แม่และฮานาโกะจึงต้องอยู่ช่วยดูแล ทำให้ในเวลานี้นอกจากทันจิโร่ผู้ประกอบพิธี ก็มีเพียงเนซึโกะและทาเคโอะที่เฝ้ามองอยู่ในบริเวณใกล้เคียง


    เสียงกระพรวนดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกันกับการก้าวเท้าของทันจิโร่ การร่ายรำฮิโนะคามิคางุระได้เริ่มขึ้นแล้ว


    ร่างในชุดแต่งกายลวดลายเปลวเพลิง เคลื่อนไหวร่ายรำไปมาท่ามกลางแสงคบไฟและหิมะสีขาวที่ร่วงโรยลงมาจากฟากฟ้า ท่ารำฮิโนะคามิคางุระทั้ง 12 ท่า ถูกร่ายรำซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง


    ร่ายรำ

    ฟ้าใสสีคราม

    สุริยันสาดแสง

    ระบำเพลิง

    ตรีสุริยะ

    เพลิงนรกภูมิ

    เพลิงอาทิตย์สะบั้น

    แทงตะวัน

    มังกรสุริยันกลางกลด

    แสงอาทิตย์หักเห

    อาทิตย์อัสดงเคลื่อนคล้อย

    บุญคุณจรัสแสง


    ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ท่วงท่าจะสอดประสานกับเสียงกระพรวน เครื่องแต่งกายที่พลิ้วไหวไปมาทำให้ผู้ประกอบพิธีดูคล้ายกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้


    การร่ายรำครั้งนี้ยังสอดแทรกรู้สึกที่เต็มไปด้วยการภาวนาต่อเทพ ให้ปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวจากอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้อีกด้วย


    เนซึโกะและทาเคโอะมองภาพตรงหน้าไม่วางตา การร่ายรำของพี่ชายคนโตของบ้านต่างไปจากทุกครั้งมาก พี่ไม่ได้ดูเหน็ดเหนื่อยหรือหอบหายใจเลย เขายังคงร่ายรำได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็ว หนักแน่น ทรงพลัง ราวกับกำลังเปลี่ยนตนเองให้เป็นเปลวเพลิงของเทพ


    นั่นทำให้การร่ายรำคราวนี้งดงามยิ่งกว่าครั้งไหนๆ


    “สุดยอดเลย...” ทาเคโอะถึงกับพึมพำออกมาด้วยความตกตะลึง โดยมีเนซึโกะพยักหน้าเห็นด้วย เธอพูดออกมาด้วยรอยยิ้มยินดี “เป็นการร่ายรำที่วิเศษและงดงามมากเลยล่ะ”

     





    จากที่ได้คุยกับเสาหลักแมลงเมื่อครั้งล่าสุด ทันจิโร่เองก็เห็นด้วยกับชิโนบุ เขาจำเป็นต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อปกป้องครอบครัวเอาไว้ให้ได้


    การฝึกฝนเพื่อเป็นนักล่าอสูรนั้น ทันจิโร่เคยผ่านพ้นมันมาแล้ว ทั้งการฝึกความแข็งแรงของร่างกาย ความคล่องแคล่วโดยขึ้นลงภูเขาและหลบหลีกกับดักของคุณอุโรโกะดาคิ ฝึกการหายใจและการฝึกดาบ รวมถึงการใช้ปราณด้วย


    ปราณคือการหายใจ ใช้การเปลี่ยนแปลงวิธีหายใจเพื่อเพิ่มการลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้กล้ามเนื้อสามารถใช้ความสามารถเพิ่มขึ้นได้ชั่วขณะ ปราณแต่ละชนิดจะมีวิธีหายใจแตกต่างกัน เช่นปราณวารีจะหนุนเสริมท่าโจมตี เรียบง่าย เน้นความสามารถในการพลิกแพลงและแปรเปลี่ยนทันใจ ราวกับเป็นสายน้ำไหล เหมาะแก่การเป็นปราณพื้นฐาน


    หากฝึกฝนการใช้ปราณให้จำเพาะขึ้นก็จะมีความสามารถมากขึ้นด้วย เช่น วิธีที่เซนอิทสึเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการใช้ปราณชะลอการแพร่กระจายของพิษในร่างกายตอนศึกบนภูเขานาตากุโมะ การฝึกปราณเพ่งจิตทั่วร่างของคฤหาสน์ผีเสื้อ หรือวิธีการควบคุมปราณเฉพาะจุดเพื่อหยุดเลือดที่คุณเร็นโงคุสอนให้ตอนศึกรถไฟแห่งฝันนิรันดร์ ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยเทคนิค การฝึกฝน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับปราณที่มากขึ้น


