ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวขโมยแห่งบารามอส ภาคคู่อลวน

    ลำดับตอนที่ #32 : บทพิสูจน์ของแม่มดสาว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 982
      1
      10 ต.ค. 49

    บารามอส

    ตอนที่ 32

    ครี้ดเดินสำรวจหาทางออกไปรอบๆ แองจี้เองก็สอดส่ายสายตาหาทางออกไปจากป่า สายตาไปสบกับร่างโปร่งบางร่างหนึ่งที่ใต้ต้นไม้ ผิวสีขาวดูโปร่งแสง ผมสีเงินยวงยาวปกปิดหน้าตาก่อนยกมือชี้นิ้วไปทางขวา

    "ครี้ด" เสียงเบาจากหญิงสาวผู้เริ่มรู้สึกว่าเห็นสิ่งผิดธรรมชาติ

    "อะไรแองจี้" ครี้ดเดินเข้ามาแตะไหล่รู้สึกว่าอีกฝ่ายสะดุ้ง

    "นายเห็นคนตรงนั้นไหม" แองจี้ว่าก่อนชี้ให้ครี้ดดู แต่เมื่อเธอหันไปอีกทีก็ไม่เห็นร่างโปร่งแสงในชุดเสื้อคลุมสีขาวเสียแล้ว

    ครี้ดเดินเข้าไปดูตรงที่หญิงสาวชี้ก่อนยิ้มออก

    "แองจี้เราเจอทางออกแล้ว ดูสิมีทางเท้าเล็กๆด้วย" ครี้ดหันมาบอกอย่างยินดี

    แองจี้เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เด็กสาวเอื้อมมือไปจับมือนักรบหนุ่มแน่น ครี้ดมองดูหน้าเด็กสาวก่อนกระชับมือเรียวอย่างปลอบใจ เดินนำหน้าไป

    ทั้งสองเดินมาตามทางเล็กจนออกมาถึงส่วนแอปเปิ้ล

    "ว้าว ถ้าเฟรินมาเห็นสงสัยต้องกระโดดเข้าใส่แน่" แองจี้ร้องออกมาอย่างดีใจ

    ครี้ดเก็บแอปเปิ้ลส่งให้เด็กสาว ก่อนออกเดินทางต่อ เพราะเขาไม่อยากให้ถึงบ้านพักดึกเกินไปนัก แต่ก็นึกสงสัยว่าไอ้พวกเพื่อนๆมันจะหาเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า ไม่ค่อยไว้ใจพวกมันเลย

    ลับหลังจากที่พวกเขาออกมาจากป่า วกวน

    เจ้าหน้าที่ประจำจุดที่สองก็ปรากฏกาย พร้อมเสียงทักทายอย่างสนุกสนานของหัวขโมยตัวดี

    "พวกนายเป็นอย่างไรกันบ้างล่ะ" เฟรินถามปนหัวเราะ เพราะเขาก็เฝ้ามองพวกมันจากบนต้นไม้เหมือนกัน

    "ไอ้นักรบบ้านั่นดันขว้างก้อนหินขึ้นมาได้นะสิ เฉียดหน้าฉันไปนิดเดียวเอง แถมไม่โดนผลไม้อีก ฝีมือห่วยจริงๆ ลำบากฉันต้องปลิดขั้วโยนลงไปให้มัน ไม่ให้มันหน้าแตกต่อหน้าสาว" คิลบ่นปนโมโห เพราะเขาอยู่บนต้นไม้และแกล้งบีบน้ำผลไม้ให้มันตกไปพอดีหน้าแองจี้

    "นายในชุดผีสาวก็สวยดีนะคาโล" เฟรินเอ่ยแซว ได้รับคำตอบเป็นแสงตาสีฟ้าส่งมาให้อย่างไม่ชอบใจ

    "แต่ที่ยอดคงเป็นเวทมนต์ป่าวกวนของนายนะโคลว์" เฟรินหันไปพยักเพยิดกับอีกหนุ่มหน้าสวยแทน

