คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คืนที่1: เรื่องมันเริ่มจริงๆ จากตรงนี้
2 ปีผ่านไป แมธธิวเติบโตขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่มากเท่าไหร่นักสำหรับสองปีที่แสนสั้น เด็กชายได้รับความกรุณาจากคุณน้า เจสซิกา เวโรนิก้า น้องสาวของแม่รับไปเลี้ยง ซึ่งบ้านของคุณน้ากับครอบครัวก็อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ ไม่ไกลจากหมู่บ้านเก่าของแมธธิวเท่าไหร่นัก คุณอา เบนจามิน เวโรนิก้า สามีของคุณน้า กับคุณน้ามีลูกสาวคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าแมธธิวไม่กี่ปี เธอชื่อ มาเรีย เวโรนิก้า เป็นเด็กหญิงที่น่ารักร่าเริง และสดใสดังดวงตะวัน ซึ่งตรงข้ามกับแมธธิวโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนนั้น ได้เปลี่ยนเด็กชายให้กลายเป็นคนละคนจากไปเสียสิ้น
กระนั้นภายในครอบครัวใหม่นี้ แมธธิวก็มีความสุขดี แรกๆ เด็กชายไม่รู้ว่าจะเข้าหามาเรียยังไง แต่ไม่ต้องรอ ฝ่ายมาเรียก็เป็นคนเข้ามาขอผูกมิตรก่อนเอง และไม่นานทั้งคู่ก็สนิทกัน จนดูเหมือนพี่น้องแท้ๆ ที่คลานตามกันออกมาก็ไม่ปาน
ต่อมาเรื่องราวแสนสาหัสที่เปลี่ยนชีวิตเด็กชาย(อีกครั้ง)ก็เกิดขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของอาการไม่พึงประสงค์เวลาพบเจอกับผู้หญิงด้วย ครั้งหนึ่งในฤดูร้อน เด็กชายที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับมาเรีย ก็ได้ไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์แถวโรงเรียน มาเรียนั้นด้วยความเป็นเด็กน่ารัก ใครๆ ก็ชอบตั้งแต่ครูไปจนถึงเพื่อนร่วมห้อง แต่แน่นอน มีรักก็ย่อมมีเกลียด รุ่นพี่หญิงของมาเรียบางกลุ่มไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่นัก และรุ่นพี่กลุ่มนั้นก็คอยกลั่นแกล้งมาเรียตลอดการทัศนศึกษาในพิพิธภัณฑ์ แมธธิวทนไม่ได้ก็ออกตัวปกป้องน้อง เลยโดนหมายหัวไปด้วย สุดท้ายขณะที่ทางโรงเรียนกำลังตระเตรียมรถพานักเรียนกลับ แมธธิวก็ต้องร้องไห้อย่างหวาดกลัวในห้องเก็บของมืดๆ ที่โดนจับมาขังไว้ และใช้เวลาพอสมควรกว่าพวกอาจารย์จะหาแมธธิวเจอ
อันที่จริง แมธธิวควรจะมีความสัมพันธ์อันไม่ค่อยจะดี กับที่แคบ ความมืด หรืออะไรแบบนั้น แต่แมธธิวกลับหวาดผวาต่อผู้หญิงไปเสียแทน แน่นอนว่ารวมทั้งคุณน้ากับมาเรียด้วย แต่สำหรับสองรายหลังนี้ แมธธิวไม่ได้กลัวขนาดเข้าใกล้ไม่ได้ แค่ผงะทุกครั้งที่เจอ และสะดุ้งทุกครั้งที่โดนแตะตัว แต่ถ้าหากเป็นผู้หญิงคนอื่นๆ แล้วล่ะก็ เด็กชายแทบจะไม่มองด้วยซ้ำ
และเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตของเด็กชาย(อีกครั้ง) และกลายมาเป็นชีวิตใหม่ของแมธธิวก็เกิดขึ้น ทุกอย่างเริ่มเมื่อเด็กชายหลับ มันเกิดขึ้นในโลกแห่งความฝันของแมธธิว
คืนหนึ่ง เด็กชายที่กลายเป็นโรคกลัวผู้หญิง ก็นอนหลับตามปกติ ในห้วงภวังค์ เด็กชายยังคงคิดถึงครอบครัวแสนอบอุ่นของตัวเองอยู่ ความคำนึงได้ก่อเกิดเป็นภาพในห้วงนิทรา ไม่ช้าแมธธิวก็ได้กลับไปอยู่กับครอบครัวแสนสุขของตัวเองอีกครั้งแม้เป็นเพียงฝันก็ตาม แต่แล้วความจริงที่ว่าพ่อและแม่ได้เสียไปแล้วก็กลับตีตื้นขึ้นมา และเปลี่ยนแปลงฝันสีสดใส ให้กลายเป็นฝันสีเทาหม่น
ภาพเริ่มบิดเบี้ยว แปรเปลี่ยนไปอย่างน่าขยะแขยง แมธธิวร้องไห้ ขณะเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย เมื่อเดินเข้าสู่ดินแดนแห่งสีสันอีกครั้ง เด็กชายก็เปลี่ยนมันให้กลายเป็นความหม่นหมองด้วยความเศร้าของตัวเองทันที ขณะที่เดินไป ร้องไห้ไป ตะโกนหาพ่อแม่ไป ที่เบื้องหน้า แสงสว่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น แมธธิวเดินเข้าไปหาแสงนั้น และ...แสงนั้นก็เดินเข้าหาแมธธิว เมื่ออยู่ในระยะเผชิญหน้ากัน แมธธิวจึงได้สังเกตเห็น แสงนั้นส่องเรืองรองออกมาจากร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง เธองดงามและอลังการด้วยชุดที่ใส่อยู่ ตอนแรกเด็กชายไม่เข้าใจว่าเธอเป็นใคร จนกระทั่งเธอได้เปิดปากพูดคุยกับตน
