ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Dark ages : เปิดตำนานยุคมืด

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เพื่อนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 55


    บทที่ 1 เพื่อนใหม่




    "โอ้ย!" 


    "อย่าเข้ามาใกล้นะ ฮือ..."
    "อี๋ น่าขนลุกชะมัด!"

    "
    ออกไปไป๊ ไอ้ตัวประหลาด ชิ่ว!" เด็กชายสามคนในสนามเด็กเล่นตะโกนออกมา ในขณะที่รีบควานหาก้อนหินขนาดเหมาะมือก้อนใหม่ และขว้างใส่แอลอย่างไม่หยุดมือ

    "ปิศาจแน่ๆ แม่ฮะ ปิศาจบุกสนามเด็กเล่นฮะ!"

    "กรี๊ด! ปิศาจเหรอ แม่คะ... แม่! หนูกลัว"

    "
    ตายแล้วลูก อย่าไปมองนะ รีบไปกันเถอะเด็กๆ" หญิงชรานางหนึ่งโอบเด็กน้อยราวห้าคน หนีออกไปจากสนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน


    "เดี๋ยวสิคะ คุณ! เด็กคนนี้ไม่ใช่ปิศาจนะ แย่จริง... แอลจ้ะ เป็นอะไรรึเปล่า ...ตายแล้ว เลือดออกด้วยเจ็บมากไหมจ้ะ"

    โมนิก้าหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับเลือดที่หางคิ้วให้แอล โชคดีที่เขาหลบหินก้อนอื่นๆได้ทัน ไม่อย่างนั้นเขาอาจมีแผลเต็มตัวเลยก็เป็นได้


    "อย่าไปใส่ใจเลยนะ เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับเขาสักหน่อย ขืนปล่อยไว้แบบนี้เธอคงไปโรงเรียนไม่ได้แน่ๆ รออยู่ที่นี่ก่อนนะจ้ะ"

    หญิงสาวตบไหล่แอลเบาๆ จากนั้นจึงวิ่งตามหญิงชราคนนั้นไป



    แอลมองตามแผ่นหลังเธออย่างเหม่อๆ ในหัวกำลังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน วันที่แอลมาถึงหมู่บ้านอันพิลึกพิลั่นแห่งนี้เป็นครั้งแรก...


    ---


    เอาล่ะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แกจะต้องอยู่กับมาดาม... ไม่ใช่สิ คุณครูโมนิก้านะ มาอยู่ในหมู่บ้านที่นี่เข้าโรงเรียน หาความรู้ใส่หัวซะ เจ้าเด็กหัวทึบใช้การไม่ได้!
    '


    แม้แอลจะชินกับการถูกอาจารย์ด่าแบบนี้อยู่แล้ว แต่ก็อดที่จะเคืองไม่ได้เมื่อถูกด่าต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะสตรีที่งามหยด ทั้งกาย กริยา วาจาดั่งเบญจกัลยาณีเช่นโมนิก้า


    'มองหน้าทำไม ฉันคุยกับแกเสร็จแล้วนะ เอ้า! ไปเล่นตรงโน้นไป ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน' โคลดว่าพลางชี้ไปที่สนามหญ้าหลังบ้าน

    'แหม คุณโคลด อย่าว่าแอลขนาดนั้นเลยค่ะ แกเพิ่งจะสิบขวบเอง อีกอย่างนะคะ ฉันว่าท่าทางแกเป็นเด็กหัวดีออกจะตายไป'

    'ครับ ดีก็ดี ว่าแต่มาดมัวแซลล์น่ะ ไม่ลำบากแน่นะครับ เจ้านั่นน่ะ เห็นแบบนั้นก็ซนใช่เล่น...'



    แอลเดินออกมาที่สนามหญ้าหลังบ้าน พลางก่นด่าอาจารย์อยู่ในใจ เขามองสำรวจบ้านทั้งหลัง บ้านไม้หลังน้อยแบบชาวป่าผสานกับสไตล์ยุโรปนี้คือบ้านของคุณโมนิก้า หรือคุณครูของเขาในอีกไม่กี่วันนั่นเอง

    มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเธอไม่ใช่คนท้องถิ่นของที่นี่ แต่กระนั้นเธอก็เป็นถึงครูใหญ่ของโรงเรียนประจำหมู่บ้าน โคลดบอกว่าเธอเป็นคนนำพาความรู้ใหม่ๆหลายอย่างมาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ 

    ...เธอเป็นใครและมาจากไหนกันแน่?...