    "ไม่เท่าไรหรอกเฟริน" โคลว์ตอบ

    "พวกเรากลับกันเถอะ" คาโลหันไปชวนพวกเพื่อนกลับที่พัก ที่เหลือค่อยปล่อยให้เพื่อนๆที่เหลือต้อนรับกันต่อ

    หลังเดินออกมาจากสวนแอปเปิ้ลสักพัก แองจี้ก็สะดุดตากับป้ายหลุมศพที่เรียงเป็นแพ ก่อนหน้าซีด

    "ครี้ด พวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ" เสียงที่เริ่มสั่นบอกเด็กหนุ่มข้างกาย

    "ไม่มีอะไรหรอกแองจี้ แค่ป้ายหลุมศพเอง" ครี้ดบอกปลอบใจเด็กสาว เอื้อมมือไปโอบไหล่ที่เริ่มสั่นของเด็กสาว ปลอบใจตัวเองเหมือนกันว่าไม้มันดูใหม่ๆ คงไม่ใช่ของจริงหรอกมั้ง คงเป็นฝีมือไอ้เพื่อนๆมันทำไว้แน่ๆ

    ฟ้าที่เริ่มมืดทำให้พวกเขายิ่งเร่งฝีเท้า แสงไฟสว่างที่ส่องมาจากบ้านพัก ทำให้ทั้งสองเริ่มมีกำลังใจ

    "พวกเราถึงบ้านพักรับรองแล้วครี้ด" แองจี้บอกเสียงดีใจ เด็กสาวรีบวิ่งไปเคาะประตูอย่างยินดี

    ชายชราออกมาเปิดประตูให้

    "พวกเราขอพักหน่อยได้มั้ยค่ะ" แองจี้ถามชายชราเจ้าของบ้าน

    "ได้สิเชิญเข้ามา พวกเธอมาที่เกาะนี้ได้อย่างไรล่ะ มันยังไม่มีเรือมาเทียบท่านี่" ชายชราถามขณะนำทางแขกทั้งสองไปที่โต๊ะอาหาร

    "พวกเราหนีลงมาจากเรือโจรสลัด มาขึ้นฝั่งที่เกาะนะครับ" ครี้ดตอบ นึกในใจว่ามันคือเพื่อนคนไหนของเขาว่ะ ที่แต่งได้แก่ขนาดนี้ แถมยังดัดเสียงได้เหมือนคนแก่เสียอีก

    "นิก เรามีแขกหรือ" เสียงหญิงชราจากในครัวร้องถามเมื่อชายชรานำทางพวกเขามานั่งที่โต๊ะทานข้าว

    "ใช่ แองจี้ เรามีแขกตัวน้อยสองคนสำหรับมื้อเย็นนี้" ชายชราตะโกนตอบไป

    "เอ่อ ภรรยาของลุงหรือค่ะ" แองจี้ถามอดหน้าแดงไม่ได้ที่อีกฝ่ายมีชื่อเดียวกับตน

    "ใช่ แต่งงานแล้วก็มาอยู่ดูแลนักท่องเที่ยวที่เกาะนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้วล่ะ "  ชายชรานามนิกตอบ

    กลิ่นอาหารหอมกรุ่นยั่วน้ำลายนักเดินทางทั้งสองเป็นอย่างมาก

    หญิงชราร่างท้วมเดินยกหม้อซุปมาตั้งโต๊ะ ชายชราก็จัดเตรียมจานเสริฟแขก

    "ลุงชื่อนิก แล้วนี่แองจี้ภรรยาลุง พวกหนูชื่ออะไรกันบ้างล่ะ" ชายชราแนะนำตัวอย่างอ่อนโยน

    "ผมครี้ด แล้วนี่แองจี้เหมือนกันครับ"ครี้ดบอก

    "แหมบังเอิญจริง เป็นแฟนกันสินะ ถึงได้มาเที่ยวกันสองคนอย่างนี้นะ น่ารักจริงๆ" เสียงหญิงชราบอกก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