เธอคือราชินีแห่งความฝัน(เธอบอกว่างั้น) ความฝันของมนุษย์ทุกคนยามหลับ คือการที่จิตของพวกเขาได้เข้ามาโลดแล่นในอาณาจักรของเธอ และเธอก็มีหน้าที่ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ให้สงบสุข แต่ทว่า แมธธิวกลับทำลายความสงบนั้น ด้วยการคุกคามความฝันของคนอื่น เธออธิบายว่า ดินแดนอันสดใสแห่งใหม่ที่แมธธิวเดินผ่านมา คือความฝันของผู้อื่นที่เด็กชายก้าวล้ำมาโดยไม่ได้รู้ตัว และแมธธิวก็ใช้อารมณ์ของตัวเอง เปลี่ยนแปลงฝันของผู้อื่นให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงระดับจักรวาล แต่ก็เป็นเรื่องที่ร้ายแรงพอจะทำให้เธอต้องออกมาจัดการด้วยตัวเอง
เธอบอกว่าแมธธิวนั้นมีพลังที่น้อยคนจะมีได้เทียบเท่า เป็นพลังที่เป็นทั้งพรและคำสาป และอาจนำภัยมาสู่ตัวแมธธิวกับครอบครัวได้ มากพอๆ กับที่แมธธิวจะปกป้องครอบครัวจากอันตรายที่เกิดจากตัวแมธธิวเองได้ด้วย เธอได้เสนอกับแมธธิวว่า เธอจะสอนวิธีควบคุมพลังให้ แลกกับการที่เด็กชายต้องทำตามที่เธอขอ
นับจากตอนนั้นก็ผ่านมาหลายปี จนกระทั่งเด็กชายแมธธิว เติบโตขึ้นกลายเป็นเด็กหนุ่มนาม แมธธิว รอย เด็กนักเรียนไฮสคูลสุดหล่อที่เป็นโรคกลัวผู้หญิง อีกทั้งมีนิสัยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ชีวิตที่ปกติแต่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา ก็ดำเนินมาอย่างยาวนานพร้อมๆ กับวันนั้นด้วย ซึ่งข้อเสียของมันส่งผลให้เด็กหนุ่มมีอีกนิสัยหนึ่ง...
“มันหลับในอีกแล้วว่ะ” เพื่อนที่นั่งข้างๆ แมธธิวหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหลังด้วยกลัวว่าแมธธิวจะตื่น มากกว่าครูที่สอนหน้าห้องจะได้ยินเสียอีก
“ก็เจ๋งสิ” เพื่อนคนนั้นตอบรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ก่อนจะยื่นปากกาเมจิคให้เพื่อนคนที่นั่งข้างๆ และแล้วแมธธิวที่แม้จะลืมตามองกระดานอยู่ แต่การเคลื่อนไหวได้หยุดนิ่งไปแล้วเพราะหลับใน ก็ถูกลงทัณฑ์จากบรรดาเพื่อนๆ โดยไม่รู้ตัว
เสียงกริ่งเลิกเรียนช่วงเช้าและเริ่มชั่วโมงพักเที่ยงก็ดังขึ้น ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ในห้องเรียนก็ไม่เหลือใครนอกจากแมธธิวและเด็กหนุ่มผมบลอนด์แซมดำอีกคนหนึ่งที่นั่งบนโต๊ะตัวข้างๆ แมธธิว พร้อมกับส่งผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอีกผืนหนึ่งไปให้
“ทำไมนายไม่โต้ตอบไปบ้างวะ” เพื่อนเพียงคนเดียวเอ่ยถาม เด็กหนุ่มรับมาเช็ดหน้าตาของตัวเองที่โดนใช้ปากกาเมจิคสีดำเขียนหน้าจนเละไปหมด เมื่อลบล้างร่องรอยการประทุษร้ายเสร็จแล้ว ก็เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเด็กหนุ่มจอมขี้เซาประจำห้องเรียน
ใบหน้าหล่อเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางสีสด ดวงตาคมเข้มแต่ขอบตาดำเหมือนคนอดหลับอดนอนทำให้ตายิ่งดูเข้มขึ้นไปอีก นัยย์ตาสีน้ำตาลดูเซื่องๆ คิ้วหนาโค้งสวย สีเดียวกับเรือนผมที่เป็นสีน้ำตาลแดงที่ตัดสั้นเกือบเกรียน รวมกับร่างกายที่สูงใหญ่ค่อนข้างล่ำแล้ว แมธธิวจัดเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อพอตัว
“ไม่จำเป็น” เด็กหนุ่มขอบตาดำตอบเพื่อนพลางคืนผ้าเช็ดหน้าให้ เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่เข้าข้างรับกลับมา ด้วยสีหน้าระอาใจ “ว่าแต่ข้าวกลางวันมีอะไร” แมธธิวถามขึ้นขณะเก็บหนังสือเรียน เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวถอนหายใจเฮือก
“ข้าวผัดกุ้ง” เขาตอบ ตาของแมธธิวเป็นประกายแวบหนึ่ง เด็กหนุ่มร่างสูงยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าแล้วเดินนำออกจากห้องไป เพื่อนเพียงหนึ่งเดียว(ใกล้จะบอกชื่อล่ะ) เดินตามออกจากห้องไป ทิ้งให้ห้องเรียนว่างเปล่าโดยสมบูรณ์
ทิโมธี เหมันต์ เด็กหนุ่มลูกครึ่ง อเมริกัน-ไทย มีบิดาเป็นเจ้าของภัตตาคารอาหาร ร่างเล็กกว่าเพื่อนสนิทเยอะ หุ่นจัดว่าเพรียวบาง แต่หน้าตาก็หล่อเหลาเอาการ ใบหน้าเรียวแต่คม จมูกโด่ง ดวงตาคม นัยย์ตากลมโตสีนิล ผมสีบลอนด์แซมดำ มีฝีมือในการทำอาหารรองลงมาจากบิดา และในโรงเรียนแห่งนี้ ทิมมีสถานะเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของแมธธิว
“อา...ข้าวผัด” แมธธิวเปรยขณะเปิดกล่องข้าวออก อุณหภูมิยังอุ่นอยู่ และกลิ่นหอมก็โชยออกมายั่วน้ำลายยิ่งนัก ทิมถอนหายใจเฮือก แล้วเปิดกล่องข้าวกลางวันของตัวเองออกบ้าง จากนั้นทั้งคู่ก็จัดการอาหารกลางวันของตัวเอง ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ในมุมเล็กๆ ของโรงอาหาร
แชะ ท่ามกลางเด็กนักเรียนที่ขวักไขว่ไปมาหาโต๊ะนั่ง กล้องมือถือของใครบางคนส่งเสียงเบาๆ รูปของแมธธิวและทิมปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เด็กนักเรียนเกือบทั้งโรงเรียนก็ได้เห็นรูปนี้ พร้อมกับชื่อเรื่องคือ คู่รักคู่สวีท ในโทรศัพท์มือถือของตน
ครอบครัวของแมธธิวประกอบไปด้วยใครบ้างได้บอกเล่าไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้เราจะบอกเพิ่มเกี่ยวกับครอบครัวนี้กันอีกนิด คุณน้าเจสซิก้านั้นทำอาชีพเป็นพนักงานเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า ส่วนคุณอาเบนนั้นเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนที่แมธธิวเรียนอยู่ และมาเรียก็เป็นรุ่นน้องของแมธธิวห่างกันสามเกรด ทุกเย็นครอบครัวจะมีกิจกรรมทานข้าวด้วยกัน และดูโทรทัศน์ด้วยกัน ส่วนทุกวันพฤหัสก็จะพากันไปรับประทานอาหารเย็นที่ภัตตาคารของบิดาทิม
แต่วันนี้เป็นวันอังคาร หลังเลิกเรียนและกลับมาถึงบ้านโดยแมธธิวมาถึงก่อนและมาเรียมาไล่เลี่ยกัน จากนั้นทั้งสองคนก็จะเข้าครัวไปช่วยคุณน้าเจสทำอาหาร แน่นอนว่าแมธมีหน้าที่แค่จัดโต๊ะกับชิม เรื่องปรุงรส เปลี่ยนวัตถุดิบให้กลายเป็นสิ่งน่ารับประทานน่ะ ปล่อยให้พวกผู้หญิงจัดการเถอะ เมื่อทำอาหารเสร็จและจัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว คุณอาเบนก็จะกลับมาถึงบ้าน ทั้งหมดล้างไม้ล้างมือตามกฎของบ้าน จากนั้นก็นั่งลงประจำโต๊ะ สวดขอบคุณ จับมีดส้อม แล้วลงมือรับประทาน
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมต่อมาของครอบครัวคือการดูโทรทัศน์ หากเด็กๆ ไม่มีการบ้านก็จะมานั่งดูด้วย แต่ถ้าหากมีงานที่ต้องรีบทำก็จะขอตัวไปก่อน วันนี้มาเรียไม่มีการบ้าน เธอจึงนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่ แต่แมธธิวขอตัวขึ้นห้องนอน เพื่อไปสะสางงานที่ค้างคา
ในห้องนอนที่ไม่ใหญ่มากนัก การตกแต่งไม่มีอะไรมากนอกจากของใช้จำเป็น เตียงสีขาว ตู้เสื้อผ้าสีขาวที่ปลายเตียง โต๊ะเขียนหนังสือไม้สีน้ำตาลอ่อนที่เบียดอยู่ข้างๆ เตียงริมหน้าต่าง และผ้าม่านสีฟ้าอ่อนๆ บนผนังที่มีพื้นที่มากมายก็มีโปสเตอร์อยู่เหมือนกัน เป็นโปสเตอร์ของวงดนตรีที่แมธธิวชื่นชอบ
เมื่อได้อยู่ตัวคนเดียวในห้องนอนแล้ว แมธธิวก็หยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกาย เสร็จแล้วก็แต่งตัว แต่ไม่ใช่ชุดนอนอย่างที่ควรจะเป็น เด็กหนุ่มแต่งตัวค่อนข้างรัดกุม เสื้อแขนยาว กางเกงวอร์ม เหมือนกับจะออกไปข้างนอก เมื่อจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แมธธิวก็เดินไปเปิดเป้ที่วางอยู่ปลายเตียง หยิบเอาสมุดการบ้านขึ้นมา แล้วไปนั่งทำที่โต๊ะริมหน้าต่าง
