[OS] The Chaser (Kris&Lay) - [OS] The Chaser (Kris&Lay) นิยาย [OS] The Chaser (Kris&Lay) : Dek-D.com - Writer

    [OS] The Chaser (Kris&Lay)

    เช้าวันอาทิตย์ในช่วงฤดูหนาวเมื่อปลายปีก่อน ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี ดีเสียใจน่าเจ็บใจ ผมอยากจะลืมๆ มันไปซะ แต่ไม่ว่าทางไหนก็ทำไม่ได้ เพราะคุณ เพราะคุณคนเดียว คุณรู้ไหม

    ผู้เข้าชมรวม

    1,689

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    1.68K

    ความคิดเห็น


    21

    คนติดตาม


    29
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ม.ค. 56 / 22:42 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    **ฟิคเรื่องนี้ ชาย x ชาย นะครับ**




    :: The Chaser ::

    Kris & Lay






     

    INFINITE -The Chaser 


     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      The Chaser

       

                เช้าวันอาทิตย์ในช่วงฤดูหนาวเมื่อปลายปีก่อน ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี ดีเสียใจน่าเจ็บใจ ผมอยากจะลืมๆ มันไปซะ แต่ไม่ว่าทางไหนก็ทำไม่ได้ เพราะคุณ เพราะคุณคนเดียว คุณรู้ไหม

                  พอนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นทีไร เรื่องราวต่างๆ ของเราสองคนก็มักจะหมุนเวียนย้อนกลับมาฉายซ้ำในใจของผมตั้งแต่ต้นจนจบ ผมยังจำได้ถึงวันแรกที่เราเจอกัน ถึงตอนนั้นผมจะทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นว่าไม่อยากรู้จักคุณ แต่ที่จริงแล้วผมน่ะแทบอยากจะวิ่งเข้าไปทำความรู้จักกับคุณเลยนะ ข้อนี้คุณเองก็รู้แล้ว แต่ผมก็อยากจะย้ำมันให้คุณฟังอีก ว่าผมน่ะอยากรู้จักคุณมากแค่ไหน

                  แต่ที่ผมทำเป็นหยิ่งๆ ไปอย่างนั้น ข้อนี้คุณก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าผมน่ะมันหยิ่งในศักดิ์ศรีแค่ไหน คุณชายอู๋อี้ฝานอย่างผมมีหรือต้องง้อใคร มีหรือที่คนอย่างผมจะเข้าไปทักทายคนอื่นก่อน ไม่ทีทางซะหรอก

                  แล้วยิ่งในวันนั้นที่คุณทำท่าทางรังเกียจผมตอนที่เราคุยกัน ไม่สิเรียกว่าทะเลาะกันตั้งแต่แรกเห็นจะดีกว่า ผมรึก็อุตส่าห์แสดงออกทางสายตาว่าอยากรู้จักคุณมากมายขนาดนั้น แล้วทำไมคุณถึงได้มองผมด้วยท่าทางรังเกียจล่ะ แถมยังด่าผมซะเปิงว่าอย่ามาทำหน้าตาหื่นกามแถวนี้ เพราะคุณไม่ได้ชอบผู้ชาย

                  คุณรู้ไหมว่าตอนนั้นผมทั้งโกรธแล้วก็โมโหมาก ไม่เคยมีใครปฏิเสธผม ถึงจะมีหลายคนไม่ค่อยชอบผมก็เถอะ แต่คุณก็รู้ว่าไม่มีใครกล้าปฏิเสธผมต่อหน้าเหมือนคุณหรอก แต่ที่ผมไม่พอใจมากที่สุดก็คงเป็นการที่คุณมาตราหน้าว่าผมเป็นอะไร ถึงแม้คุณจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ผมก็เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร ผมรู้ตัว ว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ครั้นมาถูกตราหน้าว่าชอบผู้ชายด้วยกันต่อหน้าคนอื่น คนศักดิ์ศรีสูงอย่างผมไม่จับคุณฆ่าตรงนั้นก็ถือว่าใจดีมากแล้วนะ

                  และก็นั่นแหละที่ทำให้เราสองคนต้องมีเรื่องราวมากมายให้ได้เกี่ยวข้องกัน พอผมได้ยินคำปฏิเสธของคุณ เลือดร้อนๆ ในกายมันก็เดือดพล่านจนไม่มีสติจะควบคุมและก็พลั้งปากออกไปในที่สุดว่า ผมจะทำให้คุณมาเป็นของผมให้ได้ไม่ใช่แค่นั้นนะ ผมยังกระชากคุณเข้ามากอดแล้วก้มลงกระซิบข้างหูว่า ระวังจะไม่ยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่นะ ปากบอกว่าไม่ๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีไม่ใช่ว่ามานอนร้องครางอยู่ใต้ร่างของผมแล้วพอพูดจบคุณก็ตบผมต่อหน้าคนทั้งบริษัท ผมไม่เจ็บหรอกนะตอนนั้นน่ะ แต่มันชา ชาไปทั้งตัว นั่นยิ่งทำให้ผมโกรธคุณเข้าไปอีก ยังดีที่ว่าตรงนั้นคนเยอะ ไม่งั้นผมคงจับคุณสำเร็จโทษเสียตรงนั้นเลย

                  หลังจากวันนั้นพอเราได้เจอหน้ากัน คุณก็เอาแต่ทำหน้าเหวี่ยง ชอบทำราวกับว่าไม่เห็นผมอยู่ตรงนั้น ราวกับผมเป็นอากาศที่คุณไม่อยากหายใจเข้าไป ไอ้โมโหมันก็โมโหอยู่หรอกนะ แต่ยิ่งเห็นแบบนั้นมันก็ยิ่งน่าแกล้ง พอแกล้งคุณได้มันก็ยิ่งสะใจ สะใจที่สามารถอยู่เหนือคุณได้

