ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวขโมยแห่งบารามอส ภาคคู่อลวน

    ลำดับตอนที่ #26 : งานฉลองที่นครจันทรา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.35K
      3
      19 ก.ย. 49

    บารามอส

    บทที่ 26 งานฉลองที่นครจันทรา

    ที่พระราชวังแอเรียส

    สองนักเรียนกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกับบทเรียนแสนยาก เล็คเชอร์การง้อสาว บรรยายโดยคิงริชาร์ด

    "พวกเจ้านี่ เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ ข้าสอนมาเป็นรอบที่ร้อยแล้วนะ ไอ้คำหวานๆนะหัดพูดให้คล่องปากหน่อยได้มั้ย พวกผู้หญิงนะชอบให้พูดหวานๆทั้งนั้นแหละ" คิงริชาร์ดบ่นสองนักเรียนอย่างอ่อนใจ

    "โธ่ท่านพ่อ ก็ภาษาเลี่ยนๆพวกนั้น จะให้พูดมันกระดากปากจะตาย แถมยังเป็นไอ้หมอนั่นอีก มันใช่ผู้หญิงที่ไหนกัน" ลอเรนซ์ทำหน้าราวกับกลืนยาขมเข้าไปทั้งขวด โดยมีลูกคู่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยอยู่ข้างๆ

    "พวกเจ้านี่ไม่มีความตั้งใจเลย ระวังเถอะ เดี๋ยวก็ถูกคนอื่นคาบไปรับประทานหรอก" คิงริชาร์ดบ่นอย่างขัดใจ ไม่ได้เชื้อของข้าไปบ้างเลย ไอ้ลูกไม่ได้เรื่อง แถมถ้าจีบติดก็ยังมีปัญหาระหว่างประเทศตามมาอีกเพียบ เฮ้อกลุ้ม

    เสียงหัวเราะดังเบาๆที่หน้าห้องเรียนพิเศษ โดยจักรพรรดิวิลเลี่ยม

    "ฝึกพิเศษไปถึงไหนแล้วลอเรนซ์ คาโล" แขกผู้มาใหม่ถามอย่างเป็นห่วง

    "ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเคยนะ เสียชื่อข้าที่เป็นอาจารย์หมด กะอีแค่คำหวานๆนะ พวกนี้ยังพูดไม่ได้เลย" พระอาจารย์บ่นอย่างเสียอารมณ์กับลูกศิษย์

    "ข้าได้ข่าวมาว่าตอนนี้ที่เดมอสกำลังมีเทศกาลทะเลสาปจันทรา บางทีเด็กสองคนนั่นคงไม่พลาดเรื่องสนุกนี้" จักรพรรดิวิลเลี่ยมบอกข่าวให้สองเจ้าชายทราบ

    "งั้นก็ดี พวกเจ้าก็ไปเที่ยวงานนี้และง้อให้สำเร็จแล้วกัน ภาคทฤษฏีข้าก็สอนให้หมดแล้ว ภาคปฏิบัติพวกเจ้าไปลองเองก็แล้วกัน" พระอาจารย์ตัดสินทันที ก่อนถอนหายใจยาว

    ทั้งลอเรนซ์กับคาโลมองหน้ากัน ก่อนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ถ้าไม่รีบปรับความเข้าใจไว้รอเปิดเทอมงานก็ยุ่งสถานการณ์คงแย่กว่านี้

    ลับหลังสองเจ้าชายที่ไปจัดของออกเดินทาง สองคิงเพื่อนซี้ก็มองหน้ากันก่อนส่ายพระพักตร์อย่างอ่อนใจ

    "จะไหวหรือริช"

    "ก็แล้วแต่ดวงแล้วกัน" คิงริชาร์ดบอกเสียงเหนื่อยอ่อน ไอ้สองนักเรียนที่มีดีแต่หน้า แต่ฝีปากไม่เอาอ่าว พูดแต่ละทีชวนกวนโมโหมากกว่าขอคืนดี อย่างนี้สาวไหนจะแล มีแต่พวกรสนิยมแปลกๆเท่านั้นแหละที่ทนไหว

