ลำดับตอนที่ #17
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ฤดูแห่งการวางไข่
บทที่ 17
ยามเช้าที่บ้านตระกูลฟอนเทียร์ ดูแปลกไปกับเขกสองคน คนแรกเป็นหญิงสาวผมสีดำ นัยน์ตาสีดำ มนุษย์หมาป่าเมื่อคืน เดินคู่มากับพ่อบ้านหนุ่ม
กับอีกคู่ หนุ่มเซเลนผมสีดำยาวดวงตาสีทอง ที่วันนี้ผิวหน้าดูมีสีเรื่อๆตลอด กับชายหนุ่มผมสีทองปนเงิน นัยน์ตาสีเขียวเข้ม ที่เดินโอบเอวโจนามาอย่างถือสิทธิ์
กับสายตาห้าคู่ที่มองมาแล้วเสมองทางอื่นอย่างมีมารยาท
"ตกลงพวกนายเป็นเผ่าอะไรกันแน่" ฮันส์ถามเมื่อรู้สึกว่าทั้งคู่ไม่ธรรมดา
"ฉันเป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นแวมไพร์ แม่เป็นมนุษย์หมาป่า แต่เชื้อมนุษย์หมาป่ามันแรงกว่า และที่สำคัญปีนี้ฉันอายุ สองร้อยปีแล้ว" สาวสวยบอกก่อนสบัดหน้าไปทางเด็กบางคน
"ฉันเป็นลูกครึ่งเหมือนกันมั้ง พ่อเป็นแวมไพร์ แม่เป็นเผ่ามนุษย์หมาป่าแบบพิเศษ เรียกว่าเผ่า แยมค์ เป็นเผ่าที่มีแต่ผู้ชายนะ ในวันพระจันทร์เต็มดวง พวกหนึ่งจะกลายเป็นหัวหมาป่าตัวเป็นคน อีกพวกจะเป็นผู้หญิงและผสมพันธุ์กันนะ
แม่ฉันความจริงเป็นลูกครึ่งแวมไพร์กับมนุษย์หมาป่า แต่เลือดของแวมไพร์ ทำให้ย้อนเผ่ากลับไปสายเลือดต้นตระกูลที่เป็นเผ่าแยมค์ เลยแต่งงานกับพ่อแล้วมีฉันนะ แน่นอนฉันก็อายุสองร้อยปีเหมือนกัน" อีฟอธิบายยืดยาวถึงตระกูลของตน
ทั้งสามหนุ่มอดีตมนุษย์ต่างตกใจกับเวลาอันยาวนาน รวมทั้งไทด์ที่ปกติคนในเผ่าก็อายุไม่ยืนอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน
"ทำไมถึงยอมรับพวกฉันได้ง่ายนักล่ะ" อีฟหันมาถามเซร่าอย่างสงสัย
"เพราะนายมีภูมิคุ้มกันแห่งกาลเวลาไง" เซร่าตอบเสียบเรียบ
" หมายความว่ายังไง" อเล็กซ์ถามอย่างสงสัย
" มนุษย์มีอายุขัยอยู่ไม่เกินร้อยปี แต่เผ่าพันธุ์อื่นมีอายุยืนยาว จะมีวิธีรับมือกับการมีชีวิตที่ยืนยาว และความทรงจำที่มากมาย ทั้งหมดถูกเรียกว่าภูมิคุ้มกันแห่งกาลเวลา" รูนอธิบาย
"นั่นก็เป็นเหตุผลที่ให้พวกนายอยู่ที่นี่ ถึงกาลเวลาจะผ่านไป พวกนายก็ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แก่เฒ่าซึ่งถ้าอยู่กับคนภายนอก คนรู้จักก็จะค่อยๆตายจากไปทีละคนสองคน ความโศกเศร้าก็จะอยู่ในความทรงจำอันยาวนานนั้น สุดท้ายจิตใจก็จะรับไม่ได้ เป็นบ้าในที่สุด" โจนาบอกต่อ
"พวกเรามักไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เพราะมีอายุสั้นและมักจากไปก่อน และที่สำคัญวิธีการทำให้มนุษย์อายุยืนนั้นวิธีของเผ่าเซเลนถือว่ามีข้อเสียน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับพวกแวมไพร์ที่ต้องยังชีพด้วยการดูดเลือด" อีฟบอกต่อ เมื่อเข้าใจว่าทั้งสามได้รับเลือดของเซร่าทำให้กาลเวลาถูกหยุด
หลังทานอาหารเสร็จ โจนาพาแขกทั้งสองเยี่ยมชมบ้าน
เซร่าและยูคอฟต้อนรับแขกคนคุ้นเคย
อัลรอซ เอกิซ กับชีล่า เซน่า
"ท่านยูคอฟดูไม่เปลี่ยนเลยนะครับ" คำทักทายของอดีตลูกน้องคนสนิทตอกย้ำเรื่องกาลเวลาที่ถูกหยุดไปได้เป็นอย่างดี หลังจากไม่เจอกันมาตลอดหนึ่งปี
"ตอนนี้พวกนายทำอะไรอยู่" ยูคอฟถามเปลี่ยนเรื่องทันที
