คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
1.
ท่ามกลางความจอแจวุ่นวายของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ คนเดินขวักไขว่ไปมาราวกับมด รถยนต์แล่นฉิวไปตามท้องถนน เด็กหญิงคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีชมพู ผมยาว ผูกแกละสองข้าง กำลังยืนอยู่ริมฟุตบาท เธอเห็นร้านไอศกรีมน่าทานอยู่หัวมุมถนนฝั่งตรงข้าม สีสันของมันช่างหวานน่าทาน ยั่วน้ำลายเธอเสียเหลือเกิน อยากจะรอแม่ของเธอซื้อของในซุปเปอร์ให้เสร็จเสียก่อน แต่มันอดใจไม่ไหวจริงๆ เธอก้าวเดินออกไป จุดหมายอยู่ที่ร้านไอศกรีม ตาทั้งสองข้างยังจับจ้องอยู่ที่นั่น ฉับพลัน เสียงแตรก็ดังขึ้น คนร้องวี้ดว้ายตะโกนโหวกเหวก เด็กสาวหันไปมองตามเสียงนั้น เห็นรถคันหนึ่งที่แล่นสวนมาอย่างรวดเร็วตรงจุดที่เธอยืนอยู่ เด็กสาวตกใจ ทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่ยืนและหลับตาแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น
“เฮ้ย!!!” เสียงผู้ชายคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ เขาวิ่งถลาเข้าไปรวบตัวแม่หนูน้อยกระโปรงชมพูไว้ในอ้อมแขน ก่อนวิ่งกึ่งลากเด็กสาวกลับมาบนฟุตบาทอย่างรวดเร็วในขณะที่รถคันนั้นยังวิ่งต่อไปอย่างเร็วเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เด็กน้อย เจ็บตรงไหนรึเปล่า ไหนให้พี่ชายดูหน่อยซิ” หลังจากหอบอยู่นาน ชายคนที่ช่วยเด็กสาวไว้พูดออกมา เป็นประโยคแรก เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ใบหน้าอ่อนเยาว์ บ่งบอกอายุไม่น่าจะเกิน 17 หรือ 18 ปี เขาจับเด็กสาวหมุนตัวมาประจันหน้ากับเขา เธอกำลังร้องไห้หน้าดำหน้าแดง ปากเบะ ก่อนส่ายหัวน้อยๆ เป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร เธอแค่ตกใจท่านั้น ชายหนุ่มเห็นใบหน้าเสียขวัญนั้น ใจก็อ่อนยวบ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่มีอะไรแล้ว” ชายหนุ่มปลอบ หากเด็กหญิงก็ยังไม่หยุดร้องไห้ เขาจึงเสนออย่างใจดี “เอางี้ เดี๋ยวพี่เลี้ยงไอศกรีม ดีมั้ย”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่หนูกระโปรงชมพูหยุดร้องไห้ทันควัน เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างมีความหวัง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังแดงช้ำจากการร้องไห้ แถมยังมีคราบน้ำตาและน้ำมูกหลงเหลืออยู่ นั่นทำให้ชายหนุ่มทั้งนึกขันและสงสารในเวลาเดียวกัน เด็กหนอเด็ก มุขเอาของกินมาล่อ ยังใช้ได้เสมอ ไม่ว่ายุคไหน