    ไอ้พวกลืมเอาน้ำตาลมาเกิด

    ที่พระราชวังแห่งนครจันทรา

    ราชินีจันทรากำลังแย้มสรวลอย่างถูกใจกับแขกต่างเมือง สองเจ้าชายรูปงาม

    "ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการอะไร" ราชินีคนงานตรัสถามปนสรวล

    "พวกเราต้องการพบคนที่ท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว ไม่ทราบท่านจะเมตตาบอกที่อยู่ให้พวกเราได้หรือไม่" ลอเรนซ์ตัดสินใจพูดตรงๆไปเลย เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขามาทำธุระอะไร

    "แหม ก็ได้ พวกเขาสองคนไปเที่ยวในเมือง พวกท่านไปเดินในเมืองเดี๋ยวก็เจอกันเอง" ราชินีสาวสวยบอกอย่างใจดี ความจริงก็ตั้งใจว่าจะแกล้งอีกสักหน่อยเหมือนกัน

    "ตรงไหนของเมืองหรือพะยะค่ะ" เจ้าชายคาโลถามต่อ

    "อันนั้นพวกเจ้าต้องไปตามหาเอาเอง แต่หาไม่ยากหรอก ยิ่งวันนี้มีการประกวดเทพีจันทราอีก พวกเจ้าลองไปดูก็แล้วกัน เราขอในพวกท่านโชคดี" ราชินีลูน่าบอกใบ้ให้นิดหน่อย ใช่ หาไม่ยากเลยเพราะสองคนนั่นเด่นจะตาย

    หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการถามข้อมูล ทั้งสองเจ้าชายก็ออกมาเดินเที่ยวเมือง และได้รับเชิญให้พักผ่อนในพระราชวังคืนนี้เป็นการตอบแทน

    ในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งมนุษย์ ปีศาจ เดินกันขวักไขว่ไปหมด แต่ส่วนใหญ่จะมากันเป็นคู่ๆ ทำให้ทั้งสองหนุ่มหน้าสวยถูกจับตามองด้วยสายตาแปลกๆ ยิ่งเดินเข้าใกล้ทะเลสาปเท่าไร ก็ยิ่งถูกมองด้วยสายตาแปลกๆมากยิ่งขึ้น

    สร้างความหงุดหงิดให้สองเจ้าชายเป็นอย่างมาก กับการถูกเข้าใจผิด 

    ถ้าเดินกับเฟริน หรือลูคัสนะไม่เป็นไรหรอก เพราะมันเป็นความจริงแต่ไอ้ถูกเข้าใจผิดคนผิดคู่นี่ละที่ทนไม่ได้ ถ้าเข้าใจถูกก็ว่าไปอย่าง

    ช่วงงานเทศกาลนี้มีพวกคู่รักและพวกแต่งงานใหม่นิยมมาเที่ยวและมาสาบานรักกันที่ทะเลสาปเป็นจำนวนมาก แถมคืนนี้ยังเป็นคืนเพ็ญยิ่งทำให้ทิวทัศน์รอบทะเลสาปสวยมากขึ้น

    พวกผู้หญิงเผ่าปีศาจว่ากันว่าจะสวยและมีเสน่ห์เย้ายวนมากที่สุดในช่วงพระจันทร์เต็มดวงเสียด้วย ตอนนี้ยังมีงานประกวดเทพีจันทราของหน้าเทศกาลยิ่งทำให้เหล่าสาวๆแต่งกายมาประชันความงามกันเต็มที่

    บางเจ้าก็ส่งสายตาหวานมาให้สองหนุ่มรูปหล่อที่มาเที่ยวงานกันเป็นทิวแถว

    เมื่อเห็นสายตาของสาวๆเมืองนี้

    ลอเรนซ์ยิ่งจ้ำพรวดอย่างเร็ว สายตาสอดส่ายหาคนที่ต้องการอย่างกรุ่นอารมณ์ ไอ้ซาตานบ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหนฟะ คงไม่ได้เพลิดเพลินกับการทอดสะพานของสาวๆพวกนี้อยู่หรอกนะ