    การที่จะใช้ปราณได้ดังใจต้องการ จำเป็นต้องมีการฝึกฝนร่างกายและกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ให้พร้อมด้วย เนื่องจากเมื่อใช้ปราณ ปอดจะถูกใช้งานหนักขึ้น หัวใจก็จะทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งออกซิเจนออกไปทั่วร่าง หากร่างกายไม่แข็งแรงพออาจทำให้เกิดผลตีกลับของปราณ ทำให้ร่างกายล้าจนขยับไม่ได้ หรืออาจส่งผลให้ปอดและหัวใจบาดเจ็บได้


    ถ้าต้องฝึกฝนร่างกายและเทคนิคการใช้ปราณทั้งหมดที่ทันจิโร่เคยได้เรียนรู้มา เวลาเพียงหนึ่งปีไม่เพียงพอที่จะฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งเทียบเท่าตัวเขาในปัจจุบันที่อยู่ในโลกจริงได้ ทันจิโร่ไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้เหมือนอิโนะสึเกะที่ฝึกฝนและคิดค้นปราณได้ด้วยตนเอง หรือเซนอิทสึที่ใช้เวลาเพียงปีเดียวก็ฝึกฝนจนแข็งแกร่งและกลายเป็นนักล่าอสูรได้


    ถึงอย่างนั้น ทันจิโร่ก็สามารถนำเคล็ดวิชาทุกอย่างที่เรียนรู้มาขัดเกลาและตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป หากทำได้จริง เวลาหนึ่งปีก็จะเพียงพอให้ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงพอที่จะใช้ปราณวารีพื้นฐานที่จำเป็นได้


    ทุกครั้งหลังจากทำกิจวัตรประจำวัน ผ่าฟืน เผาถ่านเสร็จ ทันจิโร่จะใช้เวลาว่างในการวิ่งไปในป่า วันละหลายครั้งร่วมกับการฝึกฝนการหายใจไปด้วย อีกทั้งเขายังฝึกกำลังของปอดโดยการฝึกหายใจใต้น้ำที่ลำธารซึ่งห่างจากบ้านไปสักระยะและฝึกการเป่าน้ำเต้าให้แตกไปด้วยกัน


    สำหรับการฝึกดาบ ทันจิโร่ในตอนนี้ไม่มีดาบเป็นของตัวเอง เขาจึงต้องฝึกฝนการใช้ขวานในการต่อสู้แทน ซึ่งการต่อสู้ด้วยขวานต่างกับการต่อสู้โดยใช้ดาบเป็นอย่างมาก ข้อแรกคือขวานมีพื้นที่การโจมตีแคบกว่าดาบถึงหนึ่งในสาม ข้อสองคือจุดศูนย์ถ่วง ดาบมีจุดศูนย์ถ่วงอยู่บริเวณกึ่งกลางใบดาบจึงสามารถเปลี่ยนทิศทางการฟาดฟันได้ดี แต่ขวานมีจุดศูนย์ถ่วงที่ปลายขวาน ทำให้แรงของการโจมตีพุ่งไปในทิศทางเดียว จึงควบคุมได้ยาก แต่จะมีข้อดีตรงที่ใช้น้ำหนักขวานเสริมแรงในการโจมตีได้


    ทุกอย่างไม่ยากเกินความพยายาม เด็กชายผมแดงเชื่อมั่นว่าหากพยายามและฝึกฝนล่ะก็ เขาจะสามารถใช้ขวานเป็นอาวุธที่คุ้นมือได้ประหนึ่งดาบเพลิงสุริยัน


    ทว่า การฝึกฝนอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้นในเวลาที่จำกัด


    ทันจิโร่ตระหนักได้ว่าทุกครั้งที่ตนเองต่อสู้ เขาจะแข็งแกร่งขึ้น กลิ่นอายบรรยากาศของการต่อสู้ ความมุ่งร้ายของศัตรู ช่วงเวลาของความเป็นความตายจะกดดันให้สมองหาทางรอดทุกวิถีทาง เข้าถึงทุกความทรงจำที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ ร่างกายจะตื่นตัว หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างและบีบเค้นทุกอย่างที่มีออกมาเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ เหมือนการที่เขาประยุกต์ท่ารำฮิโนะคามิคางุระที่สืบทอดกันมาในตระกูลมาใช้ในการต่อสู้ได้ในเวลาคับขัน


