ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Kimetsu no Yaiba] 無限の夢 : Infinity dream : ความฝันนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #15 : ความฝันที่ 14 : ปณิธาน (1) + HBD Kamado Tanjiro!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 670
      32
      14 ก.ค. 63



    (มีสปอยช่วง ฝึกกับเสาหลัก,บทสุดท้าย vs ข้างขึ้น 3, บทสุดท้าย vs มุซัน

    / ระดับการสปอย : ปานกลาง - มาก)

    [*แนะนำให้อ่านมังงะเล่ม 15 จนถึงตอนที่ 200 ก่อนจะดีกว่านะคะ

    เพราะถึงจะสปอยปานกลาง แต่มันก็สปอยอยู่ดีนั่นแหละค่า]

     

     


    ความฝันที่ 14


    ปณิธาน (1)

     

     




    “อา...คราวนี้ ถ้านายไม่ต้องกลายเป็นนักล่าอสูร... นายก็จะมีชีวิตรอดสินะ ...ดีแล้วล่ะ

    ...ในที่สุด ฉันก็ปกป้องเอาไว้ได้สักที...”

     

     

    โทมิโอกะ กิยู กำลังเดินอยู่ท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงสว่าง รอบกายสัมผัสได้ถึงสายลมพัดผ่านและอากาศที่หนาวเย็นราวกับกำลังอยู่กลางทุ่งหิมะ นับตั้งแต่ที่ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสบนภูเขาคุโมะโทริ กิยูก็ไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงและได้ย่ำเดินอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว


    ภาพที่ดำมืดตรงหน้าค่อยๆ ปรากฏแสงสว่างเลือนราง สิ่งแรกที่เห็นคือต้นฟูจิที่มีดอกไม้สีม่วงบานสะพรั่งเต็มต้น กลีบดอกไม้สีม่วงอ่อนปลิวร่วงลงมาตามแรงลม ชายหนุ่มเผลอหยุดฝีเท้าเพื่อมองภาพนั้นชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่าด้านหลังม่านดอกฟูจิที่ห้อยระย้าลงมานั้น มีบางสิ่งที่ชวนให้คิดถึงมากๆ อยู่


    กิยูเร่งรีบเคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ร่างกายผ่านพ้นริมต้นดอกฟูจิ ดอกไม้สีม่วงเหล่านั้นก็ได้อันตรธานหายไปราวกับภาพลวงตา


    ในขณะเดียวกัน ภาพสถานที่ตรงหน้าก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ทั้งกลิ่นอาย ทั้งความชื้นของไอหมอก และต้นไม้มากมายที่รายล้อม รวมไปถึงลานกว้างที่ใช้ฝึกฝนและหินก้อนใหญ่พันรอบด้วยเชือกชิเมะนาวะ ชายหนุ่มยังคงจำหินก้อนนั้นได้ดีเพราะเขาต้องผ่ามันให้ขาดเป็นสองส่วนถึงจะได้รับการยอมรับจากคุณอุโรโกะดาคิให้สามารถเข้าร่วมการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้ายได้   


    ที่นี่คือภูเขาซากิริ สถานที่ที่กิยูได้รับการฝึกฝนเพื่อเข้าสอบเป็นนักล่าอสูร


    “ก๊า! ก๊า! อุโรโกะดาคิ ซากอนจิ! ข่าวแจ้งให้ทราบ!


    เสียงเล็กแหลมของอีกาคาสุไกที่ใช้ในการติดต่อกันของนักล่าอสูรดังแว่วมา ชายหนุ่มในชุดนักล่าอสูรรีบก้าวเท้าออกไปตามทิศทางของเสียง เขาวิ่งผ่านแนวป่าไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ เพียงชั่วอึดใจกิยูก็มาถึงที่หมาย


    บ้านทรงญี่ปุ่นอย่างง่ายริมเชิงเขา ชายในชุดฮาโอริลายครึ่งจำมันได้ดี บ้านหลังนี้คือบ้านที่คุณอุโรโกะดาคิใช้เป็นที่พักอาศัยของตนเองและเหล่าเด็กที่มาฝึกฝนเพื่อเป็นนักล่าอสูร อีกาสื่อสารบินร่อนลงไปยังบริเวณหน้าบ้าน มันหยุดลงที่ไหล่ของชายชราผู้สวมหน้ากากเทนงูสีแดงแล้วแผดเสียงดังเพื่อแจ้งข่าวสารสำคัญ


    มันเป็นข้อความแห่งการสูญเสียที่ทำให้เจ็บปวดหัวใจทุกครั้งที่ได้ยิน


    “โทมิโอกะ กิยู เสียชีวิตแล้ว!!


    สิ้นเสียงนั้นคุณอุโรโกะดาคิก็นิ่งเงียบไป ชายชรารับฟังเรื่องราวความเป็นไปทั้งหมดในภารกิจล่าสุดที่เกิดขึ้น รวมไปถึงวาระสุดท้ายของลูกศิษย์ของตนเองด้วยความเงียบสงบ


    อุโรโกะดาคิเคยเป็นถึงเสาหลักวารีของกลุ่มพิฆาตอสูร เขาเป็นนักล่าที่มากฝีมือ เมื่อร่างกายแก่ชราไปตามวัย ตนจึงได้วางมือจากบทบาทนักล่าและผันตนมาเป็นผู้ฝึกฝนนักล่าอสูรรุ่นใหม่แทน เหล่าเด็กๆ ที่ชายชราได้รับเข้ามาดูแลและฝึกฝนทักษะการเป็นนักล่าอสูรให้นั้นล้วนเป็นเด็กดี มีความมุ่งมั่น สามารถเรียนรู้และฝึกฝนทั้งทักษะการเอาชีวิตรอดและวิชาการต่อสู้ได้ดี หากเด็กพวกนั้นได้เข้าร่วมเป็นนักล่าอสูรแล้วคงจะช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมาย


    ทว่า เด็กเหล่านั้นไม่เคยกลับมาจากการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้ายได้เลย พวกเขาตายไปในการสอบที่ภูเขาฟูจิคาซาเนะแทบทุกคน สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงหน้ากากจิ้งจอกคุ้มภัยที่ตนได้มอบให้เด็กทุกคนไว้เพื่อเป็นการอวยพรและร่างไร้วิญญาณของพวกเขาสำหรับการทำพิธีศพเท่านั้น


    อุโรโกะดาคิรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจตลอดมาว่าสมควรแล้วหรือที่จะส่งให้เด็กๆ เหล่านี้ ต้องไปเผชิญกับความตายในการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้าย พวกเขาจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้หรือไม่ถ้าหากไม่ได้เลือกเส้นทางนักล่าอสูร


    เด็กหลายคนเคยตอบคำถามนี้ พวกเขาส่วนมากเป็นเด็กที่สูญเสียครอบครัวไปเพราะโดนอสูรฆ่าตาย บางคนเลือกที่ใช้ชีวิตของตนเองต่อไป บางคนเลือกที่จะเข้าร่วมกับนักล่าอสูรเพื่อแก้แค้นให้ครอบครัว บางคนเลือกที่จะเป็นนักล่าเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นต้องสูญเสียคนที่รักไปเหมือนกับตนเองอีก