    แววตาสีม่วงเป็นประกายกับผู้คนกลุ่มใหญ่เบื้องหน้า หันไปสบกับคนตาสีฟ้าที่เดินตามมาข้างๆ

    "พวกเขามุงดูอะไรกันหรือ" เจ้าชายคาโลหันมาถามอย่างสนใจ

    "ไม่รู้เหมือนกัน เราไปดูกันเถอะ" ลอเรนซ์หันมาบอกรุ่นน้องอย่างสงสัยไม่ต่างกัน แต่สังหรณ์ว่าอาจจะเจอกับคนที่ตามหาข้างหน้านี้

    ที่เบื้องหน้ามนุษย์หมาป่าที่ดูเหมือนเป็นพิธีกรของงานกำลังมอบดอกไม้ให้กับสาวสวย ก่อนประกาศว่า

    "ในที่สุดผู้ที่มาร่วมงานทั้งหมดพร้อมใจกันเลือกให้คุณผู้หญิงทั้งสองเป็นเทพีจันทราในปีนี้ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ สวยทั้งพี่ทั้งน้องเลย"

    หมาป่าหนุ่มบอกก่อนมอบมงกุฏดอกไม้ให้สองสาวสวยพี่น้อง ให้เป็นเทพีของงานเทศกาลปีนี้ แถมส่งดวงสายตาหวานเยิ้ม รอยยิ้มกรุ่มกริ่มให้อย่างเชิญชวน

    ทั้งลอเรนซ์และคาโลจ้องมองสองพี่น้องเทพีแห่งงานอย่างตกตะลึง ก่อนกรุ่นอารมณ์กับสายตาของคนรอบข้าง

    คนหนึ่งเป็นสาวสวยผมสีดำสนิทยาวเลยเอว ดวงตาสีดำราวกับนิลที่เปล่งประกายดูมีเสน่ห์ลึกลับ ร่างสูงโปร่งแต่ดูบอบบางเย้ายวน กับรอยยิ้มหวานจากริมฝีปากสีแดงสดอวมอิ่มน่าสัมผัสนั่น ทำให้เจ้าชายแห่งแอเรียสมองจ้องอย่างตกตะลึง ก่อนพึมพำอย่างลืมตัว "ลูคัส"

    คาโลก็ไม่ต่างจากรุ่นพี่ข้างตัวสักเท่าไร เมื่อมองเห็นสาวน้อยหน้าหวาน ผมสีน้ำตาลยาวสลวย ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายสดใส กับชุดหวานสีชมพู ส่งผลให้ร่างบางดูอ่อนหวาน กับรอยยิ้มที่ส่งให้ผู้เฝ้ามองทั้งหลายลุ่มหลงในเสน่ห์สาวน้อยตรงหน้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น อย่างไม่ต้องสงสัยว่าทั้งสองจะกลายเป็นจุดเด่นของงาน ทำให้เจ้าชายคาโลเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าหาไม่ยากของราชินีจันทราหมายความว่าอย่างไร

    สองพี่น้องคนงามเดินเข้ามาหาทั้งสองเมื่อมองเห็นสายตาของคนทั้งคู่ รอยยิ้มราวกับนางฟ้าของเฟรินถูกส่งมาให้คาโล ที่ยืนมองนิ่งราวกับต้องมนต์

    สองสาวสวย เดินเข้ามาใกล้ เสียงหวานของสาวสวยผมดำเอ่ยถาม

    "พวกนายมาเที่ยวงานเทศกาลด้วยงั้นเหรอ"

    "พวกเรามาหาพวกเธอ คือเรามีเรื่องต้องคุยกัน" ลอเรนซ์เอ่ยปากออกไปได้ในที่สุด หลังรู้สึกราวกับลืมคำพูดลืมตัวไปสายตาสีนิลคู่งามนั้น