"พวกเราก่อตั้งองค์การขึ้น เป็นศูนย์รวมข่าว สายลับและนักฆ่านะครับ ชื่ออัลริวเซอร์ จุดประสงค์หลักก็โค่นล้มพวกรัสเซียที่แย่งอำนาจจากกษัตริย์ ที่เหลือก็แล้วแต่คนจ้าง แต่ผมไม่รับงานที่เกี่ยวกับตระกูลฟอนเทียร์และแอนเดรียสหรอกครับ ถึงแม้จะมีคนจ้างเยอะก็เถอะ แค่อยากเตือนให้ระวังตัว เพราะศัตรูเยอะมากเลยนะครับท่านเซร่า" อัลรอซเตือนเด็กสาวอย่างหวังดีและเป็นห่วง
"เรื่องนั้นทางเราก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน เราจะไม่ออกฉากหน้ามาเกินไป และที่สำคัญกำลังติดตั้งระบบป้องกันภัยแบบใหม่ อัลรอซสนใจไหม" เซร่าว่าพลางเดินนำไปทางห้องทดลองแสนสนุกของรูน
เซร่านำเสนอระบบป้องกันภัย ที่มีทั้งกล้องวงจรปิด ไมโครโฟนไร้สาย และยังอาวุธลับอีกเพียบไว้ต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
"ระบบนี้ไม่เคยเห็นที่ไหมมาก่อนเลยนะครับ" อัลรอซกล่าวอย่างทึ่ง
"พัฒนาโดยดอกเตอร์เอ็กซ์นี่" เซร่าบอก
"นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ที่เล่าลือ แต่ไม่มีใครรู้ตัวจริงของเขา เห็นว่าพัฒนาทั้งอาวุธ และเทคโนโลยีต่างๆมากมาย หลายประเทศกำลังอยากได้ตัวกันเป็นอย่างมาก แม้แต่ข่าวก็ได้ราคาดี" อัลรอซบอก
ยูคอฟพึ่งรู้เรื่องอีกด้านของรูน รู้แต่ว่าเคยไปเรียนที่อเมริกา มีเพื่อนเป็นนักวิทยาศาสคร์มากมาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะด้วย แต่เมื่อมองของเล่นแต่ละอย่างก็ต้องยอมรับว่าเก่งจริงๆ
เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีของโลกภายนอก ก็พบว่าก้าวนำหน้าอยู่หลายก้าว
ในพระราชวังใต้พิภพ ผู้คนมากมายทยอยเดินทางกลับมาจากอวกาศ เริ่มจับคู่กัน
"พระราชวังนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีคนอยู่ จะมีก็แต่ช่วงฤดูวางไข่เท่านั้นที่ครึกครื้นขนาดนี้" ฟอลคอนบอกกับฟาร์ ที่พี่งถูกจีบแต่เจ้าตัวปฎิเสธไป
"ฤดูการวางไข่ ความจริงหน้าที่นี้ต้องเป็นของยูเรียน่าใช่ไหม" ฟาร์หันไปถามฟอลคอน
"ใช่ แต่นางตายเสียก่อน" ฟอลคอนรับคำสั้นๆ เมื่อคิดถึงน้องสาวผู้อ่อนหวานและบอบบาง
"ความจริงข้าไม่จำเป็นต้องฆ่านาง เพียงแค่เลือดหยดเดียวของเซเลน ก็ทำให้อายุยืนยาวนับพันปีแล้ว " ฟาร์รำพึงอย่างแสนเศร้า
"นั่นเป็นเพราะศักดิ์ศรีของนาง ที่จะไม่เอ่ยปาก เพราะรักมากเกินไป จนไม่อยากทำให้ท่านลำบากใจกับการต้องทิ้งหน้าที่ของท่านเพื่อนาง และปรารถนาให้ความต้องการของท่านเป็นจริง"ฟอลคอนอธิบาย
"แล้วสัญญาสามข้อนั่นหมายความว่าอย่างไร"
ฟาร์ถามต่อในเรื่องที่ติดใจมาตลอด
"ข้อแรกเพื่อให้มีคนทำหน้าที่แทน
ข้อสองเพราะไม่อยากให้ท่านกอดหญิงอื่น และที่สำคัญท่านไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อีกเมื่อท่านเป็นคนของเผ่าเซเลนแล้วเพราะไม่มีกุหลาบราชินี
ข้อสุดท้าย นางไม่ปรารถนาให้เลือดของนางกำเนิดสัตว์ประหลาดหากคนที่กินไม่ใช่ท่าน ย่อมต้องกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จึงต้องให้ท่านกินทุกอย่างของนางให้หมด
และความปรารถนาสุดท้ายของนางคืออยากอยู่เคียงข้างท่านชั่วนิรันดร์"
ฟอลคอนอธิบายอย่างละเอียด
เรียกรอยเศร้าปรากฏในดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น เมื่อนึกกึงผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ ใช่เราอยู่ด้วยกัน เป็นหนึ่งเดียวกันชั่วนิรันดร์