จนเวลาผ่านเลยไปจนถึง ยี่สิบสองนาฬิกาตรง แมธธิวทำการบ้านเสร็จไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว เวลาที่เหลือคือการนอนแผ่บนเตียงแล้วอ่านการ์ตูนจากเกาะญี่ปุ่น เสร็จแล้วก็อ่านการ์ตูนฮีโร่ต่อ พอไม่มีอะไรจะอ่านแล้วก็นอนฟังเพลงที่เปิดจากวิทยุฆ่าเวลาไป
เมื่อนาฬิกาตั้งโต๊ะในห้องส่งเสียงเตือนขึ้น เด็กหนุ่มก็ปิดวิทยุ ปิดเสียงนาฬิกา แล้วออกจากห้องนอน เพื่อไปเข้า ห้องน้ำ แต่ห้องน้ำประจำบ้านซึ่งมีเพียงห้องเดียวนั้น กลับมีคนใช้อยู่ แมธธิวจึงยืนกอดอกรออย่างอดทน ไม่นานเกินรอประตูก็เปิดออก เป็นมาเรียนั่นเอง
“อ้าว พี่ ยังไม่นอนอีกเหรอ” มาเรียทัก เมื่อพบแมธธิวยืนกอดอกอยู่ในความมืดหน้าห้องน้ำ
“...จะเข้าห้องน้ำน่ะ” แมธธิวตอบ
“งั้นราตรีสวัสดิ์นะ” มาเรียเอ่ย แมธธิวพึมพำตอบเบาๆ ก่อนจะรีบเข้าห้องน้ำไป มาเรียมองตามอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก ดูเหมือนว่าแมธธิวจำเป็นต้องรีบใช้ห้องน้ำจริงๆ
ในห้องน้ำ แมธธิวไม่ได้ปิดประตูสนิทแต่แค่แง้มๆ ไว้ เมื่อไม่เห็นตัวมาเรียแล้วเด็กหนุ่มก็ปิดไฟ แล้วคลำรอบๆ ตรงไปยังอ่างล้างหน้าที่มีกระจกแทน จากนั้นก็คลำมือไปจนโดนกระจก แล้วพึมพำเบาๆ
“ประตูไม้โอ๊ค ถูกแมวลับเล็บไม่เหลือชิ้นดี” สิ้นคำ แม้จะอยู่ในความมืด แต่แมธธิวก็ยังสังเกตได้ว่าเกิดคลื่น เหมือนวงน้ำกระจายออกจากจุดที่นิ้วแตะอยู่ แล้วเด็กหนุ่มก็ยื่นมือลึกเข้าไปในกระจก จากนั้นก็ถูกดูดเข้าไป หายไปทั้งตัวอย่างรวดเร็ว
-----------------------
“แกมาสาย” เสียงอันคุ้นหูทักทายจากเหนือศีรษะ แมธธิวลืมตาขึ้น และพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในท่าเหมือนนอนคว่ำหน้า ในสถานที่อันแปลกประหลาด
“แบบนี้อาจจะถูกหักเงินเดือนได้นะ” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น แมธธิวค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับบุรุษสองคน ที่แต่งตัวเหมือนกันราวกับใส่เครื่องแบบอยู่ ซึ่งชุดที่ว่านั่นแมธธิวเองก็ใส่เช่นกัน
“นอนเพลินเหรอ” ชายเสียงที่สองเอ่ยถาม เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง เพรียวบาง ใบหน้าเสี้ยนแหลม ผิวซีดขาว ผมยาวระต้นคอสีน้ำตาลอ่อนๆ ตาสีเขียวมรกต โดยรวมแล้ว เป็นหนุ่มเจ้าสำอางที่แลดูรักสะอาด
“เอ้า! รีบลุกขึ้นเสียทีสิ เจ้ากิ่งไม้แห้ง!” เสียงที่ดังเหมือนฟ้าผ่า มาจากชายคนแรก เป็นชายวัยฉกรรจ์อยู่ประมาณสามสิบต้นๆ ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวสีทองแดง ใบหน้าคมเข้ม แววตาดุดันราวกระทิงสีน้ำตาลทอง ผมที่ตัดสั้นเกรียนเหมือนทรงทหารเป็นสีน้ำตาลไหม้
ด้วยเสียงที่ราวกับฟ้าผ่านั้น ทำเอาแมธธิวที่กำลังยืนจัดเสื้อผ้าอยู่ถึงกับเซเล็กน้อย ส่วนหนุ่มร่างบางอีกคน แม้จะเอามือปิดหูแล้ว แต่ก็ยังมีสีหน้าแหยงๆ
“กลับไปประจำที่ แล้วทำงานให้แข็งขันสมกับค่าจ้างหน่อย” ชายคนแรกเอ่ย น้ำเสียงปกติของเขาดังน้อยกว่าประโยคแรกนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น
โจน่าห์ แลมป์ ชายวัยฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ เจ้าของเสียงที่ดังราวฟ้าผ่า เป็นหัวหน้าทีมของแมธธิว เขาเป็นคนที่เอาการเอางานมาก และยึดมั่นในกฎระเบียบสุดขาดใจ ถึงกระนั้น เขาก็คิดถึงคนรอบข้างก่อนเสมอ
เกรกอรี่ ฮันเตอร์ ชายหนุ่มเจ้าสำอาง ที่ร่างบางยิ่งกว่าแมธธิว แต่ไม่เคยถูกโจน่าห์เรียกว่ากิ่งไม้ เพราะถูกเรียกว่าตะเกียบแทน เป็นหนึ่งในลูกทีมของโจน่าห์ มีสถานะคล้ายรองหัวหน้ากลายๆ และ...