    เด็กที่ตัดสินใจจะเป็นนักล่าอสูรนั้นมีปณิธานความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างแท้จริง พวกเขาฝึกฝนตนเองอย่างไม่ย่อท้อ เพิ่มพูนความสามารถในการเอาชีวิตรอดจนได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกสอน เพื่อที่จะเข้าสู่การทดสอบครั้งสุดท้ายและกลายเป็นนักล่าอสูรอย่างสมภาคภูมิ


    ชายชรารับรู้ความมุ่งมั่นของเด็กๆ เหล่านั้นได้ เขาจึงพยายามทุ่มเทและถ่ายทอดความรู้ ทักษะการต่อสู้ ดาบ ปราณ ทั้งหมดให้กับศิษย์ของตนเองเพื่อให้เด็กพวกนั้นสอบผ่านการคัดเลือกครั้งสุดท้ายและกลายเป็นนักล่าอสูรได้อย่างที่ใจหวัง


    แต่ถึงอย่างนั้น ศิษย์ที่เข้าสู่การสอบก็ยังคงไม่มีใครกลับมา ความกังวลโถมทับเข้าสู่จิตใจของชายชรามากยิ่งขึ้น เขาเลือกที่จะเพิ่มบททดสอบของตนเองให้ยากขึ้น โดยการให้ใช้ดาบผ่าก้อนหินใหญ่ให้ขาดเป็นสองส่วน ในทุกครั้งที่ต้องฝึกฝนศิษย์คนใหม่ก็จะกำหนดให้ใช้หินก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


    เมื่อการทดสอบยากขึ้น เด็กที่ไม่สามารถผ่าหินเป็นสองส่วนได้แม้จะพยายามฝึกฝนมากไปแค่ไหนก็จะเริ่มยอมแพ้ พวกเขาบางคนเลือกกลับไปใช้ชีวิตปกติธรรมดาทั่วไป แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะเลือกเข้าร่วมหน่วยคาคุชิเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เหล่านักล่าอสูรในการทำภารกิจปราบอสูรแทน


    อุโรโกะดาคิคิดว่าหากเด็กเหล่านั้นไม่มีใครผ่านบททดสอบนี้ไปได้ ก็จะไม่มีใครต้องไปเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตอีก แต่ถ้าเด็กคนใดมุ่งมั่นฝึกฝนจนสามารถผ่าหินเป็นสองส่วนได้ ตนเองก็จะยอมรับในความสามารถนั้นและอนุญาตให้ไปสอบได้ในที่สุด


    แต่ถึงอย่างนั้น ในการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้าย ชายชราผู้สวมหน้ากากเทนงูก็สูญเสียลูกศิษย์มากความสามารถที่ได้รับการยอมรับจากตนไปอีกหลายคน ยกเว้นเพียงแต่ โทมิโอกะ กิยู ลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดจากการสอบคัดเลือกเพื่อเป็นนักล่าอสูรและสามารถไต่เต้าไปจนถึงตำแหน่งเสาหลักของกลุ่มพิฆาตอสูรได้


    แม้ว่ากิยูมักจะบอกว่าตนเองไร้ความสามารถและไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้ แต่อุโรโกะดาคิก็รู้ดีว่าศิษย์คนนี้ฝึกฝนและพยายามมามากแค่ไหน ชายชราจึงรู้สึกยินดีในความสำเร็จของลูกศิษย์และภาคภูมิใจในตัวของกิยูมาก


    “เจ้าทำได้ดีมากแล้วล่ะกิยู ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ”


    อุโรโกดาคิเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม แม้ว่าดวงตาภายใต้หน้ากากเทนงูจะมีน้ำตาหลั่งรินออกมาก็ตาม

     





    ทั้งข้อความจากอีกาคาสุไกและบรรยากาศเศร้าเสียใจรอบตัวผู้เป็นอาจารย์ ทำให้กิยูเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้ต่อสู้กับมุซันที่ภูเขาคุโมะโทริ และช่วยชีวิต คามาโดะ ทันจิโรเอาไว้


    แล้วหลังจากนั้น...ฉันก็ ตาย----’


    ห้วงความคิดของชายในชุดฮาโอริลายครึ่งหยุดลงทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง หากเป็นในยามปกติ กิยูคงจะเตรียมชักดาบขึ้นมาพร้อมต่อสู้แล้ว แต่ในเวลานี้ ทั้งกลิ่นอายเยือกเย็นระคนดุดันและเสียงที่ได้ยินทำให้ชายหนุ่มจำได้ในทันทีว่านั่นเป็นเสียงฝีเท้าของใคร  


    คนที่เคยฝึกฝนการเป็นนักล่าอสูรด้วยกันกับเขาบนภูเขาแห่งนี้ คนที่มีฝีมือเก่งกาจและช่วยเหลือเด็กคนอื่นๆ ในการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้ายจนทุกคนที่เข้าสอบในรอบนั้นสอบผ่านทั้งหมดยกเว้นเพียงตนเองที่ได้สละชีวิตไป คนที่กิยูรู้สึกติดค้างหลายสิ่งหลายอย่างมาโดยตลอด


    นักล่าอสูรผู้สวมฮาโอริลายครึ่งจึงหันกลับไปหาต้นเสียงนั้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแต่กลับรู้สึกได้ถึงความยินดีในน้ำเสียงนั้น


    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ซาบิโตะ”


    ผู้ที่เดินเข้ามาจากทางด้านหลังถึงกับหยุดชะงักไป เขาเป็นเด็กชายที่มีเส้นผมสีส้มอมแดง ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากากจิ้งจอกแกะสลักลวดลายคล้ายรอยแผลยาวบนหน้าด้านขวา ทันทีที่ถูกเอ่ยทักขึ้นมาเขาก็เผยรอยยิ้มชื่นชมให้กับเพื่อนในวัยเยาว์


    “...แค่ข้าเดินเข้ามาก็รู้แล้วงั้นเหรอ ...เก่งขึ้นมากเลยนี่ กิยู”


    เด็กชายกล่าวแล้วค่อยๆ ถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นดวงตาสีม่วงลาเวนเดอร์และใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นใหญ่ข้างปากด้านขวา ทั้งใบหน้าและรูปร่างยังคงเป็นเด็กชายวัย 13 ปี เหมือนกับตอนที่กิยูได้พบเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายในการสอบคัดเลือกบนภูเขาฟูจิคาซาเนะ ...ไม่ต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย


    ซาบิโตะก้าวเข้ามาหาอีกฝ่ายด้วยจังหวะหนักแน่นมั่นคงพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


    “...รู้รึเปล่า ว่าการที่เจ้ามาที่นี่ในสภาพนี้มันหมายความว่าอะไร?”


    “อืม...” กิยูพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย “การที่ฉันพูดคุยกับซาบิโตะแบบนี้ได้... เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่อีกาคาสุไกแจ้งกับคุณอุโรโกะดาคิเป็นความจริงสินะ ...ฉันได้ตายไปแล้ว...”