สามพี่น้องนั่งปรึกษางานกัน ก่อนที่เซร่าจะสังเกตเห็นรอยแดงที่ต้นคอของพี่ชาย
"โจนานั่นพี่ไปโดนอะไรมานะ" เซร่าถามอย่างเป็นห่วง
"เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก" โจนาบอกสีหน้าแปลกๆปนสีเรื่อ
สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างงงๆ
"หรือนายโดนดูดเลือด" รูนถามอย่างสงสัย ในเมื่ออีฟเป็นแวมไพร์สงสัยจะเป็นรอยดูดเลือดมั้ง
"นิดหน่อยนะ" โจนารับสมอ้างทันที ในใจรู้สึกเขินอายไม่อยากให้พวกน้องๆรู้เรื่องที่น่าอายพวกนี้
ฮันส์เหลือบตามองตัวต้นเหตุที่ยีนยิ้มกริ่มอยู่ที่มุมห้อง ไม่พูดอะไรอย่างพอเดาออก ในเมื่อไอ้แวมไพร์พิสดารคนนี้เป็นผู้หญิงได้แค่เดือนละครั้ง อีก 27 วันที่เหลือหมอนี่ก็เป็นผู้ชายทำให้เดาได้ไม่ยากว่าระหว่างคนอย่างหมอนี่กับเด็กไร้เดียงสาอย่างโจนา ใครจะเป็นฝ่ายถูกกิน
"จริงด้วยจะได้เวลาวางไข่แล้ว ช่วงนั้นเซร่าต้องดูแลเขตแดนของทะเลแห่งชีวิต งานทั้งหมดพวกท่านพ่อจะมาทำให้แทน พี่ฮันส์กับเนร่าจะวางไข่ด้วยเลยไหม" เซร่าถามจะได้กำหนดฝากงานถูก
"ก็ได้ ฝากด้วยแล้วกัน" ฮันส์ตอบก่อนหันไปถามน้องชาย
"แล้วนายล่ะ"
"ผมรอไปก่อนได้ไหมฮะ" อเล็กซ์บอกปัดไปก่อน เขาไม่แน่ใจว่าจะวางไข่ได้เพราะเขาไม่ได้รักเนเรีย
"เธอจะวางไข่กับใครเซร่า"ยูคอฟเอ่ยถามหลังเก็บความสงสัยมานาน และเท่าที่สังเกตุโจนาก็ไม่ใช่ คนอื่นก็ไม่เห็นมีใครเป็นพิเศษ
"ผมยังไม่วางไข่ในฤดูนี้หรอก ผมสามารถสร้างกุหลาบราชินีได้สามรอบ เพราะถือสิทธิ์ของทั้งท่านยาย ท่านแม่และส่วนของผมด้วย และที่สำคัญยังไม่ถึงเวลาของผมในการให้กำเนิดเจ้าหญิงคนใหม่ด้วย"
เซร่าอธิบายสาเหตุ และจงใจปิดบังคำถามที่ใครๆอยากรู้ แน่นอนก็ให้สงสัยไปก่อนถึงเวลาวางไข่ก็ต้องรู้อยู่ดี
ในสวนไทด์ พาลอรีย่าเดินเล่น ทั้งคู่คุยกันถูกคอในหลายเรื่อง และที่สำคัญต่างพึ่งอกหักด้วยกันมาจึงค่อนข้างเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ไทด์หลงรักเซร่าแต่ก็รู้ตัวว่าไม่มีหวัง เพราะเซร่ามีใครสักคนแล้ว พอเห็นอาการของคนหัวอกเดียวกันเลยสงสาร แถมอีกฝ่ายก็เป็นแขกในความรับผิดชอบของเขาที่ต้องดูแลทำให้ปล่อยไว้ไม่ได้ ชายหนุ่มจึงสรรหาเรื่องสนุกมาเพื่อปลอบใจหญิงสาว ทั้งพาเที่ยวตลาด พาไปหาของกินอร่อย วันนี้ก็พามาดูดอกไม้ที่พึ่งออกดอกสวยเต็มสวนก่อนใคร เพราะคนอื่นมัวทำงานยุ่งอยู่
"กุหลาบสวยจังมีสีแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีก" หญิงสาวอุทาน รู้สึกอารมณ์ดีและลืมความเศร้าเมื่อมีเสือดำหนุ่มอยู่เคียงข้าง
"เป็นพันธุ์พิเศษเกิดโดยวิธีพิเศษในห้องทดลองของรูนนะ เห็นว่าอยากได้สีแปลกใหม่"ไทด์อธิบาย
ก่อนที่ชายหนุ่มจะหน้าซีด ไอเป็นชุด
ลอรีย่าเข้าไปประคองชายหนุ่มยิ่งตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มไอออกมาเป็นเลือด
"ไทด์เป็นอย่างไรบ้าง" ลอรีย่าตกใจกับอาการของชายหนุ่ม
ในห้องพักของไทด์
"เป็นอาการของเผ่ามนุษย์แปลงที่จะเริ่มหมดอายุขัยนะ" เซร่าบอกเสียงเรียบ
"ช่วยเขาด้วย" ลอรีย่าบอกอย่างรู้สึกเป็นห่วงชายหนุ่มเป็นที่สุด
"แต่เขาอาจไม่สามารถทนกับการมีชีวิตที่ยาวนานนับพันปีได้โดยลำพัง"เซร่าบอก