แมธธิว รอย คุณรู้จักเขาแล้ว แต่คุณจะได้รู้เพิ่มขึ้นอีกว่า เด็กหนุ่มเป็นลูกน้องของโจน่าห์ และทำงานเป็นผู้พิทักษ์ความฝัน ซึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยนของเขากับราชินีของอาณาจักรแห่งความฝัน การจะให้เธอสอนควบคุมพลังแห่งจินตนาการไม่ว่ายามหลับหรือตื่น ต้องแลกกับการที่เขาจะต้องมาคอยดูแลความฝันของคนอื่นๆ ให้อยู่ในสภาวะสงบสุขไร้สิ่งใดรบกวน และก็เป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าพอโตขึ้นมา เด็กหนุ่มจะเริ่มรู้อะไรมากขึ้น ทำให้แมธธิวตระหนักได้ว่า เขาถูกใช้ให้ทำงานหนักเสียแล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่คอยปลอบใจ นั่นคือเงินค่าจ้างของที่นี่ ทางราชินีได้จัดการให้มันเปลี่ยนเป็นเงินจริงในโลกแห่งความจริงได้ด้วย อีกทั้งจำนวนเงินค่าจ้างก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย ตัวเลขในบัญชีธนาคารของแมธธิวมีค่อนข้างสูง เพราะเด็กหนุ่มไม่ค่อยได้ใช้เงินเท่าไหร่ ดังนั้น มันก็เหมือนกับว่าแมธธิวมีงานประจำทำก่อนเรียนจบ ก็เท่านั้นเอง
อาณาจักรแห่งความฝัน เป็นห้วงมิติขนาดใหญ่ห้วงหนึ่ง ที่เผ่าพันธุ์แห่งความฝันได้ใช้ชีวิตอยู่ เผ่าพันธุ์นี้กับอาณาจักรแห่งนี้มีมานานแล้วตามธรรมชาติ ไม่ใช่ความฝันของใครที่ไหน แต่เป็นอีกมิติหนึ่งเลย
ส่วนความฝันของเรายามหลับ คือการที่จิตเชื่อมต่อมายังอาณาจักรแห่งนี้ และยืมพื้นที่บางส่วนของอาณาจักรในการสร้าง มิติแห่งความฝันของตัวเอง ขึ้นมา พลังแห่งความฝันที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ความสนุก ความหวังและอารมณ์ด้านบวกอื่นๆ คือพลังงานที่คอยขับเคลื่อนอาณาจักรแห่งนี้ให้อยู่รอด เพื่อเป็นการตอบแทนกึ่งแลกเปลี่ยน ราชินีแห่งอาณาจักร จึงได้จัดตั้ง กองกำลังพิทักษ์ความฝัน ขึ้นมา โดยกองกำลังนี้มีหน้าที่คอยป้องกันความฝันของผู้คน ไม่ให้ถูกรบกวนจากสิ่งอื่นที่ไม่เกี่ยวของกับจิตของผู้ฝัน สิ่งแปลกปลอมที่ผู้ฝันไม่ได้เป็นคนสร้างขึ้นมา นั่นคือ
สัตว์ประหลาดแห่งฝันร้าย สัตว์ประหลาดแห่งฝันร้าย ความจริงก็คือสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่มีอะไรนอกจากสัญชาตญาณของการเอาตัวรอด มันดุร้ายกว่าสัตว์ในอาณาจักรแห่งความฝัน และอาหารที่มันโปรดปราน คือความฝันอันอุดมไปด้วยความสุขหอมหวานของมนุษย์ มันจะกัดกิน ดูดกลืน และเปลี่ยนจากฝันอันแสนหวานให้กลายเป็นฝันอันโหดร้าย เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและป่าเถื่อน
ซึ่งกองกำลังพิทักษ์ฝันมีหน้าที่กำจัดเจ้าตัวพวกนี้นี่แหละ ไม่ให้เข้าไปรบกวนความฝันเหล่านั้น เว้นเสียแต่ว่า ตัวผู้ฝันจะเป็นฝ่ายสร้างฝันร้ายขึ้นมาเอง ซึ่งในจุดนั้นกองกำลังจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เนื่องจากเป็นการกระทำจากตัวผู้ฝันเอง ไม่ใช่จากสัตว์ประหลาดแห่งฝันร้าย
ความจริงแล้ว นอกจากอาณาจักรแห่งฝันดี ก็ยังมีอีกอาณาจักรหนึ่ง คือ อาณาจักรแห่งฝันร้าย ถ้าถามว่ามันเป็นอย่างไร ก็ตอบคร่าวๆ ก็ประมาณว่า มันตรงข้ามกับอาณาจักรแห่งฝันดีหมดเลย ส่วนรายละเอียดเราจะไม่พูดถึงกันในตอนนี้
ประตูแห่งความฝัน คือประตูที่ตั้งอยู่เป็นกลุ่มๆ ในบริเวณต่างๆ ของอาณาจักร มันคือประตูของเหล่าผู้ฝันทั้งหลาย ที่จะพาให้พวกเขาออกจากมิติแห่งฝันของตัวเอง ออกมาเจอกับอาณาจักรแห่งความฝันนี้ ซึ่งคือการเชื่อมต่อของจิตอย่างที่บอกไว้แล้วข้างต้น ทว่าตั้งแต่ที่แมธธิวปฏิบัติหน้าที่มา ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ที่จะมีใครหลุดออกมาในอาณาจักรแห่งความฝันนี้ ไม่มีเลยสักคน