    ทำเอาแขกทั้งสองหน้าแดงไปกับการทึกทักแทงใจดำแบบนั้นจนพูดอะไรไม่ออก

    "ไม่ใช่หรอก แองจี้ พวกเขาหนีมาจากเรือโจรสลัด ไม่ได้มาเที่ยวหรอก" นิกกล่าวแก้

    "โอ เด็กที่น่าสงสาร ไม่ต้องห่วงหรอกที่นี่มีเรือแวะมาจอดทุกอาทิตย์ เดี๋ยวพวกหนูก็ได้กลับบ้าน คืนนี้ก็พักที่นี่ก็แล้วกัน แต่พูดถึงโจรสลัดแล้วที่นี่ก็มีตำนานเหมือนกันนะ" แองจี้ชราบอก

    "ตำนานอะไรหรือค่ะ" เสียงหวานถามอย่างอยากรู้ขึ้นมาทันที

    "ก็ที่นี่นะมีเรื่องเล่า นานมาแล้ว ยังมีคู่รักที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ต่อมาฝ่ายชายก็ไปทำงาน แต่ระหว่างทางถูกโจรสลัดฆ่าตาย ฝ่ายผู้หญิงเมื่อรู้ข่าวก็ตายตามไป แต่ทุกคืนเธอจะออกมาร้องไห้ คร่ำครวญหาคนรักนะสิ" เสียงชายชราเล่า

    "เธอหน้าตาอย่างไรค่ะ" แองจี้เริ่มถามต่ออย่างเอะใจ

    "เป็นผู้หญิงที่สวยมาก ผมสีเงินยวง ผิวขาว เธอจะออกมาเดินตามหาคนรักตอนคืนเดือนมืด " หญิงชราบอกเสียงเย็น

    "ใช่แล้วบางทีก็มีเสียงเหมือนมีการต่อสู้กัน เพราะเกาะนี้นะเคยถูกพวกโจรสลัดบุก   ฆ่าคนตายไปเกือบครึ่งเกาะ บางคืนก็มีเสียงเหมือนเหตุการณ์พวกนั้นยังคงอยู่นะ" ชายชราเริ่มเล่าเสียงเย็นยะเยือกไปอีกคน

    "เอ่อคืนนี้ก็ดึกแล้วพวกผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะฮะ" ครี้ดตัดบทเมื่อเริ่มรู้สึกว่าไอ้เพื่อนสองตัวคงกะเล่าหนังผีให้แองจี้ฟังแน่นอน แค่นี้นางฟ้าของเขาก็ปอดแหกไปแล้ว ไอ้พวกบ้า

    "ตามทางนี้เลย" ชายชราบอก

    ห้องพักทั้งสองอยู่ติดกันทำให้แองจี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

    "พวกลุงอยู่ที่ห้องชั้นล่าง ถ้าต้องการอะไรก็ไปเรียกได้นะ" ชายชราบอกอย่างมีน้ำใจ และเดินลงบันไดไป

    แองจี้เดินดูห้องพักอย่างพอใจ เด็กสาวเปิดตู้เห็นมีเสื้อผ้าติดไว้ด้วย ทำให้ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน

    หลังออกมาจากห้องน้ำ อยู่แสงไฟในตะเกียงก็ดับ แองจี้สะดุ้งสุดตัว ปลอบใจตัวเองว่าไม่มีอะไรแค่ลมพัด แต่สักพักเสียงเหมือนหญิงสาวสะอื้นไห้ก็ดังแว่วมาเป็นระยะ

    เด็กสาวหันไปมองที่หน้าต่างระเบียง เห็นร่างโปร่งแสงผมสีเงินยาว นั่งร้องไห้อยู่ที่ระเบียง ไม่รอช้า เด็กสาวเปิดประตูห้องวิ่งไปห้องตรงข้ามทันที

    เธอเปิดประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนตกตะลึงกับร่างเด็กหนุ่มที่พึ่งออกจากห้องน้ำ ในสภาพเปลือยกาย แองจี้ปิดตาหันหลังอย่างเร็ว ร้องตะโกนให้อีกฝ่ายใส่เสื้อผ้า

    "เกิดอะไรขึ้นแองจี้" ครี้ดคว้ากางเกงนอนมาใส่อย่างเร็วที่สุดในชีวิต เดินมาถามเด็กสาวที่เอามือปิดหน้าที่แดงก่ำ

    "ฉะ ฉันเห็นผู้หญิงผมสีเงินที่ระเบียงห้องฉัน" แองจี้ตะกุกตะกักบอก รู้สึกยังอายไม่หายกับร่างเปลือยของคนตรงหน้า

    "ไม่เป็นไรแล้วแองจี้ ไม่ต้องห่วงนะ" ครี้ดเอื้อมมือไปหาร่างบางกอดปลอบให้อีกฝ่ายคลายความตกใจ

    "ฉันขอนอนกับนายด้วยนะครี้ด" แองจี้บอกสบตาอีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน

    "เอาอย่างนั้นก็ได้" ครี้ดบอกช้อนอุ้มร่างบางไปที่เตียง ห่มผ้าให้อย่างอ่อนโยน

    "นายก็นอนด้วยกันสิ" แองจี้บอก เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะไปนอนที่พื้น มือเรียวจับชายเสื้ออีกฝ่ายให้ขึ้นมานอนด้วยกันที่เตียงกว้าง

    ดูเหมือนบรรดาผีจะเริ่มหยุดทำงาน ปล่อยให้ทั้งสองนิทราอย่างเป็นสุข โดยไม่รู้ตัวร่างเล็กซุกเข้าหาอ้อมอกกว้างทำให้แขนแกร่งเผลอโอบกอดร่างบางแน่นกระชับ

    แสงแดดยามเช้าปลุกให้ทั้งคู่ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น แองจี้มองหน้าอีกฝ่ายอย่างเขินๆ เมื่อรู้ตัวว่ากอดอีกฝ่ายมาตลอดคืน

    "ฉันไปส่งที่ห้องแล้วกันนะ" ครี้ดว่าอย่างเป็นห่วง ไม่รู้ว่าไอ้พวกนั้นมันจะทำอะไรบ้าๆให้เด็กสาวข้างกายตกใจอะไรไปมากกว่านี้หรือเปล่า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนได้กำไรก็เถอะ

    "ขะ ขอบใจ" แองจี้บอกสีหน้าแดงก่ำ เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในชุดนอน และอีกฝ่ายก็มีแค่กางเกงนอนตัวเดียว ทำให้เด็กสาวไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย ได้แต่ก้มหน้างุดใบหน้าร้อนผ่าว

    เด็กสาวแต่งตัวด้วยชุดใหม่ในห้องน้ำ มองดูกระจกตรวจสอบความเรียบร้อย มองไปทางหน้าต่างอย่างหวาดๆ ก่อนตกตะลึงกับภาพที่เห็นในสวน  ครี้ดที่เดินตามหญิงสาวผมสีเงินไปอย่างเลื่อนลอย

    แองจี้ไม่รอช้าเด็กสาวกระโดดลงจากหน้าต่างวิ่งตามร่างสูงไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปเนินเขาที่เต็มไปด้วยหลุมฝังศพ

    เสียงลมที่เริ่มพัดแรงขึ้น คลอด้วยเสียงโหยหวน

    "คนรักของข้ากลับมาแล้ว"

    "กลับมาหาข้าแล้ว"
     
    แองจี้วิ่งตะโกนเรียกชื่อครี้ด หวังให้เด็กหนุ่มได้สติ แต่ไม่ได้ผล ที่สำคัญพวกเขาเดินได้ไวมากจนเธอไม่สามารถเข้าถึงตัวเด็กหนุ่มได้ จนหายไปจากสายตาเด็กสาว เธอตัดสินใจข่มความกลัวเดินไปทางเนินที่เต็มไปด้วยป้ายหลุมศพ