                  ผมยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้อยู่เลยนะ ที่ดาราสาวคนดังที่เคยมาถ่ายโฆษณาที่บริษัทของผมแต่งงาน ทั้งผมทั้งคุณที่ล้วนต่างก็เป็นเพื่อนสนิทและคนเคยร่วมงานของเธอก็ไปร่วมงานแต่งครั้งนั้น คุณก็ไปกับคนของคุณ ตอนนั้นผมแทบอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ มากเลยรู้ไหม ก็คุณน่ะบอกว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่คุณกลับใส่สูทมางานแต่งกับเพื่อนชายของคุณน่ะนะ ผมยังจำชื่อเขาได้ดีเลยล่ะ คิมจงอิน ตอนที่ผมเห็นพวกคุณสองคนอยู่ด้วยกันแล้วผมรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ นะ คุณบอกว่าคุณไม่สนใจผู้ชาย แต่คุณคงไม่รู้ตัวสินะว่าไอ้อาการที่คุณแสดงออกกับจงอินน่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายเขาแสดงต่อกันหรอก ผมรู้ว่าคุณอาจจะไม่รู้ตัว หรือในใจคุณจะคิดอะไรอยู่ผมก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ นายคิมจงอินนั่น คิดอะไรกับคุณแน่ๆ และเหตุผลข้อนี้แหละที่ทำให้ผมอยากเอาชนะจนขาดสติ

                  ผมทิ้งคู่ขาคนล่าสุดของผมไว้เบื้องหลังแล้วเดินเข้าไปทำทีทักทายพวกคุณที่ยืนดูบรรยากาศงานแต่งอยู่ด้วยกันสองคน เมื่อจับมือทักทายกับจงอินเสร็จแล้วผมก็คว้าเอวคุณมาแนบกายทันที และหลังจากที่ไปกระซิบกับพวกนักข่าวว่าผมจะเปิดตัวแฟนหนุ่มตัวจริงที่ผมแอบคบหาดูใจกันมาสักพัก พอผมเห็นพวกเขามายกกล้องเตรียมถ่ายรูป ผมก็จับคุณจูบโชว์ตรงนั้นเลย แล้วผมก็ถูกคุณตบอีกฉาดหนึ่งแถมด้วยหมัดที่แทบจะไม่สร้างความเจ็บให้ผมเลย แล้วคุณก็วิ่งหนีออกจากงานไป

                  ผมหัวเราะซะลั่นบ้านเลยนะ ตอนที่เห็นหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ฉบับวันรุ่งขึ้น แบบว่างานแต่งสายฟ้าแลบของดาราสาวดาวรุ่งพุ่งแรงกับผู้กำกับหนุ่มไฟแรงยังต้องหลบให้กับภาพจูบอันแสนเร่าร้อนของเราสองคน โทรศัพท์ของผมดังทั้งวันเสียจนน่ารำคาญ ผมก็เลยโทรไปบอกสื่อว่าให้ลงข่าวไปเลยว่าแฟนของผมยังไม่พร้อมจะเปิดตัว เอาไว้ถ้าผมคุยกับเขาเรียบร้อยเมื่อไหร่ จะรีบจัดงานแถลงข่าวทันที

                  คุณรู้ไหมว่าตอนนั้นผมผยองในชัยชนะของผมมาก อย่างน้อยๆ ผมก็ทำให้คนอื่นๆ เข้าใจว่าคุณเป็น ของของผมโดยทั่วกัน ผู้ชายของคุณชายอู๋อี้ฝานลูกชายคนเดียวของบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของจีน ใครมันจะไปกล้ายุ่ง

                  พอถึงวันถัดไปที่ผมอารมณ์ดีสุดๆ ผมไปเลือกซื้อดอกไม้ด้วยตัวของผมเองทั้งที่ปกติจะสั่งให้พ่อบ้านจัดการซื้อและส่งไปให้พอเป็นพิธีนะ แต่พอนึกถึงคุณแล้วมันก็อดใจจะเลี้ยวรถจอดแล้วลงไปเลือกเองไม่ได้ แต่ดอกไม้ช่อนั้นก็ดูหมดค่าทันทีที่ผมรู้ว่าคุณลาออกจากบริษัทของผมแล้ว ตอนนั้นผมช๊อคมากเลยรู้ไหม ตกใจที่คุณยอมแพ้เร็วขนาดนี้ ตกใจที่คนปากเก่งที่กล้าปฏิเสธผมอย่างคุณจะหนีปัญหาด้วยวิธีนี้ ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเริ่มสับสนนิดหน่อยว่าคุณน่ะก็คงไม่ต่างจากคนทั่วๆ ไปที่ผมสนใจล่ะมั้ง พวกเก่งแต่ปากแต่พอเจอปัญหาเข้าหน่อยก็วิ่งหนีไปซะแล้ว ไม่ได้เรื่อง

                  ตอนนั้นผมดูถูกคุณมากเลยนะ ดูถูกจนยิ้มเยาะใส่คุณเลยล่ะ เป็นแบบนั้นมันก็ยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากจะไปเหยียดหยามคุณ อยากจะไปเหยียบคุณให้จมดินลึกๆ ลงไปอีก นี่น่ะเหรอผู้ชาย ผู้ชายหน้าบางแบบนี้จะเรียกว่าเป็นลูกผู้ชายได้ยังไงกัน คนที่ชอบผู้ชายด้วยกันอย่างผมยังจะสมชายชาตรีกว่าคุณเสียอีก

                  หลังจากที่จ้างคนไปสืบว่าคุณอยู่ที่ไหน ทำอะไร พอรู้ข่าวผมก็รีบบึ่งรถไปหาคุณในทันที และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกผิดที่คิดดูถูกคุณ

                  ผมแอบตามคุณอยู่ลับๆ ตั้งแต่ออกจากบ้าน แวะร้านดอกไม้ ร้านกาแฟตามลำดับก่อนจะไปจบที่โรงพยาบาล ผู้ชายอายุยี่สิบกลางๆ อย่างคุณที่ออกจะดูแข็งแรงมาที่โรงพยาบาลทำไมกันนะ ผมนึกสงสัยจนรีบตามเข้าไปข้างในและนั่นก็ทำให้ผมได้ประจักษ์แก่ความจริง ความจริงที่ว่าคุณไปเยี่ยมพี่สาวที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร ผมสอบถามจากพยาบาลก็รู้ว่าพี่สาวของคุณป่วยเป็นโรคนี้มาได้สักพักหนึ่งแล้ว และอาการก็ทรุดลงเรื่อยๆ จนคุณหมอถึงขั้นบอกว่าทำใจไว้บ้างก็ดีนะ ตอนนั้นผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงต้องลาออกจากงาน ผมรู้สึกใจแป้วเล็กๆ นะที่ผมไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้คุณลาออก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเอาชัยชนะของตัวเองมาเปรียบเทียบกับชีวิตคนแบบนี้