"ข้าจะอยู่เคียงข้างเขาเอง" ลอรีย่าบอกหลังได้ตัดสินใจแล้ว เธอพึ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้ามีความสำคัญต่อเธอก็เมื่อเกือบจะสูญเสียเขาไป
"งั้นเจ้าก็ป้อนเลือดแห่งสัญญาให้เขาด้วยตัวเองสิ" เซร่าบอกพลางกรีดเลือดสีทองส่งให้หญิงสาวที่ร้องขอ
ลอรีย่ารับเลือดสีทองใส่ปากโดยเร็วอย่างไม่ลังเล ก่อนก้มลงจุมพิตริมฝีปากของชายหนุ่มที่นอนนิ่งบนเตียง แสงสีทองอ่อนโยนปรากฏทั่วห้องต่อผู้ได้รับเลือดแห่งชีวิตคนใหม่
ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง ที่นครใต้พิภพ เหล่าเซเลนรวมตัวเพื่อรอเวลาแห่งการสืบทอดเผ่าพันธุ์ พวกเขาต่างจับกันเป็นคู่ๆ เป็นภาพที่สวยงาม เพราะคนในเผ่าจะมีหน้าตาที่สวยงาม สะกดให้ผู้คนหลงใหล มีเสียงไพเราะ
โจนายืนคู่กับอีฟในร่างผู้ชาย ซึ่งดูไม่แปลกเพราะไม่ใช่พวกเขาคู่เดียว
ไทด์มากับลอรีย่าเพื่อร่วมพิธีด้วย
ส่วนฮันส์มากับเนร่า
เจ้าหญิงคนสวยแห่งเผ่ามาคู่กับเจ้าชายแห่งเผ่าผู้เป็นพี่ชาย
โดยมีอเล็กซ์และยูคอฟตามมาส่งด้วยเพราะอยากเห็นคนรักของเซร่า แต่มองอย่างไรก็ไม่เห็น
"ไอ้โง่" ฮันส์กระซิบใส่เพื่อนและน้องชาย
"พวกนายรู้ไหมว่าเซร่าถนัดไวโอลินมากกว่าเปียโน" ฮันส์บอก
"แต่ตอนอยู่เยอรมันผมเห็นเซร่าเล่นแต่เปียโน" อเล็กซ์บอก ยังไม่สามารถเข้าใจการบอกใบ้ได้
"แต่ตอนอยู่รัสเซีย ฉันเห็นเซร่าเล่นไวโอลินได้เก่งมากเลยนะ ขนาดตอกหน้าศ.ไชคอฟ ได้เลย" ยูคอฟบอก
"นั่นก็เพราะเปียโนเป็นสิ่งแทนใครคนหนึ่งนะสิ" ฮันส์บอกก่อนเสริมต่อ
"สาเหตุที่ตระกูลส่งเด็กพวกนั้นออกเดินทางก็เพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน เผื่อว่าเวลาผ่านไปพวกเขาอาจเปลี่ยนใจ แต่เวลาไม่อาจเปลี่ยนใจพวกเขาได้ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาอยู่ด้วยกันเสมอ ไม่มีใครมาแทรกกลางพวกเขาได้"
ฮันส์เล่าถึงเหตุการณ์แต่หนหลัง ท่ามกลางการตกตะลึงเมื่อรู้ตัวจริงของเซร่า ก็พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันตลอดก็จริง แต่พวกเขาเป็นพี่น้องกันเลยอยู่นอกการคิดถึงจริงๆ ก็สมควรอยู่หรอกที่จะไม่มีคนเห็นด้วย ที่แสงสว่างกับความมืดจะอยู่ร่วมกัน แต่ก็ไม่อาจพรากพวกเขาออกจากกันได้
เซร่าเดินอยู่บนผิวน้ำสีเขียวส่องประกายสีเงินยวงปนทอง ทะเลเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ส่องประกายงดงาม ร่างผมสีเงินอยู่เคียงข้าง แสงสีทองถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วง ก่อนที่พลังงานอันอ่อนโยนจะครอบคลุมทั่วผืนน้ำ
เหล่าเซเลนที่เป็นคู่ก้าวเข้าสู่อาณาเขตแห่งชีวิต เพื่อหล่อหลอมวิญญาณก่อกำเนิดชีวิตใหม่
เหล่าเด็กๆแห่งเซเลนกำลังถือกำเนิดจากความรักของพ่อแม่
หลังการวางไข่จบสิ้นลง เหล่าพ่อ แม่ ก็กลับสู่แผ่นดิน มอบอำนาจแห่งแสงสว่างคืนสู่โลกอันเป็นมารดาของพวกเขา เหล่าเด็กๆก็ออกสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่ เพื่อผจญภัยต่อไป
โจนากับอีฟมีลูกสองคนผู้ชายหนึ่งคนหนึ่งชื่อโจหลุยส์ กับลูกสาวอีกคนหนึ่งชื่อฟรัง
ส่วนฮันส์กับเนร่ามีลูกสาวหนึ่งคนชื่ออีลีนอร์
ไทด์กับลอรีย่ามีลูกชายหนึ่งคนชื่อเซเรนท์