    เพราะฉะนั้น ในเวลาจำกัดแบบนี้ การต่อสู้จริงๆ จะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นและคุ้นชินกับการใช้ปราณมากกว่าการฝึกเพียงอย่างเดียว


    แต่การต่อสู้กับอสูรจริงๆ ยังเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป เพราะทันจิโร่ในตอนนี้ไม่มีดาบเพลิงสุริยัน จึงไม่อาจสังหารอสูรได้โดยการตัดเพียงศีรษะอย่างเดียว เขาต้องใช้ขวานฟาดฟันซ้ำๆ จนกว่ากะโหลกศีรษะของอสูรจะแหลกละเอียด ถึงจะสามารถสังหารมันได้  


    อีกทั้งยังมีเรื่องของเคราะห์กรรมที่ถูกลดทอนลงมาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น เด็กชายในชุดฮาโอริลายตารางหมากรุกพบว่า นับตั้งแต่คืนที่เขาสังหารหมีป่าตนนั้นไป คนในบ้านจะมีเรื่องโชคร้ายเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นกับทุกคนเช่น เผลอทำจานตก เดินสะดุด ลืมของ หรือเผลอเดินเตะขอบชั้นวางของ ยังดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บมากนัก


    นอกจากโชคร้ายแล้ว ก็ยังพบสัตว์ร้ายชุกชุมมากขึ้นอีกด้วย ในป่าบริเวณใกล้บ้านเคยปลอดภัยถึงขนาดที่เด็กเล็กอย่างชิเงรุและฮานาโกะสามารถวิ่งเล่นไปทั่วได้ แต่ในตอนนี้มันกลับมีสัตว์ร้ายหลากหลายชนิดเช่น หมีป่า เสือ หมาป่า หมูป่า โผล่ออกมาเยอะกว่าปกติมาก


    ทันจิโร่จำเป็นต้องสังหารสัตว์ร้ายเหล่านี้ก่อนที่จะมีใครในครอบครัวได้รับบาดเจ็บเพราะพวกมัน เขาใช้โอกาสนี้ในการฝึกฝนการต่อสู้ การหลบหลีก การป้องกัน การวางแผน เพื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย ทุกทักษะถูกฝึกฝนและใช้งานในสถานการณ์จริง


    นั่นทำให้ฝีมือของทันจิโร่พัฒนาขึ้นเร็วมาก ในเวลาไม่ถึงปีก็มีฝีมือเทียบเท่ากับในโลกจริงตอนช่วงเวลาที่เขาผ่านการสอบเป็นนักล่าอสูรแล้วด้วยซ้ำ


    ทุกครั้งที่ทันจิโร่เข้าป่าไปฝึกฝนร่างกายและเพื่อต่อสู้กับสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย เนซึโกะจะเป็นคนคอยจัดเตรียมอาหารและน้ำดื่มให้พี่ชายเสมอ อีกทั้งยังคอยทำแผลให้ทุกครั้งที่ทันจิโร่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้อีกด้วย


    สาวน้อยในชุดกิโมโนลายอาสะโนะฮะพยายามช่วยเหลือพี่ชายในการรับมือกับอสูร ทุกๆ ทางเท่าที่จะทำได้ เธออยากจะฝึกฝนร่างกาย ฝึกปราณ และฝึกใช้อาวุธขวานเพื่อจะเป็นกำลังช่วยทันจิโร่อีกแรง แต่น่าเสียดายที่พี่ชายคนโตของบ้านเป็นคนที่สอนคนอื่นไม่เก่งเลยสักนิด


    เนซึโกะไม่เข้าใจเลยว่า สิ่งที่พี่ชายของเธอพยายามสอนให้อย่างคำว่า “การใช้ปราณล่ะก็ต้อง ให้สูดลมหายใจฮึบๆๆ แล้วมันก็จะชว้าบๆๆ แล้วก็ฮ่าาาา! จากนั้นก็บูมมม! แล้วก็ตูมๆๆๆๆ มันหมายความว่าต้องทำยังไงกัน???