                  ผมคุยกับพยาบาลบอกว่าผมเป็นเจ้านายของคุณ และจะเป็นผู้ออกค่ารักษาให้ทั้งหมด โดยให้พยาบาลต่อสายตรงให้ผมได้คุยกับหมอเจ้าของไข้ บอกเขาว่าไม่ว่าจะต้องใช้เงินมากแค่ไหนผมก็พร้อมจ่าย ขอแค่รักษาชีวิตพี่สาวของคุณไว้ให้ได้

                  แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์จะไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำคะแนนใจกับคุณเลย จู่ๆ คุณก็วิ่งพรวดออกมาหาพยาบาลแล้วพูดไม่ได้ศัพท์ด้วยท่าทีตื่นตระหนก จนผมต้องเข้าไปปลอบและบอกให้คุณใจเย็นๆ จนคุณคุมสติได้และบอกออกไปว่าพี่สาวของคุณหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว พยาบาลกับคุณหมอเจ้าของไข้ที่ผมเพิ่งคุยโทรศัพท์ด้วยปรากฎตัวแทบจะในทันทีที่คุณวิ่งตามพยาบาลกลับไปยังห้องพักของพี่สาวคุณ คุณรู้ไหมว่าท่าทางของคุณในตอนนั้นดูน่าสงสารเหลือเกิน จนผมด่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าผมมองคุณแย่ๆ ไปได้ยังไงกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดการกระทำของคุณตั้งแต่วิ่งหน้าตาตื่นออกมาหาพยาบาลแล้ววิ่งกลับไปที่ห้อง ผมรู้สึกได้เลยว่าคุณไม่เห็นผม ไม่ใช่ว่าคุณตั้งใจจะเห็นผมเป็นอากาศ แต่ผมรู้ดีว่าคุณในตอนนั้นไม่มีเวลามาสนใจใครอื่นนอกจากพี่สาวของคุณเองหรอก

                  ผมยืนดูสถานการณ์อยู่หน้าห้อง คุณถอยออกมาจากห้องอย่างเลื่อนลอยราวกับว่าภาพเหตุการณ์ตรงหน้าของคุณมันเป็นแค่ภาพฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง คุณยืนนิ่งมองดูคุณหมอและพยาบาลพยายามช่วยกันปั๊มหัวใจพี่สาวของคุณ คุณยืนมองพวกเขาเหล่านั้นด้วยสายตามีความหวังแม้คุณจะรู้ดีก็ตามว่าไม่มีทางแล้ว

                  ไม่นานหมอและพยาบาลก็หยุด เขาไม่สามารถช่วยรักษาชีวิตของพี่สาวคุณเอาไว้ได้ คุณหมอส่ายหน้าอย่างผิดหวังและพยายามปลอบคุณว่าพี่สาวคุณหลุดพ้นจากโรคร้ายและไปสู่สุขคติแล้ว เขาสบตาผมอย่างเสียใจที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของพี่สาวคุณเอาไว้ได้ แล้วคุณหมอก็จากไป

                  ผมที่ยืนอยู่หลังคุณ ผมที่ไม่ได้รู้จักหน้าค่าตาของพี่สาวคุณ ผมคนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเสียใจที่เกิดขึ้นกระทันหัน แล้วกับคุณ คุณที่เป็นน้องชายแท้ๆ ของเธอ เธอที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณ เธอที่จากไปด้วยโรคในวัยยังเยาว์นั้น คุณจะทนรับความโหดร้ายของชีวิตในครั้งนี้ได้ยังไงกัน

                  คุณที่ยืนนิ่งเงียบอยู่สักพักหนึ่งเดินเข้าไปใกล้เตียงของพี่สาวที่นอนแน่นิ่งเหลือแต่ร่าง ยืนมองจ้องหน้าพี่สาวของคุณอยู่นานสองนานโดยไม่พูดหรือแม้แต่ร้องไห้ออกมา

                  หลังจากที่ผมได้ยินเสียงสูดน้ำมูกของคุณ คุณก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ยังไม่ไหลออกมา แล้วเอื้อมมือไปแตะสัมผัสใบหน้าของพี่สาวอันเป็นที่รักครั้งสุดท้าย โน้มตัวลงไปจูบหน้าผากของเธออย่างรักใคร่แม้ร่างๆ นั้นจะเย็นชืดลงไปแล้ว เมื่อคุณทำใจได้กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเธอ คุณก็หันกลับมาและพร้อมจะก้าวเดินต่อไป

                  แต่แล้วเมื่อคุณหันกลับมาและสบตากับผมที่ยืนมองคุณอยู่ น้ำตาที่แห้งเหือดก็ไหลอาบลงมาราวเขื่อนแตก คุณยืนร้องไห้ตัวโยนอยู่ตรงหน้าผม ตัวคุณสั่นเทาจนไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายจะร้องไห้ออกมาได้ดูอ่อนแอขนาดนี้

      ผมขอกอดคุณหน่อยได้ไหม

      แล้วจู่ๆ คุณก็พูดคำๆ นั้นออกมา คำที่ทำเอาผมแทบจะกองไปอยู่แทบเท้าของคุณ ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคนที่ทรนงในศักดิ์ศรีสุดโต่งอย่างผมถึงได้รู้สึกอย่างนั้นได้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ต่อให้ต้องทิ้งลมหายใจ ขอแค่ได้ดึงคุณเข้ามากอดปลอบ ผมก็ยอม

                  ผมดึงคุณเข้ามากอดในทันทีที่คุณพูดจบ ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายที่ดูเข้มแข็งอย่างคุณเมื่อสัมผัสถูกตัวแล้วจะบอบบางได้ถึงเพียงนี้ คุณทั้งผอมและดูอ่อนแอยิ่งๆ ขึ้นไปอีกเมื่อกำลังร้องไห้ เสียงสะอื้นดังก้องอยู่ตรงซอกคอของผม ผมยิ่งพยายามกระชับกอดให้แน่นๆ ขึ้นไปอีกโดยหวังให้คุณรู้ว่ามีผมยืนอยู่ตรงนี้ มีผมที่กอดปลอบคุณอยู่ไม่ห่าง

                  หลังจากวันนั้นคุณก็หายไปอีกสักพักหนึ่ง โดยเป็นฝ่ายส่งข้อความมาบอกผมเองว่าอยากอยู่คนเดียวสักพัก นั่นถือว่าเป็นไมตรีที่ดีจากคุณสำหรับคนที่เคยเกลียดกันอยู่เนืองๆ ผมส่งข้อความกลับไปว่าผมอยากให้คุณกลับมาทำงานที่บริษัท ผมไม่ต้องการเร่งเร้าคุณ เอาไว้คุณสบายใจเมื่อไหร่ อยากจะกลับมาร่วมงานกับผมก็ยินดีต้อนรับเสมอ