วันนี้ก็เป็นดั่งเช่นเคย แมธธิวยังคงมีหน้าที่ใช้ดาบขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นอาวุธของตัวเอง คอยซัดกับพวกสัตว์ประหลาดแห่งฝันร้ายที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ดุร้ายยิ่งกว่าเสือ สิงห์ กระทิง แรดรวมกันเสียอีก ทั้งพละกำลังยังมหาศาลและมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ทว่าด้วยการรวมใจกันของสามสมาชิก ประกอบกับความฉลาดมีไหวพริบของเกรกอรี่ ความสามารถในการสั่งการของโจน่าห์ และฝีมือของแมธธิว สัตว์ประหลาดทั้งหลายก็พากันกลายเป็นซากเพราะคมดาบของแมธธิวไปเสียหมด
“...วันนี้มาน้อยนะ” แมธธิวเปรย ขณะมองซากของสัตว์ประหลาดค่อยๆ ระเหยหายกลายเป็นไอ ซึ่งแสดงให้รู้ว่ามันตายแน่แล้ว
“ก็ดีแล้วนี่” เกรกอรี่เอ่ยพลางเลิกคิ้ว ชายหนุ่มปรารถนาจะเลิกงานใจจะขาด เพราะความขี้เกียจเข้าครอบงำเสียแล้ว
“อย่าประมาทเป็นอันขาด” เป็นคำพูดที่มาจากโจน่าห์ แม้น้ำเสียงจะจริงจัง แต่เจ้าตัวก็ดูผ่อนคลายอยู่
เนื่องจากเวลาเลิกงานคือตอน สี่นาฬิกาของเช้าวันใหม่ ซึ่งยังอีกไกลว่าเข็มนาฬิกาจะเดินไปถึง ทำให้สามทหารพิทักษ์ฝันต้องเดินเตร่ไปเตร่มา ตรวจดูบริเวณที่ตัวเองรับผิดชอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกรกอรี่ไม่ใช่คนคุยเก่งอะไรนัก แรกๆ ก็มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังให้พอหายเบื่อ แต่สักพักทั้งสามก็ตกอยู่ในความเงียบ ด้วยไม่รู้ว่าจะพูดคุยอะไรกันอีก
สักพักก็มีตัวหิวโซโผล่มาอีกตัว ตัวเล็กกว่าตัวแรกที่แมธธิวสำเร็จโทษมาก แต่ก็ยังแลดูน่าเกลียดน่าขยะแขยงอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้โจน่าห์ออกคำสั่ง หรือให้เกรกอรี่บอกอะไร แมธธิวก็วาดดาบใส่อย่างรวดเร็ว และมันก็หายไป
ปัง! เสียงปิดประตูดังขึ้นจากในบรรดาประตูทั้งหลายที่ทั้งสามเฝ้า วินาทีหนึ่งหรือสักสองวิที่ทั้งสามใบ้กิน แล้วทีมก็รีบแล่นไปยังประตูที่มาของเสียง เป็นประตูที่อยู่ใกล้ๆ กับแมธธิว แสดงว่าเจ้าตัวกินฝันนั่นมันหลบดาบของแมธธิวได้แล้วแอบเข้าไปในความฝันของคนอื่นแล้ว
เกรกอรี่มองแมธธิวอย่างตำหนิ เด็กหนุ่มยักไหล่ แล้วทั้งสามก็กดส่วนหนึ่งบนเครื่องแต่งกายแถวไหล่ มีคลื่นพลังงานบางอย่างแล่นปกคลุมไปทั่วร่าง แล้วทั้งสามก็รีบรุดเข้าไปยังฝันที่เจ้าตัวประหลาดหนีเข้าไป
ในฝันนั้นเป็นดินแดนของผู้ฝันที่อยากให้เป็น แมธธิวเดาเอาว่าผู้ฝันต้องเป็นพวกชอบทำอาหารมากแน่ๆ เพราะรอบกายเต็มไปด้วยอาหาร ทางเดินทำจากเบคอน ต้นไม้ทำจากน้ำตาลไอซ์ซิ่ง ก้อนหินเป็นขนมปัง ลำธารเป็นซอส และอีกมากมายแล้วแต่จะคิดจะกินไหว
“แยกย้ายกันหา แล้วระวังอย่าให้เจ้าของฝันรู้เด็ดขาดว่าเราอยู่ที่นี่” โจน่าห์สั่งเสียงกระซิบ ที่ดังเหมือนพูดแบบปกติอย่างยิ่ง
“ไอ้เทคโนโลยีพรางตัวมันใช้ไม่ได้รึไง” เกรกอรี่พูดกึ่งเสียดสี โจน่าห์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าขึงขัง
“จงรอบคอบไว้” เขาพูดเรียบๆ “แยกย้ายได้”
