ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ร้าย...อุบายรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 54


    2.

                    รันดามาถึงที่โรงแรมก่อนเวลาสิบห้านาที หล่อนกวาดสายตามองหาเป้าหมาย เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครมา หล่อนจึงเดินลึกเข้าไปข้างใน พบเก้าอี้ชุดบุนวมอย่างดี เหมาะสำหรับเป็นที่สนทนางาน จึงเลือกนั่งตรงนั้น ทางด้านซ้ายเป็นลิฟต์ ทางด้านขวาเป็นบันไดหนีไฟ หล่อนนั่งหันหน้าเข้าหาลิฟต์ เผื่อว่าเป้าหมายลงลิฟต์มา หล่อนจะได้เห็นทันที แต่รันดาหารู้ไม่ว่า มีสายตาคมกริบของใครคนหนึ่งจ้องมองอยู่ด้านหลังเสาที่ใช้เป็นที่กำบัง ร่างสูงที่เร้นกายอยู่หลังเสารีบหลบทันควันเมื่อรันดามองซ้ายแลขวา

                    ไม่นานเกินรอ หล่อนได้ยินเสียงลิฟต์ดัง ติ๊ง! ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเดินออกมา ตามด้วยร่างอวบอ้วนที่เดินอย่างมีจริตจะก้าน คิดว่าน่าจะเป็นคุณแทนนี่ และร่างสูงที่เดินออกมาก่อน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายเตวิช อัศวมงคล ร่างสูงโปร่งที่วันนี้เขาสวมแว่นตากันแดดสีชา ที่บดบังสายตาของเขาอย่างมิดชิด ยากที่จะสบตาด้วย เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อน ไม่มีปก พับแขนขึ้นถึงข้อศอก ทับด้วยกางเกงขาสั้นพอดีเข่าสีขาว คาดเข็มขัดหนัง และรองเท้าหนังสีขาว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีคนมองเขาเหลียวหลังตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากลิฟต์ รันดาสูดลมหายใจเข้าลึกและนาน ก่อนถอนหายใจออกเบาๆ หล่อนเดินตรงไปหาชายทั้งสอง เอ๊ย ไม่ใช่สิ ชายแท้หนึ่ง และชายไม่แท้หนึ่ง อย่างมั่นใจ

    “สวัสดีค่ะ คุณเตวิชใช่หรือเปล่าคะ” หล่อนได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปเป็นประโยคแรก หล่อนยิ้มหวานให้ทั้งสอง หากแต่หล่อนไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา รันดาพยายามสบตาชายหนุ่มตรงหน้า แต่แว่นตากันแดดสีชาช่างเป็นอุปสรรคเสียเหลือเกิน หล่อนไม่แน่ใจว่า มันเป็นเวลาหนึ่งหรือสองนาทีกันแน่ที่หล่อนจ้องหน้าเขา และเขาก็จ้องหน้าหล่อนอยู่อย่างนั้นโดยที่เขาไม่พูดอะไรออกมาซักคำ เป็นใบ้หรือไงนะ หรือกลัวดอกพิกุลจะร่วง ในที่สุด คนที่ทนไม่ไหวเห็นจะเป็นผู้จัดการสาวประเภทสองของชายหนุ่มที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

    “แหม บรรยากาศอึมครึมจังเลยนะคะ”  แล้วแทนนี่ก็หัวเราะแก้เก้อ ก่อนเสนอ “พี่ว่า เราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่านะคะ”

    “ก็ดีค่ะ” รันดาตอบยิ้มๆ หากเวลานี้รอยยิ้มส่งไปไม่ถึงดวงตา

                    รันดาพาทั้งสองมายังโต๊ะที่หล่อนนั่งในตอนแรก แทนนี่นั่งตรงข้ามกับหล่อน ส่วนชายหนุ่มหน้ารูปปั้นนั่งตามสบายอยู่ข้างๆแทนนี่

    “ดิฉันต้องขอโทษคุณทั้งสองคนด้วยนะคะที่รบกวนเวลา แต่ดิฉันอยากรู้รายละเอียดของงานที่พวกคุณเสนอให้ดิฉันทำมากกว่านี้น่ะค่ะ” รันดาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน โดยหันหน้าคุยกับแทนนี่ และไม่ชายตามองไปทางชายหนุ่มอีกเลย