    ที่เนินหลุมฝั่งศพ ร่างหนึ่งนอนอยู่ที่พื้น อีกร่างในชุดคลุมยาวนั่งเคียงข้าง มื่อเรียวขาวลูบไล้ใบหน้าของเด็กหนุ่ม

    "ในที่สุดท่านก็กลับมาหาข้า ข้ารอท่านมาตลอด" เสียงเย็นรำพันบอก

    "หยุดนะ นั่นไม่ใช่คนรักของท่านสักหน่อย" แองจี้บอกลืมความกลัวผีไปสนิท เพราะความเป็นห่วงมีเด็กหนุ่มมีมากกว่า

    "ไม่ใช่เหรอ งั้นก็คงต้องฆ่าให้ตายสินะ" เสียงยะเยือกตอบกลับ

    "ไม่ได้นะ นั่นเป็นคนรักของฉัน ถ้าท่านเสียใจที่คนรักตาย ท่านก็ไม่ควรฆ่าคนรักของคนอื่นสิ" แองจี้รีบบอกอย่างรวดเร็ว

    "ไม่จริงหรอก แต่ถ้าเจ้าพิสูจน์ให้ข้าแน่ใจ ข้าก็จะปล่อยคนรักของเจ้าคืนไปก็ได้"เสียงหวานปนโศกบอก

    "กะ ก็ได้ " แองจี้หน้าแดง ตัดสินใจเดินเข้าไปจูบร่างสูงที่นอนแน่นิ่งอยู่ทันที

    "แค่นี้พิสูจน์ได้หรือยังว่าเขาเป็นคนรักของฉันจริง" แองจี้บอกสีหน้าแดงก่ำ

    "เขาเป็นคนรักของเจ้าจริงๆ" ร่างโปร่งดูจางหายไปกับสายลม

    แองจี้มองดูร่างสูงที่นอนนิ่งไม่ขยับเขยือนอย่างเป็นห่วง

    "ครี้ด ตื่นสิ " เสียงหวานเริ่มปลุกเด็กหนุ่มร่างสูง มือเรียวเขย่าอีกฝ่ายสักพัก ก้มหน้าไปชิดหน้าอกฟังดูเสียงหัวใจ มันก็ยังเต้นดีนี่ ก่อนได้ยินเสียงกระซิบ

    "ถ้าได้จูบจากเจ้าหญิงอีกสักที ก็คงตื่นได้เต็มตากว่านี้นะ"

    ฉาดเสียงฝ่ามือแม่มดสาวกระทบแก้มนักรบหนุ่ม ส่งผลให้ต้องลืมตาตื่นทันที

    "โธ่ แองจี้ แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง" ครี้ดโอดมือกุมซีกหน้าที่เป็นรอยแดงห้านิ้ว ปากมีรอยยิ้มไม่หุบกับคำสารภาพรักและจุมพิตของอีกฝ่ายที่ให้เพื่อช่วยชีวิตเขา

    "คนเขาเป็นห่วงแทบตาย ยังจะมาทำเล่นอีกตาบ้า" แองจี้แหวใส่อย่างหมดความอดทน แต่เมื่อนึกถึงวีรกรรมของตนก็อดหน้าแดงไม่ได้

    "เราไปทานอาหารเช้ากันเถอะ" ครี้ดชวน จูงมืออีกฝ่ายกลับบ้านพัก ใบหน้ากลบรอยนิ้วเด็กสาวด้วยรอยยิ้มไม่หุบของนักรบหนุ่มแห่งไนล์

    ทั้งสองเปิดประตูเข้าไป ก่อนตกใจกับเสียงประทัด และริบบิ้นต้อนรับในห้องโถง

    เหล่าพลพรรคป้อมส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น

    แองจี้มองหน้าเพื่อนๆ ก่อนเริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