                  แล้วคุณก็ไม่ติดต่อผมมาอีกเป็นเดือนๆ ตอนนั้นผมร้อนใจมาก อยากจะไปหาคุณที่บ้าน แต่ก็ทำไม่ได้ ไม่สิ เพราะผมไม่กล้าพอที่จะไปเร่งเร้าคุณต่างหาก ทั้งที่คุณยอมคุยกันดีๆ บ้างแล้ว ถ้าหากบุกไปเร่งเร้าคุณที่บ้าน ผมก็กลัวว่าคุณจะตัดรอนผมอีก

                  เพิ่งจะมาสังเกตตัวเองก็ตอนนี้แหละ ว่าทำไมผมต้องมานั่งคิดมากด้วยว่าคุณจะโกรธผมไหม มัวมานั่งกลัวว่าคุณจะตัดรอนความสัมพันธ์บางๆ ของเรา ผมปล่อยให้คุณมาอยู่เหนือผมได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

                  จุดสำคัญของเรื่องระหว่างคุณกับผมมันอยู่ตรงที่วันหนึ่งที่ผมตัดสินใจไปหาคุณที่บ้าน และตัดสินใจจะเข้าไปหาคุณ แต่ผมก็ช้าไป มีคนมาหาคุณก่อน และคนคนนั้นก็คือ คิมจงอิน

                  ผมรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นจงอิน ว่าเขาน่ะคิดกับคุณเกินเพื่อน ยิ่งได้รู้ความจริงข้อนั้นและได้เห็นเขากับคุณเดินออกไปด้วยกันราวกับออกเดท มันก็ยิ่งทำให้ผมอารมณ์ไม่ดี ทั้งที่ผมพยายามถนอมน้ำใจคุณสุดๆ ทั้งที่ผมต้องเปลี่ยนตัวเองจากคนที่ไม่เคยแคร์ใครแต่กลับต้องมาแคร์คุณ ทั้งที่ผมทำแบบนั้น แต่จงอินกลับมาจากไหนไม่รู้แล้วก็พาคุณออกไปอย่างหน้าตาเฉย

                  และที่สำคัญการได้เห็นคุณหัวเราะกับเขาอย่างเป็นกันเองและมีความสุข มันยิ่งทำให้ผมโกรธจนแทบฆ่าคนได้

                  ผมแอบตามคุณอยู่สักพักเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าความคิดของผมนั้นถูกต้อง แต่จริงๆ เป็นเพราะผมไม่รู้จะทำยังไงกับพวกคุณดีต่างหาก ในใจของผมน่ะอยากจะกระชากพวกคุณแยกออกจากกันแล้วเอาคุณมาเป็นของผมซะ จะเก็บคุณไว้ไม่ให้ใครเห็น จะเก็บคุณไว้เป็นของผมคนเดียว

                  แต่นั่นมันก็ดูจะไม่ใช่วิถีของผม นอกจากการเอาชนะและความพอใจ สุดท้ายมันจะขาดความสะใจไปไม่ได้ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป มันก็ไม่ใช่วิถีของผู้ชายที่ชื่ออู๋อี้ฝานแน่ๆ

                  เมื่อคุณกลายเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของร้านกาแฟของคิมจงอิน ผมก็เริ่มเข้าไปป่วนพวกคุณทั้งสองจนหัวหมุน ไปโวยวายเรื่องรสชาติกาแฟบ้างล่ะ แกล้งเจอแมลงสาบในเค้กบ้างล่ะ แล้วไหนจะไปตกลงกับเจ้าของที่ให้มาไล่ที่พวกคุณอีก ตอนนั้นน่ะสะใจผมสุดๆ

                  แต่มันก็ยังไม่สุดหรอกนะ เพราะคุณไม่แม้แต่จะมาร้องขอให้ผมหยุดเลย ไม่แม้แต่จะมายื่นข้อเสนอว่าคุณจะทำทุกอย่างตามที่ผมต้องการ ไม่เลยสักนิด

                  นั่นน่ะคือสิ่งที่ผมต้องการมากเลยรู้ไหม ผมต้องการแค่คุณ แล้วผมก็จะหยุดทุกอย่าง แต่คุณก็ไม่ทำ ยิ่งได้เห็นคุณกับเขาช่วยกันประคับประคองร้านมันก็ยิ่งทำให้ผมโกรธ

                  ผมจะไม่มีทางได้ใจคุณเลยเหรอ ผมจะต้องทำยังไงคุณถึงจะหันมามองผมบ้าง ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งต้องหัวเราะเยาะตัวเอง หนทางอันแสนสั้นในการสานสัมพันธ์ที่ดีที่คุณเคยยื่นให้ผมนั้นมันช่างแสนสั้น และมันก็สิ้นสุดลงแล้วเมื่อผมทำกับคุณแบบนั้น หากย้อนกลับไป หากผมพยายามก่อสร้างถนนสายนั้นอย่างตั้งใจ บางทีผมอาจจะไปสู่จุดหมายดังที่ผมหวังเอาไว้ก็ได้

                  หลังจากนั้นผมก็หมดอาลัยตายอยาก ผมไม่ได้ยอมแพ้ แต่ผมแค่ไม่อยากทำอะไร อยากนอนนิ่งๆ อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องคิดอะไร งานการไม่ไปทำ และที่แน่ๆ ผมก็ไม่ได้ไปป่วนร้านของคุณ

                  จากที่เอาแต่อยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไร จนในที่สุดผมก็กลายเป็นคนป่วยจริงๆ ป่วยด้วยอาการอะไรก็ไม่รู้ รู้ตัวแต่ว่าร่างกายมันรุ่มร้อนไปหมด พอจะนึกหรือคิดอะไรก็พล่ามัวและมึนหัวไปหมด ผมคิดว่าตัวเองคงจะป่วยจริงๆ แล้ว คนที่ไม่ค่อยจะป่วยแบบผม ถึงคราวป่วยทีก็หนักเอาการอยู่นะ

                  ผมไม่รู้ว่าผมหลับไปนานเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่ารู้สึกดีขึ้นมากๆ ตอนไหน แต่พอลืมตาตื่นมาผมก็เห็นคุณนั่งเท้าคางหลับอยู่ข้างๆ ผม คุณรู้ไหมว่าตอนนั้นผมตกใจมากนะ ขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีกว่าเป็นคุณจริงๆ เหรอ นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ผมที่ตัวเย็นลงแล้วรู้สึกหน้าร้อนวาบ จู่ๆ ใจมันก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาซะดื้อๆ