    “คืองี้ค่ะ คุณน้องขา น้องเต้เขาอยากได้คุณรันมาเป็นช่างภาพถ่ายรูปให้กับโฟโต้บุ๊คที่มีกำหนดวางแผงปลายปีนี้น่ะค่ะ” แทนนี่แจกแจงพร้อมยิ้มจนตาหยี

    “ค่ะ ลำพังเรื่องถ่ายรูปน่ะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แต่สิ่งที่ดิฉันอยากทราบจริงๆ และทำให้ดิฉันมาคุยกับคุณทั้งสองคนวันนี้คือเรื่องค่าจ้างน่ะค่ะ คือดิฉันคิดว่า...”

                    หล่อนยังพูดไม่จบประโยคดี ก็ได้ยินเสียงห้าวพูดแทรกขึ้นมาว่า

    “ทำไมครับ หรือว่าค่าจ้างหนึ่งล้านบาทมันน้อยเกินไปสำหรับคุณ เลยคิดจะเพิ่มค่าตัว”

                    รันดาหันขวับมามองเขาอย่างเต็มตา และจ้องเขาเขม็ง หล่อนไม่เห็นสายตาของเขาที่มองตรงมายังหล่อน แต่ที่หล่อนเห็นก็คือเขายิ้มอย่างยียวนชวนตีกลับมา ซึ่งรันดาลงความเห็นว่าเป็นรอยยิ้มที่กวนโอ๊ยที่สุด หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ก่อนท่องในใจ รันดา นี่คือลูกค้า ลูกค้าคือพระเจ้า หล่อนจะทำให้นิตยสารเสียชื่อเพราะหล่อนไม่ได้ จึงพยายามยิ้มหวานที่สุดในชีวิต ทั้งๆที่ในใจขุ่นมัว

    “คุณมีเหตุผลอะไรคะ ที่จ้างฉันด้วยค่าจ้างแพงลิบแบบนี้” หล่อนเปลี่ยนจากแทนตัวเองว่าดิฉัน เหลือแค่ฉันเฉยๆ ทำไมต้องญาติดีกับคนที่กวนประสาทกันตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรกแบบนี้ด้วย

    “ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น ผมแค่ถูกใจฝีมือคุณในโฟโต้บุ๊คที่คุณทำให้กับ Composure เท่านั้น คุณอยากอัพค่าตัวซักเท่าไหร่ดีล่ะ หมื่นนึง สองหมื่น หรือว่า เท่าตัว เจรจาได้นะ” เขาตอบก่อนถอดแว่นกันแดดออกเผยให้เห็นสายตาท้าทายที่มองตรงมา

    “คะ” หล่อนได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป หล่อนแน่ใจว่าหล่อนฟังไม่ผิด ผู้ชายคนนี้ทำไมไม่ชอบหน้าหล่อน ทั้งๆที่เขาเป็นคนมาขอให้หล่อนทำงานให้แท้ๆ “คุณเตวิชคะ เงินที่คุณเสนอให้ฉันมันมากกว่าเงินเดือนของฉันหลายเท่าตัวนัก แต่ฉันไม่ต้องการเงินของคุณแม่แต่บาทเดียว แล้วถ้าคุณยังอยากร่วมงานกับฉัน กรุณาพูดจาดีๆด้วยค่ะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”

                    แทนนี่ที่ปิดปากเงียบมาตลอดเริ่มกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุขนัก ในขณะที่ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนตอบ

    “ตามใจคุณ คุณจะกระทืบเท้าออกไปเดี๋ยวนี้ก็ยังได้ แต่ก่อนไป คิดให้รอบคอบดีกว่านะว่าการที่คุณไม่รับงานของผม จะสร้างความเดือดร้อนให้กับนิตยสารของคุณมากแค่ไหน ถ้าผมป่าวประกาศออกไปว่า ช่างภาพของนิตยสารชื่อดัง Composure หยิ่งยโส แถมกระทืบเท้าก่อนสะบัดก้นใส่ลูกค้า คุณวิรัช นายของคุณจะว่ายังไงครับ คุณผู้หญิง”

    “ก็คงจะไม่ว่ายังไง ฉันก็แค่ถูกเด้งออกจากงาน มันก็เท่านั้นเอง” หญิงสาวกัดฟันกรอด “เข้าใจเล่นนี่คุณ”

    “ตกลงจะเอายังไงครับ คุณมีเวลาตัดสินใจ...” เขาหยุดไป ก่อนพูดต่อ “หนึ่งนาทีไม่ขาดไม่เกิน ผมกำลังรีบ”

    “อ้าวคุณ ทำงี้ได้ไง” หญิงสาวร้องออกมาอย่างลืมตัว หล่อนเห็นเขายิ้มอย่างกวนประสาทกลับมา เขายกแขนขึ้นมา ทำท่าดูนาฬิกา

    25 24 23...”