    "พวกนาย พวกนายรวมหัวกันหลอกฉัน" แองจี้ตะโกนก้องทันที

    "เอาน่า แองจี้มาตัดเค้กแต่งงานเอ้ยเค้กวันเกิดได้แล้ว" เฟรินบอกเสียงกลั้วหัวเราะ

    "วันเกิด "แองจี้ทวนคำ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอเองนี่น้า แต่เพราะเหตุการณ์ยุ่งๆทำให้ลืมไปเสียสนิท

    "พวกนาย" เด็กสาวพูดไม่ออก เรนอนเดินเข้ามาหอมแก้มเพื่อนสาว มาทิลด้าก็จูงอีกฝ่ายไปที่โต๊ะ

    บรรดาเพื่อนๆก็ร่วมร้องเพลงอวยพรให้เด็กสาว

    "ขอบใจพวกนายมาก" แองจี้บอกหัวเราะปนน้ำตาก่อนเป่าเทียนวันเกิดของตัวเอง ถึงแม้พวกเพื่อนๆจะแกล้งเธอ แต่ความจริงแล้วก็เพราะอยากทำให้เธอรู้ใจตัวเอง เด็กสาวรู้สึกสดชื่นกับการได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของป้อมอัศวินที่แสนวุ่นวายอีกครั้ง

    "แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่" แองจี้ถามบรรดาเพื่อนๆถึงแผนการณ์ต่างๆ ที่งัดมาเล่นงานเธออย่างเริ่มสนุกไปด้วย

    "ก็แผนแรกนะฝีมือฉัน เรนอนและมาทิลด้าน่ะ กะให้แค่ตกใจนิดหน่อย " เฟรินบอกสั้น

    "อืม แล้วแผนสองล่ะ" แองจี้เริ่มหันไปคาดคั้นต่อ

    "ก็แผนนี้ฉันก็แค่ทำให้น้ำผลไม้ไปโดนหน้าเธอ ให้ตกใจนิดหน่อย ให้โคลว์ใช้เวททำให้หลงป่า จะได้ถึงที่พักมืดหน่อย ส่วนคาโลก็เป็นผีสาวคนแรกนะ" คิลอธิบายรายงานต่อเจ้าแม่คทาพิฆาต

    "ส่วนแผนสามก็ไม่มีอะไรมาก แค่ฉันกับเอ็ดเวิร์ดเริ่มเกริ่นเล่าเรื่องผีให้เธอฟังก่อน ส่วนกัสก็แค่ไปนั่งริมระเบียงหลอกนิดหน่อย" นิกส์ตอบยิ้มๆ

    "ส่วนพวกฉันทิวดอร์ก็แค่แสดงเป็นผีสาว เดทก็เป็นครี้ด หลอกให้เธอวิ่งตาม ฉันก็ร่ายเวทเรียกลมนิดหน่อย" อาชูร่าบอก

    "สุดท้ายพวกเราก็แค่ลากตัวไอ้ครี้ดไปนอนที่สุสาน เจคมันลงมือหนักไปนิดทำให้ครี้ดมันนอนนานไปหน่อย ให้ซิบิลเป็นผีเจรจากับเธอไง" ซอร์โรเล่าสรุปเป็นคนสุดท้าย

    "ไม่ใช่หนักไปนิด หนักมากเลยแก ฟาดมาที่หัวฉันซะเต็มเหนี่ยวขนาดนั้น เล่นเอาเห็นดาวไปเลย" ครี้ดบ่น

    "แต่ก็ไม่ได้ทำให้หูอื้อ จนไม่ได้ยินอะไรดีๆใช่มะ" ซอร์โรหันมาแซวเพื่อนสนิท ส่งผลให้สองหนุ่มสาวหน้าแดงอย่างพร้อมเพรียง

    เสียงหัวเราะและเสียงตะโกนโวยวายยังคงเป็นเอกลักษณ์ของป้อมอัศวินเช่นเดิม

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×