คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
ตอนที่ 3
“มันเกิดอะไรขึ้นครับพ่อ”
ก้องภพถามพ่อด้วยเสียงสะอื้นที่พุ่งขึ้นจากลำคอของเขาอย่างไม่รู้ตัว การจากไปอย่างไม่ทันตั้งตัวของน้องชายคนเดียวทำให้เขารู้สึกสับสนไปหมด
“ก็อย่างที่แกรู้ ตอนนี้ตากันต์ก็ตายไปแล้ว”
ผู้เป็นพ่อพยายามเลี่ยงไม่ยอมตอบตรงๆทั้งที่เข้าใจคำถามดีและรู้ดีว่าคำตอบที่บุตรชายของเขาต้องการคืออะไร
“ผมอยากรู้ว่าตากันต์ตายได้ยังไง”
ก้องภพเองก็รู้ดีว่าพ่อกำลังบ่ายเบี่ยงเหมือนมีอะไรปิดบังอยู่ ทำให้เขาต้องถามเสียงแข็ง มองหน้าพ่อตรงๆแล้วก็กลับหันหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้รู้สึกถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างพ่อลูก
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนพ่อไปเจอตากันต์ ตากันต์ก็ตายแล้ว”
ผู้เป็นพ่อพยายามอธิบายเหตุผลของตนอย่างใจเย็นเพราะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดีว่าเวลาที่กำลังโมโหอยู่จะไม่ยอมให้กับใครง่ายๆ
“พ่อไม่รู้จริงๆ หรือว่ารู้แล้วไม่บอกเพราะไม่อยากให้ผมรู้กันแน่”
มีหรือที่คนหัวรั้นอย่างก้องภพจะเชื่อ เหตุผลง่ายๆที่ผู้เป็นพ่อบอกไม่สามารถอธิบายการตายของน้องชายและไม่อาจไขข้อข้องใจให้เขาได้เลยสักนิด
“นี่แกคิดว่าพ่อปิดบังแกอย่างงั้นเหรอ”
ผู้เป็นพ่อไม่ตอบแต่กลับมองหน้าอีกฝ่ายอย่างหัวเสีย เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมบุตรชายของเขาจึงไม่เข้าใจความหวังดีของเขาบ้าง ในความคิดของผู้เป็นพ่อ การที่ก้องภพจะรู้หรือไม่ว่ากันต์ตายเพราะอะไร ก็คงไม่แตกต่างกันและคงไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้น เพราะอย่างไรเสียกันต์ก็ไม่อาจกลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัวได้อีกแล้ว ตรงกันข้ามถ้าก้องภพรู้ความจริงอะไรบางอย่าง เขาอาจจะไม่สบายใจและใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขอีกเลย
“ถึงยังไงผมก็ไม่เชื่อว่าพ่อไม่รู้ ที่ผ่านมาพ่อคอยสั่งห้ามเรามาตลอดว่าห้ามไปที่เกาะนั่น ถ้าพ่อไม่มีเรื่องอะไรปิดบังพวกเราจริงๆ ทำไมพ่อจะต้องห้ามพวกเราด้วย”
ก้องภพไม่ละความพยายามที่จะเค้นความจริงจากผู้เป็นพ่อต่อ เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามสงบสติอารมณ์อย่างมากเพราะกลัวว่าตัวเองจะโกรธมากไปกว่านี้
“ที่พ่อต้องห้ามพวกแก เพราะตอนนั้นพวกแกยังเด็ก พ่อกลัวว่าพวกแกจะเป็นอะไรไปต่างหาก”
ดำรงพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นลงแล้วแกล้งตอบเลี่ยงๆเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
“แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ มีเรื่องกับครอบครัวของเราขนาดนี้ ตากันต์ก็ต้องมาตายไป พ่อยังคิดจะปิดบังผมอีกเหรอครับ”
ก้องภพย้ำความต้องการของตัวเองด้วยท่าทีที่โมโหอย่างเด็กที่ไม่รู้จักโต
“แกอย่ามาเซ้าซี้อะไรพ่ออีกเลย”
