ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Dark ages : เปิดตำนานยุคมืด

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 วันแรกในโรงเรียน

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 55


    บทที่ 2  วันแรกในโรงเรียน



    ในห้องประชุมอันกว้างใหญ่แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ประเทศอิตาลี
     
    "พ่อต้องขอแสดงความยินดีกับลูกด้วย ที่สามารถช่วยคริสตจักรของพวกเรา ...ของพระผู้เป็นเจ้า... จากเหล่าศัตรูที่ปองร้ายพระองค์ได้อีกครั้ง"
     
    ชายชราท่าทางภูมิฐานเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มวัยกลางคนทางขวามือ ภายในโต๊ะประชุมขนาดใหญ่นี้มีเหล่า'พระคาร์ดินัล'นั่งอยู่ประจำตำแหน่งอีกเก้าท่าน
     
    แม้ว่าชายชราผู้นี้จะมีอายุถึงหกสิบหกปี ทว่าท่านยังกระฉับกระเฉงราวกับคนหนุ่ม ชุดผ้าแพรสีแดงเลือดนกตัดกับเส้นผมและเคราสีเทาขาวนั้นทำให้ดูสง่างามยิ่งขึ้น
     
    คริสต์ศาสนิกชนทุกคนรู้จักท่านในนามสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 8
     
    "ลูกเองก็ต้องขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากที่คอยให้กำลังใจเหล่าแม่ทัพและทหารของลูก หากไม่มีกำลังใจจากท่านแล้วลูกเองก็คงหมดหวังเช่นกัน"
     
    ชายผู้สูงศักดิ์ผู้นี้คือ จักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หรือที่ทุกคนเรียกว่า 'พระจักรพรรดิ' นั่นเอง
     
    พระสันตะปาปายิ้มเล็กน้อยก่อนจะประสานมือไว้บนโต๊ะ เผยให้เห็นแหวนสีทองซึ่งสลักชื่อท่านไว้เป็นแหวนประจำตำแหน่ง


    "จากการที่เกิดกบฏขึ้นถึงสองครั้ง มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดครั้งต่อๆไป เมื่อลูกกลับไปเยอรมนีพ่อก็อยากจะให้ลูกระวังไว้ พระบุตรของพระเจ้าทรงเตือนพ่อไว้ ผู้ที่คิดจะทำลายคริสตจักรยังมีอีกมากนัก"
     
    "ลูกเข้าใจแล้ว คริสตจักรจะต้องคงอยู่ต่อไป จะต้องไม่มีกบฏผู้ใดหลงเหลืออยู่ในจักรวรรดิอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และรวมไปถึงเยอรมนี เมืองที่อยู่ในการปกครองของลูก"
     
     
    ---
     
     
    ผ่านมาได้หนึ่งเดือนแล้วหลังจากที่แอลมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้
     
    แน่นอนว่าผู้ที่คอยแนะนำเขาทุกเรื่องก็คือโมนิก้านั่นเอง ไม่ว่าจะวัฒนธรรมการกินอยู่ ประเพณีต่างๆของหมู่บ้าน และแม้แต่ภาษาการพูดของคนที่นี่
     
    ...ทำไมเราถึงรู้สึกคุ้นเคยกับภาษาที่นี่ขนาดนี้นะ?...
     
    สำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของโมนิก้าเองก็แปร่งๆไม่เหมือนกับที่เขาพูด ทว่ามันกลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่คุยกับเธอมากกว่าโคลดเสียอีก
     
    และวันนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้อง 'ไปโรงเรียน'
     
    เด็กชายยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำพลางมองใบหน้าของตัวเอง นัยน์ตาสีแดงข้างซ้ายถูกปิดไว้
    ด้วยผ้าปิดตาสีดำสนิทที่โคลดฝากไว้ให้ ผ้าปิดตาดังกล่าวดูเหมือนว่าจะทำมาจากหนังสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งเขาเองก็ไม่รู้จักเช่นกัน
     