ตำนานบทใหม่ของเหล่าเด็กๆพึ่งเริ่มต้นขึ้น
ยามเช้าที่บ้านตระกูลฟอนเทียร์ ดูแปลกไปกับเขกสองคน คนแรกเป็นหญิงสาวผมสีดำ นัยน์ตาสีดำ มนุษย์หมาป่าเมื่อคืน เดินคู่มากับพ่อบ้านหนุ่ม
กับอีกคู่ หนุ่มเซเลนผมสีดำยาวดวงตาสีทอง ที่วันนี้ผิวหน้าดูมีสีเรื่อๆตลอด กับชายหนุ่มผมสีทองปนเงิน นัยน์ตาสีเขียวเข้ม ที่เดินโอบเอวโจนามาอย่างถือสิทธิ์
กับสายตาห้าคู่ที่มองมาแล้วเสมองทางอื่นอย่างมีมารยาท
"ตกลงพวกนายเป็นเผ่าอะไรกันแน่" ฮันส์ถามเมื่อรู้สึกว่าทั้งคู่ไม่ธรรมดา
"ฉันเป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นแวมไพร์ แม่เป็นมนุษย์หมาป่า แต่เชื้อมนุษย์หมาป่ามันแรงกว่า และที่สำคัญปีนี้ฉันอายุ สองร้อยปีแล้ว" สาวสวยบอกก่อนสบัดหน้าไปทางเด็กบางคน
"ฉันเป็นลูกครึ่งเหมือนกันมั้ง พ่อเป็นแวมไพร์ แม่เป็นเผ่ามนุษย์หมาป่าแบบพิเศษ เรียกว่าเผ่า แยมค์ เป็นเผ่าที่มีแต่ผู้ชายนะ ในวันพระจันทร์เต็มดวง พวกหนึ่งจะกลายเป็นหัวหมาป่าตัวเป็นคน อีกพวกจะเป็นผู้หญิงและผสมพันธุ์กันนะ
แม่ฉันความจริงเป็นลูกครึ่งแวมไพร์กับมนุษย์หมาป่า แต่เลือดของแวมไพร์ ทำให้ย้อนเผ่ากลับไปสายเลือดต้นตระกูลที่เป็นเผ่าแยมค์ เลยแต่งงานกับพ่อแล้วมีฉันนะ แน่นอนฉันก็อายุสองร้อยปีเหมือนกัน" อีฟอธิบายยืดยาวถึงตระกูลของตน
ทั้งสามหนุ่มอดีตมนุษย์ต่างตกใจกับเวลาอันยาวนาน รวมทั้งไทด์ที่ปกติคนในเผ่าก็อายุไม่ยืนอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน
"ทำไมถึงยอมรับพวกฉันได้ง่ายนักล่ะ" อีฟหันมาถามเซร่าอย่างสงสัย
"เพราะนายมีภูมิคุ้มกันแห่งกาลเวลาไง" เซร่าตอบเสียบเรียบ
" หมายความว่ายังไง" อเล็กซ์ถามอย่างสงสัย
" มนุษย์มีอายุขัยอยู่ไม่เกินร้อยปี แต่เผ่าพันธุ์อื่นมีอายุยืนยาว จะมีวิธีรับมือกับการมีชีวิตที่ยืนยาว และความทรงจำที่มากมาย ทั้งหมดถูกเรียกว่าภูมิคุ้มกันแห่งกาลเวลา" รูนอธิบาย
"นั่นก็เป็นเหตุผลที่ให้พวกนายอยู่ที่นี่ ถึงกาลเวลาจะผ่านไป พวกนายก็ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แก่เฒ่าซึ่งถ้าอยู่กับคนภายนอก คนรู้จักก็จะค่อยๆตายจากไปทีละคนสองคน ความโศกเศร้าก็จะอยู่ในความทรงจำอันยาวนานนั้น สุดท้ายจิตใจก็จะรับไม่ได้ เป็นบ้าในที่สุด" โจนาบอกต่อ
"พวกเรามักไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เพราะมีอายุสั้นและมักจากไปก่อน และที่สำคัญวิธีการทำให้มนุษย์อายุยืนนั้นวิธีของเผ่าเซเลนถือว่ามีข้อเสียน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับพวกแวมไพร์ที่ต้องยังชีพด้วยการดูดเลือด" อีฟบอกต่อ เมื่อเข้าใจว่าทั้งสามได้รับเลือดของเซร่าทำให้กาลเวลาถูกหยุด
หลังทานอาหารเสร็จ โจนาพาแขกทั้งสองเยี่ยมชมบ้าน
เซร่าและยูคอฟต้อนรับแขกคนคุ้นเคย
อัลรอซ เอกิซ กับชีล่า เซน่า
"ท่านยูคอฟดูไม่เปลี่ยนเลยนะครับ" คำทักทายของอดีตลูกน้องคนสนิทตอกย้ำเรื่องกาลเวลาที่ถูกหยุดไปได้เป็นอย่างดี หลังจากไม่เจอกันมาตลอดหนึ่งปี
"ตอนนี้พวกนายทำอะไรอยู่" ยูคอฟถามเปลี่ยนเรื่องทันที