เมื่อทั้งสองเข้ามาอยู่ในร้านไอศกรีม ชายหนุ่มรอจนกระทั่งเด็กสาวจัดการไอศกรีมที่อยู่เบื้องหน้าจนหมด จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“แม่หนู นึกยังไงเดินข้ามถนนคนเดียวแบบนั้น มันอันตรายรู้มั้ย ทีหลังถ้าจะข้าม เรียกผู้ใหญ่ซักคน แล้วขอร้องให้ช่วยพาข้าม เข้าใจรึเปล่า”
เด็กสาวทำหน้าแหยก่อนตอบเสียงใส อารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง หลังจากจัดการไอศกรีมไปสองลูก
“ก็หนูอยากกินไอติมนี่คะ แต่ลืมไปว่าข้ามถนนไม่เป็น ทุกทีแม่เป็นคนพาข้ามค่ะ”
“แล้วนี่คุณแม่ไปไหนซะล่ะ” ชายหนุ่มถาม
“คุณแม่ไปซื้อของในซุปเปอร์ค่ะ” เธอตอบก่อนอ้อมแอ้ม “เรื่องวันนี้ พี่ชายอย่าบอกคุณแม่นะคะ หนูกลัวคุณแม่จะเอ็ดเอา วันนี้หนูมีแค่ 20 บาทเท่านั้น หนูให้พี่ชายหมดเลยก็ได้”
“อ้อ นี่เราคิดจะติดสินบนหรือ ยัยเด็กแสบ” เขาถามกลั้วหัวเราะ
เด็กสาวเงียบไปอย่างรู้สึกผิด ชายหนุ่มจึงเอ่ยทำลายความเงียบ
“เอาล่ะ พี่ชายจะพากลับไปส่งที่หน้าซุปเปอร์ แล้วอย่าไปเล่นซนที่ไหนอีกล่ะ รีบกลับเข้าไปหาแม่ซะ เข้าใจมั้ย”
เธอส่ายหน้าไหวๆ ก่อนตอบ
“ไม่เอาล่ะค่ะ เข้าไปในนั้น น่าเบื่อจะตาย ไม่เอาอะ หนูอยากไปเดทกับพี่ชายมากกว่า” ว่าแล้วเธอก็ทำตาโตอย่างซุกซน
ชายหนุ่มหันขวับเมื่อได้ยิน ก่อนทำหน้าคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรเช่นนี้จากปากของเด็กหญิงที่อายุไม่น่าจะเกิน 12 หรือ 13 เลยด้วยซ้ำ
“ยัยเด็กแก่แดดเอ๊ย” เขาสบถออกมา หากแต่ยิ้มให้อย่างเอ็นดู “วันนี้พี่มีธุระ คงไป “เดท” กับเธอไม่ได้หรอกนะ ยัยตัวแสบ” เขาเน้นที่คำว่าเดท
“ว้า แย่จัง” เด็กสาวถอนใจอย่างแสนเสียดาย ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงเสนอ
“เอางี้ เห็นตุ๊กตาที่วางอยู่หลังเคาท์เตอร์นั่นมั้ย?” เขาชี้ชวน “นั่นน่ะ ตุ๊กตาลิมิตเต็ด เอดิชั่นของร้านนี้เชียวนา เดี๋ยวซื้อให้เอาเปล่า จะได้หายกัน”
เด็กสาวเอี้ยวตัวไปดู มันเป็นตุ๊กตาตัวเล็กเท่าฝ่ามือ เป็นตุ๊กตากระรอกน้อยขนฟูฟ่องสีน้ำตาลดูนุ่มนิ่ม ตากลมใหญ่ดูน่ารัก หางพองฟูชี้ขึ้นอย่างน่าเอ็นดู เธอตาโตทันทีเมื่อได้เห็น หน้าตาชี้ชัดว่าอยากได้เต็มแก่
“ถ้าพี่ชายมีเงินล่ะก็...” เด็กสาวเอ่ยขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
“อ้าว พูดงี้ดูถูกกันนี่ พี่ชายคนนี้รวยนะจะบอกให้ ไม่งั้นไม่เลี้ยงไอศกรีมเราได้ตั้งสองลูกหรอก” เขาตอบอย่างอวดๆ