    แอลเดินสำรวจรอบๆตัวบ้านหลังน้อยนี้ เขาใช้มือลูบผนังไม้เบาๆจากนั้นใช้เท้าเตะผนังอย่างแรง และต้องกุมปลายเท้าทันที

    ...หืม แข็งแรงกว่าที่เห็นเยอะเลยแฮะ นี่แหละคือบ้านหลังแรกที่เราจะได้อยู่...


    '...ถึงจะไม่ใช่บ้านของเราก็เถอะ' 

    เขาชะโงกตัวออกมามองหน้าบ้าน และพบว่าบ้านหลังอื่นภายในซอยมีขนาดเล็กเช่นเดียวกัน มีเพียงบ้านหลังใหญ่ราวกับคฤหาสน์หนึ่งหลังที่ท้ายซอยเท่านั้น ซึ่งเพียงกวาดตามองก็เห็นถึงความน่าเกรงขามที่ทำให้ต้องหันกลับไปมองซ้ำ คฤหาสน์หลังนั้นสร้างจากซีเมนต์ ...คงเป็นหลังเดียวในหมู่บ้านนี้เลยกระมัง... และอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้มาเยือนใหม่อย่างเขาจะสังเกตได้

    ...น่าแปลกจริงๆ หมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีโบสถ์สักหลังเดียว...

    หลังจากเดินวนรอบบ้านจนกลับมาที่สวนหลังบ้าน เขากวาดตามองไปรอบๆสวน ซึ่งมีขนาดพอเหมาะพอดีกับตัวบ้าน มีม้าหินอ่อนโทรมๆอยู่ตัวหนึ่งตรงกลางสวน และเนื่องจากด้านหลังสวนเป็นป่ารก สวนนี้จึงถูกตีกรอบด้วยพุ่มไม้หนาทึบ สนามหญ้าขึ้นยาวถึงครึ่งหน้าแข้ง 

    '...รกซะไม่มีอ่ะ'

    ตอนนั้นเองเขาได้ยินเสียงบางอย่าง...
    เสียงประหลาดชวนให้สยอง ราวกับว่ามีใครกำลังลากอะไรบางอย่างเข้ามาจากทางหลังพุ่มไม้ เสียงนั้นเข้ามาใกล้ ...ใกล้เรื่อยๆ

    จู่ๆ ความเจ็บปวดสุดแสนเกิดแล่นเข้ามาที่ลูกตาข้างซ้ายของแอลราวกับว่ามันต้องการจะออกมาจากเบ้าตา เสียงกรีดร้องของผู้หญิง ...ไม่สิ ทั้งหญิงและชาย... เสียงนั้นดังอยู่ในหัวของเขา ภาพโศกนาฏกรรมนองเลือดของเหล่าผู้ไม่มีทางสู้พลันปรากฏเข้ามาในตาซ้ายของเขา




    ขณะนั้นเองสัญชาตญาณบอกให้เขารีบกลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


    'อาจารย์! คือว่าตาผมมัน... อ้าว... ขอโทษครับ อาจารย์ล่ะฮะ'
    หลังจากที่แอลพรวดพราดเข้ามาในบ้าน และพบว่าอาจารย์ของตนหายตัวไปแล้ว เขาก็รีบกลบเกลื่อนท่าทางแปลกๆก่อนหน้านี้ของตัวเองทันที

    'เห็นว่าต้องรีบไปแล้วน่ะจ่ะ เขาฝากลาเธอด้วยนะ อ้อแล้วก็ฝากของให้เธอด้วยจ้ะ' 


    โมนิก้าก้มหน้าลงเพื่อหลบตาแอล แต่เขาก็หัวไวพอที่จะรู้ว่าหญิงสาวเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา รอยยิ้มบางๆนั้นดูก็รู้ว่าพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างไม่ให้เขารู้ เธอควานหาบางอย่างในกระเป๋าถือ จากนั้นจึงหยิบผ้าสีดำสำหรับปิดตาซ้ายส่งให้แอล


    'ผ้าปิดตาอันนี้มันจะช่วยสะกดพลังของเธอเอาไว้ ไม่ให้พวกมันมาเอาคืนนะจ้ะ แอล...' จู่ๆหญิงสาวก็โผเข้ากอดเด็กน้อยราวกับกลัวว่าแอลจะหายไป



    ก่อนหน้านั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วเหตุใดดวงตาซ้ายของเขาจึงปวดอย่างรุนแรงราวกับศีรษะจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้ในตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าที่จะถาม...