ระหว่างที่ค้นหาเจ้าตัวประหลาด โดยคอยระวังไม่ให้ผู้ฝันพบแม้จะมีเทคโนโลยีพรางตัวอยู่ก็ตาม เป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นอะไรนัก แต่ตอนนี้แมธธิวชักจะหิวขึ้นมานิดๆ แล้ว ทันใดนั้น รอบๆ ตัวของแมธธิวก็เริ่มหม่นสีลง สิ่งแวดล้อมที่หน้าตาเหมือนอาหารค่อยๆ เปลี่ยนไป มันเริ่มเน่าเสีย และมีเห็ดราขึ้นมากมาย บ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าตัวกินฝันนั่นมันเริ่มสวาปามอาหารแล้ว และมันก็อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้เสียด้วย แมธธิวรีบค้นหา และไม่ช้าก็พบ
เจ้าตัวกินฝันตัวเล็กที่รอดพ้นดาบเล่มโตของแมธธิวไปได้ กำลังไล่กัดกินดินแดนแห่งอาหารอยู่ มันกำลังดูดกลืนสีสันเข้าไป เปลี่ยนรอบข้างให้หมองหม่นและเต็มไปด้วยสิ่งไม่น่าอภิรมย์ ไม่รอช้า แมธธิวก็ปราดเข้าไปหมายฟาดฟันให้ดับดิ้น
แต่เจ้าตัวกินฝันก็ไวใช่เล่น มันหลบหลีกได้คล่องแคล่วว่องไว หากท่านคิดว่าดาบเล่มยักษ์ของแมธธิวจะทำให้เขาเสียเปรียบด้านความเร็วแล้วล่ะก็เป็นผิดถนัด เพราะเด็กหนุ่มก็เหวี่ยงมันได้ไวพอๆ กับเจ้าลิงลมก็ไม่ปาน ตอนแรกแมธธิวคิดว่ามันคงแป๊บเดียวเสร็จ แต่เจ้าลิงลมก็หลบได้พลิ้วตลอด จนเด็กหนุ่มเริ่มหงุดหงิด ทันใด ในคลองสายตา ก็ปรากฎร่างของใครคนหนึ่งขึ้น แมธธิวรู้โดยทันทีว่านั่นคือเจ้าของฝันแห่งนี้ แต่เด็กหนุ่มไม่สนใจ เพราะเขาฝากชีวิตไว้กับเครื่องพรางตัวแล้ว อีกอย่างเจ้าของฝันก็อยู่ไกลเกินไปที่จะมองออกว่าเขาเป็นใคร หากเทคโนโลยีพรางตัวใช้ไม่ได้ขึ้นมา เจ้าของฝันก็จะคิดว่าเขากับเจ้าลิงลมนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของฝันของตัวเองเท่านั้นแหละ
พลั่ก! เจ้าลิงลมถูกแมธธิวเตะดักทางจนกระเด็น ทีนี้ล่ะ จะได้เผด็จศึกเสียที ขณะที่แมธธิวกำลังจะลงดาบ เจ้าของฝันก็หันขวับมา และจ้องแมธธิวราวกับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น ทำเอาเด็กหนุ่มเสียสมาธิ เจ้าลิงลมเห็นโอกาสก็รีบขยับตัวจะหลบหนี แต่ดาบเล่มยักษ์อีกเล่มปักกลางตัวมันอย่างแรง มันดิ้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะระเหยกลายเป็นไอ
“มัวทำอะไรอยู่” โจน่าห์พยายามเบาเสียงให้ค่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แมธธิวหันไปมองเป็นเชิงขอโทษ โจน่าห์ทำทีท่าว่าให้ตามไป ภารกิจสำเร็จแล้ว พวกเขาควรจะออกไปจากฝันนี่ได้เสียที
------------------------------------
เช้าวันรุ่งขึ้น แมธธิวยังคงไปโรงเรียนตามปกติ เรื่องเมื่อคืนนี้ก็กลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความทรงจำ ขณะกำลังเก็บของในตู้ล็อกเกอร์ที่ภายในเต็มไปด้วยรูปวงดนตรีที่ชอบ ทิโมธีก็เดินเข้ามาหาหน้าตาชื่นบาน
“หวัดดีแมธ” เขาทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
“ไง” แมธธิวทักทายตอบ สงสัยเล็กน้อยว่าเพื่อนร่าเริงด้วยเรื่องอะไร
“เมื่อคืนฉันฝันล่ะ” ทิโมธีเริ่มเล่า “ฉันฝันเห็นนายซัดอยู่กับตัวอะไรก็ไม่รู้ แถมใส่ชุดแปลกๆ อีก”
“แล้วไงต่อ” แมธธิวถามอย่างนึกสนุก แล้วทิโมธีก็เจื้อยแจ้วเล่าต่อไปอย่างออกรส ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเดินไปเข้าเรียนอยู่ โดยไม่ทันระวังตัว ก็มีใครคนหนึ่งเดินมาชนเด็กหนุ่มเข้า ข้างของของคนที่เดินชนตกกระจายเกลื่อนกลาดในบริเวณทางเดิน ทิโมธีหยุดเล่า ส่วนแมธธิวก็ก้มลงเก็บของโดยไม่มองหน้าคนที่เดินมาชนเลยแม้แต่น้อย
“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” คนที่เดินชนพูดอย่างสำนึกผิด และด้วยโทนเสียงแหลมสูงแล้ว แมธธิวจึงตระหนักได้ว่าคนที่เดินชนเขาเป็นผู้หญิงนั่นเอง