"พวกเราก่อตั้งองค์การขึ้น เป็นศูนย์รวมข่าว สายลับและนักฆ่านะครับ ชื่ออัลริวเซอร์ จุดประสงค์หลักก็โค่นล้มพวกรัสเซียที่แย่งอำนาจจากกษัตริย์ ที่เหลือก็แล้วแต่คนจ้าง แต่ผมไม่รับงานที่เกี่ยวกับตระกูลฟอนเทียร์และแอนเดรียสหรอกครับ ถึงแม้จะมีคนจ้างเยอะก็เถอะ แค่อยากเตือนให้ระวังตัว เพราะศัตรูเยอะมากเลยนะครับท่านเซร่า" อัลรอซเตือนเด็กสาวอย่างหวังดีและเป็นห่วง
"เรื่องนั้นทางเราก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน เราจะไม่ออกฉากหน้ามาเกินไป และที่สำคัญกำลังติดตั้งระบบป้องกันภัยแบบใหม่ อัลรอซสนใจไหม" เซร่าว่าพลางเดินนำไปทางห้องทดลองแสนสนุกของรูน
เซร่านำเสนอระบบป้องกันภัย ที่มีทั้งกล้องวงจรปิด ไมโครโฟนไร้สาย และยังอาวุธลับอีกเพียบไว้ต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
"ระบบนี้ไม่เคยเห็นที่ไหมมาก่อนเลยนะครับ" อัลรอซกล่าวอย่างทึ่ง
"พัฒนาโดยดอกเตอร์เอ็กซ์นี่" เซร่าบอก
"นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ที่เล่าลือ แต่ไม่มีใครรู้ตัวจริงของเขา เห็นว่าพัฒนาทั้งอาวุธ และเทคโนโลยีต่างๆมากมาย หลายประเทศกำลังอยากได้ตัวกันเป็นอย่างมาก แม้แต่ข่าวก็ได้ราคาดี" อัลรอซบอก
ยูคอฟพึ่งรู้เรื่องอีกด้านของรูน รู้แต่ว่าเคยไปเรียนที่อเมริกา มีเพื่อนเป็นนักวิทยาศาสคร์มากมาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะด้วย แต่เมื่อมองของเล่นแต่ละอย่างก็ต้องยอมรับว่าเก่งจริงๆ
เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีของโลกภายนอก ก็พบว่าก้าวนำหน้าอยู่หลายก้าว
ในพระราชวังใต้พิภพ ผู้คนมากมายทยอยเดินทางกลับมาจากอวกาศ เริ่มจับคู่กัน
"พระราชวังนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีคนอยู่ จะมีก็แต่ช่วงฤดูวางไข่เท่านั้นที่ครึกครื้นขนาดนี้" ฟอลคอนบอกกับฟาร์ ที่พี่งถูกจีบแต่เจ้าตัวปฎิเสธไป
"ฤดูการวางไข่ ความจริงหน้าที่นี้ต้องเป็นของยูเรียน่าใช่ไหม" ฟาร์หันไปถามฟอลคอน
"ใช่ แต่นางตายเสียก่อน" ฟอลคอนรับคำสั้นๆ เมื่อคิดถึงน้องสาวผู้อ่อนหวานและบอบบาง
"ความจริงข้าไม่จำเป็นต้องฆ่านาง เพียงแค่เลือดหยดเดียวของเซเลน ก็ทำให้อายุยืนยาวนับพันปีแล้ว " ฟาร์รำพึงอย่างแสนเศร้า
"นั่นเป็นเพราะศักดิ์ศรีของนาง ที่จะไม่เอ่ยปาก เพราะรักมากเกินไป จนไม่อยากทำให้ท่านลำบากใจกับการต้องทิ้งหน้าที่ของท่านเพื่อนาง และปรารถนาให้ความต้องการของท่านเป็นจริง"ฟอลคอนอธิบาย
"แล้วสัญญาสามข้อนั่นหมายความว่าอย่างไร"
ฟาร์ถามต่อในเรื่องที่ติดใจมาตลอด
"ข้อแรกเพื่อให้มีคนทำหน้าที่แทน
ข้อสองเพราะไม่อยากให้ท่านกอดหญิงอื่น และที่สำคัญท่านไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อีกเมื่อท่านเป็นคนของเผ่าเซเลนแล้วเพราะไม่มีกุหลาบราชินี
ข้อสุดท้าย นางไม่ปรารถนาให้เลือดของนางกำเนิดสัตว์ประหลาดหากคนที่กินไม่ใช่ท่าน ย่อมต้องกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จึงต้องให้ท่านกินทุกอย่างของนางให้หมด
และความปรารถนาสุดท้ายของนางคืออยากอยู่เคียงข้างท่านชั่วนิรันดร์"
ฟอลคอนอธิบายอย่างละเอียด
เรียกรอยเศร้าปรากฏในดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น เมื่อนึกกึงผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ ใช่เราอยู่ด้วยกัน เป็นหนึ่งเดียวกันชั่วนิรันดร์
