ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตนี้มีเพื่อรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 52


    ตอนที่ 3

     

                    มันเกิดอะไรขึ้นครับพ่อ

                    ก้องภพถามพ่อด้วยเสียงสะอื้นที่พุ่งขึ้นจากลำคอของเขาอย่างไม่รู้ตัว การจากไปอย่างไม่ทันตั้งตัวของน้องชายคนเดียวทำให้เขารู้สึกสับสนไปหมด

                    ก็อย่างที่แกรู้ ตอนนี้ตากันต์ก็ตายไปแล้ว

                    ผู้เป็นพ่อพยายามเลี่ยงไม่ยอมตอบตรงๆทั้งที่เข้าใจคำถามดีและรู้ดีว่าคำตอบที่บุตรชายของเขาต้องการคืออะไร

                    ผมอยากรู้ว่าตากันต์ตายได้ยังไง

                    ก้องภพเองก็รู้ดีว่าพ่อกำลังบ่ายเบี่ยงเหมือนมีอะไรปิดบังอยู่ ทำให้เขาต้องถามเสียงแข็ง มองหน้าพ่อตรงๆแล้วก็กลับหันหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้รู้สึกถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างพ่อลูก

                    พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนพ่อไปเจอตากันต์ ตากันต์ก็ตายแล้ว

                    ผู้เป็นพ่อพยายามอธิบายเหตุผลของตนอย่างใจเย็นเพราะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดีว่าเวลาที่กำลังโมโหอยู่จะไม่ยอมให้กับใครง่ายๆ

                    พ่อไม่รู้จริงๆ หรือว่ารู้แล้วไม่บอกเพราะไม่อยากให้ผมรู้กันแน่

                    มีหรือที่คนหัวรั้นอย่างก้องภพจะเชื่อ เหตุผลง่ายๆที่ผู้เป็นพ่อบอกไม่สามารถอธิบายการตายของน้องชายและไม่อาจไขข้อข้องใจให้เขาได้เลยสักนิด

                    นี่แกคิดว่าพ่อปิดบังแกอย่างงั้นเหรอ

                    ผู้เป็นพ่อไม่ตอบแต่กลับมองหน้าอีกฝ่ายอย่างหัวเสีย เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมบุตรชายของเขาจึงไม่เข้าใจความหวังดีของเขาบ้าง ในความคิดของผู้เป็นพ่อ การที่ก้องภพจะรู้หรือไม่ว่ากันต์ตายเพราะอะไร ก็คงไม่แตกต่างกันและคงไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้น เพราะอย่างไรเสียกันต์ก็ไม่อาจกลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัวได้อีกแล้ว ตรงกันข้ามถ้าก้องภพรู้ความจริงอะไรบางอย่าง เขาอาจจะไม่สบายใจและใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขอีกเลย

                    ถึงยังไงผมก็ไม่เชื่อว่าพ่อไม่รู้ ที่ผ่านมาพ่อคอยสั่งห้ามเรามาตลอดว่าห้ามไปที่เกาะนั่น ถ้าพ่อไม่มีเรื่องอะไรปิดบังพวกเราจริงๆ ทำไมพ่อจะต้องห้ามพวกเราด้วย

                    ก้องภพไม่ละความพยายามที่จะเค้นความจริงจากผู้เป็นพ่อต่อ เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามสงบสติอารมณ์อย่างมากเพราะกลัวว่าตัวเองจะโกรธมากไปกว่านี้

                    ที่พ่อต้องห้ามพวกแก เพราะตอนนั้นพวกแกยังเด็ก พ่อกลัวว่าพวกแกจะเป็นอะไรไปต่างหาก

                    ดำรงพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นลงแล้วแกล้งตอบเลี่ยงๆเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

                    แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ มีเรื่องกับครอบครัวของเราขนาดนี้ ตากันต์ก็ต้องมาตายไป พ่อยังคิดจะปิดบังผมอีกเหรอครับ