                  ตอนนั้นผมดีใจมากๆ นะ ดีใจสุดๆ ที่เห็นคุณอยู่ตรงนั้น

                  และนั่นเองก็มาถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม

                  ผมยังคงป่วยอยู่หลังจากนั้นสองสามวัน และตลอดเวลานั้นคุณก็คอยมาดูแลและเฝ้าไข้ผมจนผมหายดี ถึงแม้ผมจะแกล้งทำเป็นป่วยอยู่อีกนิดก็เถอะ

                  ผมแอบนึกเข้าข้างตัวเองว่าคุณเองก็มีใจให้ผมบ้างถึงได้มาเฝ้าคอยดูแลอยู่ไม่ห่างแบบนี้ ไหนจะสายตาที่แอบมองผมตอนหลับอีกล่ะ อย่านึกว่าผมไม่รู้นะ

                  แล้วจะไม่ให้ผมเข้าข้างตัวเองได้ยังไง ก็คิดดูสิ ผมถามว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าผมป่วย คุณบอกว่าก็ไม่เห็นมาที่ร้านหลายวันก็เลยนึกสงสัยว่าหายไปไหน พอไปหาที่บริษัทก็บอกว่าผมไม่ได้ไปทำงานหลายวัน คุณก็เลยมาหาผมที่บ้าน คนที่บ้านจำคุณได้ก็เลยบอกว่าผมป่วย และยอมให้คุณเข้ามาหาผม

                  ลองคิดดูสิถ้าคนไม่มีใจ หรือไม่รู้สึกอะไรต่อกันจะเข้าไปหาที่บริษัท จะตามมาหาที่บ้านแบบนี้เหรอ ผมว่ามันชักจะยังไงอยู่นะ

                  จนผมตัดสินใจดึงคุณที่กำลังบิดผ้าขนหนูเพื่อจะเอามาวางบนหน้าผากผมเข้ามากอด คุณดิ้นไปมาและพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดของผม  แต่มีหรือคุณจะสู้แรงผมไหว อีกอย่างผมก็จัดการจูบคุณโดยไม่รอช้า ผมรู้สึกได้ถึงเล็บที่จิกลงไปในเนื้อของผมเพื่อทำให้ผมเจ็บและปล่อยคุณ แต่คุณรู้หรือเปล่าว่านั่นน่ะยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

                  ผมล้วงล้ำปากคุณอยู่ได้สักพักคุณก็ระทวยอยู่ในอ้อมแขนของผม จ้องมองผมด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถามว่าผมน่ะยังป่วยอยู่จริงเหรอ และเมื่อเห็นรอยยิ้มในชัยชนะของผมคุณก็ได้สติและพยายามหนีผมอีกครั้งแต่คุณก็ยังช้ากว่าผมอยู่ดี ในตอนที่ผมร่างกายกลับมาสมบูรณ์ครบร้อย และอยู่ในภาวะกำลังอยากขนาดนั้น จะปล่อยคุณไปง่ายๆ มันก็คงไม่ใช่เรื่อง

                  ต้องโทษตัวคุณเองนะ ที่ทำตัวน่ากินได้ถึงขนาดนั้น

                 

                  พอตื่นเช้าขึ้นมาอีกวันหลังจากสำเร็จกิจไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผมก็เห็นคุณนอนอยู่ข้างกายของผม ผมเห็นคุณแบบนั้นก็นึกอยากจะกอดคุณอีก กอดแล้วกอดอีก ไม่ว่าเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พอ อยากจะใช้ชีวิตอยู่บนเตียงๆ นี้กับคุณไม่ต้องไปไหน

                  หลังจากที่ผมวางโทรศัพท์ไปได้ไม่นานคุณก็งัวเงียตื่นขึ้นมา ทำราวกับว่ามองไม่เห็นผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าคุณทำไปเพราะโกรธผมหรือเปล่า แต่แล้วความคิดนั้นก็ออกไปจากหัวเมื่อคุณลุกขึ้นจากเตียงแล้วล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะพยายามคลานหาห้องน้ำไปทั่วห้อง ดูท่าเรื่องเมื่อคืนจะทำคุณเจ็บจนลุกเดินไมาไหวเลยใช่ไหม แล้วอีกอย่างคุณก็คงลืมไปว่าที่นี่มันไม่ใช่บ้านของคุณ

                  คุณหยุดคลานแล้วนั่งลงกับพื้นมองไปรอบๆ ยกมือเกาหัวมึนๆ เหมือนกับว่าที่นี่คือที่ไหน ราวกับว่าคุณลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปจนหมด

                  ผมนึกขำกับท่าทางมึนๆ ของคุณจนอดส่งเสียงเรียกคุณเสียไม่ได้ เท่านั้นแหละคุณก็หันขวับมาหาผม พอทำตาโตเมื่อเห็นว่าผมและคุณเองเปลือยอยู่ก็รีบยกมือบดบังร่างกายตัวเองทันที ทำทำไมก็ไม่รู้ทั้งที่เมื่อคืนน่ะเห็นไปถึงไหนถึงไหนแล้ว

                  ผมลุกจากเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มไปห่อตัวคุณเอาไว้ แล้วก็นั่งกอดคุณอยู่อย่างนั้น ดีใจสุดๆ ที่ได้คุณมาไว้ในอ้อมกอด ดีใจมากๆ ที่มีคุณอยู่ตรงนี้

                  คุณด่าผม คุณบอกว่าผมใจร้ายมากที่ทำกับคุณแบบนี้ ทั้งที่คุณเปิดใจให้ผมเดินหน้าทำคะแนนอยู่ตลอดเวลา แต่ผมกลับปัดโอกาสทิ้งแล้วเดินทางลัดตัดจบซะได้ ผมรับฟังคำด่าด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อคืนตอนพักยก เราสองก็นอนคลอเคลียกันไปคุยกันมาว่าความรู้สึกดีๆ ของเราสองนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน

                  ในส่วนของผมก็อย่างที่ผมเล่าให้คุณฟังไปแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าตอนไหนแน่ชัด แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้ใจทั้งใจมันมีแต่คุณอยู่ในนั้น ส่วนคุณก็บอกผมว่าต่อให้เกลียดผมมากแค่ไหน แต่ใจมันก็ห้ามรักไม่ได้อยู่ดี ว่าแล้วคุณก็ทึ้งหัวผมเล่นเบาๆ แบบนี้มันน่าหมั่นเขี้ยวนัก