สามพี่น้องนั่งปรึกษางานกัน ก่อนที่เซร่าจะสังเกตเห็นรอยแดงที่ต้นคอของพี่ชาย
"โจนานั่นพี่ไปโดนอะไรมานะ" เซร่าถามอย่างเป็นห่วง
"เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก" โจนาบอกสีหน้าแปลกๆปนสีเรื่อ
สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างงงๆ
"หรือนายโดนดูดเลือด" รูนถามอย่างสงสัย ในเมื่ออีฟเป็นแวมไพร์สงสัยจะเป็นรอยดูดเลือดมั้ง
"นิดหน่อยนะ" โจนารับสมอ้างทันที ในใจรู้สึกเขินอายไม่อยากให้พวกน้องๆรู้เรื่องที่น่าอายพวกนี้
ฮันส์เหลือบตามองตัวต้นเหตุที่ยีนยิ้มกริ่มอยู่ที่มุมห้อง ไม่พูดอะไรอย่างพอเดาออก ในเมื่อไอ้แวมไพร์พิสดารคนนี้เป็นผู้หญิงได้แค่เดือนละครั้ง อีก 27 วันที่เหลือหมอนี่ก็เป็นผู้ชายทำให้เดาได้ไม่ยากว่าระหว่างคนอย่างหมอนี่กับเด็กไร้เดียงสาอย่างโจนา ใครจะเป็นฝ่ายถูกกิน
"จริงด้วยจะได้เวลาวางไข่แล้ว ช่วงนั้นเซร่าต้องดูแลเขตแดนของทะเลแห่งชีวิต งานทั้งหมดพวกท่านพ่อจะมาทำให้แทน พี่ฮันส์กับเนร่าจะวางไข่ด้วยเลยไหม" เซร่าถามจะได้กำหนดฝากงานถูก
"ก็ได้ ฝากด้วยแล้วกัน" ฮันส์ตอบก่อนหันไปถามน้องชาย
"แล้วนายล่ะ"
"ผมรอไปก่อนได้ไหมฮะ" อเล็กซ์บอกปัดไปก่อน เขาไม่แน่ใจว่าจะวางไข่ได้เพราะเขาไม่ได้รักเนเรีย
"เธอจะวางไข่กับใครเซร่า"ยูคอฟเอ่ยถามหลังเก็บความสงสัยมานาน และเท่าที่สังเกตุโจนาก็ไม่ใช่ คนอื่นก็ไม่เห็นมีใครเป็นพิเศษ
"ผมยังไม่วางไข่ในฤดูนี้หรอก ผมสามารถสร้างกุหลาบราชินีได้สามรอบ เพราะถือสิทธิ์ของทั้งท่านยาย ท่านแม่และส่วนของผมด้วย และที่สำคัญยังไม่ถึงเวลาของผมในการให้กำเนิดเจ้าหญิงคนใหม่ด้วย"
เซร่าอธิบายสาเหตุ และจงใจปิดบังคำถามที่ใครๆอยากรู้ แน่นอนก็ให้สงสัยไปก่อนถึงเวลาวางไข่ก็ต้องรู้อยู่ดี
ในสวนไทด์ พาลอรีย่าเดินเล่น ทั้งคู่คุยกันถูกคอในหลายเรื่อง และที่สำคัญต่างพึ่งอกหักด้วยกันมาจึงค่อนข้างเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ไทด์หลงรักเซร่าแต่ก็รู้ตัวว่าไม่มีหวัง เพราะเซร่ามีใครสักคนแล้ว พอเห็นอาการของคนหัวอกเดียวกันเลยสงสาร แถมอีกฝ่ายก็เป็นแขกในความรับผิดชอบของเขาที่ต้องดูแลทำให้ปล่อยไว้ไม่ได้ ชายหนุ่มจึงสรรหาเรื่องสนุกมาเพื่อปลอบใจหญิงสาว ทั้งพาเที่ยวตลาด พาไปหาของกินอร่อย วันนี้ก็พามาดูดอกไม้ที่พึ่งออกดอกสวยเต็มสวนก่อนใคร เพราะคนอื่นมัวทำงานยุ่งอยู่
"กุหลาบสวยจังมีสีแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีก" หญิงสาวอุทาน รู้สึกอารมณ์ดีและลืมความเศร้าเมื่อมีเสือดำหนุ่มอยู่เคียงข้าง
"เป็นพันธุ์พิเศษเกิดโดยวิธีพิเศษในห้องทดลองของรูนนะ เห็นว่าอยากได้สีแปลกใหม่"ไทด์อธิบาย
ก่อนที่ชายหนุ่มจะหน้าซีด ไอเป็นชุด
ลอรีย่าเข้าไปประคองชายหนุ่มยิ่งตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มไอออกมาเป็นเลือด
"ไทด์เป็นอย่างไรบ้าง" ลอรีย่าตกใจกับอาการของชายหนุ่ม
ในห้องพักของไทด์
"เป็นอาการของเผ่ามนุษย์แปลงที่จะเริ่มหมดอายุขัยนะ" เซร่าบอกเสียงเรียบ
"ช่วยเขาด้วย" ลอรีย่าบอกอย่างรู้สึกเป็นห่วงชายหนุ่มเป็นที่สุด
"แต่เขาอาจไม่สามารถทนกับการมีชีวิตที่ยาวนานนับพันปีได้โดยลำพัง"เซร่าบอก