                    หญิงสาวไม่มีทางเลือก ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้

    “ก็ได้ ๆ ฉันทำก็ได้” หล่อนตอบอย่างเสียมิได้

                    “งั้นพรุ่งนี้พบกันที่สตูดิโอของคุณ ตอนบ่ายโมง เราคงต้องคุยกัน” ว่าแล้วก็หันไปหาอีกคนที่นั่งข้างๆเขา คนที่ทำตัวเงียบกริบมาตลอด “พี่แทนนี่ ไปกันเถอะครับ” เขาพูดแค่นั้น ก่อนเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินเร็วๆจากไป ไม่ได้รอคนที่เขาเพิ่งชวนให้กลับซักนิด

                    คนที่ปิดปากเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ

    “พี่ต้องขอโทษน้องรันด้วยนะคะ น้องเต้น่ะ เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ อารมณ์แกขึ้นๆลงๆ โดยเฉพาะเวลาหิวจัด เหมือนเด็กเลยนะคะ อย่าไปถือสาแกเลยค่ะ” แทนนี่แก้ตัวแทน แล้วก็มองหล่อนด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจก่อนพูดต่อ “ทนๆทำไปเถอะค่ะ คุณน้อง ไม่กี่เดือนเอง อ้อ พี่ต้องขอตัวก่อนนะคะ พอดีนัดสไตลิสต์ไว้” แทนนี่ยิ้มตาหยีให้หล่อนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินจากไป

                    หล่อนอยากจะหัวเราะ ไม่กี่เดือนอะไรกันคะ พี่แทนนี่ กว่าจะคุยเรื่องคอนเซปต์ กว่าจะนัดถ่ายรูปไม่รู้กี่เซตต่อกี่เซต กว่าจะเลือกรูป กว่าจะแต่งรูป กว่าจะรวมเล่ม นี่ยังไม่นับรวมถึงความเรื่องมากของนายนั่น ที่หล่อนคิดว่าจะต้องประสบอย่างแน่นอน รวมแล้วอย่างต่ำ ไม่เกินสี่หรือห้าเดือนที่โฟโตบุ๊คจะสำเร็จเป็นรูปเล่ม รันดา ที่ตอนนี้หัวสมองหล่อนแทบจะระเบิด ไม่ใช่ระเบิดเพราะความโกรธ แต่ระเบิดเพราะความงงเสียละมากกว่า เพราะอะไรกันนะ ผู้ชายคนนั้นถึงไม่ชอบหล่อนตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแบบนี้

                                           ________________________________

     

                   เตวิชก้าวออกมาจากล็อบบี้โรงแรมด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาอารมณ์ไม่แจ่มใสนัก แม่รันดาอะไรนั่นหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา คิ้วเข้มที่เขาสังเกตเห็นเป็นอย่างแรกยามที่เขามองหน้าหล่อน ผมสั้นดูยุ่งไม่เป็นทรง หล่อนยิ้มสวยเห็นฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ หล่อนแต่งตัวทะมัดทะแมง สะพายกล้องไว้ที่ไหล่บอบบาง ก็ดูน่ารักดีอยู่หรอกในยามที่เขาอารมณ์ดี แต่เขาไม่เคยชอบหล่อน ไม่ชอบหล่อนตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้า ก็เพราะหล่อนทำให้เขาเดือดร้อนน่ะซี หล่อนทำให้เขาต้องมาแสดงละครในบทบาทที่ไม่ใช่ตัวเขาอย่างรุนแรง ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เขาเตะฝุ่นเตะอากาศไปตามเรื่องระบายความโกรธ เขาไม่เคยรู้จักหล่อนมาก่อน ไม่เคยรู้จัก จนกระทั่งเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว เขาคิดถึงเรื่องเมื่อเดือนก่อน เดือนก่อนที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องมาทำอะไรบ้าๆอย่างวันนี้