    "งั้นไปคุยกันที่ศาลาตรงนั้นดีไหม" ลูคัสบอกเสียงหวาน กลิ่นหอมหวานอย่างประหลาดแผ่ออกมาจากร่างบอบบาง ผู้คนมากมายมองตามสองสาวเทพีของงานไปอย่างเสียดายที่มีเจ้าของแล้ว แต่ไม่กล้าเข้ามาใกล้ เพราะทั้งสองดูมีอำนาจอย่างประหลาดที่เหล่าปีศาจรู้ดีว่าไม่ควรเข้าใกล้เกินจำเป็น โดยเฉพาะสาวน้อยผมสีน้ำตาลนั่น

    คาโลเดินตามเฟรินไปอย่างงงงวยไม่ต่างกัน แต่ถือวิสาสะจับมือเรียวไว้ เมื่อเห็นสายตาของผู้คนมากมายที่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างหลงใหล

    "พวกนายทานยาในตำนานนั่นเข้าไปด้วยหรือ" ลอเรนซ์ถามเรื่องที่สงสัยทันทีที่เข้ามาในศาลาที่มีแต่พวกเขาเท่านั้น

    "ไม่ใช่หรอกแค่ยาที่ฉันคิดค้นขึ้นนะ เป็นการเปลี่ยนแค่ชั่วคราว ช่วงที่เฟรินมาเรียนมารยาทกับราชินีลูน่าเท่านั้น"ลูคัสอธิบาย

    "เปลี่ยนแค่ชั่วคราว" ลอเรนซ์ทวนคำอย่างแปลกใจ

    "ใช่ทานยาแก้เข้าไปก็คืนร่างเดิมแล้ว แต่พวกเราพึ่งพบข้อเสียเล็กน้อยของยานี้นะ" ลูคัสบ่น

    "ข้อเสียอะไรหรือ" ลอเรนซ์ถามทันทีอย่างเป็นห่วง

    "ก็ปกติถ้าผมใช้สร้อยเวทมันจะกลบไอปีศาจในคืนวันเพ็ญได้นะสิ แต่ถ้าทานยา นอกจากจะไม่กลบไอปีศาจแล้ว ดูเหมือนมันจะส่งผลตรงข้าม ทั้งเพิ่มไอปีศาจ แถมเพิ่มพลังในการดึงดูดผู้คนได้อีกด้วย ทำให้มีแต่คนมองเป็นพรวนเลย"
     
    เฟรินบอกเรื่องราวที่พึ่งประสบให้ฟังอย่างเหนื่อยใจ เพราะตอนที่พวกเขาออกมาเที่ยวเมืองตั้งใจว่าจะมาดูงานให้สนุก ก็พบว่ามีแต่คนจ้องมอง จะไปทางไหนก็มีแต่พวกแปลกๆเดินตามมาเป็นพรวน ดีที่แผ่ไอปีศาจแบบท่านพ่อไว้ทำให้ไม่ใครกล้าเข้ามาใกล้

    ลอเรนซ์เริ่มเข้าใจสถานการณ์ก่อนชวนทั้งคู่กลับพระราชวังทันที เพราะไม่แน่ใจว่ายิ่งดึก ดวงจันทร์สุกสว่างอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเพิ่มก็ได้ แถมคนตรงหน้าก็สวยเกินอดใจเสียอีก ทำให้เขาเริ่มมีอารมณ์แปลกๆอย่างห้ามไม่อยู่

    "ก็ได้" ลูคัสยิ้มอย่างอารมณ์ดี แววตาส่อแววเจ้าเล่ห์อย่างพึงพอใจกับผลงาน

    มือขาวของเจ้าชายน้ำแข็งกุมมือเรียวแน่นก่อนพากลับพระราชวังอย่างรวดเร็วไม่ต่างกัน แน่นอนยังคงความเงียบไม่พูดอะไรเช่นเดิม

    ทั้งสี่เดินเข้ามาถึงในสวนของพระราชวังแห่งนครจันทรา ก่อนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกที่ลอดพันสายตาราวกับจะกลืนกินของเหล่าผู้พบเห็น