    การใช้ปราณนั้นหากไม่ใช่อัจฉริยะที่คิดค้นและฝึกฝนด้วยตนเองได้ จำเป็นต้องมีอาจารย์หรือผู้ฝึกสอนเป็นคนชี้แนะให้เท่านั้น เพื่อจะได้รับมือกับผลกระทบจากการฝึกได้อย่างทันท่วงที มันไม่ใช่อะไรที่ฝึกกันได้ง่ายๆ ดังนั้นเนซึโกะจึงเลือกที่จะฝึกฝนร่างกายเพียงอย่างเดียว


    ลูกสาวคนโตของบ้านมักจะฝึกฝนร่างกายโดยการวิ่งขึ้นลงภูเขา แม้จะไม่ได้ฝึกหนักเท่าทันจิโร่แต่เธอก็รู้สึกว่าร่างกายของเธอแข็งแรงขึ้นมาก สามารถวิ่งนานๆ โดยไม่เหนื่อยได้ บางครั้งในพื้นที่ที่เธอวิ่งผ่านไปจะพบกับพืชพรรณนานาชนิด เนซึโกะจะเก็บพืชบางส่วนมาทำเป็นอาหารให้ทุกคนในบ้านทานได้อีกด้วย


    ยิ่งไปกว่านั้น ในพื้นที่ดังกล่าว สาวน้อยในชุดกิโมโนลายอาสะโนะฮะก็ได้พบกับต้นฟูจิประมาณสิบต้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ปกติแล้วดอกฟูจิจะบานในช่วงปลายเดือนสี่ถึงปลายเดือนห้า เธอจึงแวะเวียนไปบริเวณนั้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาที่ดอกฟูจิบานและเก็บดอกฟูจิจำนวนหนึ่งมาทำเป็นเครื่องรางให้ทุกคนในบ้านพกเอาไว้


    วันเวลาผ่านไปจนใกล้จะถึงเดือนสุดท้ายของปี ทันจิโร่และเนซึโกะยังคงฝึกฝนตนเองร่วมกับการใช้ชีวิตประจำวันปกติ เนซึโกะยังคงช่วยงานบ้าน ทำอาหาร ซ่อมแซมเสื้อผ้าและเลี้ยงน้องคนสุดท้องอยู่เสมอ ส่วนทันจิโร่ก็ทำงานหาเงินเข้าบ้านโดยการเผาถ่านและนำไปขายที่หมู่บ้านเช่นเคย


    ในระหว่างที่ขายถ่านในหมู่บ้าน เด็กชายในชุดลายตารางหมากรุกก็จะหาข่าวสารและสอบถามคนในหมู่บ้านเกี่ยวกับสถานที่ที่จะใช้เป็นที่พักพิง หลบเลี่ยงจ้าวอสูรในช่วงหน้าหนาวปลายปีได้ บ้านคามาโดะไม่มีเงินทองเพียงพอที่จะไปหาซื้อที่ดินหรือบ้านหลังใหม่ ทันจิโร่จึงคิดว่าการขอพักอาศัยกับใครสักคนในหมู่บ้านจะเป็นการดีที่สุด


    คนแรกที่ทันจิโร่นึกถึงคือ คุณปู่ซาบุโร่ ท่านเป็นคนที่เรียกให้ทันจิโร่พักค้างแรมที่บ้านของตนเองในค่ำคืนที่อสูรฆ่าทุกคนในบ้าน ครอบครัวของคุณปู่ซาบุโร่เสียชีวิตไปแล้ว ท่านจึงอาศัยอยู่คนเดียว หากเข้าไปพูดคุย เพื่อขอไปพักอาศัยกับคุณปู่สัก 1 สัปดาห์ก็น่าจะทำได้


    ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดไว้ คุณปู่ซาบุโร่อนุญาตให้ครอบครัวคามาโดะมาพักบ้านของคุณปู่ได้ บางทีท่านคงจะเหงา ทันจิโร่มั่นใจมากว่าพวกน้องๆ ของตนเป็นเด็กดี ร่าเริงสดใส ในช่วงเวลาที่พักอยู่ที่นี่คงจะช่วยทำให้คุณลุงรู้สึกคลายเหงาไปได้แน่นอน


    แต่สิ่งที่ผิดแผนคือคุณแม่ไม่ยอมย้ายไปพักค้างแรมที่บ้านของคุณปู่ซาบุโร่ แม้ทันจิโร่และเนซึโกะจะอ้างว่าคุณปู่รู้สึกคิดถึงและอยากให้เด็กๆ ไปเยี่ยมบ้าง แต่คุณแม่รู้สึกเกรงใจมากกว่าเพราะครอบครัวคามาโดะมีเด็กๆ เยอะ อาจไปรบกวนหรือส่งเสียงเอะอะได้ หากจะไปเยี่ยมเยือนล่ะก็ให้ไปแบบเช้าเย็นกลับไม่พักค้างคืนจะดีกว่า


    แบบนี้ก็แย่แล้วน่ะสิ!’