ผู้เป็นพ่อรีบตัดบทแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เขายืนอยู่เพียงลำพังพร้อมกับความสงสัยที่มีอยู่เต็มหัวไปหมด โดยไม่ทันได้ยินเสียงสบถของบุตรชาย
“ก็ได้ ถ้าพ่อไม่ยอมเล่าให้ผมฟัง ผมก็จะหาคำตอบด้วยตัวผมเอง”
เขาชักสีหน้าไม่พอใจก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน คว้ากุญแจรถติดเครื่องแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เป็นพ่อมองตามไปอย่างเป็นห่วง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังจะไปทำอะไรที่ไหนนอกจากตัวเขาเองเท่านั้น
---------------------
รถยุโรปคันงามสีบรอนซ์ทอง ความหรูระดับเศรษฐีเท่านั้นถึงจะได้มันมาครอบครอง โดนใจทั้งในแง่ของสมรรถนะ โดดเด่นจนใครๆที่เห็นก็ต้องมองตามจนเหลียวหลัง มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์สะท้อนบุคลิกกลับมาที่เจ้าของรถได้เป็นอย่างดี ค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อมาถึงจุดหมาย หักพวงมาลัยรถเลี้ยวตามป้ายบอกทางเข้าไปยังที่จอดรถด้านหน้า
“โรงพยาบาลเงินคำ”
ชายหนุ่มหน้าตาดี สูงราวๆ
ใช่แล้ว ก้องภพนั่นเอง เขามาทำอะไรที่นี่ นี่เขากำลังต้องการจะทำอะไรกันแน่
“คุณหมอกานต์ชนกอยู่ไหมครับ”
เขาตัดสินใจเดินไปถามหาคนที่ตนต้องการพบที่แผนกประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล
“เอ่อ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ดูลังเลและลำบากใจที่จะให้เขาเข้าพบกับคนที่เขาเอ่ยถึง แต่ก้องภพก็ขอร้องและอธิบายถึงความจำเป็นของตน
“ผมขอร้องเถอะครับ ถือว่าช่วยผมก็แล้วกัน ผมมีธุระด่วนจริงๆ”
“ดิฉันขอไปเรียนคุณหมอก่อนนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะว่างให้คุณพบหรือเปล่า”
เจ้าหน้าที่รีบออกตัวก่อนเพื่อไม่ให้เขาตั้งความหวังที่จะได้พบอย่างที่ต้องการมากเกินไป เธอหายไปชั่วครู่แล้วก็กลับออกมาพร้อมกับคำตอบ
“คุณหมออนุญาตให้คุณเข้าไปพบได้คะ เชิญที่ห้องคุณหมอได้เลยนะคะ”
เธอกลับมาพร้อมกับข่าวดีแล้วผายมือไปทางห้องตรวจประจำของคนที่เขาต้องการจะพบ
“ก๊อกๆๆ”
ก้องภพเคาะประตูเบาๆสองสามครั้งเป็นการขออนุญาตเข้าพบตามมารยาท
“เชิญคะ”
เสียงเจ้าของห้องเอ่ยปากเชิญอย่างสุภาพ พร้อมกับประตูห้องที่เปิดออกช้าๆ กานต์ชนกลุกขึ้นยืนต้อนรับแล้วชี้มือไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเธอ
“เชิญนั่งก่อนคะ”
แค่ได้เห็นหน้าของกานต์ชนก เขาก็ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก หญิงสาวหน้าตาใสซื่อในชุดเสื้อกาวน์สีขาวดูบริสุทธิ์สดใส สวมกระโปรงสีดำเข้ารูปแม้จะธรรมดาและเรียบๆไปหน่อย แต่ก็ดูดีและเหมาะสมกับการทำงานของเธอ ดวงตาคมกลมโตคู่นี้ช่างดูมีเสน่ห์ลุ่มลึกและเป็นประกาย จมูกโด่งงามได้รูป ผมหนาตรงยาวประบ่า ผิวขาวเนียนละเอียด แต่งหน้ารองพื้นแบบบางๆ ปัดแก้มด้วยสีพลัมแค่พอให้ดูเป็นธรรมชาติ ทาลิปสติกมันบางๆพอให้ริมฝีปากชุ่มชื้น แม้ว่าอาจจะเทียบไม่ได้เลยกับดวงฤทัยหรือเหมี่ยวแฟนสาวของเขา ที่สวยเปรี้ยวและแต่งตัวจัด แต่ก็นับได้ว่าน่ารักและดูได้ไม่เบื่อถูกใจเขายิ่งนัก
“นั่งก่อนสิคะ”