    "โอ๊ย เข็ดแล้ว ผมไม่ออกไปข้างนอกในคืนเพ็ญอีกแล้ว" เฟรินบ่นทันที เพราะทนอึดอัดมาตลอดทางกับสายตาแปลกๆของพวกผู้ชาย  ปกติเขาเป็นฝ่ายมองแต่พอถูกมองแล้วทำให้รู้สึกขนลุกขนพองเป็นบ้า

    ลอเรนซ์ไม่พูดอะไร นอกจากลากแขนเรียวของเทพีผมสีดำไปอีกทางทันที โดยซาตานสาวส่งเสียงโอดครวญอย่างยั่วอารมณ์แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรจริงจัง

    หลังคู่ท่านพี่หายไป คาโลก็มองดูคนข้างๆ ก่อนตัดสินใจรวบรวมความกล้าพูดขึ้นก่อน

    "ฉันขอโทษเรื่องเมื่อวันก่อน" เจ้าชายเมืองนักรบบอก

    ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยเงยขึ้นสบตาสีฟ้าสวยของคนพูด และรอคอยประโยคสำคัญที่อยากฟังมากที่สุด

    ยิ่งสบตากับดวงตาสีน้ำตาลที่ส่องแววประหลาดชวนมองนั้นยิ่งทำให้คาโลคิดอะไรไม่ออก บทพูดที่ท่องมาถูกกลืนหายไปกับดวงตาของคนตรงหน้า

    "เอ่อ ฉัน เป็นผู้หญิงแทนนายก็ได้" ไม่รู้ว่าอะไรดลใจทำให้คาโลพูดออกไปอย่างนั้น ชนิดที่ตัวเองได้ยินยังงงๆอยู่ว่าพูดออกไปแบบนั้นได้อย่างไร

    "บ้า นายพูดในสิ่งที่ฉันอยากฟังหน่อยสิ ไอ้เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ" เฟรินบอกอย่างเริ่มหมดความอดทน

    "เอ่อ นายอยากฟังอะไร" คาโลถามอย่างนึกไม่ออก ถ้าเป็นคาถาหรือเวทมนต์ยังไม่ยากเท่านี้เลย เขาพยายามนึกว่าอะไรที่ผู้หญิงชอบฟังมากที่สุด แต่ดูเหมือน เล็คเชอร์ที่เรียนมาจะโบยบินกลับไปหาอาจารย์หมดแล้ว

    "คำว่า รัก นะพูดเป็นไหม" เฟรินเริ่มโหมดงอนอีกรอบ ตวัดเสียงบอกอย่างฟิวส์ขาด

    นักรบแห่งคาโนวาลรวบร่างบางของคนขี้งอนไว้ในอ้อมกอดได้ทันก่อนเดินหนีไป กระซิบข้างหู

    "นายก็บอกสิว่าอยากให้ฉันพูดอะไร"

    เสียงทุ้มนุ่มนวลข้างหู ทำให้เฟรินรู้สึกร้อนผ่าวที่ข้างแก้มอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทำให้ลิ้นเกิดอาการเป็นอัมพาตไปอีกคน

    คาโลมองคนในอ้อมแขนที่ก้มหน้างุด ผิวแก้มดูแดงระเรื่อ น่ารักจนอดใจไม่อยู่ เชยคางมนให้เงยขึ้นมาประทับจุมพิตอย่างดูดดื่มแทน

    หลังถูกจูบจนอ่อนระทวย เฟรินก็ต้องแปลกใจกับมือของคนตรงหน้าที่เอื้อมมาที่คอของตน ก่อนสวมสร้อยให้อย่างรวดเร็ว

    "นายข้ามขั้นตอนสำคัญไปนะ" เฟรินท้วงคนเผด็จการตรงหน้าที่ไม่ถามความเห็นของเขาก่อนให้ไข่มุกแสงจันทร์

    "ตอนนายก็ไม่ได้ถามฉันเหมือนกันนี่" คาโลบอก

    "ก็ตอนนั้นถึงถามนายก็ไม่ตอบฉันอยู่แล้ว" เฟรินบอกถึงตอนที่ให้ไข่มุกแบบบดละลายเลือดแก่อีกฝ่าย