    เขามองสำรวจร่างกายตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายสิบนาที จนกระทั่งมีเสียงเรียกจากข้างนอก เสียงของโมนิก้านั่นเอง
     
    "แอลจ้ะ... เสร็จรึยัง เดี๋ยวก็สายหรอก"
     
    แอลสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ
    "ครับ คุณโมนิก้า"
     
     
    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มนั้น โมนิก้าพาเขาออกไปแนะนำตัวกับคนในหมู่บ้าน และจากเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะไม่ให้ใครเห็นตาซ้ายของแอลอีก เขาจึงต้องใส่ผ้าปิดตาตลอดเวลาที่ออกมานอกบ้าน
     
    'ได้รับอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนน่ะค่ะ แกเลยเสียตาซ้ายไป' เป็นเหตุผลที่โมนิก้าใช้บอกผู้อื่น
     
    ซึ่งดูเหมือนว่าเหตุผลดังกล่าวสามารถเรียกความสงสารได้มากโขทีเดียว
     
     
    ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าโรงเรียนในเวลาไม่ถึงสิบนาที
     
    โรงเรียนแห่งนี้มีรั้วไม้ล้อมรอบเป็นวงกลม น่าจะกินพื้นที่เพียงสองไร่เศษเท่านั้นแต่ก็นับว่ากว้างมากหากเทียบกับบ้านในละแวกนี้ ที่ดินผืนนี้มีบ้านไม้ขนาดใหญ่สี่หลังซึ่งถูกจัดให้แยกกันอยู่ติด
    รั้วแต่ละด้าน หากมองจากมุมบนคงจะเหมือนสี่เหลี่ยมที่แนบในวงกลม และที่ศูนย์กลางวงกลมนั้นมีบางอย่างตั้งอยู่
     
    ...นาฬิกาลูกตุ้ม?...
     
    แอลเองก็ไม่เคยเห็นของจริง โคลดเคยวาดให้เขาดูตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ในป่า และได้สอนวิธีการดูนาฬิกาดังกล่าวด้วย
     
    ...แต่แปลกเหลือเกิน... ถ้าเขาจำไม่ผิด โคลดเคยบอกว่าในเมืองใหญ่ๆยังหาดูได้ยาก แล้วทำไมถึงมาตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆกลางป่าแบบนี้ได้ล่ะ
     
    "แอลนี่นา ...ใช่ไหม" สำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆที่คล้ายกับของโมนิก้าดังขึ้นข้างหลังแอล
    "จินนี่?"
    "อื้อ ไม่เจอกันนานเลยนะ เธอไปอยู่ที่ไหนมาเหรอ แล้วทำไมไม่มาโรงเรียนล่ะ ...อ้าว เธอใส่ผ้าปิดตาทำไม" เด็กหญิงถามเป็นชุดหลังจากวิ่งเข้ามาหาเขาบริเวณประตูโรงเรียน
     
    "เอ่อ...คือว่า ฉัน" แอลหันซ้ายหันขวามองหาโมนิก้า และต้องพบว่าหญิงสาวกำลังคุยอยู่กับคุณครูหนุ่มรูปหล่อที่ยืนอยู่อีกฟากของรั้ว
     
    ...โกหกน่า!...
     
    "ฉัน...เจ็บตาอยู่น่ะ"
    "ห้ะ! ไปโดนอะไรมา เป็นอะไรมากรึเปล่า"
    "เปล่า ก็แค่...โรคตาแดงน่ะ อืม ปิดไว้กันฝุ่น" 
    ...เดี๋ยวค่อยอธิบายทีหลังแล้วกัน...
     