เธอต้องเอ่ยปากชวนอีกครั้งเมื่อเห็นเขายืนนิ่งและมีท่าทีเก้ๆกังๆโดยไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าเขาแอบมองและชื่นชมเธออยู่
“คะ คะ ครับๆ”
ก้องภพตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ลดสายตาลงจากหน้าของเธอ ก้มหน้าไม่กล้าสบตาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับความรู้สึกได้
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
กานต์ชนกเอ่ยปากถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเคอะเขินอย่างไรพิกล ที่จริงแล้วเธอก็พอจะดูออกว่าเขามีท่าทีแปลกๆกว่าคนอื่นๆที่เคยพบ แต่ก็คิดว่าเขาก็คงจะแค่วางตัวไม่ถูกเท่านั้นเอง เธอมองโลกในแง่ดีเกินกว่าจะเข้าใจผู้ชายอย่างเขา
“เปล่าครับ”
ก้องภพตอบปฏิเสธอย่างเขินๆเหงื่อออกเต็มสองมือ
“งั้น คุณมีธุระกับฉันหรือคะ”
กานต์ชนกเอ่ยถามชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยท่าทีที่เป็นมิตรพร้อมทั้งยิ้มที่มุมปากเล็กๆ เพื่อให้เขาคลายความประหม่าและเขินอายลง
“เอ่อ คือผมเป็นพี่ชายของกันต์ ณ.เงินคำ คุณหมอพอจะจำได้ไหมครับ”
ก้องภพแนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จักและเริ่มเอ่ยถึงเรื่องที่ต้องการมาหาคำตอบ
“กันต์เหรอคะ หมอไม่แน่ใจนะคะ ว่าแต่ว่าคนไข้เป็นอะไรเหรอครับ”
กานต์ชนกจำไม่ได้จริง เธอตรวจคนไข้วันละหลายสิบคนจนจำไม่ได้ว่าตรวจใครคนไหนไปบ้าง จึงย้อนถามเขาเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่อีกฝ่ายพูดถึงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
“กันต์ เขาเป็นน้องชายผมเองครับ เขาตายไปแล้วตอนกลางดึกของวันอาทิตย์ที่หมออยู่เวรนะครับ หมอพอจะนึกออกไหมครับ”
เขาลำดับเหตุการณ์เพื่อให้เธอได้ทบทวนเรื่องราวในคืนนั้น
“อุ๊ยตายจริง หมอขอโทษค่ะ หมอเสียใจด้วยนะคะ หมอนึกออกแล้วคะ มีอะไรหรือคะ”
เธออุทานออกมาเพราะตกใจและรู้สึกผิด รีบเอ่ยปากขอโทษเขาทันที
“คือผมอยากรู้ว่าน้องชายผมเสียชีวิตได้ยังไง”
ก้องภพเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ ฝืนยิ้มให้และทิ้งจังหวะให้อีกฝ่ายค่อยๆลำดับเหตุการณ์และเรียบเรียงความคิด เพื่อไม่ให้เธอลำบากใจ
“จากสภาพศพที่หมอเห็นในตอนแรก ผู้ตาย เอ่อ น้องชายของคุณหนะคะ เขาตัวเขียวไปหมดแล้ว ตามตัวก็เห็นเป็นจ้ำแดงไปหมด และก็น่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนจะถึงโรงพยาบาลแล้วนะคะ หมอว่าน่าจะเป็นโรคระบบหายใจล้มเหลว (Respiratory failure) มากกว่า”
ทันทีที่นึกออกเธอก็พยักหน้าช้าๆ แล้วเล่าสิ่งตนเองพบในวันนั้นให้เขาฟัง
“แล้วโรคที่หมอว่านี่เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้างครับ”
ก้องภพรีบถามต่อด้วยความอยากรู้
“ส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะเป็นโรคปอด อาจจะเป็นหอบหืดมาก่อน เป็นปอดอักเสบติดเชื้อ หรือโรคปอดอะไรก็ได้คะ”
กานต์ชนกอธิบายให้เขาฟังตามสมมติฐานที่เธอเคยเรียนมา ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งฟังอย่างตั้งใจแต่ดูจากสีหน้าแล้วดูท่าว่าเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