    "ฉันก็รับของนายมาแล้ว นายก็รับๆของฉันไปเหอะ" คาโลบอกอย่างกลบเกลื่อนความเขิน คำเดียวที่อีกฝ่ายอยากฟัง เขาพูดไม่ออกนี่นา มันติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ไม่กล้าพูด

    "งั้นก็พูดตามฉัน " เฟรินบอกเว้นช่วงก่อนพูดต่อ 

    "ฉันรักนาย"  พูดเองเสร็จก็หน้าแดง แต่ไม่ยอมถอนสายตาจากดวงหน้าของอีกฝ่าย

    คาโลหน้าแดงจัด ใจเต้นรัวกับประโยคที่ได้ฟัง ก่อนพูดตาม "ฉันรักนาย"

    ดวงหน้าหวานของคนในอ้อมแขนยิ้มกว้างอย่างสบอารมณ์ ดวงตาพราวระยับส่องประกายแห่งความสุข เขย่งไปจูบอีกฝ่ายเป็นรางวัลสำหรับคำพูดที่อยากฟัง

    ร่างสูงกระชับอ้อมกอด จุมพิตตอบเนิ่นนานแทนคำสัญญาชั่วนิรันดร์

    อีกด้านหลังจากพาร่างคนชอบยั่วออกมาหามุมสงบ ลอเรนซ์ก็หันมาประจัญหน้ากับเพื่อนสนิท

    "นายโกรธฉันเรื่องอะไร" ลอเรนซ์เปิดฉากถาม

    "ฉันก็ไม่ได้โกรธอะไรนายนี่ แค่มาส่งเฟรินเฉยๆ" ลูคัสตอบ

    "ฉันเป็นเพื่อนนายมากี่ปี ถ้าไม่มีอะไรนายก็ไม่น่าจะต้องทานยาพวกนั้น" ลอเรนซ์ถามเหตุผล

    "อยากรู้เหตุผลจริงๆหรือลอรี่" เสียงหวานที่เลิกยั่วยวนถามขึ้นอย่างจริงจัง

    "ใช่นายมีเหตุอะไร ถึงได้มาแต่งตัวเป็นผู้หญิงอย่างนี้" ลอเรนซ์เกริ่นเรื่องที่ทำให้อารมณ์เขาไม่สงบตั้งแต่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในวงล้อมของคนอื่น นี่ถ้าลูคัสไม่เดินมาหาเองรับรองได้เลยว่าคงมีรายการมีดบินอีกแน่

    "แค่อยากลองฝึกมารยาทแบบผู้หญิงดูว่ายุ่งยากแค่ไหน ก็เท่านั้น" ลูคัสบอกเหตุผล ก็ความจริงเขาก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องมาตาม ถ้ายั่วเล็กๆน้อยๆบ้างก็สนุกดีนี่น้า อยากเห็นอีกฝ่ายหน้าบูดอีก เพราะไม่ได้เห็นมานานก็ชักเหงา เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง

    "อย่าทำแบบนี้อีก ถ้าอยู่ในร่างนี้ก็อย่ายิ้มให้คนอื่นได้มั้ยลูคัส" ลอเรนซ์หลุดปากตามความคิดไปทันที ก่อนหน้าแดงที่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ผลงานของเวทมนต์เมืองจันทราที่ทำให้พูดอะไรออกไปโดยไม่ทันยั้ง

    "นายมีสิทธิอะไรมาห้ามฉัน" ลูคัสเอียงหน้าถามอย่างสงสัย นัยน์ตาสีดำคู่งามจ้องอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน

    ลอเรนซ์ได้แต่อ้ำอึง พูดไม่ออก

    "ยิ้มของฉัน มันก็เป็นของฉัน การที่ฉันจะให้ใครก็เป็นสิทธิของฉัน" ลูคัสบอกอย่างท้าทายกึ่งยั่ว

    "งั้นฉันจะตามไปฆ่าทุกคนที่นายยิ้มให้" ลอเรนซ์บอกเสียงเข้ม แววตาสีม่วงส่องประกายเอาจริง