    ---


    "หวัดดีจ้ะ" มีเสียงใสๆทักมาจากด้านหลังแอล

    เมื่อเขาหันไปก็พบเด็กผู้หญิงผมแกละ ดูจากท่าทางแล้วเธอน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ทว่าตัวสูงกว่าเขาราวครึ่งฟุต แอลรีบเอามือปิดตาซ้ายทันทีเมื่อตั้งสติได้และยิ้มกว้างให้เด็กหญิงตรงหน้า



    "อือ สวัสดี"
    "อ่าว... เธอจะเอามือมาปิดตาทำไมล่ะ" เด็กหญิงถาม

    "ก...ก็ มัน...น่ากลัว...ล่ะมั้ง" แอลนึกเหตุผลไม่ทัน ทว่าการตอบตะกุกตะกักของเขากลับเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กหญิงตรงหน้าได้อย่างไม่ตั้งใจ


    "เหรอ แต่ฉันว่าไม่นะ ขอดูอีกทีได้ไหมจ้ะ"
    "เอ่อ..."
    "นะ นะ"
    "อา... ก็ได้ แต่อย่าร้องนะ" 


    เมื่อเด็กหญิงพยักหน้าแอลก็เอามือออก เผยให้เห็นดวงตาสีแดงที่ใครๆก็เรียกว่าดวงตาของปิศาจ

    "สวยจัง ฉันก็อยากได้บ้างอ่ะ เธอเอามาจากไหนเหรอ"
    "..................."

    "ก็ได้ๆ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ให้อยู่กับเธอแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ"
    "เอ่อ...อะไร...นะ?"

    "ก็ตาของเธอมันเข้ากับผมสีทองของเธอดีออกนี่นา" เด็กหญิงมองตาซ้ายของแอลอย่างชื่นชมโดยไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด

    "???!!"



    "เอ้ะ! นั่น... คิ้วเธอเป็นแผลนี่ โดนอะไรมาน่ะ เจ็บรึเปล่า"
    "อือ..."

    "แล้วโดนอะไรล่ะ รึว่าเธอตกจากกระดานหกอันนั้น ฉันก็เคยนะ ตอนนั้นร้องไห้จ้าเลยล่ะ"
    "อือ" 

    "ว่าแต่ว่า เธอเพิ่งย้ายมาเหรอ ย้ายมาจากไหนอ่ะ ฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย"
    "อือ"

    "แล้วเธอจะมาเข้าโรงเรียนเดียวกับเรารึเปล่า เอ้ะ! ก็ต้องใช่สิเนอะ ในหมู่บ้านนี้มีแค่โรงเรียนเดียวนี่"
    "อือ"

    "อะไรของเธอน่ะ พูดเป็นคำเดียวรึไง"
    "อือ เอ่อ... ขอโทษที"

    "ฮ่าๆ เธอนี่ตลกจริงๆเลยนะ"
    "เหรอ"


    "เธอยังไม่ตอบฉันเลยนะ ว่าเธอย้ายมาจากไหนน่ะ"

    "อ่า มาจาก...ทางอเมริกาเหนือ...ล่ะมั้ง"


    "ว้าว! ที่นั่นมีเมืองเยอะแยะเลยนี่ จริงๆแล้วปะป๊ากะมะม๊าเราก็ย้ายมาจากที่นั่นนะ เราเห็นในรูปวาดของมะม๊าล่ะ มีแสงไฟสวยๆ กับบ้านสวยๆเพียบเลย เนอะ"

    "อือ"


    ...ซะเมื่อไหร่ล่ะ ฉันยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเคยไปที่นั่นน่ะ... แอลคิด



    "อืออีกแล้วนะ ไม่ไหวเลยเธอเนี่ย... อ้ะ! ฉันต้องรีบไปแล้วนะ ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ" เด็กหญิงหันไปเห็นดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าพอดิบพอดี


    "แอล"

    "อื้อ ฉันชื่อจินนี่ นะ เอาไว้เจอกันใหม่นะแอล"
    แอลมองตามหลังเด็กหญิงที่คุยเก่งที่สุดที่เขาเคยเจอมา ผมแกละสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวไปตามแรงวิ่ง เขายืนมองด้วยท่าทางมึนงงจนร่างนั้นลับสายตาไป



    'แปลกคนแฮะ' แต่แม้จะคิดแบบนั้น บนใบหน้าของเด็กชายกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม





    ---------จบบทที่1----------

    **เกร็ดความรู้**
       >> พระสันตะปาปา


    คริสตศาสนานั้นหากจัดออกเป็นนิกายใหญ่ๆแบ่งได้ 3 นิกาย ได้แก่
    1. นิกายคาทอลิก (โคตรเคร่ง นับถือโป๊ป) เขาเรียกกันว่า คริสตัง
    2. นิกายออทอดอกซ์ (ไม่เคร่ง สบายๆ)
    3. นิกายโปรแตสแตนท์ (เคร่ง แต่ไม่นับถือโป๊ป) อันนี้เรียก คริสเตียน