“โรคปอดงั้นเหรอ กันต์มันแข็งแรงดีมาตลอดนี่นา”
ก้องภพถามตัวเองในใจหลายครั้ง เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามบอกจริงๆ
“แต่น้องชายผมไม่เคยเป็นโรคหอบ หรือว่าเป็นโรคปอดอะไรมาก่อนเลยนะครับ”
ก้องภพยังคงถามต่อด้วยความอยากรู้
“บางทีคนไข้อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองป่วยอยู่ก็ได้นะคะ”
“หรือว่า น้องผมอาจจะ
”
ยังไม่ทันที่ก้องภพจะเอ่ยปากถามจนจบประโยค พยาบาลจากหอผู้ป่วยในก็วิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง
“หมอคะๆ มีเด็กชักหมดสติไปคะ”
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
กานต์ชนกรีบออกจากห้องตามพยาบาลคนดังกล่าวไปอย่างรีบร้อน ทิ้งให้ก้องพบงุนงงกับคำตอบที่เพิ่งที่ได้รับมาเมื่อครู่ แม้ว่าการตายของน้องชายของเขาจะสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ แต่เหตุการณ์ก่อนที่น้องของเขาจะตายก็ไม่มีใครรู้หรือเห็นจริงๆ มันน่าจะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตายของน้องเขาแน่ๆ หรือว่ากำลังมีคนปองร้ายครอบครัวของเขาอยู่ ถ้าเขายังไม่สามารถสืบให้ได้โดยเร็วแล้วละก็ จะต้องมีคนในครอบครัวของเขาได้รับอันตรายเพิ่มขึ้นแน่ๆ
---------------------
ทันที่ที่มาถึงเตียงของผู้ป่วยเด็กที่พยาบาลอ้างถึงเมื่อครู่ เธอก็พบว่าทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและญาติพากันยืนอยู่ข้างเตียงเต็มไปหมด ในขณะที่เด็กนอนหมดสติอยู่บนเตียง ตัวเขียวคล้ำ
“หมอขอเชิญญาติไปรอข้างนอกก่อนนะคะ ขอให้หมอได้ทำงานก่อนนะคะ”
ในขณะที่พูดออกคำสั่งเธอก็รีบจัดท่าเด็กให้นอนตะแคงอย่างคล่องแคล่ว พร้อมๆกับที่พยาบาลปิดม่านข้างเตียงบังไว้
เธอคว้าหน้ากากออกซิเจนมาครอบจมูกและใช้อุปกรณ์ต่างๆในการปฏิบัติการช่วยชีวิตเด็กคนดังกล่าวอย่างรวดเร็ว จนเด็กหญิงค่อยๆมีสีผิวเป็นสีชมพูมากขึ้นและเริ่มจะรู้สึกตัวมากขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าจะยังสะลึมสะลืออยู่บ้าง
“พอดีเด็กเป็นลมชักอยู่แล้วหน่ะคะ แล้ววันนี้มีไข้สูง ก็เลยชัก แล้วหลังชักก็ตัวเขียวขึ้นเรื่อยๆ พี่ตกใจก็เลยรีบเรียกหมอให้มาดูก่อน ขอโทษนะคะ”
พยาบาลรีบรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เธอทราบและเอ่ยปากขอโทษที่ไปตามเธออย่างรีบร้อนทั้งที่เธอยังคุยธุระอยู่
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หมอจะโกรธมากกว่าถ้าพี่ไม่ไปตาม”
เธอรีบปฏิเสธคำขอโทษของอีกฝ่ายเพราะไม่ได้มีใครทำผิดอะไร และนี่ก็เป็นหน้าที่ที่เธอต้องรับผิดชอบและต้องมาดูคนไข้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว
“ตอนนี้เด็กเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วคะ ไม่เขียวแล้ว คงจะหยุดหายใจหลังชัก เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้นเป็นปกติแล้วหละคะ”