"ข้าจะอยู่เคียงข้างเขาเอง" ลอรีย่าบอกหลังได้ตัดสินใจแล้ว เธอพึ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้ามีความสำคัญต่อเธอก็เมื่อเกือบจะสูญเสียเขาไป
"งั้นเจ้าก็ป้อนเลือดแห่งสัญญาให้เขาด้วยตัวเองสิ" เซร่าบอกพลางกรีดเลือดสีทองส่งให้หญิงสาวที่ร้องขอ
ลอรีย่ารับเลือดสีทองใส่ปากโดยเร็วอย่างไม่ลังเล ก่อนก้มลงจุมพิตริมฝีปากของชายหนุ่มที่นอนนิ่งบนเตียง แสงสีทองอ่อนโยนปรากฏทั่วห้องต่อผู้ได้รับเลือดแห่งชีวิตคนใหม่
ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง ที่นครใต้พิภพ เหล่าเซเลนรวมตัวเพื่อรอเวลาแห่งการสืบทอดเผ่าพันธุ์ พวกเขาต่างจับกันเป็นคู่ๆ เป็นภาพที่สวยงาม เพราะคนในเผ่าจะมีหน้าตาที่สวยงาม สะกดให้ผู้คนหลงใหล มีเสียงไพเราะ
โจนายืนคู่กับอีฟในร่างผู้ชาย ซึ่งดูไม่แปลกเพราะไม่ใช่พวกเขาคู่เดียว
ไทด์มากับลอรีย่าเพื่อร่วมพิธีด้วย
ส่วนฮันส์มากับเนร่า
เจ้าหญิงคนสวยแห่งเผ่ามาคู่กับเจ้าชายแห่งเผ่าผู้เป็นพี่ชาย
โดยมีอเล็กซ์และยูคอฟตามมาส่งด้วยเพราะอยากเห็นคนรักของเซร่า แต่มองอย่างไรก็ไม่เห็น
"ไอ้โง่" ฮันส์กระซิบใส่เพื่อนและน้องชาย
"พวกนายรู้ไหมว่าเซร่าถนัดไวโอลินมากกว่าเปียโน" ฮันส์บอก
"แต่ตอนอยู่เยอรมันผมเห็นเซร่าเล่นแต่เปียโน" อเล็กซ์บอก ยังไม่สามารถเข้าใจการบอกใบ้ได้
"แต่ตอนอยู่รัสเซีย ฉันเห็นเซร่าเล่นไวโอลินได้เก่งมากเลยนะ ขนาดตอกหน้าศ.ไชคอฟ ได้เลย" ยูคอฟบอก
"นั่นก็เพราะเปียโนเป็นสิ่งแทนใครคนหนึ่งนะสิ" ฮันส์บอกก่อนเสริมต่อ
"สาเหตุที่ตระกูลส่งเด็กพวกนั้นออกเดินทางก็เพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน เผื่อว่าเวลาผ่านไปพวกเขาอาจเปลี่ยนใจ แต่เวลาไม่อาจเปลี่ยนใจพวกเขาได้ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาอยู่ด้วยกันเสมอ ไม่มีใครมาแทรกกลางพวกเขาได้"
ฮันส์เล่าถึงเหตุการณ์แต่หนหลัง ท่ามกลางการตกตะลึงเมื่อรู้ตัวจริงของเซร่า ก็พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันตลอดก็จริง แต่พวกเขาเป็นพี่น้องกันเลยอยู่นอกการคิดถึงจริงๆ ก็สมควรอยู่หรอกที่จะไม่มีคนเห็นด้วย ที่แสงสว่างกับความมืดจะอยู่ร่วมกัน แต่ก็ไม่อาจพรากพวกเขาออกจากกันได้
เซร่าเดินอยู่บนผิวน้ำสีเขียวส่องประกายสีเงินยวงปนทอง ทะเลเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ส่องประกายงดงาม ร่างผมสีเงินอยู่เคียงข้าง แสงสีทองถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วง ก่อนที่พลังงานอันอ่อนโยนจะครอบคลุมทั่วผืนน้ำ
เหล่าเซเลนที่เป็นคู่ก้าวเข้าสู่อาณาเขตแห่งชีวิต เพื่อหล่อหลอมวิญญาณก่อกำเนิดชีวิตใหม่
เหล่าเด็กๆแห่งเซเลนกำลังถือกำเนิดจากความรักของพ่อแม่
หลังการวางไข่จบสิ้นลง เหล่าพ่อ แม่ ก็กลับสู่แผ่นดิน มอบอำนาจแห่งแสงสว่างคืนสู่โลกอันเป็นมารดาของพวกเขา เหล่าเด็กๆก็ออกสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่ เพื่อผจญภัยต่อไป
โจนากับอีฟมีลูกสองคนผู้ชายหนึ่งคนหนึ่งชื่อโจหลุยส์ กับลูกสาวอีกคนหนึ่งชื่อฟรัง
ส่วนฮันส์กับเนร่ามีลูกสาวหนึ่งคนชื่ออีลีนอร์
ไทด์กับลอรีย่ามีลูกชายหนึ่งคนชื่อเซเรนท์
ตำนานบทใหม่ของเหล่าเด็กๆพึ่งเริ่มต้นขึ้น
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น