“ไม่เป็นไร...” แมธธิวงึมงำ เขาเลี่ยงที่จะสบตากับเธอคนนั้น ไม่ใช่เพราะอาย แต่เพราะความรู้สึกอึดอัดยามเมื่อเจอกับสิ่งที่ตัวเองกลัวสุดขีด เขารีบเก็บข้าวของ ยัดใส่มือทิโมธี ซึ่งตกเป็นภาระของเพื่อนที่ต้องส่งคืนให้สาวเจ้าอีกทอดหนึ่ง
“ขอบคุณนะ” เด็กสาวคนนั้นเอ่ยอย่างปกติธรรมดา ราวกับว่าไม่ได้คิดติดใจอะไรกับพฤติกรรมแปลกๆ ของแมธธิว แล้วเด็กสาวคนนั้นก็เดินจากไป พอพ้นรัศมีแมธธิวก็ผ่อนลมหายพรูออกมาอย่างโล่งอก
“รู้สึกเหมือนติดอยู่ในลิฟต์เลยใช่ไหมล่ะ” ทิโมธีหันมาพูดกับแมธธิวด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสนุก แมธธิวเบ้ปาก แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินต่อไป ว่าแต่ว่า...เด็กหนุ่มผู้มีใต้ตาคล้ำกวาดมองไปรอบๆ ตัวอย่างสงสัย
คนมองพวกเราเยอะผิดปกติรึเปล่าเนี่ย... แมธธิวคิด และมันยิ่งตอกย้ำเมื่อทั้งสองเพื่อนซี้ก้าวเข้าไปในห้องเรียน สายตาเกือบทุกคู่พุ่งมาที่สองหนุ่มในทันที ทิโมธีเองก็ดูจะแปลกใจที่ถูกมองแบบนี้ ทั้งสองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินไปนั่งยังที่ของตน
“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...” เสียงซุบซิบจากใครคนหนึ่งดังลอยมาให้สองหนุ่มได้ยิน ในที่สุด ทิโมธีผู้หมดความอดทนก็หันไปหาเพื่อนอีกคนข้างๆ อย่างจริงจัง
“มันมีอะไรกันรึไง บิลลี่” เด็กหนุ่มถามเสียงเฉียบขาด เพื่อนที่ชื่อบิลลี่ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน
“ฉันคิดว่านายก็น่าจะได้รับข้อความภาพเหมือนกันนะ ทิม” เขาเอ่ยอย่างยียวน ทิโมธีรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยขณะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพื่อตรวจดูข้อความ มีอยู่ข้อความหนึ่งที่ส่งมาหาเขาตั้งแต่เมื่อคืน แต่เด็กหนุ่มหลับไปแล้ว ทิโมธีเปิดมันเพื่อดู โดยมีแมธธิวชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย
มันเป็นภาพของทิโมธีและแมธธิวที่นั่งด้วยกันที่โรงอาหารเมื่อวานนี้ โดยมีข้อความว่า คู่รักคู่สวีท เขียนทับอยู่บนภาพ
“ถึงว่าสิ พวกนายสองคนไม่ค่อยจะแยกกันเลย” บิลลี่เอ่ยล้อๆ เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของทิโมธี กับสีหน้าที่เครียดสุดๆ ของแมธธิว
“ใครเป็นคนส่งรูปนี้ให้นาย” ทิโมธีถามบิลลี่เสียงเข้ม แต่อีกฝ่ายก็แลดูไม่อนาทรร้อนใจ
“ไม่รู้ มันส่งต่อๆ กันมา ถ้านายคิดจะหาต้นตอล่ะก็ คงเหนื่อยหน่อยนะ ทิมมี่” บิลลี่ยักคิ้ว ไม่ทันที่ทิโมธีจะโต้ตอบอะไร อาจารย์ประจำวิชาก็ก้าวเข้ามาในห้องอย่างร่าเริง เป็นการตัดบทสนทนาของทิโมธีกับบิลลี่ไปโดยปริยาย
“มันก็แค่คำง่อยๆ ที่เขียนทับรูปเราเท่านั้นแหละ” ทิโมธีบอกอย่างปลงตก “ไม่ต้องไปสนใจมันหรอกแมธ”
แมธธิวพยักหน้า ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก ก็มันช่วยไม่ได้นี่นาที่จะมีใครคิดแบบนี้ ในเมื่อเขาเป็นโรคกลัวผู้หญิง แทบจะสัมผัสพวกเธอไม่ได้ จึงไม่เคยมีใครเห็นแมธธิวเสวนากับผู้หญิงเกินสามนาทีเลย แล้วยังมีเพื่อนสนิทตัวติดกันเป็นผู้ชาย ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลาแบบนี้อีก มันช่วยไม่ได้หรอกนะ ถ้าใครจะคิดน่ะ
สำหรับเด็กหนุ่มแล้วมันเป็นเรื่องตลกมากกว่า แต่อีกไม่นานหลังจากนั้น แมธธิวก็จะรู้ว่ามันเป็นการเล่นตลกที่หนักข้อเอาการทีเดียว
ความคิดเห็น