    "อ๋อ อือ... ว่าแต่เธออยู่บ้านไหนเหรอ"
    "บ้านไหน? หมายถึงบ้านฉันอยู่ที่ไหนน่ะเหรอ"
    "ฮ่าๆ โทษทีจ้ะ ลืมไปว่าเธอเพิ่งย้ายมา ...เธอไม่เคยมาแถวโรงเรียนใช่ไหม"
     
    แอลส่ายหน้าแทนการตอบ จริงอยู่ที่ครูสาวพาเขาเดินไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แต่เรื่องของโรงเรียนนั้นโมนิก้าบอกว่า
    'เก็บไว้ให้ตื่นเต้นดีกว่าจ้ะ'
     
    "งั้นฉันขอเป็นผู้นำเที่ยวแล้วกัน เธอเห็นบ้านตรงนั้น ตรงนั้น ตรงนั้นแล้วก็ตรงนั้นไหม" จินนี่พูดพลางชี้ไปที่บ้านไม้แต่ละหลัง
    "อืม"
     
    "อาห้ะ... บ้านพวกนั้นคือห้องเรียนของพวกเราเองล่ะ แต่ละหลังจะมีชื่อประจำบ้าน ...ดูนะ เรียงจากทางซ้ายมือคือ อุนด้า พิกมี่ ซิลเวสเตอร์ และซาลามานเดอร์"
     
    "???!!"
     
    เมื่อจินนี่เห็นแอลทำหน้าเหวอ จึงหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะอธิบายต่อ
     
    "ที่หน้าบ้านจะมีสัญลักษณ์น่ะ พวกเราเลยแยกออก เธอลองมองดูดีๆสิ"
     
    ...จริงด้วย ที่หน้าบ้านแต่ละหลังมีธงเล็กๆปักอยู่ จากทางซ้ายมือ ธงของ'บ้านอุนด้า' มีพื้นหลังสีฟ้าตรงกลางเป็นรูป...
    "คลื่นน้ำไง ถัดมาก็ภูเขา พายุ แล้วก็ไฟ"
    "อ่า... อือ จริงด้วย"
     
     
    จริงสินะ เขาเองก็เคยแอบอ่านหนังสือเก่าๆที่โคลดพกไว้บางเล่ม... ในภาษาละตินนั้น
    อุนด้า เป็นตัวแทนของน้ำ
    พิกมี่ เป็นตัวแทนของดิน
    ซิลเวสเตอร์ เป็นตัวแทนของลม
    ซาลามานเดอร์ เป็นตัวแทนของไฟ
     
    ตัวแทนเหล่านี้ถูกเรียกว่า วิญญาณแห่งธาตุ (Elemental Spirits)
     
     
    "แล้ว...แยกบ้านทำไมเหรอ"
    "ก็ถ้าเป็นธาตุน้ำกับดินจะเรียนการรักษาน่ะ ฉันเองก็อยู่บ้านอุนด้า"
     
    "การรักษา?"
     
    "อื้อ ธาตุน้ำก็เหมือนน้ำที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตจึงเป็นการรักษาภายใน ส่วนดินเป็นการรักษาภายนอกเพราะเปรียบเสมือนแผ่นดินที่ห่อหุ้มเราเอาไว้ไงล่ะ"
     
    แอลพยักหน้าเล็กน้อยขณะฟังจินนี่อธิบายและคิดตาม
     
    "ส่วนอีกสองธาตุคือ ลมกับไฟจะเป็นธาตุที่สอนการต่อสู้ แต่ฉันไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกนะ"

    "???!!"
     
    "ฮ่าๆ เธอทำหน้าแบบนี้อีกแล้วนะ มีอะไรน่าตกใจเหรอ"
     
    "เอ่อ...เปล่า"
     
    ...สอนการต่อสู้งั้นเหรอ ทำไมล่ะ...
     