                    ในคืนหนึ่งของเดือนที่แล้ว มันเป็นเวลาห้าทุ่ม ชายหนุ่มกำลังหลับสบายอยู่บนเตียงในบ้านของเขา แต่เขาก็ไม่ได้หลับอย่างสบาย เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังอยู่หลายรอบ ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากการนอน เขางัวเงียขึ้นมารับสาย ให้ตายสิ เขาไม่ชอบโทรศัพท์กลางดึกแบบนี้เลย โทรศัพท์กลางดึกมักเป็นเรื่องไม่ดี

    นายเต้ นายอยู่ไหนวะ ออกมาคุยกันหน่อยเสียงเครียดกรอกมาตามสาย

                     นั่นไง เรื่องไม่ดีจริงๆด้วย

    มีอะไรวะ นายสิท ฉันกำลังนอนหลับสบายเขาตอบกลับไป

    ทำไมวะ ข้ามันไม่ดีตรงไหน หา ทำไมต้องเป็นงี้ด้วยวะเสียงของคนที่ชื่อสิท โอดครวญ ก่อนสะอึก และเงียบไป ตามมาด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวก “น้อง ไปเอาเหล้ามาอีก”

    นายสิท นั่นนายอยู่ร้านเดิมใช่มั้ย เดี๋ยวฉันไปหาเขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น

                    เรื่องไม่ดีจริงๆด้วย เขาถอนใจ พลางคิดว่าอย่าให้มันแย่กว่าที่เขาคิดไว้เลย ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน เขารีบลุกลงจากเตียง แต่งตัวอย่างง่ายๆ ด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และ หมวกแก๊ปหนึ่งใบ กันคนจำได้ และขับรถออกจากบ้านไปยังคลับประจำที่เขาและเพื่อนมักจะนัดกันไปสังสรรค์เฮฮาที่นั่น พอถึงที่หมาย เขาก็เห็นชายคนหนึ่งนั่งกระดกเหล้าอยู่หน้าโต๊ะบาร์ เขาเป็นลูกค้าคนเดียวในร้าน เนื่องจากร้านปิดเที่ยงคืน ลูกค้าคนอื่นๆจึงกลับกันไปหมดแล้ว เขาเดินตรงไปหาชายคนนั้น แล้วตบไหล่เขาเบาๆหนึ่งที

    เป็นอะไรของนายวะ ไอ้สิท

                    สิทธิภูมิ หรือสิท อย่างที่เตวิชเรียก เงยหน้าขึ้นมาจากแก้วเหล้า นัยน์ตาสองข้างบวมและแดงก่ำ ที่ผู้เห็นเดาได้ว่าคงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

    ฉันมันไม่ดีตรงไหนวะ หา นายเต้ ผู้หญิงเขาถึงไม่รักไม่ชอบ เขาโอดครวญ

                 นั่นไง เตวิชร้องขึ้นในใจ มาอีหรอบนี้ ไม่พ้นเรื่องผู้หญิง เดาไว้ไม่มีผิด เขาทอดถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนถามอย่างเหนื่อยใจ

    คราวนี้ใครอีกล่ะ

    เพื่อนยัยเจนเขาหมายถึงน้องสาวคนเดียวของเขา ‘ฉันชอบเขามากตั้งแต่ยัยเจนแนะนำให้รู้จัก คอยรับคอยส่ง คอยเอาใจเทคแคร์สารพัด จนเมื่อวานฉันตัดสินใจสารภาพรักกับเขา เขากลับขว้างหัวใจฉันทิ้ง แล้วเหยียบย่ำมันจมดินอย่างไม่ใยดี

    ถึงเราจะทำดีกับเขาแค่ไหน ถ้าเขาไม่ชอบเรา เราก็ไม่มีทางบังคับหัวใจเขาได้หรอก นายสิท ฉันว่านายตั้งสติแล้วกลับบ้านดีกว่า ฉันจะไปส่ง ส่วนรถนาย พรุ่งนี้ค่อยให้เด็กมาเอา ถึงกระนั้นสิทธิภูมิก็ยังกระดกเหล้าเข้าปากราวกับน้ำเปล่า เตวิชจึงเสริม ฉันรู้ว่ามันลืมยาก แต่นายอย่าปล่อยให้ผู้หญิงคนเดียวเข้ามามีอิทธิพลเหนือนายได้