    ลูกชายและลูกสาวคนโตของบ้านคามาโดะอุทานขึ้นมาในใจพร้อมกัน พวกเขาทั้งสองคนรีบส่งสัญญาณทางสายตานัดออกไปคุยนอกบ้านเป็นการด่วน


    “ทำยังไงให้แม่ยอมพาน้องๆ ไปอยู่ที่บ้านคุณปู่ซาบุโร่ได้ล่ะเนี่ย...” ทันจิโร่พูดเปิดประเด็นกับน้องสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน “หรือพี่ควรจะไปเกลี้ยกล่อมคุณแม่อีกทีดีมั้ย?”


    เนซึโกะนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “อย่าดีกว่าค่ะ ถ้าทำแบบนั้นคุณแม่จะรู้สึกว่ามีพิรุธนะคะ คุณแม่อาจจะไม่ออกจากบ้านไปไหนเลยก็ได้”


    “หมายความว่า เราต้องใช้วิธีอื่นทำให้คุณแม่เปลี่ยนใจไปพักที่บ้านคุณลุง...” เด็กชายในชุดลายตารางหมากรุกพึมพำหาทางออก “ทางที่ดีควรเป็นวิธีที่พวกเราไม่ต้องออกหน้าเองด้วย...”


    ทั้งสองคนครุ่นคิดกันอยู่พักหนึ่ง ไม่นานนักเนซึโกะก็คิดวิธีบางอย่างขึ้นมาได้


    “พี่คะ ข้าคิดออกแล้ว...! ลองทำแบบนี้ดู...”


    สาวน้อยในชุดกิโมโนสีชมพูขยับเข้าไปใกล้พี่ชาย ก่อนจะกระซิบบอกวิธีที่เพิ่งคิดได้ ทันจิโร่ที่ตั้งใจฟังอย่างดีถึงกับชะงักเมื่อได้ยินวิธีดังกล่าว เขาไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นวิธีที่น้องสาวผู้เรียบร้อยน่ารักของเขาคิดขึ้นมาได้


    “ถึงจะรุนแรงไปหน่อย แต่วิธีที่เนซึโกะบอกมาก็น่าจะได้ผลนะ” ลูกชายคนโตของบ้านเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้าให้กับน้องสาว สองพี่น้องพูดคุยนัดแนะแผนการกันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายดำเนินการตามแผน




     

     

    เดือนสุดท้ายของปีผ่านมาได้สองสัปดาห์แล้ว หิมะยังคงโปรยปรายปกคลุมผืนดินให้เป็นสีขาว คามาโดะ คิเอะ ผู้เป็นแม่ของครอบครัวคามาโดะ มักจะตื่นขึ้นในเวลาเช้าตรู่เพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับลูกๆของเธอ แต่เช้าวันนี้กลับมีบางอย่างที่แปลกไป นั่นคือเพดานบ้านบริเวณห้องครัวและกลางบ้านที่ใช้รับประทานอาหาร มีรูโหว่งขนาดใหญ่ประมาณสองฝ่ามือเกือบสิบรู พื้นบ้านเองก็มีลูกเห็บขนาดปานกลางตกกระจายอยู่เช่นกัน


    เมื่อรวมกับเสียงตึงตังที่ดังอยู่ช่วงหนึ่งของค่ำคืนที่ผ่านมา เป็นเสียงเหมือนมีบางอย่างกระทบหลังคา ก็พอเดาได้ว่าเมื่อคืนคงมีพายุลูกเห็บพัดบริเวณนี้ ยังดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ มีเพียงร่องรอยรูโหว่ของเพดานบ้านเท่านั้น