    เรื่องนี้ใครๆก็รู้ อีกอย่างเราไม่ได้จะเรียนศาสนาคริสต์กัน ฉะนั้นข้ามเลยครับ

    ที่น่าสนใจคือนิกายโปรแตสแตนท์ เพราะนิยายเรื่องนี้บังเอิญเป็นยุคการปฏิวัติของนิกายนี้พอดี
    ก่อนจะเกิดคริสเตียนนั้น มี 2 นิกายแรกอยู่แล้ว ส่วนคริสเตียนจะแยกออกมาจากคริสตังทีหลัง ซึ่งแยกได้สำเร็จหลังจากสงคราม 30 ปีเสร็จสิ้นลง (หลังค.ศ.1648)


    โปรแตสแตนท์ แปลเป็นไทยว่า ผู้ประท้วง ผู้คัดค้าน ผู้ต่อต้าน
    ,ต่อต้านโป๊ปนั่นแหละครับ
    ทำไมต้องต่อต้าน นั่นเพราะเหล่าผู้บุกเบิกนิกายโปรแตสแตนท์ได้เล็งเห็นถึงการกระทำที่ไม่สมควรของโป๊ป ซึ่งเรียกตัวเองว่าผู้รับใช้พระเจ้า


    ยกตัวอย่างเช่น

    -->ขายบัตรไถ่บาป หมายความว่าแค่คุณรวยคุณก็หมดบาปแล้ว
    นี่เป็นตัวจุดประกายความคิดของ มาร์ติน ลูเทอร์ ชาวเยอรมันผู้มีการศึกษาสูง(มาก) เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่พระสันตะปาปาขายบัตรไถ่บาป และการที่มีชาวเยอรมันจำนวนมากเห็นด้วยกับเขา ทำให้โป๊ปหวั่นไหวในความมั่นคงของตน จึงประกาศขับไล่ออกจากศาสนาด้วยการใส่สีต่างๆตามสไตล์โป๊ป
     >> มาร์ติน ลูเทอร์

    -->บูชาอัฐิของนักบุญอย่างงมงาย 
    การบูชาไม่ผิด แต่หากมากไปจะกลายเป็นงมงาย และนั่นต้องใช้เงินมากด้วย เอามาจากไหนล่ะ(?)


    -->ขายตำแหน่งพระสมณศักดิ์
    พวกที่อยากใหญ่อยากโตก็จะมาซื้อตำแหน่ง เพราะในสมัยนั้นนักบวชเป็นอะไรที่เลิศมากครับ


    -->โป๊ปตั้งกฎขึ้นมาว่า ห้ามแปลไบเบิ้ลเป็นภาษาอื่น(ตอนแรกเป็นภาษาละติน) โดยอ้างว่ามีเพียงสันตะปาปาเท่านั้นที่จะสื่อสารกับพระเจ้าได้
    ข้อนี้มาร์ตินก็ไม่เห็นด้วยอย่างแรงอีกนั่นล่ะ หลังจากที่เขาถูกขับไล่ก็ได้แปลไบเบิ้ลเป็นภาษาเยอรมัน (มาร์ติน ลูเทอร์จบปริญญาเอกน่ะ) ทำให้ชาวเยอรมันได้อ่านไบเบิ้ลและเข้าใจศาสนาเอง

    ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเพียงบางส่วนครับ จะเห็นว่าโป๊ปพยายามหาเงินเหลือเกิน แล้วเอาไปทำอะไรล่ะ

    - สร้างกรุงโรมให้เป็นศูนย์กลางความเจริญ
    - ฟื้นฟูศิลปะขึ้นใหม่ โดยดึงตัวศิลปินชื่อดังมากมายมาทำ สร้างเป็นนครวาติกัน
    >> นครวาติกัน


    ซึ่งสองอย่างที่กล่าวมามันก็ดีครับ แต่อย่างไรก็ตามทำดีด้วยเงินที่ได้มาแบบนั้นมันก็นะ
    ยิ่งเวลาผ่านไปการกระทำของโป๊ปยิ่งดูงมงาย จนเกิดสงคราม30
    ปีนั่นล่ะครับ


    ---

    ขอขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก

    http://www.thaigoodview.com/node/14324
    และ คริม:คนเรียบเรียงเกร็ดความรู้

    --------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×