เธอเอ่ยตอบเสียงหวานพร้อมกับประกายยิ้มที่ปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า แล้วก็ยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อเธอหันกลับมาที่เด็กคนดังกล่าวแล้วเห็นว่าเด็กตื่นดีขึ้นและขยับตัวได้มากขึ้น
แม้ว่าเด็กจะตื่นดีแล้วแต่เธอก็ยังไม่วางใจ ยังคงนั่งอยู่ในหอผู้ป่วยเพื่อดูอาการต่อไปและต้องการจะซักประวัติการเจ็บป่วยเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการวางแผนการรักษาต่อไป
“หายดีหรือยังคะ”
“หายดีแล้วคะ” เด็กหญิงตอบไปตามซื่อเสียงอ่อยๆ
“แล้วชื่ออะไรคะเนี่ย”
กานต์ชนกเริ่มต้นการสนทนาด้วยคำถามง่ายๆก่อนเพื่อให้เด็กไว้ใจและเชื่อใจ
“ชื่อแก้มคะ” นับว่าได้ผล ท่าทางและน้ำเสียงที่ดูใจดี ทำให้เด็กหญิงกล้าที่จะตอบคำถามเธออย่างไม่รอช้าและยิ้มให้เธอเหมือนอย่างคุ้นเคย
“กี่ขวบแล้วคะ”
“7 ขวบแล้วค่ะ”
การสนทนาระหว่างกานต์ชนกและเด็กหญิงดำเนินไปเรื่อยๆจนเธอได้คำตอบที่น่าพอใจจึงยุติการสนทนาลงในที่สุด
“ขอบใจมากนะคะ หนูนอนพักไปก่อนนะ เดี๋ยวหมอขอไปทำงานก่อนนะ”
“เดี๋ยวคะหมอ”
เด็กหญิงเอ่ยทักเหมือนมีอะไรที่อยากจะบอกกับเธอ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” กานต์ชนกเอ่ยถามอย่างเอ็นดู
“เวลาที่คุณหมอแต่งชุดเจ้านางน้อย ดูสวยกว่าแต่งตัวเป็นหมออีกนะคะ”
“เหรอคะ แล้วหนูไปเห็นหมอแต่งชุดนั้นตอนไหนหล่ะ”
เธอรู้สึกแปลกใจในคำพูดของเด็กคนนี้ไม่น้อย เด็กคนนี้พูดเรื่องอะไรนะ เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าไปแต่งชุดเจ้านางน้อยอะไรนั่นตอนไหน
“ก็ตอนที่หนูหลับไปแล้วเห็นคุณหมอกำลังช่วยหนูอยู่ไงคะ หมอเก่งมากเลยนะคะ หนูไม่ได้แกล้งชมนะ ขนาดญาติของหมอที่ยืนอยู่ด้วยยังชมเลย”
เด็กหญิงตัวน้อยเล่าทุกอย่างไปตามความจริงที่เธอได้พบ แต่คนรอบข้างกลับมีสีหน้างุนงงเมื่อได้ฟังเรื่องที่เธอเล่า แม้แต่ญาติของเด็กหญิงตัวน้อยเอง
“ญาติงั้นเหรอ”
กานต์ชนกเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย คำว่า “ญาติ” ที่เด็กคนนี้เอ่ยถึงหมายถึงใครกันนะ ก็เธอมาอยู่ที่โรงพยาบาลนี้คนเดียวนี่นา แล้วเธอจะมีญาติที่ไหนอีก เธองงไปหมดแล้ว ทำไมตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ถึงได้เจอแต่เรื่องแปลกๆตลอดเวลาเลยนะ
“ใช่คะ ญาติของหมอก็แต่งชุดเจ้านางแบบคุณหมอเลย มีแต่ชุดสวยๆทั้งนั้นเลย หนูเห็นแล้วยังอยากใส่มั่งเลยคะ”
“แกอาจจะฝันไปมั้งคะ หมอไม่ต้องคิดมาหรอกคะ”
คำพูดปลอบใจของญาติคนไข้ ช่วยให้เธอคลายความสงสัยและกังวลลงไปได้มาก แต่เธอก็ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมเด็กหญิงอายุแค่ 7 ขวบ ถึงได้สามารถเล่าเรื่องราวปะติดปะต่อได้อย่างแนบเนียนเป็นคุ้งเป็นแควขนาดนี้ ถ้าจะเป็นเรื่องโกหกหรือเรื่องที่แต่งขึ้น ก็คงต้องใช้จินตนาการอย่างมากเลยทีเดียว แต่ก็เอาเถอะในเมื่อเธอไม่เคยแต่งตัวอะไรแบบนั้นสักหน่อย แล้วเธอจะต้องมานั่งคิดอะไรให้มากมายหละ เด็กคนนี้อาจจะเอาเรื่องราวที่เธอเคยได้ดูในละครโทรทัศน์มาเล่าให้ฟังก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
ความคิดเห็น