    คิเอะมองเพดานบ้านที่เป็นรูโหว่ด้วยสีหน้ากังวลใจ   


    ถ้าบ้านมีรูโหว่มากมายให้อากาศผ่านเข้าออกได้แบบนี้ ภายในบ้านจะไม่สามารถกักเก็บอากาศให้อบอุ่นได้เช่นเคย จะทำให้อุณหภูมิในบ้านหนาวพอๆ กับนอกบ้าน และนั่นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เด็กเล็กๆ ป่วยได้ง่ายด้วย


    หากเป็นในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมหนาเช่นนี้ คิเอะคงเรียกพวกลูกชายมาช่วยซ่อมหลังคาบ้านไปแล้ว แต่ตอนนี้บนหลังคาเต็มไปด้วยหิมะ ทำให้ซ่อมแซมได้ยากและอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มตกลงมาได้ง่ายด้วย


     ผู้เป็นแม่ของครอบครัวคามาโดะไม่อยากให้พวกลูกชายต้องเสี่ยงแบบนั้น โดยเฉพาะในปีนี้...ซึ่งเป็นปีที่เธอรู้สึกว่าทุกคนในบ้านโชคร้ายไม่ก็ดวงซวยเป็นพิเศษตลอดทั้งปี  


    โรคุตะ ยิ่งร่างกายอ่อนแอเพราะอากาศอยู่ด้วย ...บางที อาจจะต้องไปพักที่อื่นจนกว่าจะพ้นฤดูหนาวไปจะดีกว่า...


    เมื่อคิดได้ดังนั้น คิเอะก็นึกถึงบ้านของคุณซาบุโร่ที่อาศัยอยู่ที่ตีนเขา สองสามวันก่อนทันจิโร่เล่าให้ฟังว่าคุณซาบุโร่คิดถึงพวกเด็กๆ อยากจะให้ไปเยี่ยมและพาทุกคนในครอบครัวคามาโดะไปเที่ยวในหมู่บ้านสักหนึ่งสัปดาห์ หญิงวัยกลางคนได้บอกปฏิเสธลูกชายไปเพราะความเกรงใจ


    แต่ในตอนนี้เป็นสถานการณ์บังคับ หากยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ช่วงหิมะตกหนัก ก็จะไม่ดีต่อสุขภาพของลูกชายคนเล็ก คิเอะจึงตัดสินใจที่จะคุยกับทันจิโร่อีกครั้งหลังทานอาหารเช้าเพื่อตกลงและอนุญาตให้ทุกคนไปพักอาศัยอยู่กับคุณซาบุโร่ที่ตีนเขาได้


    ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นบรรดาเด็กๆ ก็ดีใจกันมาก โรคุตะ ชิเงรุ ฮานาโกะและทาเคโอะ วาดฝันว่าจะได้ไปท่องเที่ยวในหมู่บ้านทั้งวันแบบสบายๆ โดยไม่ต้องเร่งรีบที่จะกลับบ้านก่อนฟ้ามืดเช่นทุกครั้ง พวกเขารู้สึกขอบคุณคุณปู่ซาบุโร่เป็นการใหญ่ที่ยอมให้พักที่บ้านตั้งหลายวันแบบนี้


    “คุณปู่ซาบุโร่อุตส่าห์ใจดีให้พักที่บ้านแบบนี้ พวกเราเองก็เอาของฝากไปให้ท่านบ้างดีกว่า!” ทาเคเอะเป็นคนชักชวนพวกน้องๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้ามีกล่องไม้ที่ข้าแกะสลักเองอยู่ ข้าจะเอาไปให้คุณปู่ล่ะ”


    “ส่วนข้าจะเอาหินสีแปลกๆ ที่เก็บได้จากแม่น้ำไปให้ดีกว่า” ชิเงรุเป็นคนพูดบ้าง โรคุตะที่นั่งฟังอยู่ก็ขอร่วมวงด้วย “ข้าจะให้ลูกโอ๊คล่ะ!


    เมื่อบรรดาพี่น้องเลือกของฝากกันอย่างรวดเร็ว ฮานาโกะเองก็อยากจะมอบขอฝากให้คุณปู่เช่นกัน เธอไม่ได้มีงานอดิเรกเก็บสะสมของแปลกๆ เหมือนพวกน้องชาย เด็กหญิงตัวน้อยถนัดการเย็บปักถักร้อย เธอจึงตั้งใจว่าจะถักตุ๊กตาเป็นของฝาก


    “ข้าอยากจะถักตุ๊กตาให้คุณปู่...” ฮานาโกะพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวลใจ “แต่คุณปู่ซาบุโร่ไม่ใช่เด็กผู้หญิง คุณปู่จะชอบตุ๊กตาที่ข้าถักให้รึเปล่านะ...?”  