    “ใช่แล้ว”


    ซาบิโตะเอ่ย ดวงตาคู่นั้นมองตรงไปยังชายหนุ่มนักล่าอสูรตรงหน้าที่ดูจะนิ่งสงบกว่าที่คิด ทั้งความรู้สึกและบรรยากาศรอบกายของกิยูดูแตกต่างไปจากครั้งล่าสุดที่ซาบิโตะได้พบเจออีกฝ่ายมาก เด็กชายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกเล่าสิ่งที่คิดอยู่ออกมา


    “เจ้าดูเปลี่ยนไปนะ กิยู” เจ้าของเส้นผมสีส้มแดงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อันที่จริง... ถึงแม้ข้าจะตายไปแล้ว แต่ข้าก็ยังสามารถรับรู้เรื่องราวหลายสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูเขาซากิริแห่งนี้ได้ ก่อนหน้านี้ หลายครั้งที่เจ้ามาที่ภูเขาซากิริ ...ที่หน้าหลุมศพของข้า เจ้าเอาแต่กล่าวโทษตัวเอง...บอกว่าตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเสาหลักนักล่าอสูร เอาแต่พูดว่า...หากตายแทนข้าได้ก็คงดี...”


    ซาบิโตะกำหมัดแน่น สีหน้าและแววตาเข้มงวดดุดันอย่างเห็นได้ชัด


    “หลายครั้งที่ข้าอยากจะเข้าไปซัดเจ้าให้คว่ำ! ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่รึไงว่า ห้ามพูดว่าถ้าตัวเองตายไปซะก็คงดีอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้าพูดอีกพวกเราก็จบกัน ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันอีก กิยู เจ้าลืมไปแล้วรึไงกัน?”


    ชายหนุ่มในชุดนักล่าอสูรเงียบไปครู่ใหญ่ เสาหลักวารีแหงนหน้ามองออกไปบนท้องฟ้า ห้วงความคิดหวนนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมาในอดีตของตนเอง ...รวมถึงความทรงจำในอนาคตข้างหน้าที่ได้รับสืบทอดมาจาก ชายคนนั้น ด้วย


    ชายที่มีทั้งชื่อ รูปร่างหน้าตาและบุคลิกนิสัยเหมือนกับตนเองไม่มีผิด


    ในความทรงจำนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตนในอนาคตอีกสองปีข้างหน้า ...แล้วก็เรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่มีนามว่า คามาโดะ ทันจิโร่


    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของกิยูหันกลับมาสบตากับเพื่อนในวัยเด็กของตน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าเบาบาง


     “หลังจากที่นายตาย... เมื่อนึกถึงเรื่องของซาบิโตะทีไร ความโศกเศร้าก็จะถาโถมเข้ามากดทับหัวใจจนหนักอึ้ง โศกเศร้า...จนไม่อาจทำอะไรได้อีก ...ฉันจึงมุ่งมั่นใช้ทุกอย่างที่มีไปกับการขัดเกลาตนเอง ฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน จนลืมเลือนสิ่งต่างๆ รอบตัวไป แม้กระทั่งสิ่งสำคัญที่ซาบิโตะได้เคยเตือนเอาไว้ก็เลือนรางจนไม่อาจจดจำได้... แต่ว่า”


    “สิ่งที่ได้รับจากซาบิโตะ จะไม่สืบทอดต่อเหรอครับ?”


    น้ำเสียงนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความห่วงใยของ  คามาโดะ ทันจิโร่ เรียกให้สติของเขากลับมาได้ ราวกับว่าความทรงจำทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกจากส่วนลึกของจิตใจ ทั้งถ้อยคำที่สำคัญ และความรู้สึกอันซื่อตรงที่ส่งออกมาจากใจของซาบิโตะในตอนนั้น


    “แต่ว่า...เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้เรียกสติฉันเอาไว้ ...ทำให้ฉันจำเรื่องสำคัญที่นายเคยพูดได้ เรื่องที่บอกว่า ห้ามพูดว่าถ้าตัวเองตายไปซะก็คงดีอีกเป็นครั้งที่สอง รวมถึงเรื่องที่ต้องสืบทอดสิ่งที่ได้รับมาจากพี่สึทาโกะแล้วก็จากซาบิโตะด้วย ...ฉันเลยตระหนักรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรจะทำจริงๆ คืออะไร”


    แม้ว่าจะไม่ได้มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่ซาบิโตะก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวกิยูดูผ่อนคลายมากขึ้น และเต็มไปด้วยพลังชีวิตต่างกับทุกครั้งในอดีตที่มักจะมีสีหน้าเรียบนิ่งและเก็บความทุกข์เอาไว้ในใจเสมอ


    ซาบิโตะยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ


     “เข้าใจแล้ว เด็กคนนั้นสินะที่ทำให้เจ้ามีสีหน้าและแววตาดูแตกต่างไปจากเดิมแบบนี้... ดูสมกับเป็นลูกผู้ชาย ข้าคงต้องขอบใจเด็กคนนั้นแล้วสินะที่ทำให้เจ้ากลับมามีชีวิตชีวาแบบนี้ได้”


    ชั่วขณะหนึ่ง เด็กชายสีผมส้มแดงได้เหลียวกลับไปมองด้านหลังราวกับว่าที่ทิศทางนั้นมีอะไรบางอย่างกำลังส่งเสียงเรียกเขาอยู่ จากนั้นเขาจึงหันกลับมาหากิยู “เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว ทุกคนกำลังรอเจ้ากลับไปอยู่ ...พวกเราก็ควรไปหาพวกเขากันได้แล้ว”


    “ทุกคน...?”


    “ศิษย์คนอื่นของคุณอุโรโกะดาคิที่ตายในการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้ายน่ะ ทุกคนยังเป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับคุณอุโรโกะดาคิก็เลยกลับมาที่นี่หลังจากตายไปแล้ว”


    ซาบิโตะยื่นมือออกไปเพื่อจับมือทักทายกับเพื่อนวัยเด็กที่บัดนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว “ถึงข้าจะไม่ชอบใจนักที่เจ้ามายังโลกของผู้วายชนม์เร็วเกินไป แต่ข้าก็ยินดีที่ได้เจอกับเจ้าอีกครั้งนะ กิยู”


    กิยูจับมือทักทายก่อนจะพูดตอบ รอยยิ้มบางเบาจนแทบไม่สังเกตเห็นปรากฏบนใบหน้านั้น


    “ฉันเองก็ดีใจที่ได้เจอนายเหมือนกัน”

     





    เด็กชายผู้มีรอยแผลขนาดใหญ่ข้างปากได้นำทางพากิยูไปยังลานกว้างสำหรับฝึกวิชาดาบของคุณอุโรโกะดาคิ ที่แห่งนั้นเสาหลักวารีได้พบกับเด็กชายและหญิงอีก 12 คน ทุกคนเป็นอดีตศิษย์ของคุณอุโรโกะดาคิและได้เสียชีวิตในการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้ายทั้งหมด


    ซาบิโตะได้แนะนำกิยูให้เด็กคนอื่นๆ พูดคุยทำความรู้จักกัน พวกเขามีลักษณะเด่นคือทุกคนจะสวมหน้ากากจิ้งจอกคุ้มภัย ทั้งลักษณะการแกะสลักและลวดลายที่ถูกวาดบนหน้ากากไม้เหล่านั้นบ่งบอกว่าหน้ากากของทุกคนเป็นสิ่งที่ได้รับจากคุณอุโรโกะดาคิทั้งหมด


    “ทุกคนน่ะเป็นห่วงคุณอุโรโกะดาคิมากๆ เลยล่ะ”


    มาโคโมะ เด็กหญิงร่างเล็กผู้สวมกิโมโนลายดอกไม้ หนึ่งในเด็กที่ตายไปได้เอ่ยขึ้น “น่าแปลกดีนะ... ฉันลองคุยกับทุกคนแล้ว ตอนที่ตายไปทุกคนคิดเรื่องเดียวกัน ถ้าหากตนเองตายไป ก็จะกลับมาที่ภูเขาซากิริ นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนกลับมาที่นี่หลังจากตายไปแล้ว แล้วกิยูล่ะ?...ตอนนั้นคิดเรื่องอะไรอยู่เหรอ?”