                  หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกันอยู่สักพัก ผมก็เร่งให้คุณแต่งตัวหล่อๆ ด้วยชุดสูทเข้ารูปอย่างดีที่ผมสั่งให้พ่อบ้านเตรียมไว้ให้ รู้อะไรไหม คุณในชุดสูทน่ะเร้าใจผมจริงๆ

                  เราสองคนเดินลงมายังห้องโถงบ้านทั้งที่มือยังเกี่ยวก้อยกันอยู่ แต่แล้วคุณก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเหล่ากองทัพสื่อมวลชน พ่อบ้าน แม่บ้าน ญาติพี่น้องของผมมาเต็มบ้านกันไปหมด รวมทั้งนายคิมจงอินนั่นด้วย

                  คุณหันมามองผมอย่างหาคำตอบว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ผมได้แต่ยิ้มกลับไปแล้วบอกคุณว่า ผมชนะคุณแล้วนะ ในที่สุดคุณก็เป็นของผมแค่นั้นแหละ ประโยคสั้นๆ แค่นั้นแหละที่ผมมีโอกาสได้พูด คุณฟาดมือลงบนแก้มผมหนึ่งฉาด หนึ่งฉาดที่ทำเอาผมเป็นใบ้ไปชั่วอึดใจหนึ่ง

                  คุณมองผมด้วยสายตาผิดหวัง คุณสะบัดมือออกจากผม แล้วคุณก็เดินลงบนไดฝ่ากองทัพนักข่าวไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังหันกลับมาฟังคำของผมเลย

                  ผมเรียกชื่อคุณ ผมเอ่ยเหตุผลต่างๆ นาๆ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง คุณก็ยังไม่ยอมหันหลังกลับมา จนคุณเดินไปถึงคิมจงอินในที่สุด

                  ในตอนนั้นความเสียใจที่ถาโถมกลับกลายเป็นโทสะอย่างห้ามไม่อยู่ ผมจะไม่มีทางปล่อยคุณไปกับเขาโดยเด็ดขาด ในเมื่อคุณเป็นของผม ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ได้ตัวคุณไป ต่อให้คุณเป็นคนเลือกก็ตาม

                  แต่ไม่ว่าจะพยายามร้องขอ ขู่ บังคับ ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ คุณก็ยังคงเดินหันหลังและหนีผมไป ผมตามคุณออกมายังหน้าบ้าน เหล่ากองทัพคนมากมายก็ตามออกมาดูสถานการณ์ด้วย

                  จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจ ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างก่อนที่คุณจะจากผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา

                  “อี้ชิง!!”

                  ผมเรียกคุณด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ผมก็ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะพูดน้ำเสียงแบบนี้ออกมาได้ ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องหันกลับมา

                  ผมสูดหายใจเข้าปอดอย่างทำสมาธิ ผมได้ยินเสียงฮือฮาของกองทัพคนรอบกายเมื่อเข่าทั้งสองข้างของผมแตะลงพื้นคอนกรีต แสงแฟลชวิบวับไม่ขาดสายเพื่อถ่ายรูปเซเล็ปชื่อดังนั่งคุกเข่าลงกับพื้น

                  ผมจ้องมองแผ่นหลังที่หยุดนิ่งของคุณ และมองดูคุณหันหลังมามองผมช้าๆ

                  เมื่อเราสบตา ผมก็ถึงกับยิ้มบางออกมาอย่างอดไม่ได้ เพราะคุณนะอี้ชิง เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ศักดิ์ศรีของผมมันดับสูญไป เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ผมยอมคุกเข่าต่อหน้าคนเป็นสิบเป็นร้อยแบบนี้

                  ผมพยายามสื่อความรู้สึกนึกคิดไปทางไปสาย ตา ผมเห็นคุณน้ำตารื้นและอ้าปากค้างนิดๆ ใช่ ผมเองก็อึ้งตัวเองเหมือนกัน ไม่คิดว่าคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างผมจะยอมทิ้งมันไปและนั่งลงคุกเข่าแบบนี้

                  วิธีของผมมันอาจจะห่ามไปสักนิดในการแสดงความรัก คำพูดของผมมันอาจจะดูต้องการชัยชนะเอามากๆ แต่ทั้งหมดที่ทำออกไปมันก็คือความรู้สึกที่ผมอยากจะแสดงต่อคุณ

                  ผมรักคุณนะ รักมากด้วย ผมอยากได้คุณ ผมต้องการคุณ แต่คำที่ผมบอกว่าชนะคุณนั้น มันเป็นคำบอกความรู้สึกของผมที่ออกจะดูแปลกๆ ไปสักหน่อย อยากจะล้อเล่น อยากจะได้เห็นรอยยิ้มของคุณ อยากโดนคุณทึ้งหัวผมเล่น โดยไม่ได้คิดเลยว่าสถานการณ์ในตอนนั้น ผมควรจะพูดคำนั้นออกไปหรือไม่

                  แต่มาคิดได้ตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้ว และสิ่งสุดท้ายที่ผมอาจจะพอรั้งคุณไว้ได้ก็คงเป็นศักดิ์ศรีสุดท้ายที่ผมโยนทิ้งไป ได้โปรดเถอะ ได้โปรดให้โอกาสผมสักครั้ง

                  ผมเห็นตัวคุณเริ่มสั่นเบาๆ ผมรู้ว่าคุณกำลังจะร้องไห้ออกมา ผมอ่านสายตาคุณออกว่าคุณเองก็รักผมมาก แต่เรื่องที่ผมทำลงไปมันเกินกว่าจะให้อภัย กับคำพูดที่ไม่ยั้งคิดของผม คำพูดที่ดีแต่จะเอาชนะ แล้วไหนจะพวกคนเหล่านี้อีก คนหน้าด้านอย่างผมน่ะมันไม่สะทกสะท้านหรอก แต่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างคุณน่ะ ไม่ใช่

                  คุณก้มหน้าเก็บก้อนสะอื้นลงอก จ้องมองผมราวกับจะจดจำผมเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณหันหลังกลับแล้วเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาอีกแม้แต่นิดเดียว