    “คุณปู่ต้องชอบแน่นอน” เนซึโกะตอบพลางลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ “เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ฮานาโกะตั้งใจทำให้ท่านโดยเฉพาะเลยนี่นา ท่านคงดีใจมากๆ เลยล่ะ”


    ได้ยินดังนั้นน้องสาวคนเล็กของบ้านก็ยิ้มอย่างยินดี “ขอบคุณค่ะ ข้าจะตั้งใจถักตุ๊กตาให้สุดฝีมือไปเลย!


    “พยายามเข้านะ ฮานาโกะ!


    ทันจิโร่ส่งเสียงช่วยให้กำลังใจอีกแรง ท่าทางดีใจของพวกน้องๆ ทำให้พี่ชายคนโตของบ้านรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ผิดเลยที่ทำตามแผนของเนซึโกะ เพราะมันทำให้คุณแม่ยอมตกลงไปพักค้างแรมที่บ้านคุณปู่ซาบุโร่จริงๆ


    ลูกชายและลูกสาวคนโตของบ้านสบตากันด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย คำหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหัวของทั้งสองคนพร้อมกัน


    เป็นไปตามแผน!!’


    แผนที่ว่าคือการที่ทันจิโร่และเนซึโกะแอบลักลอบออกจากบ้านในเวลากลางคืน มันเป็นค่ำคืนที่มีพายุหิมะพัดแรงแต่ไม่ถึงกับทำให้ลำบากนัก อีกทั้งเสียงลมก็จะกลบเสียงย่ำเดินและหิมะก็จะช่วยปกปิดรอยเท้าในวันรุ่งขึ้นด้วย  


    ทันจิโร่กระโดดขึ้นบนหลังคาบ้านอย่างเงียบเชียบด้วยทักษะนักล่าอสูรที่ฝึกมาตลอดปี เขาใช้ขวานผนวกเข้ากับปราณวารีโจมตีไปที่หลังคาบ้านให้ทะลุไปถึงห้องด้านใน โดยที่ระวังไม่ให้คนในบ้านตื่นขึ้นมา


    ส่วนเนซึโกะจะแอบทำลูกเห็บด้วยน้ำแข็งและหิมะเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน เมื่อออกมาจากบ้านได้เธอก็เข้าไปเก็บลูกเห็บที่เก็บไว้นอกบ้านเอามาวางไว้จุดต่างๆ ของห้อง ให้พอดีกับรูโหว่บนหลังคาที่พี่ชายทำไว้ เป็นการสร้างที่เกิดเหตุให้ดูเหมือนว่าหลังคาถูกทำลายจากลูกเห็บ


    แผนการเป็นไปได้ด้วยดี แต่ทันจิโร่กลับรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย รู้สึกเหมือนกับกำลังถูกคุณอุโรโกดาคิ ซาบิโตะและมาโคโมะคาดโทษอยู่ เนื่องจากการเอาปราณวารีที่อุตส่าห์ฝึกสอนให้ไปใช้ในทางมิดิมิชอบ เช่นการพังหลังคาบ้านตัวเอง


    ต้องขอโทษด้วยนะครับ!!’ ทันจิโร่ได้เพียงแต่กล่าวขอโทษในใจเท่านั้น  


    วันนั้น แต่ละคนแยกย้ายกันไปเก็บเตรียมข้าวของ และทำความสะอาดบ้านเพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางไปยังหมู่บ้านในวันรุ่งขึ้น




    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =(100%) = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = 



    17 / 2 / 63 (50%)

    สวัสดีค่ะ

    ครึ่งพาร์ทแรกเล่าเรื่องแบบชิวๆ กันหน่อย เดี๋ยวครึ่งหลังจะเร่งเครื่องละ เร่งให้ถึงวันที่มุซันมาเที่ยวบ้านทันจิโร่เลยทีเดียว 555

    เนื่องจากอยากจะอ้างอิงชื่อท่าของฮิโนะคามิคางุระให้ถูกต้องทั้งหมด เลยใช้เวลาไปเปิดหาในมังงะแปลไทยตั้งแต่ท่าแรกที่ใช้สักหน่อย (เราซื้อแบบ E-book เลยหาง่ายหน่อย 555)