    ฉันรู้ แต่นายเข้าใจมั้ยว่ามันเจ็บ เจ็บตรงนี้ไม่ว่าเปล่า สิทธิภูมิใช้มือข้างที่ว่างทุบหน้าอกด้านซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจแรงๆ ฉันว่านายน่าจะเป็นคนที่เข้าใจฉันมากกว่าใครนะ นายเต้ นายเองก็เจ็บแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ ตอนที่คุณเพิร์ลทิ้งนายไปหาผู้ชายคนอื่น

                 ใช่ คำพูดของสิทธิภูมิกระแทกใจของเขาอย่างจัง เขาเคยเจ็บแบบนี้มาก่อน มันยากและใช้เวลานาน แต่เขาก็ผ่านพ้นช่วงเวลายากเย็นเหล่านั้นมาได้ เขาเคยคิดว่าเขาไม่สามารถรักใครได้อีก นอกจากผู้หญิงคนนั้น คนที่ตอนนี้เป็นเหมือนเงารางเลือนสำหรับเขา แต่กาลเวลาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคิดผิดมาตลอด

    เวลาจะเป็นตัวช่วยนายสมานแผลเองเขาพูดออกไปอย่างเข้าใจ

    ไม่หรอก ฉันไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น ไม่มีใครช่วยฉันได้ ผู้หญิงคนนั้นทำกับฉันเจ็บแสบนัก เขาต้องเจ็บเหมือนอย่างที่ฉันเจ็บ ฉันต้องการแก้แค้น นายได้ยินมั้ย นายเต้เขาตะโกนออกมาอย่างเจ็บแค้น

    เออ ได้ยินโว้ย ไม่ได้หูหนวกเขาตอบส่งๆ นี่ นายสิท ฉันขอบอกไว้เลยนะ ว่าการแก้แค้นอะไรนั่น มันไม่ได้ทำให้นายมีความสุขหรอก แก้แค้นเขาไปแล้วนายได้อะไร นายจะได้หัวใจเขามาหรือ ก็เปล่า สุดท้าย นายก็จะเป็นฝ่ายเจ็บเอง ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนข้างถนนตัวหนึ่ง

               วาจาของเตวิชเฉียบคมกระแทกใจอีกฝ่าย หากไฟแค้นยังเต้นเร่าอยู่ในหัวใจของสิทธิภูมิ ทั้งรักทั้งแค้นผู้หญิงคนนั้นจับใจ เขาอุตส่าห์เฝ้ามองหล่อนมาหลายปี หวังจะได้หัวใจหล่อนมาครอบครองในซักวันหนึ่ง หากแต่หล่อนย่ำยีหัวใจของเขาด้วยเหตุผลคำแก้ตัวง่ายๆที่ว่า มีคนที่ชอบอยู่แล้วมันไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือ ที่จะสลัดคนอย่างเขาทิ้ง ทำไมหล่อนไม่บอกเขาแต่แรก หรือว่าหล่อนไม่รู้ว่าเขารักหล่อน เห็นเขาเป็นของเล่น ทั้งๆที่เขาทุ่มเทใจทั้งหมดให้หล่อน โดยที่หล่อนไม่เคยเห็นคุณค่าของมันเลย และในวินาทีนั้นเองที่เขาตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

    นายเต้ นายต้องช่วยฉันนะเขาเงยหน้าขึ้นจากแก้วเหล้า หันไปพูดกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

    จะให้ฉันช่วยอะไรเตวิชถามออกไป เขาหรี่ตา เดาเหตุการณ์ได้รางๆ

    นายต้องแก้แค้นผู้หญิงคนนั้นให้ฉันนะ

    เฮ้ย!!’ เขาร้องออกมาอย่างตกใจ เรื่องอะไรเอาอั๊วไปเอี่ยวด้วยวะ ไม่เอาล่ะ งานนี้ขอบาย

    เต้ นายก็รู้ว่าฉันไม่มีใคร นายอย่าลืมสิ ที่นายยังมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะใคร เป็นฉันคนนี้ไม่ใช่หรือ ที่ช่วยชีวิตนายเอาไว้สิทธิภูมิเริ่มลำเลิกบุญคุณ