และแล้วในที่สุดเด็กสาวก็ได้ตุ๊กตานั่นมาครอบครองสมใจ ชายหนุ่มนึกขันในความไร้เดียงสาของเด็กน้อยตรงหน้า วันนี้เขานัดเพื่อนกลุ่มใหญ่เอาไว้ที่ศูนย์การค้าใหญ่ใจกลางกรุงเทพ นัดฉลองที่พวกเขาสำเร็จการศึกษามัธยมปลาย และจะได้เข้าเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยต้นปีหน้า และเขาก็กำลังจะไปสายเพราะเด็กสาวหน้าตาเหลอหลาตรงหน้านี่ แต่เขาไม่เคยคิดว่าการช่วยเหลือคนเป็นเรื่องเสียเวลา แม้คนๆนั้นจะเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆไม่มีพิษไม่มีภัยแต่ทำตัวแก่แดดแก่ลมอย่างแม่เด็กสาวคนนี้
“ยัยเด็กแสบ กลับเข้าไปหาแม่ซะ แล้วอย่าไปเล่นซนที่ไหนอีกล่ะ” เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนจากกัน
“ค่ะ” แม่หนูน้อยกระโปรงชมพูรับคำ “ขอบคุณมากนะคะพี่ชายที่ช่วยหนูไว้ ขอบคุณสำหรับไอติมสุดอร่อย แล้วก็เจ้าขนฟู”
ชายหนุ่มนิรนามยิ้มกว้างสดใสก่อนเดินจากไป พร้อมกับโบกมือหยอยๆให้เด็กสาวเบื้องหลัง แต่ก็ไม่ได้หันกลับมา วินาทีนั้นที่เด็กสาวคิด คิดว่าจะมีมั้ยนะ วันที่เธอจะได้เจอกับพี่ชายแสนอบอุ่นคนนั้นอีก อาจจะไม่ แต่ก็ไม่แน่นะ โลกนี้กลมจะตายไป คิดไปเดินไปก็ภาวนาไป ว่าซักวันเธอจะได้พบเขาอีก ซักวัน...
_______________________________
หญิงสาวที่นอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนเตียงรู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าของใครบางคนหยุดอยู่หน้าห้องนอนของหล่อนก่อนจะมีเสียงเปิดและปิดประตูตามมา คุณเบญจมาศรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบของเครื่องปรับอากาศ จึงเดินไปปิด แล้วลากม่านหน้าต่างออกจากกัน แสงอาทิตย์ยามสายสอดส่องเข้ามากระทบร่างที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียง ร่างนั้นเริ่มขยับยุกยิกก่อนหาวหวอดเบาๆ คุณเบญจมาศเดินไปนั่งบนเดียงของลูกสาว ทำให้เตียงไหวยวบ
“รัน ตื่นได้แล้วลูก” เสียงนุ่มดังขึ้นริมหู “สายป่านนี้แล้ว ไป ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว”
“โอเคค่ะ” เสียงยังคงอู้อี้อย่างคนเพิ่งตื่น
“เช้านี้มีโจ๊กหมู เจ้าที่หนูชอบ แม่เพิ่งซื้อมาเมื่อเช้า เร็วๆนะ”
“ค่ะ ขอสิบนาทีนะคะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็กระโดดลงจากเตียงนอน ก่อนจะผลุนผลันเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัว พลางนึกถึงความฝันเมื่อคืน ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมาสิบปีแล้ว หล่อนก็ยังฝันแบบเดิมอยู่อีก หล่อนยังจำได้ทุกรายละเอียดถึงขนาดเก็บเอาไปฝัน ไม่รู้ว่าพี่ชายคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างตอนนี้ ถึงแม้เวลาจะผ่านไป หล่อนก็ยังไม่เลิกหวังที่จะได้พบกับเขาอีก