    "ถ้าฉันยิ้มให้พ่อนายล่ะ" ร่างบางถามต่อ

    ในที่สุดความอดทนของลอเรนซ์ก็หมดลง เขาคว้าร่างของคนตรงหน้าเข้ามากอดประทับจูบอย่างรวดเร็ว ตีตราแสดงสิทธิของตน

    "นายเป็นของฉัน" ลอเรนซ์กระซิบบอกผ่านริมฝีปากแดงช้ำจากแรงบดขยี้ของตน ก่อนประทับลงไปใหม่จูบร้อนแรงเริ่มเปลี่ยนเป็นเรียกร้องจนซาตานในอ้อมแขนหลุดเสียงครางหวานประท้วงออกมา ชายหนุ่มถึงไปยอมถอนริมฝีปากให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ

    ลูคัสหายใจปนหอบกับการรุกเร้าของอีกฝ่าย

    "ร่างผู้หญิงนี่เสียเปรียบชะมัด ไว้รอฉันคืนร่างก่อนเถอะ ฉันต้องเอานายคืนแน่ๆลอรี่" ซาตานแห่งทริสทอร์ผูกอาฆาตไว้

    "ได้สิไว้ฉันจะรอนายมาแก้มือนะลูคัส แต่ตอนนี้เป็นทีของฉัน" ลอเรนซ์เริ่มออกลวดลายไม่แพ้คิงผู้พ่อ ก่อนเริ่มระดมจูบอีกฝ่ายจนร่างบางหมดเรี่ยวแรงต่อต้าน ริมฝีปากได้รูปซุกไซ้ซอกคอขาวนวล สูดกลิ่นกายที่หอมหวานอย่างหลงใหล มือเริ่มลูบไล้ไปทั่วกายบางของอีกฝ่าย

    มือเรียวดันกายของร่างสูงออกห่างสุดแรงแต่ก็สู้แรงของอีกฝ่ายไม่ไหว จนต้องส่งเสียงห้ามอย่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะลืมตัวจนเลยเถิดไปมากกว่านี้

    "ฉันยอมแพ้แล้ว ลอรี่ หยุดนะ ได้โปรด" เสียงหวานปนเสียงสะอื้น หยุดการกระทำของนักบวชหนุ่มได้ชะงัด

    "ฉันขอโทษลูคัส " แววตาสีม่วงออกแววลุแก่โทษกับการกระทำของตัวเอง

    "ไม่ยกโทษให้หรอก จนกว่านายจะบอกว่านายคิดยังไงกับฉันกันแน่" ลูคัสที่เริ่มตั้งตัวติด เริ่มกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมต่อทันที

    ดวงตาสีอเมทิสต์สบตาสีนิลนิ่ง ก่อนเอ่ยปาก

    "ฉันรักนาย นายจะมาเป็นชายาเพียงคนเดียวของฉันไหม" เจ้าชายแห่งแอเรียสเอ่ยถามทันที

    "เพียงคนเดียวหรือลอรี่" ซาตานแห่งป้อมอัศวินทวนคำถามอย่างอยากให้แน่ใจ

    "ฉันจะมีแต่นายเพียงคนเดียว ชั่วชีวิตของฉัน" นักบวชหนุ่มเอ่ยคำสาบาน

    "งั้นฉันจะเป็นผู้หญิงเพื่อนายลอรี่" รัชทายาทแห่งทริสทอร์รับคำสัญญามั่นของอีกฝ่าย

    ไข่มุกแสงจันทร์ของเจ้าชายแห่งแอเรียส ถูกบรรจงสวมให้ซาตานสาวแห่งทริสทอร์ ก่อนประทับสัญญาหมั้นหมาย โดยมีดวงจันทร์บนฟากฟ้าเป็นพยาน ในสวนของนครจันทรา

    *********************************************************

    กว่าจะเขียนฉากซี้งจบ แทบแย่ เกือบจะออกแนววายเสียแล้ว เพราะช่วงนี้กำลังอินกับแนววายในบอร์ดกริมโมลด์อยู่นะ สนุกมากเลยน้า



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×