    “ตอนที่ตาย... ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นหรอก”


    กิยูตอบพลางนึกไปถึงสิ่งสุดท้ายที่เขาคิดก่อนตาย ความทรงจำหลายอย่างมันทับซ้อนกันจนยากที่จะอธิบายได้ “แต่ว่า...เมื่อก่อน ตอนที่ฉันได้รับบาดเจ็บในการเข้าร่วมการทดสอบครั้งสุดท้าย ก็เคยคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ...นั่นก็คงทำให้ฉันกลับมาที่นี่เช่นกันสินะ”


    ชายหนุ่มในชุดฮาโอริลายครึ่งเอ่ยถามเด็กหญิงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ อีกครั้ง


    “ทุกคนที่ตายไป... ตั้งใจจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยงั้นเหรอ?”


    “ไม่หรอก ถ้าพวกเราทำสิ่งที่รู้สึกค้างคาได้สำเร็จแล้ว ก็คงจะสามารถไปสู่สุคติกันได้” สาวน้อยผู้สวมหน้ากากจิ้งจอกลายดอกไม้เอ่ยพลางยิ้มบางๆ


    “สิ่งที่พวกเราค้างคาใจคือ เรื่องที่ศิษย์ของคุณอุโรโกะดาคิทุกคนถูกอสูรมือตนนั้นฆ่าตายในการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้าย... ถ้าหากมีศิษย์ของคุณอุโรโกะดาคิคนใดสามารถผ่านการสอบคัดเลือกโดยที่สังหารอสูรมือตนนั้นไปได้ ทุกคนคงจะปลดเปลื้องเรื่องราวที่ค้างคาใจและไปสู่สุคติได้น่ะ”


    ซาบิโตะที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ใกล้เคียงกันพยักหน้ารับ แล้วพูดขึ้น


    “ทุกคนจึงตั้งใจว่า หากคุณอุโรโกะดาคิรับศิษย์คนใหม่มา พวกเราจะช่วยกันฝึกฝนเด็กคนนั้นให้ ...ความจริงแล้วพวกเราทุกคนเป็นวิญญาณ คงจะไม่สามารถมีกายเนื้อเพื่อพูดคุยหรือฝึกฝนสิ่งใดให้ผู้อื่นได้ แต่ถ้าทุกคนรวมพลังวิญญาณให้กับตัวแทนแค่ 1-2 คน ก็จะสามารถใช้กายเนื้อได้ในระยะเวลาสั้นๆ”


    ดวงตาสีม่วงอ่อนของเด็กชายสบกับดวงตาของเด็กหญิง ก่อนจะยิ้มให้กันเล็กน้อย “ข้ากับมาโคโมะเป็นตัวแทนของเด็กคนอื่นที่จะช่วยให้การฝึกสอนศิษย์คนใหม่ ...ถ้าได้กิยูมาช่วยอีกคนก็จะเป็นการดีไม่น้อยเลยทีเดียว”


    กิยูพยักหน้ารับ “ได้สิ ถ้าช่วยได้ฉันก็ยินดี”

     





    วันเวลาผ่านไปแล้วสามวัน เหล่าผู้คนที่ได้ตายไปก็ยังคงวนเวียนอยู่ในบริเวณลานฝึกบนภูเขาซากิริ ศพของกิยูถูกเคลื่อนย้ายมาที่ภูเขาลูกนี้แล้ว พิธีศพที่คุณอุโรโกะดาคิจัดขึ้นนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย นักล่าอสูรที่กิยูเคยรู้จักได้แวะเวียนมาร่วมพิธีศพ รวมไปถึงเหล่าเสาหลักบางส่วนที่ไม่ได้มีภารกิจติดพันด้วย


    หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็มีเด็กชายและเด็กหญิงรวมสามคนได้ขึ้นมายังสถานที่จัดพิธี เด็กชายที่ดูจะอายุมากที่สุดในกลุ่มสามคนนั้นมีผมสีแดงอมดำแตกต่างกับอีกสองคน อีกทั้งยังมีผ้าพันแผลสีขาวพันปิดใบหน้าและดวงตาด้านขวาเอาไว้ด้วย ใบหน้าของเด็กทั้งสามทำให้กิยูรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาคือพี่น้องคามาโดะที่เขาได้ช่วยชีวิตเอาไว้นั่นเอง


    เสาหลักวารีและเหล่าเด็กที่ตายไปได้เฝ้ามองพิธีศพอย่างเงียบสงบ แต่ในชั่วขณะหนึ่งเด็กชายผมแดงที่สวมฮาโอริลายตารางเขียวดำคนนั้นก็หันมามองทางนี้พอดี ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับกำลังมองเห็นได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีคนจำนวนมากปรากฏตัวอยู่


    “ดูเหมือนเด็กผมแดงคนนั้นจะรู้ว่าพวกเราอยู่ตรงนี้นะ”


    ซาบิโตะเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กชายคนนั้นกำลังมองมาทางนี้ มาโคโมะพึมพำเป็นเชิงเห็นด้วย “แปลกนะ ทั้งๆ ที่พวกเรายังไม่ได้ใช้พลังวิญญาณเพื่อปรากฎตัวต่อหน้าคนเป็นเลยแท้ๆ”


    กิยูปรายตามองเพื่อนทั้งสองก่อนจะมองไปยังเด็กชายผู้สวมต่างหูลายไพ่ดอกไม้คนนั้น


     “...บ้านของเด็กคนนั้นจะทำพิธีรำคางุระที่สืบทอดกันมาในตระกูลทุกช่วงต้นปี ...รำคางุระคือการรำที่ถวายแด่เทพเจ้า ว่ากันว่าผู้ร่ายรำจะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณธรรมชาติได้มากกว่าคนทั่วไป การที่เขาจะรับรู้ตัวตนของพวกเราได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก”


    แม้ซาบิโตะจะรู้สึกสงสัยว่าทำไมกิยูที่เพิ่งเจอเด็กชายในชุดฮาโอริลายตารางเขียวดำก่อนตายแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ กลับรู้จักพิธีกรรมในครอบครัวของเด็กคนนั้นได้ แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ


    ชายหนุ่มผู้มีผมยาวดำถอดหน้ากากจิ้งจอกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ ประดับไว้ ดวงตาสีน้ำเงินที่จ้องมองไปยังเด็กผมแดงนั้นแฝงทั้งความรู้สึกอวยพรและบอกลาไปในตัว


    ในชั่วพริบตานั้นสายลมหิมะก็พัดผ่านตรงหน้าไปวูบหนึ่ง โทมิโอกะเดินหันหลังกลับไปพร้อมๆ กับซาบิโตะ มาโคโมะและเด็กคนอื่นๆ พวกเขาแฝงกายเร้นลับไปยังผืนป่าเบื้องหลังของหินก้อนใหญ่ที่พันรอบด้วยเชือกชิเมะนาวะ