    ทว่าจินนี่กลับไม่มีท่าทางว่าจะแปลกใจกับการเรียนการเรียนการสอนในโรงเรียนเลย ตรงกันข้ามเธองงเสียด้วยซ้ำว่าแอลตกใจเรื่องอะไร และเพราะแบบนั้นเองเขาจึงเลิกถามต่อ
     
     
    "เต๊ง...เต๊ง...เต๊ง..." เสียงนาฬิกาบอกสัญญาณเข้าเรียนดังขึ้น นักเรียนทุกคนทยอยกันเข้าห้องเรียน
     
    "แย่แล้ว แอลหายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย! ขอโทษนะคะ ฉันต้องขอตัวก่อน"
    "อ้าว... นั่นครูโมนิก้านี่นา เขาเรียกเธอรึเปล่า"
    "อือ ฉันไปละนะ แล้วเจอกันใหม่"
     
    และในพริบตานั้นเอง
     
    "เฮ้ย! แกมันไอ้ตาปิศาจที่สนามเด็กเล่นนี่หว่า" เด็กผู้ชายร่างใหญ่ราวกับโอ่งพูดขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วมาที่แอล
     
    แอลเลิ่กลั่กพลางหันมองรอบตัว ต้องขอบคุณสวรรค์จริงๆที่นักเรียนเข้าห้องเรียนไปหมดแล้ว
    ไม่เช่นนั้นจะต้องเกิดเหตุการณ์อย่างวันนั้นอีกแน่นอน
     
    "เธอพูดว่าอะไรนะ สแตร์" จินนี่หันไปหาเด็กชายโอ่ง หรือที่เธอเรียกเขาว่า สแตร์ นั่นเอง
     
    "จินนี่ที่รัก ออกมาห่างๆเถอะ อย่าไปยุ่งกับไอ้ปิศาจนั่นเลย เดี๋ยวก็โดนมันสาปเอาหรอก"
    "เธอจะบ้ารึไง แอลไม่ใช่ปิศาจนะ"
    "อย่าล้อเล่นน่า! ดูตามันสิ"
     
    เมื่อสแตร์พูดจบ ผ้าปิดตาก็ได้อันตรธานหายไปจากใบหน้าของแอลทันที
     
    ...เมื่อกี้มันอะไรกัน...
     
    "นั่นไง โอ้ะ! ระวัง! อย่าสบตามันนะ คำสาป...คำสาป ฮ่าๆ"
    "นี่ สแตร์! มันจะมากเกินไปแล้วนะ"
     
     
    ตุบ!
     
    จู่ๆแอลก็ล้มคุกเข่าลงบนพื้น มือกุมที่ตาซ้ายด้วยความทรมาน
     
    ...อีกแล้วเหรอ!...
     
     
    ภาพของชายฉกรรจ์ผิวดำสองคนหมอบอยู่ใต้พุ่มไม้ปรากฏเข้ามาในหัวของเขา ชายทั้งสองคนอยู่ในเครื่องแบบทหารพลางตัว หนึ่งในชายสองคนนั้นถือหน้าไม้เอาไว้และเล็งไปข้างหน้า
    'เอาล่ะนะ เด็กใหม่... ถ้านายท่านส่งนกพิราบมาเกาะคนไหน แกยิงคนนั้นเลย เข้าใจใช่ไหม'
    'Roger!'
     
     
    ...อะไรกัน คนพวกนั้น...
     
    "แอล! มาอยู่ตรงนี้นี่เอง ครูตามหาตั้งนานแน่ะ ไงจ๊ะ จินนี่ สแตร์" โมนิก้าเดินมาจับไหล่แอลและหันไปยิ้มทักทายเด็กๆทั้งสอง
     
    "ครูโมนิก้าคะ สแตร์แกล้งเพื่อนอีกแล้วค่ะ เขา..."
     