    อาทิตย์อัสดงเคลื่อนคล้อย กับ บุญคุณจรัสแสง เป็นท่าที่ยังไม่มีในแปลไทยปัจจุบัน (เล่ม 17) นะคะ เราแปลชื่อท่าแบบงูๆ ปลาๆ จากอังกฤษและญี่ปุ่น ถ้าแปลไทยออกแล้วจะเปลี่ยนเป็นชื่อตามแปลไทยค่ะ 

     ปล. บางที...ฟิคนี้อาจจะมีคู่หลักเป็น ทันชิโน/ชิโนทัน ก็ได้นะ ออกมาทุกตอนแล้วเนี่ย 555 ขอพื้นที่ให้คู่อื่นบ้างสิ!


                   = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =  


    22 / 2 / 63 (100%)

    สวัสดีค่ะ

    ครึ่งพาร์ทหลังเนื้อหาแบบอธิบายเยอะมาก ฝึกวิชาแล้วสคิปข้ามเวลากันรัวๆ เลยจ้า อาจจะดูเหมือนเนื้อเรื่องเรื่อยๆ ไปหน่อย แต่เป็นการเตรียมพร้อมให้เร่งเครื่องสำหรับตอนอื่นๆ ได้นะ

    ตรงนี้แอบคุยนิดนึง

    ในฟิคครึ่งหลังนี้ เราวิเคราะห์เองนะว่า ในกลุ่มคามาโบโกะ คนที่มีพรสวรรค์น้อยที่สุดคือทันจิโร่ เพราะอย่างที่บอกไปในฟิค อิโนสุเกะฝึกและคิดค้นปราณเอง ส่วนเซนอิทสึฝึกกับปู่ ใช้เวลาหนึ่งปี ปู่ถึงให้มาสอบเป็นนักล่า แต่ทันจิโร่ฝึกกับคุณอุโรโกะดาคิหนึ่งปี ฝึกเองครึ่งปี ฝึกกับซาบิโตะและมาโคโมะอีกครึ่งปี รวมเป็นสองปีถึงจะผ่านแล้วได้รับอนุญาตให้มาสอบ แสดงว่าเอาความพยายามเข้าสู้หนักมาก ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าในมังงะและเรื่องนี้เน้นมากว่ามือของทันจิโร่ด้านจากการฝึกวิชา

    ทั้งอิโนะสุเกะและเซนอิทสึก็พยายามฝึกฝนมามากเหมือนกันนะ ถึงได้แข็งแกร่งเหมือนในปัจจุบันได้ แต่การที่อ.เข้ เน้นมือด้านของทันจิโร่อยู่คนเดียวเนี่ย แสดงว่าทันจิโร่ผ่านการฝึกมาหนักจริงๆ ;w;

    แอบคุย 2

    หลังจากนี้เราจะสอดแทรกเนื้อหาที่จะสปอยเนื้อเรื่องของอ.เข้หลังภาคย่านเริงรมย์แล้วนะคะ บทใดมีสปอยเราจะบอกช่วงไว้นะคะว่าเป็นเนื้อเรื่องช่วงไหน แต่จะไม่ระบุชื่อตอนนะ

    ถ้าเรียงเนื้อหาหลังอนิเม แบ่งตามช่วงต่างๆ ดังนี้ค่ะ

    -          บทรถไฟ

    -          บทย่านเริงรมย์

    -          บทหมู่บ้านดาบ

    -          บทฝึกกับเสาหลัก

    -          บทสุดท้าย VS ข้างขึ้น 2

    -          บทสุดท้าย VS ข้างขึ้น 6

    -          บทสุดท้าย VS ข้างขึ้น 3

    -          บทสุดท้าย VS ข้างขึ้น 1

    -          บทสุดท้าย VS มุซัน

     

    ปล. ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มาเลยนะคะ ช่วยเพิ่มกำลังใจให้เยอะมากเลยค่ะ ใครมีอะไรสงสัยหรือจะชวนคุยเกี่ยวกับเนื้อหาในฟิคสามารถเม้นต์บอกได้เลยนะ

     

    ถ้าชอบก็ฝากคอมเม้นต์หรือกดปุ่มให้กำลังใจได้นะคะ! หรือเข้าไปคุยกันที่แฮชแท็ก #ทันจิโร่ในความฝันนิรันดร์ ก็ได้น้า

    แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการค่า บ๊ายบาย


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×