ไม่เกินสิบนาที หญิงสาวผิวขาวสะอาดรูปร่างโปร่งบาง ก็เดินลงบันใดมา เจ้าหล่อนมีผมสั้นสีดำขลับหยิกน้อยๆยาวประบ่า ด้านหน้าซอยเป็นหน้าม้า ดูไม่เป็นทรง หากดูเก๋ รับกับดวงหน้ารูปไข่ที่ปราศจากเครื่องสำอางใดๆ นอกจากแป้งบางๆเท่านั้น คิ้วของหล่อนเข้มดกหนา และดูจะเป็นสิ่งเดียวที่เห็นชัดที่สุดบนดวงหน้าเกลี้ยงเกลา นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มมีประกายสดใส จมูกโด่งรับกับปากอิ่มระเรื่อตามธรรมชาติ
เช้านี้รัน หรือรันดา แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสายสก๊อตสีฟ้าสลับน้ำตาล กับกางเกงยีนส์ขาสั้นชายลุ่ย เผยให้เห็นขาเรียวยาว รัดเข็มขัดหนังสีน้ำตาลกับเอวคอดกิ่ว และรองเท้าผ้าใบสีดำ ท่าทางทะมัดทะแมง หล่อนห้อยกล้อง Nikon DSLR รอบคอ ซึ่งเป็นกล้องตัวเก่งของหล่อน ไปไหนมาไหนก็ต้องห้อยเจ้านี่ติดตัวไปด้วยเสมอ หล่อนรักการถ่ายรูป ชอบมันเป็นชีวิตจิตใจ เพราะการถ่ายรูปเป็นการบันทึกความทรงจำอย่างหนึ่ง หล่อนจำไม่ได้ว่าเริ่มชอบถ่ายรูปตอนไหน แต่เพิ่งจะมาจริงจังกับมันเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยปีแรก หล่อนชอบที่จะถ่ายภาพสิ่งแปลกใหม่ที่หล่อนยังไม่เคยเห็นเก็บเอาไว้ หรือชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่เร่งรีบในเมืองหลวง หรือชีวิตที่เรียบง่ายสบายๆอย่างต่างจังหวัดหรือชนบทไกลๆ หล่อนรักหนักหนาที่จะเดินทางไปโน่นมานี่ แล้วถ่ายรูปธรรมชาติ สถาปัตยกรรมหรือชีวิตของผู้คนที่แตกต่างไปจากหล่อน หล่อนรักอิสระ และไม่เคยหยุดนิ่งที่จะเรียนรู้สิ่งรอบๆตัว หล่อนยังทำงานเป็นตากล้องให้กับนิตยสาร Composure ซึ่งเป็นนิตยสารไลฟ์สไตล์ และเนื่องจากงาน หล่อนต้องเดินทางบ่อยครั้ง ขึ้นเหนือไม่ก็ล่องใต้ บางครั้งก็ไปต่างจังหวัด บางครั้งไปต่างประเทศ บางครั้งต้องเสี่ยงปีนเขา ข้ามแม่น้ำ เพื่อเก็บภาพสวยๆ แม่ของหล่อนไม่เห็นด้วยเลยกับงานนี้ แม่ว่าหล่อนชีพจรลงเท้าและไฮเปอร์เกินเหตุ เพราะเห็นว่าต้องเดินทางรอนแรมตลอด กลับบ้านมาแต่ละทีต้องมีรอยเขียวจ้ำตามผิวหนังไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง หรือหลายที่ แต่หล่อนก็ช่างรักงานของหล่อนเสียเหลือเกิน ให้หล่อนตายเสียดีกว่าที่จะออกจากงาน มันตื้นเต้น ท้าทาย ไม่เหมือนกับงานน่าเบื่ออย่างในออฟฟิศ และไม่มีเวลาทำงานที่ตายตัว ทำให้หล่อนมีอิสระมากขึ้น
รันดาลงบันใดมา พร้อมกับยิ้มกว้างสดใสให้มารดา ฟันขาวสะอาดเรียงตัวเป็นระเบียบชวนให้ใครๆก็ต้องมองซ้ำ แม่ว่ายิ้มของหล่อนสวย มันเปิดเผย และจริงใจ และที่สำคัญรันดาไม่ได้ยิ้มที่ปากอย่างเดียว หล่อนยิ้มไปถึงดวงตาด้วย