    "พั่บ พั่บ พั่บ พั่บ..."
    ขณะนั้นเอง นกพิราบสีขาวกระพือปีกออกมาจากในป่า มันบินมาเกาะที่ไหล่ของเด็กชายตัวอ้วนกลม
     
    "ฮ่าๆ ดูสิจินนี่ เจ้านกนี่มันชอบฉันด้วยล่ะ"
     
    "อันตราย!" แอลตะโกนออกมาพร้อมกับวิ่งไปผลักสแตร์จนร่างของทั้งคู่ล้มลง
     
    "เฮ้ย อะไรของแกวะ! ไอ้บ้านี่"
     
    "แย่แล้ว แอล แขนเธอ!" จินนี่ร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นลูกดอกยาวหนึ่งฟุตปักอยู่ที่แขนขวาของเขา

    "ทางนั้นเหรอ!" โมนิก้าเขวี้ยงวัตถุบางอย่างไปทางพุ่มไม้
     
    "อะไรกันครับ คุณโมนิก้า"
    หนึ่งในครูที่วิ่งออกมาจากบ้านแต่ละหลังพร้อมกับนักเรียนมุงเล็กน้อยพูดขึ้น
     
    "มีคนร้ายค่ะ คุณเคลฟคะ ช่วยตามไปทีค่ะ คนร้ายบาดเจ็บอยู่คงยังหนีไปได้ไม่ไกล"
     
    "ครับ เข้าใจแล้ว... ผมขอแรงครูหน่วยซาลามันเดอร์สองคนครับ!"
     
    "แอลเป็นไงบ้าง"
    โมนิก้ารีบเดินมาหาแอลที่นอนหนุนอยู่บนตักของจินนี่ เขามีอาการตาปรือและหายใจหอบถี่ ลูกดอกที่แขนถูกดึงออกแล้ว
     
    "อาการไม่ดีเลยค่ะ ลูกดอกอาจจะมียาพิษ" จินนี่ตอบ
     
     
    "จินนี่ รีบปฐมพยาบาลเร็วเข้า!"
     
    หญิงในชุดสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งโพล่งขึ้นขณะรีบวิ่งมาพร้อมกับผู้ชายอีกสองคน ดูเหมือนว่าจะเป็นหน่วยพยาบาล ในมือชายคนหนึ่งถือถังไม้ขนาดเล็กบรรจุน้ำครึ่งถัง
     
    "ค่ะครู"
     
    จินนี่รับคำราวกับเพิ่งตั้งสติได้ เธอรับถังน้ำมาแล้วลงมือล้างแผลที่แขนแอล
    จากนั้นหญิงสาว ที่จินนี่เรียกว่าครู หยิบผ้าสีขาวลักษณะเป็นเส้นยาวๆมาพันรอบๆแผล จากปากแผลขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ ก่อนจะนำไม้มาดามแขนเขาแล้วพันผ้าทับอีกรอบ

     
    "รีบพาผู้ป่วยไปที่ห้องพยาบาล อย่าให้ขยับมากล่ะ"
     
     
    "แม่..."
    แอลเพ้อออกมาขณะที่ขากรรไกรยังอ้าค้างอยู่ ก่อนที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไปโดยหน่วยพยาบาล

     

     

    ------จบบทที่2----------

    **เกร็ดความรู้**

    ความเชื่อเรื่องนัยน์ตาปิศาจนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเริ่มจากอียิปต์จากนั้นจึงแพร่ไปทั่วโลก

    เชื่อกันว่า ผู้ที่มีนัยน์ตาปิศาจนั้น นัยน์ตาจะมีสีแดงฉาน มักจะมองด้วยความอิจฉาริษยา และเมื่อตาปิศาจมองไปที่ใคร จะทำให้ผู้นั้นโชคร้ายหรือตายเพราะคำสาปแช่ง

     

      อิลยา เรพิน, "มุซฮิคกับนัยน์ตาปีศาจ"

    ต่อมามีการสร้างยันต์ต่างๆนานา เพื่อแก้เคล็ดความโชคร้ายหลังจากที่สบตากับนัยน์ตาปิศาจ และยันต์เหล่านี้ยังสามารถไล่ปิศาจได้อีกด้วย เช่น


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×