     “สามคนนั้นคือพี่น้องคามาโดะที่กิยูช่วยไว้สินะ”


    ซาบิโตะเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้กลับมายังผืนป่าเบื้องหลังลานฝึกซ้อม เรื่องราวก่อนตายของกิยูนั้นซาบิโตะได้รับรู้จากเจ้าตัวแล้วว่าเขาได้ช่วยชีวิตเด็กๆ ตระกูลคามาโดะเอาไว้ในตอนที่เข้าต่อสู้กับคิบุทสึจิ มุซัน


     “ดูหน่วยก้านดีนี่นา โดยเฉพาะเด็กผู้ชายผมสีแดงคนนั้น ท่าทางมุ่งมั่นดีนะ” มาโคโมะพูดชมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ซาบิโตะกลับไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก


    “งั้นเหรอ... ดูยังไงก็ทั้งอ่อนแอและอ่อนหัดอยู่ชัดๆ ถ้าไม่ฝึกฝนให้แข็งแกร่งสมกับลูกผู้ชายมากกว่านี้ละก็ใช้ไม่ได้หรอก”


    มาโคโมะและกิยูสบตากันด้วยท่าทีที่เข้าใจกันดี ถึงซาบิโตะจะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและรักความยุติธรรมแต่ก็เป็นคนที่ยึดติดกับคำว่า แข็งแกร่งและลูกผู้ชายยิ่งกว่าใครด้วยเช่นกัน เรื่องที่พูดคุยกันย่อมไม่พ้นไปจากเรื่องนี้


    “ถึงจะเป็นคนที่อ่อนโยนจนดูจะใจอ่อนไปบ้าง แต่เด็กคนนั้น ...แข็งแกร่งมากเลยนะ” กิยูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งยามนึกถึง คามาโดะ ทันจิโร่ ...เรื่องราวของเด็กคนนั้นและเรื่องราวของตนเองในอนาคตที่ได้รับการส่งมอบมา


    เสาหลักวารีเว้นเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น


    “...ถึงขั้นสังหารคิบุทสึจิ มุซัน และกำจัดอสูรให้หมดไปจากโลกได้เลยทีเดียว”


    ถ้อยคำนั้นทำเอาซาบิโตะและมาโคโมะถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตะลึง เด็กชายผมสีส้มแดงถึงกับร้องถามเพื่อนวัยเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่แค่เพียงหูฝาดไป


    “นี่เจ้าฝันกลางวันอยู่รึเปล่า กิยู? ดูยังไงเด็กคนนั้นก็เป็นแค่เด็กธรรมดา ...ไม่ใช่นักล่าอสูรด้วยซ้ำ”


    กิยูเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “...นั่นสินะ อาจจะเป็นฝันจริงๆ ก็ได้”


    บรรยากาศรอบข้างตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง ซาบิโตะและมาโคโมะสบตากันด้วยท่าทีสงสัยในสิ่งที่เสาหลักวารีพูดขึ้น ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักล่าอสูรมองไปยังเพื่อนทั้งสองด้วยท่าทีเงียบสงบ ในใจทบทวนความทรงจำที่เพิ่งได้รับมาจาก โทมิโอกะ กิยูอีกคน...


    โทมิโอกะ กิยูที่ไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้ แต่เป็นอีกโลกที่เหมือนกับที่นี่มากๆ


    “ซาบิโตะกับมาโคโมะคิดยังไงถ้าหากมีอีกโลกหนึ่ง...” กิยูเปรยขึ้นกับเด็กทั้งสองที่เดินอยู่เคียงข้างกาย “โลกที่ทุกอย่างไม่ได้ดำเนินไปแบบนี้ ...โลกที่คิบุทสึจิ มุซัน ถูกกำจัดและอสูรหมดไปจากโลก”


    ซาบิโตะมีท่าทีอึ้งไป ในขณะที่มาโคโมะระบายยิ้มออกมาราวกับกำลังมีเรื่องน่าสนใจอยู่ตรงหน้า


    “เห... นั่นคือฝันที่กิยูพูดถึงเหรอ? โลกที่ไม่มีอสูร... น่าสนใจดีจัง ลองเล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ ซาบิโตะเองก็สนใจใช่มั้ยล่ะ?”


    เด็กหญิงในชุดกิโมโนะลายดอกไม้หันไปกล่าวกับซาบิโตะ ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ “ถึงจะน่าเหลือเชื่อ แต่ข้าเองก็อยากจะฟังเรื่องราวนั้นเช่นกัน”


    ได้ยินดังนั้น กิยูจึงหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมา


    “ในความฝันนั้น... เป็นช่วงเวลายามค่ำคืนที่มีหิมะตก ฉันได้รับภารกิจให้ไปยังภูเขาลูกหนึ่งเพื่อกำจัดอสูร แต่ครอบครัวเดียวที่อาศัยบนภูเขาลูกนั้นกลับถูกอสูรฆ่าตายทั้งหมด เมื่อค้นหาจนพบว่าน่าจะมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่ ฉันจึงรับตามไปและพบว่าเด็กชายคนหนึ่งกำลังจะถูกน้องสาวของตนเองที่กลายเป็นอสูรฆ่า...”


    เรื่องราวที่ถูกเล่าขานนั้นมาจากความทรงจำที่ได้รับมอบมา ทุกอย่างแจ่มชัดและกระจ่างแจ้งราวกับว่าเกิดขึ้นกับตัวเขาเองจริงๆ เสาหลักวารีเลือกที่จะเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้น ...ตอนที่ได้พบกับ คามาโดะ ทันจิโร่ และน้องสาวของเขาในค่ำคืนที่มีพายุหิมะพัดผ่าน

     


    “อย่าให้คนอื่นกุมสิทธิในการจะอยู่หรือตายนะ! เลิกก้มหัวกับพื้นอย่างน่าสมเพชได้แล้ว! ถ้าทำแบบนั้นมันได้ผล ครอบครัวของนายก็คงไม่ถูกฆ่าตายหรอก!!


    ฉันรู้ดีว่านายพังพินาศจนหมดสิ้น ...ครอบครัวถูกสังหาร น้องสาวกลายเป็นอสูร คงเจ็บปวดสินะ อยากกู่ร้องออกมาใช่มั้ย... ฉันเข้าใจนะ หากฉันมาเร็วกว่านี้อีกครึ่งวัน ครอบครัวของนายอาจจะไม่ต้องตายกันก็ได้


    อย่าร้องไห้นะ... อย่าสิ้นหวังนะ... สิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่นายควรจะทำตอนนี้




     

    เด็กชายผู้เป็นพี่นั้นแม้จะอ่อนแอ แต่ก็ใจสู้ มีไหวพริบและกล้าได้กล้าเสีย ส่วนน้องสาวที่กลายเป็นอสูรนั้น ...ไม่กินพี่ชายของเธอ ทั้งที่ความจริงแล้ว เธอเพิ่งจะกลายเป็นอสูรอีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บ เด็กสาวคนนั้นย่อมต้องการพลังงานในการฟื้นฟูโดยการกินมนุษย์ให้เร็วที่สุดแท้ๆ