“วันนี้เข้างานสายหรือลูก” คุณเบญจมาศถามขึ้น
“ค่ะแม่ วันนี้เข้าสิบเอ็ดโมง นี่มันต้นเดือน หนังสือเพิ่งวางแผงไป รันเลยว่างงาน เหลือก็แต่แต่งรูปบางส่วนเท่านั้น” พูดไปพลาง หล่อนก็เริ่มจัดการกับโจ๊กหมูเบื้องหน้า เมื่อรับประทานจนหมด หญิงสาวก็ลุกไปหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ ก่อนลาไปทำงาน
หล่อนช่างรักครอบครัวของหล่อนเสียเหลือเกิน บ้านของหล่อนไม่ได้ร่ำรวย บ้านเดี่ยวหลังเล็กที่อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูกอย่างอบอุ่น เรียกว่าเป็นชนชั้นกลางจะดีที่สุด ชนชั้นกลางที่เป็นชนชั้นกลางจริงๆ มีกินมีใช้ แต่ไม่ถึงกับอัตคัดขัดสน แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนในบ้านก็ต้องประหยัดอดออม
ขับรถออกจากที่นั่น จนถึงตึกสูงแห่งหนึ่งแถวสาธร หล่อนขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่ 9 ก็ถึงที่ทำงานของหล่อน รันดามีโต๊ะทำงานเป็นของตัวเองที่ชั้นนี้ จริงๆแล้วสถานที่ทำงานของหล่อนก็คือสตูดิโอที่ชั้น 10 ที่นั่นมีสตูดิโออยู่หลายห้อง มีห้องประชุมใหญ่ รวมถึงห้องมืดเพื่อใช้ในการล้างรูปด้วย เวลาหล่อนต้องการแต่งภาพโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์หล่อนก็จะลงมาทำที่ชั้น 9 ชั้นนี้เป็นชั้นของนิตยสาร Composure โดยเฉพาะ มีหลายแผนกรวมกัน มีแผนกถ่ายรูป แผนกคอลัมนิสต์ แผนกพิสูจน์อักษร แผนกสไตลิสต์ และห้องทำงานของหัวหน้าหล่อน ก็อยู่ที่ชั้นนี้เช่นกัน เมื่อหล่อนเดินมาถึงโต๊ะทำงาน คุณดาว เลขาของวิรัช บอสของหล่อน ก็มาเชิญหล่อนไปที่ห้องทำงานของเขา หญิงสาวเปิดประตูเข้าไป เห็นชายวัยกลางคนในชุดทำงานนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ กำลังอ่านเอกสารอะไรบางอย่าง หล่อนกระแอมเบาๆให้เขารู้ว่าหล่อนมาแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมอง และเชื้อเชิญอย่างยิ้มแย้ม
“อ้าว ตากล้องของเรามาแล้ว นั่งก่อนสิ”
รันดาจึงนั่งตรงข้ามเขาโดยมีโต๊ะทำงานคั่นกลาง
“มีอะไรหรือคะ บอส เรียกหารันแต่เช้าเชียว” หญิงสาวเอ่ยทักทายพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“งานเข้า” เขาตอบง่ายๆ
“หือ” หญิงสาวเลิกคิ้ว “งานด่วนหรือคะ นี่รันคิดว่าอาทิตย์นี้จะสบายแล้วนะคะเนี่ย” หล่อนหัวเราะ “มีอะไรให้รันดาคนนี้รับใช้ ว่ามาได้เลยค่ะ”
“คุณรู้จักนายแบบที่ชื่อ เตวิช อัศวมงคล มั้ย” บอสใหญ่ถาม