                    เตวิชชะงักไป เพราะสิ่งที่สิทธิภูมิพูดเป็นความจริงทั้งหมด

    นายลำเลิกบุญคุณกับฉันหรือ นายสิทเขาถามเสียงแข็ง

    ใช่ ฉันมีสิทธิไม่ใช่หรือ ถ้าฉันไม่ช่วยนายเอาไว้ตอนนั้น นายก็คงไม่มีชีวิตสุขสบายอย่างในตอนนี้หรอก นายเต้

                 เตวิชกัดฟันกรอด เขาไม่นึกว่าความแค้นในหัวใจของสิทธิภูมิจะมีมากมายขนาดนี้ ถึงขนาดลำเลิกบุญคุณเอากับเพื่อน เขารึ อุตส่าห์เป็นห่วง ทั้งๆที่สิทธิภูมิคนนี้เป็นเพื่อนของเพื่อนสมัยตอนเรียนมหาวิทยาลัย คบกันห่างๆ สนิทกันด้วยเรื่องเรียนเท่านั้น วันหนึ่งเขาไปเข้าค่ายรับน้องกับมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด ในระหว่างที่เขากำลังทำกิจกรรมรับน้องอยู่ เขาบังเอิญตกน้ำ และโชคร้ายเป็นของเขาที่เขาว่ายน้ำไม่เป็น! และสิทธิภูมินี่เองที่เป็นคนช่วยเขาเอาไว้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็สนิทกับสิทธิภูมิมากขึ้น จากเพื่อนธรรมดา กลายมาเป็นเพื่อนซี้ในที่สุด

                    ในเมื่อเพื่อนที่เขาเป็นห่วงและไว้วางใจมาลำเลิกบุญคุณและขู่เข็ญเขาเช่นนี้ เขาก็โกรธจนตัวสั่น ไม่นึกว่าความแค้นจะเปลี่ยนคนเราให้กลายเป็นคนละคนไปได้ เขานึกโกรธผู้หญิงคนนั้นจับใจ ทั้งโกรธทั้งเคือง ที่ทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ช่างเหลือเกิน ไม่ชอบก็น่าจะบอกกันแต่แรก ไม่น่าปล่อยให้ปัญหามันยืดเยื้อคาราคาซังอยู่แบบนี้ แล้วเป็นไง กรรมก็ต้องมาตกอยู่ที่เขาผู้ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลย เขาอยากแก้เผ็ดหล่อนให้รู้สำนึกเสียบ้าง ผู้หญิงคนนั้นโชคดีนักหนาแล้วที่เจอเขาแก้เผ็ด ดีกว่าให้คนที่มีความเคืองแค้นร้อนรุ่มสุมอยู่ในอก พร้อมจะปะทุออกมาทุกเมื่ออย่างสิทธิภูมิไปแก้แค้นหล่อน ให้เกิดความเสียหายแก่ทุกฝ่าย อย่างน้อยเขาก็เป็นคนคุมเกม แต่เขาก็ต้องระวังให้มากที่สุดเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาจึงสืบประวัติหล่อน เรียนรู้หล่อนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยิ่งเมื่อรู้ว่าหล่อนทำงานให้กับนิตยสารที่เขาเคยร่วมงานด้วย เขาก็มีแผนที่จะได้ใกล้ชิดหล่อน

                    และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาเตะลมเตะแล้ง กระฟัดกระเฟียดอยู่หน้าล็อบบี้โรงแรม หากเขาจะแสดงออกมากไปก็ไม่ดี เพราะรู้ตัวอยู่ตลอดว่าเขาเองเป็นเป้าสายตาของคนทั่วไป จึงค่อยสงบลง แต่ก็ยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ เฮอะ ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารักดีอยู่หรอก ไม่นึกว่าจะนิสัยแบบนี้ คงจะเห็นผู้ชายเป็นแค่ของเล่น ได้มาปุ๊บก็ทิ้งปั๊บ นายสิทนี่น่าสงสาร เจอผู้หญิงแบบนี้ แต่เขาไม่ใช่สิทธิภูมิที่เอาแต่เดินตามเกมของหล่อน เขานึกอยากรู้ว่าแม่รันดาอะไรนั่นจะทำหน้าอย่างไร หากรู้ว่าเขาจะทำให้หล่อนรักเขาจนหมดหัวใจ ก่อนจะทิ้งหล่อนไปอย่างไม่ใยดี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×