    แต่เธอกลับไม่กินมนุษย์ที่อยู่ใกล้ตัวของเธอในยามหิวโหยที่สุด อีกทั้งยังแสดงท่าทีปกป้องพี่ชายของเธอด้วยอีกต่างหาก


    บางที...สองคนนี้อาจแตกต่างไปก็ได้

     




    “คุณอุโรโกะดาคิ... ฉันจะยอมเดิมพันกับพี่น้องคู่นี้ดู เด็กสองคนนี้อาจจะนำพาการเปลี่ยนแปลงบางอย่างมาสู่โลกใบนี้ก็ได้”


    นั่นเป็นหนึ่งในประโยคสำคัญที่เขาได้ทิ้งท้ายไว้ในจดหมาย ก่อนจะส่งให้คุณอุโรโกะดาคิเพื่อแจ้งเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายและน้องสาวที่กลายเป็นอสูรของเขา


    เพราะตัดสินใจที่จะเดิมพันกับความเป็นไปได้นั้น โทมิโอกะ กิยู และอุโรโกะดาคิ ซาคอนจิ ย่อมต้องให้หลักประกันเพื่อทำให้นักล่าอสูรยอมรับในการตัดสินใจนี้ด้วย

     

    “หากเนซึโกะโจมตีมนุษย์ คามาโดะ ทันจิโร่ รวมถึง อุโรโกะดาคิซากอนจิ และโทมิโอกะ กิยู จะทำการคว้านท้องเป็นการไถ่โทษ”

     




    “สิ่งที่ได้รับจากซาบิโตะ จะไม่สืบทอดต่อเหรอครับ?”

    ...

    ...


    “หากจะฆ่าทันจิโร่ให้ได้ ก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน!!


    สิ่งที่ได้รับฝากไว้...จะต้องสานต่อ


    จะไม่ยอมให้เพื่อนหรือครอบครัวต้องตายต่อหน้าอีก


    ฉันจะปกป้องทันจิโร่ ดังเช่นที่ตนเคยได้รับมาก่อน


    ...


    ...


    ...


    ร่างของศิษย์น้องร่วมสำนัก คนที่เคยก้มหัวกราบอ้อนวอนให้ไว้ชีวิตน้องสาว คนที่เคยบอกว่าจะตามหาวิธีรักษาน้องสาวให้กลับเป็นมนุษย์ให้ได้ ...คนที่บอกว่าจะสังหารคิบุทสึจิ มุซันให้ได้


    บัดนี้เด็กคนนั้นกลับเติบโตและกลายเป็นนักล่าอสูรที่เก่งกาจเทียบเท่าเสาหลักของนักล่าอสูร เขาสามารถทำตามคำพูดนั้นได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาน้องสาวของตนเอง คามาโดะ เนซึโกะ จนทำให้กลับมาเป็นมนุษย์ได้ และยังสามารถโค่นล้มจ้าวอสูร คิบุทสึจิ มุซันได้จนสำเร็จ


    “ทันจิโร่ เขาไม่หายใจแล้ว... จับชีพจรไม่ได้...”


    เสียงสั่นเครือของคาคุชิที่เข้าไปตรวจดูอาการของทันจิโร่ดังขึ้นระคนกับเสียงร่ำไห้ ร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังนั่งคุกเข่าโดยถือดาบไว้ในมือขวาแน่น แขนซ้ายขาดหายไป... ร่างกายมีบาดแผลมากมายอีกทั้งยังชุ่มโชกไปด้วยเลือด


    คามาโดะ ทันจิโร่...ไม่มีทั้งลมหายใจและชีพจร


    ไม่มีรอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์แบบนั้นอีกแล้ว


    ...


    ...


     “ปกป้องเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว”


    “ฉันมักจะถูกผู้อื่นปกป้องเอาไว้เสมอ”


    ไม่ว่าจะเป็นพี่สึทาโกะ ...หรือซาบิโตะ


    ฉันถูกปกป้องเอาไว้...และปกป้องพวกเขาไว้ไม่ได้


    “ขอโทษนะ”


    “ขอโทษนะ เนซึโกะ”


    ขอโทษ...ที่ปกป้องพี่ชายของเธอไว้ไม่ได้


    “ฉันขอโทษจริงๆ”

     




    “ในท้ายที่สุด เด็กหนุ่มคนนั้นก็สังหารมุซันได้ อีกทั้งน้องสาวของกลับมาเป็นมนุษย์ในที่สุด แม้ว่าจะแลกมาด้วยชีวิตของเขาและเสาหลักอีกหลายคน ...มันเป็นผลตอบแทนที่หนักหนาสาหัส แต่ก็ได้มาซึ่งรางวัลอันประเมินค่าไม่ได้ ...ชัยชนะต่ออสูร และโลกอันสงบสุขที่ปราศจากอสูรตลอดไป”


    หลังจากได้ฟังเรื่องราว ความฝัน ที่กิยูเล่าออกมานั้น ผู้ฟังทั้งสองก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ซาบิโตะจะเป็นคนแรกที่ออกความเห็น


    “ฟังดูเป็นเรื่องราวที่ดีนี่ เด็กหนุ่มที่ยืนหยัดต่อสู้กับโชคชะตา สังหารอสูรร้าย ทำตามเป้าหมายของตนให้สำเร็จไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม... เด็กคนนั้นคือลูกผู้ชายอย่างแท้จริง”


    มาโคโมะเองก็รู้สึกประทับใจในเรื่องราวนั้นเช่นกัน ทั้งวีรกรรมลูกผู้ชายสู้ชีวิตของเด็กหนุ่มในเรื่อง และความสัมพันธ์ระหว่างเด็กคนนั้นกับกิยูด้วย


     “กิยูในฝันดูจะผูกพันกับเด็กคนนั้นมากเลยนะ”


    เธอเอ่ยขึ้นใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเศร้าสร้อยไม่น้อย “หลังจาก คามาโดะ ทันจิโร่ ตายไป กิยูคนนั้นเป็นยังไงต่อไปเหรอ? ...เขาได้ใช้ชีวิตต่อไป... ในโลกที่ไม่มีอสูรอย่างมีความสุขรึเปล่า?”


    คำถามของสาวน้อยในชุดกิโมโนลายดอกไม้ ทำให้เสาหลักวารีเงียบไปพักใหญ่ เขาเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้า ท่าทางกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แต่ในที่สุดกิยูก็ได้เอ่ยขึ้น


    “ฉันไม่รู้หรอก... เรื่องราวในความฝันมันจบตรงนั้นแหละ”


    “งั้นเหรอ... ถ้ากิยูในความฝันคนนั้นมีความสุขดีก็คงจะดีนะ” มาโคโมะกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี โดยมีซาบิโตะที่พยักหน้าเห็นด้วยอยู่เบื้องหลัง


    ชายหนุ่มผู้สวมฮาโอริลายครึ่งเองก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่ส่วนหนึ่งในใจอยากจะรู้ว่า โทมิโอกะ กิยู คนนั้นได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีอสูรอย่างมีความสุขจริงๆ งั้นเหรอ?


    ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงเลือกที่จะมายังโลกคู่ขนานเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีต?