“คุ้นๆเหมือนกันค่ะ เคยได้ยินชื่อตามข่าวหนังสือพิมพ์เหมือนกัน นัยว่าเป็นนายแบบรุ่นใหม่ ไฟแรง ที่สาวๆตามกรี๊ด” หล่อนตอบ “ทำไมคะ นายคนนี้จะมาเป็น Cover ของเราเดือนนี้หรือคะ”
“เปล่าหรอก เพียงแต่...” เขาหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อ “เขาเสนองานให้คุณทำแลกกับค่าจ้างหนึ่งล้านบาทถ้วน”
“อะไรนะคะ” หญิงสาวลืมตัว โพล่งออกมา “นี่มันมากกว่าค่าจ้างรันรวมกันทั้งปีอีกนะคะเนี่ย งานประเภทไหนกันคะ ที่เขาเสนอให้รันทำ”
“คุณเตวิชเขาเกิดอยากทำโฟโต้บุ๊คแจกแฟนๆ เลยขอให้คุณเป็นช่างภาพส่วนตัวตลอดการจัดทำ เขาให้เหตุผลว่า ชอบฝีมือการถ่ายรูปของคุณมาก และคิดว่าคุณจะเป็นคนที่เสนอความเป็นตัวตนของเขาออกมาได้มากที่สุด”
รันดาอึ้งไป ฟังจากที่บอสของหล่อนเล่า เหมือนกับว่านายคนนี้รู้จักหล่อนเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นแหละ แต่หล่อนก็นึกไม่ออกว่าเขารู้จักหล่อนได้ยังไง และเคยพบกันที่ไหน
“แล้วงานของนิตยสารที่รันจะต้องรับผิดชอบล่ะคะ จะทำยังไง” หล่อนถาม
“เรามีช่างภาพหลายคน คุณไม่ต้องเป็นห่วง” เขาตอบ ก่อนจะพูดขึ้นอีก “ผมไม่บังคับคุณเรื่องงานนี้หรอกนะ เพราะมันไม่เกี่ยวกับนิตยสารของเราโดยตรง แต่ใจจริงผมอยากให้คุณรับงานนี้ไว้ เพราะมันเท่ากับเป็นการโฆษณาช่างภาพของเราไปด้วย คุณกลับไปคิดให้ดีๆแล้วกัน”
“รันจะกลับไปคิดดูค่ะ” หล่อนรับปาก ทั้งๆที่ในใจยังสับสน “แค่นี้ใช่มั้ยคะบอส”
“อ้อ ผมเกือบลืม” เขายื่นเอกสารสองสามใบให้หล่อน “นี่เป็นข้อมูลส่วนตัวของนายเตวิช นามบัตรของเขากับเบอร์โทรติดต่อของผู้จัดการส่วนตัวก็ได้แนบไว้แล้ว คุณไปศึกษาดูเอาแล้วกัน ประกอบการตัดสินใจ”
“ค่ะ บอส” หล่อนรับคำ ก่อนออกมาจากห้องทำงานของนายอย่างงงๆ
กลับมานั่งที่โต๊ะ หล่อนพลิกเอกสารที่ได้รับมาอ่าน ในนั้นมีนามบัตรของทั้งนายเตวิชและผู้จัดการส่วนตัวของเขาแนบไว้ มีรูปถ่ายของเขา ประวัติส่วนตัวเท่าที่ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจะอำนวย กับข่าวแท็บบลอยด์อีกเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวเขา เท่าที่อ่านดูเขาไม่มีประวัติเสียหายเลย เป็นนายแบบฮ็อตที่วางตัวดี ไม่เคยมีข่าวฉาวที่ไหน เขาโด่งดังมาจากการแคสติ้งโฆษณาตอนอายุ 20 ปี ไม่เคยเล่นละคร แต่เบนเข็มมาเป็นนายแบบเต็มตัวตอนอายุ 26 ปัจจุบันเขาอายุ 28 เป็นนายแบบที่มาแรงแซงโค้งที่สุดในตอนนี้ก็ว่าได้ และเป็นขวัญใจสาวๆทั่วประเทศ หลังเรียนจบปริญญาตรี เขาเดินทางไปทำเอ็ม (ปริญญาโท) ที่สหรัฐอเมริกาสองปี ก่อนเดินทางกลับมารับงานต่อที่ประเทศไทย