                  และตอนนั้นเองที่ทำให้ผมได้รู้ว่าคนอย่างผมเองก็ร้องไห้เป็น น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบหน้าของผมอย่างไม่คิดห้าม ร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อาย ร้องจนไม่เหลือน้ำตาจะไหล แต่ไม่ว่าจะรู้สึกปวดร้าวและสมเพชตัวเองแค่ไหน

      คุณก็ไม่กลับมา

       

                  ถึงตอนนี้คุณกับผมเราจะไม่ได้เจอกัน ถึงคุณจะไม่ได้หนีไปไหน แต่กลับเป็นฝ่ายผมเองที่ไม่กล้าไปเจอคุณ จึงได้แต่เขียนจดหมายไปหาคุณ ลายมือผมอาจจะห่วยไปสักหน่อย แถมฉบับนี้ก็ยาวซะชวนง่วง แล้วช่วงท้ายยังมีคราบน้ำตาเปื้อนเปรอะอีก ขอโทษนะ ฮ่าๆ

                  จดหมายฉบับนี้อาจจะเป็นฉบับสุดท้ายแล้วที่ผมจะเขียนถึงคุณ ไม่ใช่ว่าท้อนะที่เขียนส่งไปให้ฉบับแล้วฉบับเล่า คุณก็ไม่เคยตอบกลับมา

                  ผมไปเปิดสาขาที่แคนาดาบ้านเกิดของผม ช่วงนี้จึงอาจจะยุ่งๆ วุ่นวายสักหน่อย เลยอาจจะไม่ค่อยมีเวลาได้เขียนจดหมายถึงคุณ

                  ผมคิดว่าผมจะไปอยู่ที่นู้นเลย คงไม่กลับมาที่จีนอีก หรือนานๆ อาจจะกลับมาสักครั้ง แต่ก็คงจะมาเฉพาะเรื่องงานเป็นหลัก ผมก็เลยถือโอกาสนี้ลาคุณ ผมว่ามันจะเป็นโอกาสอันดีระหว่างเราที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ บางทีจดหมายบ้าบอของผมอาจจะกำลังกวนใจคุณกับแฟนคุณอยู่ก็ได้

                  อ้อ ได้ข่าวว่าร้านกาแฟของคุณสองคนเปิดสาขาเพิ่มแล้วนี่นา ผมก็ชอบไปนั่งที่ร้านนะ แต่แค่ไม่ใช่สาขาที่คุณทำอยู่ก็เท่านั้น จริงๆ แล้วกาแฟร้านคุณก็อร่อยดีนะ ตอนนั้นที่ผมโวยวายไปก็แค่แกล้งเท่านั้นแหละ

                  นี่ผมพล่ามอะไรเยอะแยะไปหมดเลย ยาวยืดเยื้อไปหมด ฮ่าๆ เอาเป็นว่าผมขอจบตรงนี้แล้วกันนะ

                  สุดท้ายนี้ก็ขอให้กิจการร้านกาแฟของคุณประสบความสำเร็จนะ แล้วก็อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพตัวเองด้วยล่ะ คุณน่ะร่างกายยิ่งไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่ อย่าทำเป็นเข้มแข็งนักเลย เหนื่อยก็พักซะบ้าง รู้ไหม

                  ยาวอีกแล้ว พอแล้วๆ ไม่เขียนต่อแล้ว

                  สุดท้าย สุดท้ายแล้วจริงๆ

                 

                  ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรักของผมที่มีต่อคุณก็ยังคงเดิม ถึงแม้มันจะหยุดลง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง แต่มันจะยืดยาวไม่มีสิ้นสุด ณ ที่ในใจของผม

       

      รักคุณเสมอ

      อู๋ อี้ฝาน

       

       

       

      .

      .

      .

       

      ก๊อก ก๊อก

       

      เสียงเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาติเข้าห้องดังขึ้น ก่อนที่จะปรากฎร่างของเลขาสาวผมบอล์นเดินเข้ามาหาแล้ววางบางสิ่งบางอย่างลงบนโต๊ะของเจ้านายที่กำลังนั่งเซ็นต์เอกสารอยู่

      "มีโปสการ์ดส่งมาถึงคุณค่ะ คุณคริส จริงๆ แล้วมันมาถึงตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว แต่คุณไปอเมริกา พอคุณกลับมาหลังปีใหม่ ดิฉันจึงเพิ่งมีโอกาสนำมาให้คุณ วางไว้ตรงนี้นะคะ" สาวเจ้าว่าแล้วก็หันหลังเดินกลับไปสะสางงานของตัวเองต่อ ร่างสูงไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองโปสการ์ดที่ว่า เขาก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อไปอย่างครุ่นคิด

      เมื่อเซ็นต์เอกสารจนครบทั้งแฟ้ม ก็ถึงคราวพักสายตา คริสถอดแว่นออกแล้วยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ ก่อนจะนั่งหลับตาสักพัก แล้วจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นราวกับนึกอะไรขึ้นได้

      เขาเอื้อมมือไปหยิบโปสการ์ดแผ่นนั้นขึ้นมาดู ภาพในโปสการ์ดเป็นภาพของตุ๊กตาหิมะที่ตั้งอยู่หน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เมื่อเพ่งสังเกตชื่อร้านที่อยู่ห่างออกไปหลังตุ๊กตาหิมะนั่น คริสก็มั่นในว่าร้านกาแฟในภาพนี้คือร้านกาแฟของคิมจงอินที่อี้ชิงมีหุ้นส่วนและทำงานอยู่ด้วย เขารีบพลิกกลับไปด้านหลังเพื่ออ่านข้อความที่เขียนมาถึง

      "ที่นี่อากาศหนาว แต่ความหนาวก็คงสู้ความรักความอบอุ่นในงานแต่งงานของจงอินไม่ได้..."

      อ่านถึงแค่นั้นคริสก็แทบไม่อยากจะอ่านต่อ พูดถึงเรื่องแต่งงานแบบนี้ โปสการ์ดใบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการ์ดเชิญ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมอ่านต่อ จะมีความจริงอะไรที่โหดร้ายไปกว่านี้อีก ความจริงก็คือความจริง

      "...หลังงานแต่งงาน จงอินกับคยองซูจะไปฮันนีมูนกัน..."