    ทำไมถึงเลือกที่จะส่งมอบความทรงจำของตนเอง โดยยกเว้นเพียงแต่ความทรงจำของเรื่องราวหลังจากการต่อสู้ครั้งนั้นเท่านั้น


    หลังจากการต่อสู้นั้น... เกิดอะไรขึ้นกันแน่...?

     




     

    กิยูพบชายคนนั้นครั้งแรกในสถานที่ที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคือที่ไหน หรือตัวเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ที่แห่งนั้นเป็นทุ่งหิมะสีขาวโพลนอันกว้างใหญ่ที่มีละอองเกล็ดหิมะร่วงโรยจากท้องฟ้ายามรัตติกาล มีต้นไม้สีน้ำตาลไร้ใบเหลือเพียงกิ่งก้านตั้งอยู่ประปราย เบื้องหลังถูกโอบล้อมด้วยผาหินสูงใหญ่ราวกับจะสูงจรดท้องฟ้าได้ ด้านหน้าคือทะเลสาบน้ำแข็งสีดำสนิท


    เย็นเยียบ อ้างว้างไร้ซึ่งผู้คน เป็นสถานที่ที่ชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยวและเงียบเหงาไปถึงขั้วหัวใจ


    ถึงอย่างนั้นก็มีตะเกียงเล็กๆ จำนวนหนึ่งห้อยแขวนอยู่บนกิ่งไม้แห้งเหล่านั้น ดวงไฟทอแสงเลือนรางแต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงดวงไฟเล็กๆ ก็ตาม


    “ที่นี่คือ เขตแดนไร้จิต ตั้งอยู่ภายในจิตใจของเจ้าของร่าง ...เขตแดนที่เป็นจุดเชื่อมต่อของจิตใจเจ้าของผ่านทางความฝัน”


    นั่นคือคำอธิบายจากชายคนหนึ่งที่เขาได้พบในสถานที่อันเย็นยะเยือกนี้


    ชายคนนั้นหน้าตาเหมือนกับตนเองมากราวกับภาพที่สะท้อนบนกระจก ทั้งเส้นผมสีดำยาวที่รวบไว้ ดวงตาสีน้ำเงิน ในหน้าเรียบนิ่งไร้การแสดงอารมณ์ ทั้งรูปร่างหน้าตา เครื่องแต่งกายในชุดเครื่องแบบเสาหลักนักล่าอสูรดาบเพลิงสุริยัน และฮาโอริลวดลายสองด้านที่ด้านขวาเป็นสีแดงสนิม ด้านซ้ายเป็นลายกระดองเต่า


    ในช่วงเวลานั้นเองที่ความทรงจำมากมายก็ได้ไหลเข้ามาในหัว


    ...ความทรงจำสำคัญ มีทั้งเรื่องที่น่ายินดี และเรื่องที่แสนโศกเศร้า


    กิยูรู้ได้ในทันทีว่าชายคนนี้คือตนเองในโลกอื่น โทมิโอกะ กิยูในโลกคู่ขนานที่ต่างไปจากโลกนี้ อีกทั้งยังเป็นโลกที่ช่วงเวลาดำเนินไปจนถึงสองปีข้างหน้าแล้ว ช่วงเวลาที่การต่อสู้กับอสูรนั้นดำเนินไปจนถึงจุดสิ้นสุด


    “ฉันมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่ให้เกิดขึ้น... ฉันจะหยุดยั้งการเกิดโศกนาฎกรรมฆ่าล้างครอบครัวคามาโดะ”


    ชายตรงหน้าจับจ้องมาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “...และถ้านายเป็นฉัน... เป็น โทมิโอกะ กิยู เหมือนกัน ฉันคิดว่าความทรงจำที่ฉันมอบให้นั้นจะทำให้นายรู้สึกแบบเดียวกัน ...ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องทันจิโร่ ....ดังเช่นที่ตนเองเคยได้รับมาก่อน”


    โทมิโอกะ กิยู จากโลกคู่ขนานพูดถูก ความทรงจำที่ได้รับมาทำให้กิยูรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ และเขาก็ยินดีที่จะช่วยอีกฝ่ายทำความปรารถนานั้นให้สำเร็จอีกด้วย


    “เข้าใจแล้ว ฉันจะช่วย” กิยูกล่าว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีบางอย่างที่รู้สึกค้างคาใจอยู่ “แต่ก่อนอื่น... ช่วยบอกได้มั้ยว่าหลังจากที่ทันจิโร่ตายไป ...เกิดอะไรขึ้น? ทำไมนายถึงไม่ได้มอบความทรงจำส่วนนี้มาด้วย?”


    ชายหนุ่มจากโลกคู่ขนานชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นเช่นเคย


    “นายน่ะ... รู้ที่มาของฉันแค่นั้นก็พอแล้ว” สีหน้าของ โทมิโอกะ กิยู แม้จะเรียบนิ่งแต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในแววตานั้น  “...บางเรื่อง นายไม่รู้จะเป็นการดีกว่า”


    เห็นดังนั้นกิยูก็เลือกที่จะเงียบ เขาไม่ได้เซ้าซี้เรื่องนี้ต่อเพราะในตอนนี้ มีสิ่งอื่นที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้มากกว่า


    มันคือที่เจาะปลายแหลมที่อยู่ในมือซ้ายของโทมิโอกะ กิยู จากโลกคู่ขนาน รูปลักษณ์ของสิ่งนั้นคล้ายที่เจาะน้ำแข็ง แต่ทั้งส่วนด้ามจับและเหล็กแหลมกลับมีสีแดงเข้มราวกับเลือด


    ที่เจาะนั้นเรืองแสงสีแดงจางๆ พร้อมปล่อยละอองสีแดงออกมาตลอดเวลา ดูคล้ายกับกลุ่มเมฆหมอกเบาบางในยามเช้าที่ปกคลุมรอบกายของชายหนุ่มจากโลกคู่ขนาน และสิ่งที่ทำให้ตกตะลึงก็คือ สิ่งนั้นมีกลิ่นอายของมนต์อสูรโลหิตอยู่  แม้จะเป็นมนต์อสูรที่เบาบางแต่กลับแข็งแกร่งมาก


    “...สิ่งนั้น มีกลิ่นอายของมนต์อสูรโลหิต นายควรทิ้งมันไปซะ”


    กิยูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทีเคร่งเครียดกว่าเดิม แม้จะเชื่อว่าอีกฝ่ายคือตนเองในโลกคู่ขนาน แต่การที่เขานำสิ่งของที่มีมนต์อสูรโลหิตมายังที่นี่ด้วยนั้นย่อมทำให้รู้สึกคลางแคลงใจ ...บางที โทมิโอกะ กิยู คนนั้นอาจจะกำลังโดนมนต์อสูรโลหิตโจมตีอยู่ก็เป็นได้


    โทมิโอกะ กิยู มองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าไปเลยแม้แต่น้อย


    “...ที่เจาะสีเลือดนี้เป็นสิ่งที่ฉันได้รับมาจากอสูรตนหนึ่ง” เขากล่าว ดวงตาสีน้ำเงินกวาดมองไปยังแท่งโลหะสีแดงในมือ “ถึง...ฉันจะรับรองไม่ได้ว่ามันไม่มีอันตรายใดๆ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ฉันมายังโลกแห่งนี้ได้ ...มาเพื่อทำตามปณิธานของตนเองให้สำเร็จ”