ในประวัติที่อยู่ในมือหล่อน ไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องของหัวใจ ว่าเขาชอบใครที่ไหน หรือมีแฟนมาแล้วกี่คน เป็นไปได้ยังไงกัน ดังขนาดนั้น เรื่องแบบนี้มันต้องมีบ้างสิน่า พิจารณาดูจากรูปของเขา เขาเป็นคนขาว หล่อนเดาไว้ก่อนว่าเขาน่าจะสูง ผมดำซอยตัดสั้นที่ถูกเซตไว้อย่างดีแนบไปกับลำคอ คิ้วเข้มพาดเฉียงอยู่เหนือนัยน์ตาคมกริบสีดำขลับที่มีแววฉลาดเฉลียวและรู้ทัน จมูกโด่งเหนือริมฝีปากหนาที่ปรากฏรอยยิ้มพรายอย่างมีเสน่ห์ ในรูปเขายืนพิงเสากอดอก ไขว้ขาไว้ด้านหนึ่งอย่างเท่ห์ๆ เขาแต่งกายอย่างง่ายๆด้วยเสื้อตัวในคอกลมสีเขียว ทับด้วยเสื้อนอกสีดำ คล้ายเสื้อสูท แต่ลำลองกว่ากันมาก กางเกงยีนส์ขาเดปตามสมัยนิยม และรองเท้าหนังสีน้ำตาล ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขา ประกาศว่าทุกอย่างราคาแพง และเป็นของอย่างดี อาจจะซื้อที่เมืองนอกด้วยก็ได้ หล่อนเดา อึดใจต่อมา รันดาตัดสินใจต่อโทรศัพท์ไปยังผู้จัดการส่วนตัวของนายเตวิช สักพักจึงมีคนรับสาย
“สวัสดีค่าาา” เสียงห้าวที่ถูกดัดให้ฟังดูหวานตอบกลับมา ทำให้ผู้ฟังเดาได้ว่า คนรับน่าจะเป็นสาวประเภทสอง
“สวัสดีค่ะ นั่นคุณทีฆารึเปล่าคะ ดิฉัน รันดา ช่างภาพจากนิตยสาร Composure นะคะ” หล่อนกรอกเสียงลงไป
“แหม กำลังรออยู่พอดีเลยค่ะ คุณน้องขา” ผู้จัดการส่วนตัวของนายเตวิชตอบอย่างมีจริต “เรียกพี่ว่าแทนนี่ดีกว่านะคะ”
“ค่ะ คุณแทนนี่” หล่อนหัวเราะ “คือดิฉันอยากจะขอนัดพบคุณเตวิชได้มั้ยคะ อยากจะคุยรายละเอียดเรื่องงานน่ะค่ะ”
“โอ๊ยย ได้ซีคะ เดี๋ยวพี่จัดการให้ค่ะ ไม่ต้องห่วง ขอดูตารางเวลาก่อนนะคะ ว่าคุณเต้จะว่างช่วงไหนบ้าง”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไป
อึดใจถัดมา ผู้จัดการสาวประเภทสองก็กลับมาถือสายโทรศัพท์อีกครั้ง
“คุณเต้จะว่างตอนบ่ายสองวันนี้ ไม่ทราบว่าคุณรันดาโอเคมั้ยคะ”
“โอเคเลยค่ะ ที่ไหนดีคะ”
“งั้นเจอกันที่ล็อบบี้โรงแรมดิอิมพีเรียลรอแยลแล้วกันนะคะ มีถ่ายปกที่นั่นพอดี” แทนนี่ตอบ
“โอเคค่ะ เอาเป็นว่าเจอกันที่นั่น ตอนบ่ายสองแล้วกันนะคะ” หล่อนตอบก่อนวางสายไป ทีนี้หล่อนจะได้รู้เสียทีว่าที่เขาจ้างหล่อนด้วยค่าจ้างแพงลิบ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ใจจริงแล้วหญิงสาวไม่ค่อยอยากรับงานนี้เท่าไหร่ เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็น่าสงสัยอยู่ดี ไปคุยกันก่อนให้รู้เรื่องน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แล้วหล่อนจะตัดสินใจอีกที
ความคิดเห็น