      เดี๋ยวนะ จงอินกับคยองซูงั้นเหรอ งั้นคนที่จงอินแต่งงานด้วยก็ไม่ใช่อี้ชิงสินะ คริสเริ่มมีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้า

      "...จงอินบอกว่า ผมควรจะหาเวลาให้ตัวเองบ้าง ให้ผมไปเที่ยวพักผ่อนร่างกายบ้าง ผมคิดว่านั่นก็เป็นความคิดที่ดีอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน ลองเข้าเน็ตหาข้อมูลดู ที่แคนาดาก็มีที่เที่ยวน่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ... ลงชื่อ อี้ชิง"

      หมายความว่ายังไง หมายความว่าอี้ชิงจะมาเที่ยวที่แคนาดาอย่างนั้นเหรอ แล้วนั่นหมายถึงการที่เราสองจะได้พบหน้ากันอีกครั้งหรือเปล่า หรือเพียงแค่มาเที่ยวเฉยๆ

      ความคิดต่างๆ นาๆ แล่นเข้ามาในหัวไม่ขาดสาย มีทั้งความคิดที่ชวนยิ้มและชวนเสียใจ อยากจะนึกเข้าข้างตัวเองว่าอี้ชิงอาจจะหมายถึงการพบกันอีกครั้ง แต่ในอีกทางหนึ่งบางทีอี้ชิงอาจจะแคมาเที่ยวที่นี่เฉยๆ แคนาดาก็ไม่ใช่แคบๆ ฝ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ตั้งใจมาหาเขาหรอก

      “คุณคริสคะ มีคนมาขอพบค่ะ แต่เขาไม่ได้นัดเอาไว้ก่อน คุณจะให้เขาเข้าพบไหมคะ” เลขาฯ คนเดิมโผล่หน้ามาถามอีกครั้ง คริสตีหน้ายุ่งแล้วตอบกลับไปว่าไม่เห็นหรือไงว่างานกองอยู่เต็มโต๊ะ แต่ก่อนที่สาวเจ้าจะหันหลังกลับไป เธอก็เอ่ยคำที่ทำเอาคริสถึงกับทิ้งงานบนโต๊ะแล้ววิ่งออกไปทันที

      “เขาฝากดิฉันมาบอกว่าเขาชื่ออี้ชิงค่ะ”

      ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เขาก็ทิ้งงานแล้ววิ่งออกจากห้องทำงานตรงไปลิฟท์แล้วกดลงไปชั้นหนึ่งเพื่อไปยังส่วนของล๊อบบี้ตรงส่วนหน้าของบริษัททันที

      คริสหอบหายใจขณะหันซ้ายหันขวามองหาคนที่เขาอยากพบหน้าเป็นที่สุด และคนคนนั้นก็กำลังยืนยิ้มมาให้เขาอยู่ คริสรีบเดินเข้าไปหา โน้มตัวเข้าไปใกล้รวมกับจะโอบกอดแต่ก็ชะงักไป จนอี้ชิงทำหน้างง

      “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คุณเปลี่ยนไปเยอะเลย” คำทักทายแรกของอี้ชิงทำเอาคริสยิ้มบาง แต่เขาก็ยังไม่กล้าสบตาตรงกับอีกฝ่ายอยู่ดี

      “ผมหมายถึงคุณดูสุขุมขึ้นน่ะ ไม่เอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อน”

      คริสเงยหน้าขึ้นมองอี้ชิงอีกครั้งอย่างตั้งใจ เขาจะไม่เปลี่ยนไปได้ยังไง ทั้งหมดมันก็เพราะคุณนั่นแหละ คุณที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ผมอยากจะดึงคุณเข้ามากอดใจแทบขาด แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าผมทำแบบนั้นต่อหน้าคนทั้งบริษัท คุณจะหนีผมไปอีกไหม

      “อยากกอดก็สิ” คำพูดของอี้ชิงทำเอาคริสตะลึงงันไปชั่วขณะ คำอนุญาตแบบนั้นมันทำให้เขาดีใจอยู่ไม่น้อย การที่อี้ชิงเอ่ยปากให้คริสกอดเขาต่อหน้าคนเดินผ่านไปมาแบบนั้น แสดงว่าอี้ชิงกำลังเปิดใจให้เขาทำคะแนนใช่ไหม

      “เปิดทางให้แบบนี้ มายืนให้ง้อถึงที่ขนาดนี้ ถ้ายังง้อไม่สำเร็จก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วนะ” ว่าแล้วอี้ชิงก็เอื้อมมือหวังจะไปทึ้งหัวคริสเล่น แต่ก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าคริสนั้นแต่งตัวเนี๊ยบสมกับเป็นเจ้าของบริษัทแค่ไหน เขาจึงลดมือลงแล้วเอื้อมมือไปลูบหน้าคริสแทน

      “มาให้ง้อถึงที่ขนาดนี้ งั้นก็ขอเดินหน้ารัวๆ เลยแล้วกันนะ” ว่าแล้วก็ดึงอี้ชิงเข้ามากอดแน่นราวกับกลัวว่าเจ้าตัวจะหนีหายไปตรงไหนอีก

       

      ไม่มีอีกแล้วอู๋อี้ฝานคนหยิ่งยโสเอาแต่ใจ ไม่เคยแคร์ ไม่เคยมีใครอยู่ในสายตา นับจากวันนั้นที่ผู้ชายชื่อจางอี้ชิงได้เข้ามาเปลี่ยน คนแย่ๆ แบบนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว

      ในตอนนี้ที่ผมกำลังกอดคุณอยู่ เป็นครั้งแรกที่กอดคุณแน่นจนแม้แต่เม็ดทรายก็แทรกผ่านไปไม่ได้ เคยทำให้คุณอับอายต่อหน้าคนนับร้อยนับพัน เคยป่าวประกาศต่อหน้าคนอื่นๆ ว่าคุณเป็นของผมด้วยวิธีสกปรก

      แต่การโอบกอดคุณต่อหน้าคนทั้งบริษัทในที่นี่ตอนนี้ มันต่างกันออกไป คุณเป็นของผม ผมเป็นของคุณ คุณรักผม และผมก็รักคุณ เรารักกัน

      ความรักที่โอบล้อมเราทั้งสองเอาไว้ ผมสัญญาว่าจะประคับประครองมันให้ดีที่สุด จะไม่ทำร้ายให้คุณต้องเสียใจเหมือนเมื่อก่อน จะไม่ทำลายความรักและไว้ใจที่คุณยังคงมอบให้ผมเสมอมาแม้เวลาจะหมุนผ่าน

      ขอบคุณที่ยังไม่ลืมและยังคงให้โอกาสผม

      ขอบคุณที่ให้โอกาสคนร้ายๆ อย่างผม

      ขอบคุณที่รักผม

      ขอบคุณ

       

       

      .

      .

      .

       

      END


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×