    เสาหลักวารีจากโลกคู่ขนานสบตากับคนตรงหน้าด้วยแววตามุ่งมั่นผิดไปจากเดิม ความรู้สึกของปณิธานอันแรงกล้านั้นรุนแรงจนรับรู้ได้


    “นายไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อใดที่ฉันทำสิ่งที่ปรารถนาได้สำเร็จอย่างแท้จริงแล้ว ฉันก็จะกลับไปที่โลกเดิม แล้วเมื่อถึงเวลานั้น... สิ่งนี้มันก็จะไม่จำเป็นอีก”

     

    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

     

    (หมายเหตุ: Talk ท้ายตอนที่แล้วบอกว่าจะมีความปวดตับอยู่ในเนื้อหาตอนนี้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ เราคำนวนผิดไปค่ะ TwT เนื้อหามันยาวเกินเลยต้องหั่นแบ่งเป็น 2 ตอน ส่วนที่ปวดตับจะอยู่ส่วนที่สอง ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ได้มีความปวดตับรุนแรงอย่างที่คิด ใครที่คาดหวังความปวดตับรอตอนหน้านะคะ TwT)

     

     

    14 / 6 / 63 (100%)

    สวัสดีค่า หายไปเกือบเดือนแล้วค่า ใครคิดถึงคนเขียนขอเสียงหน่อยยยยย

    ก่อนจะเข้าทอล์กท้ายตอนกัน เราขอแสดงความยินดีหน่อยค่ะ

     

    July 14th Happy Birthday! Kamado Tanjiro!

    สุขสันต์วันเกิดนะ น้องทันจิโร่ววววว ขอให้มีความสุขมากๆ และอยู่เป็นต้าวพระอาทิตย์ ส่องแสงอบอุ่นให้ทุกคนในเรื่อง Kimetsu no Yaiba ไปตลอดน้า > w <

    (ปล. ยินดีด้วยนะที่มังงะจบแล้ว น้องทันจะได้พักจากชะตากรรมโหดร้ายของจารย์เข้สักที ;w;)


    แปะภาพคู่ของต้าวดวงตะวันทั้งสองค่ะ หนุบหนับๆ นุ่มฟูที่สุดเลยจ้า


    "มือเจ้าใหญ่จังเลยนะ เหมือนคุณพ่อเลย"

    "ฮะๆ งั้นเหรอ เจ้าเองก็ทำให้ข้านึกถึงพวกน้องชายเหมือนกันนะ"

     


     

    (ภาพสีฉลองวันเกิดน้องทันแบบจริงจังจะปั่นในวันนี้ค่ะ หวังว่าจะทันนะ ;_;)

     

     

    เอาล่ะ กลับมาทอล์กท้ายตอนกันต่อ

    ตอนนี้เขียนยากมาก T.T เขียนได้วันละไม่กี่บรรทัดเอง (เขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบ อีกต่างหาก) ไม่ถนัดดราม่าจริงๆ ค่ะ ขอบทฮาๆ หน่อย เซนอิทสึ ออกมาให้เราแต่งบทขายขำหน่อยยยย เราคิดถึงเสียงโวยวายตบมุกของนายจะแย่แล้วววว ;w;

    ตอนนี้ของกิยูเต็มๆ ไปเลย มีความชงคู่ ทันกิยู / กิยูทัน และ ซาบิกิยู / กิยูซาบิ เบาๆ ถึงฟิคนี้จะจั่วหัวว่า allทัน ทันall แต่เราก็ชิพหลายคู่นะคะ ถ้าไม่มีฉาก NC18+ แล้วล่ะก็ เราสามารถชิพสลับโพได้ทุกคู่เลยค่ะ ใครที่ฟิกโพอาจจะลำบากใจหน่อยนึงนะคะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะแต่งฟิคนี้แบบไม่ได้เจาะจงชงโพใดเป็นพิเศษ ดังนั้นสามารถชิพเป็นโพที่ตัวเองชอบได้เลยนะคะ!

    ส่วนที่บอกว่าเราชิพคู่ไหนละก็ ตามนี้เลยค่ะ อาจจะมีฟีลลิ่งชงคู่ไหนในฟิคนี้ก็ได้ทั้งนั้นเลยค่า

     

    (เยอะจนเป็นใยแมงมุมละ 555)

    (ใครชิพเหมือนกันคุยกันได้นะ ตอนนี้เจอแต่คนชิพทันจิโร่โพขวา(เคะ) ไม่ก็โพซ้าย(เมะ)สุดทางทั้งนั้นเลย มีใครสนใจเดินทางสายกลางบ้างมั้ยค้า)

     

    มุกท้ายตอน ความฝันที่ 14 ปณิธาน (1)

    มุกที่ 1

    ซาบิโตะ : ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่รึไงว่า ห้ามพูดว่าถ้าตัวเองตายไปซะก็คงดีอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้าพูดอีกพวกเราก็จบกัน ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันอีก กิยู...เจ้าอยากเลิกเป็นเพื่อนกับข้างั้นเหรอ!?

    กิยู : อืม... เลิกเป็นเพื่อนกัน แล้วมาเป็นมากกว่าเพื่อนดีกว่า

    ซาบิโตะ : เอ๊ะ... (หน้าแดง) เจ้าเข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูดออกมารึเปล่าเนี่ย กิยู!

    มาโคโมะ และเด็กคนอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ไกลๆ : โอ๊ะโอ งานนี้ต้องฉลอง! ไปหุงข้าวแดงกันเลยทุกคนนนน

    กิยู : เป็นเพื่อนชุบแป้งทอด

    (พยายามเล่นมุกที่ได้ยินจากคนในกลุ่มพิฆาตอสูรให้เพื่อนสนิทวัยเด็กฟัง)

    ซาบิโตะ มาโคโมะและเด็กคนอื่น : ..................... (กุมขมับโดยพร้อมเพรียงกัน)

     

    มุกที่ 2

    ซาบิโตะ : เข้าใจแล้ว เด็กคนนั้นสินะที่ทำให้เจ้ามีสีหน้าและแววตาดูแตกต่างไปจากเดิมแบบนี้ ข้าคงต้องขอบใจเด็กคนนั้นแล้วสินะที่ทำให้เจ้ากลับมามีชีวิตชีวาแบบนี้ได้

    กิยู : ...แต่ตอนนี้ฉันตายไปแล้วนะ ไม่ได้มีชีวิตแล้ว ...จะพูดแบบนั้นคงไม่ได้แล้วล่ะ

    ซาบิโตะ : ข้ารู้น่า! แต่บรรยากาศมันกำลังซาบซึ้งได้ที่ เจ้าช่วยมีอารมณ์ซึ้งกับข้าหน่อยเถอะ!

    ...

    .......

    แว่วเสียงชิโนบุลอยมาจากที่ไกลๆ : เพราะทำตัวแบบนี้ คุณโทมิโอกะถึงได้โดนทุกคนเกลียดไงล่ะคะ

    กิยู : (หันไปตอบทางเสียงที่ได้ยิน) ฉันไม่ได้โดนเกลียด 

     

     

    ถ้าชอบฟิคเรื่องนี้ก็ฝากคอมเม้นต์หรือกดปุ่มให้กำลังใจให้คนเขียนได้นะคะ!

    แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการค่า บ๊ายบาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×