                    ก้องภพย้ำความต้องการของตัวเองด้วยท่าทีที่โมโหอย่างเด็กที่ไม่รู้จักโต

                    แกอย่ามาเซ้าซี้อะไรพ่ออีกเลย

                    ผู้เป็นพ่อรีบตัดบทแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เขายืนอยู่เพียงลำพังพร้อมกับความสงสัยที่มีอยู่เต็มหัวไปหมด โดยไม่ทันได้ยินเสียงสบถของบุตรชาย

                    ก็ได้ ถ้าพ่อไม่ยอมเล่าให้ผมฟัง ผมก็จะหาคำตอบด้วยตัวผมเอง

                    เขาชักสีหน้าไม่พอใจก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน คว้ากุญแจรถติดเครื่องแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เป็นพ่อมองตามไปอย่างเป็นห่วง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังจะไปทำอะไรที่ไหนนอกจากตัวเขาเองเท่านั้น

    ---------------------

                    รถยุโรปคันงามสีบรอนซ์ทอง ความหรูระดับเศรษฐีเท่านั้นถึงจะได้มันมาครอบครอง โดนใจทั้งในแง่ของสมรรถนะ โดดเด่นจนใครๆที่เห็นก็ต้องมองตามจนเหลียวหลัง มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์สะท้อนบุคลิกกลับมาที่เจ้าของรถได้เป็นอย่างดี ค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อมาถึงจุดหมาย หักพวงมาลัยรถเลี้ยวตามป้ายบอกทางเข้าไปยังที่จอดรถด้านหน้า

                    โรงพยาบาลเงินคำ

                    ชายหนุ่มหน้าตาดี สูงราวๆ 180 เซนติเมตร รูปร่างได้สัดส่วนแต่งตัวด้วยชุดลำลองธรรมดาแต่ดูดีเหมาะกับผู้สวมใส่ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่รถจอดสนิท เงยหน้ามองป้ายบอกสถานที่เหมือนกำลังลังเลอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในตึก

                    ใช่แล้ว ก้องภพนั่นเอง เขามาทำอะไรที่นี่ นี่เขากำลังต้องการจะทำอะไรกันแน่

                    คุณหมอกานต์ชนกอยู่ไหมครับ

                    เขาตัดสินใจเดินไปถามหาคนที่ตนต้องการพบที่แผนกประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล

                    เอ่อ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ

                    เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ดูลังเลและลำบากใจที่จะให้เขาเข้าพบกับคนที่เขาเอ่ยถึง แต่ก้องภพก็ขอร้องและอธิบายถึงความจำเป็นของตน

                    ผมขอร้องเถอะครับ ถือว่าช่วยผมก็แล้วกัน ผมมีธุระด่วนจริงๆ

                    ดิฉันขอไปเรียนคุณหมอก่อนนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะว่างให้คุณพบหรือเปล่า

                    เจ้าหน้าที่รีบออกตัวก่อนเพื่อไม่ให้เขาตั้งความหวังที่จะได้พบอย่างที่ต้องการมากเกินไป เธอหายไปชั่วครู่แล้วก็กลับออกมาพร้อมกับคำตอบ

                    คุณหมออนุญาตให้คุณเข้าไปพบได้คะ เชิญที่ห้องคุณหมอได้เลยนะคะ

                    เธอกลับมาพร้อมกับข่าวดีแล้วผายมือไปทางห้องตรวจประจำของคนที่เขาต้องการจะพบ

                    ก๊อกๆๆ

                    ก้องภพเคาะประตูเบาๆสองสามครั้งเป็นการขออนุญาตเข้าพบตามมารยาท

                    เชิญคะ

                    เสียงเจ้าของห้องเอ่ยปากเชิญอย่างสุภาพ พร้อมกับประตูห้องที่เปิดออกช้าๆ กานต์ชนกลุกขึ้นยืนต้อนรับแล้วชี้มือไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเธอ

                    เชิญนั่งก่อนคะ

                    แค่ได้เห็นหน้าของกานต์ชนก เขาก็ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก หญิงสาวหน้าตาใสซื่อในชุดเสื้อกาวน์สีขาวดูบริสุทธิ์สดใส สวมกระโปรงสีดำเข้ารูปแม้จะธรรมดาและเรียบๆไปหน่อย แต่ก็ดูดีและเหมาะสมกับการทำงานของเธอ ดวงตาคมกลมโตคู่นี้ช่างดูมีเสน่ห์ลุ่มลึกและเป็นประกาย จมูกโด่งงามได้รูป ผมหนาตรงยาวประบ่า ผิวขาวเนียนละเอียด แต่งหน้ารองพื้นแบบบางๆ ปัดแก้มด้วยสีพลัมแค่พอให้ดูเป็นธรรมชาติ ทาลิปสติกมันบางๆพอให้ริมฝีปากชุ่มชื้น แม้ว่าอาจจะเทียบไม่ได้เลยกับดวงฤทัยหรือเหมี่ยวแฟนสาวของเขา ที่สวยเปรี้ยวและแต่งตัวจัด แต่ก็นับได้ว่าน่ารักและดูได้ไม่เบื่อถูกใจเขายิ่งนัก

                    นั่งก่อนสิคะ

                    เธอต้องเอ่ยปากชวนอีกครั้งเมื่อเห็นเขายืนนิ่งและมีท่าทีเก้ๆกังๆโดยไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าเขาแอบมองและชื่นชมเธออยู่

                    คะ คะ ครับๆ

                    ก้องภพตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ลดสายตาลงจากหน้าของเธอ ก้มหน้าไม่กล้าสบตาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับความรู้สึกได้

                    คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ

                    กานต์ชนกเอ่ยปากถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเคอะเขินอย่างไรพิกล ที่จริงแล้วเธอก็พอจะดูออกว่าเขามีท่าทีแปลกๆกว่าคนอื่นๆที่เคยพบ แต่ก็คิดว่าเขาก็คงจะแค่วางตัวไม่ถูกเท่านั้นเอง เธอมองโลกในแง่ดีเกินกว่าจะเข้าใจผู้ชายอย่างเขา

                    เปล่าครับ

                    ก้องภพตอบปฏิเสธอย่างเขินๆเหงื่อออกเต็มสองมือ

                    งั้น คุณมีธุระกับฉันหรือคะ

                    กานต์ชนกเอ่ยถามชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยท่าทีที่เป็นมิตรพร้อมทั้งยิ้มที่มุมปากเล็กๆ เพื่อให้เขาคลายความประหม่าและเขินอายลง

                    เอ่อ คือผมเป็นพี่ชายของกันต์ ณ.เงินคำ คุณหมอพอจะจำได้ไหมครับ

                    ก้องภพแนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จักและเริ่มเอ่ยถึงเรื่องที่ต้องการมาหาคำตอบ

                    กันต์เหรอคะ หมอไม่แน่ใจนะคะ ว่าแต่ว่าคนไข้เป็นอะไรเหรอครับ

                    กานต์ชนกจำไม่ได้จริง เธอตรวจคนไข้วันละหลายสิบคนจนจำไม่ได้ว่าตรวจใครคนไหนไปบ้าง จึงย้อนถามเขาเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่อีกฝ่ายพูดถึงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

                    กันต์ เขาเป็นน้องชายผมเองครับ เขาตายไปแล้วตอนกลางดึกของวันอาทิตย์ที่หมออยู่เวรนะครับ หมอพอจะนึกออกไหมครับ

                    เขาลำดับเหตุการณ์เพื่อให้เธอได้ทบทวนเรื่องราวในคืนนั้น

                    อุ๊ยตายจริง หมอขอโทษค่ะ หมอเสียใจด้วยนะคะ หมอนึกออกแล้วคะ มีอะไรหรือคะ

                    เธออุทานออกมาเพราะตกใจและรู้สึกผิด รีบเอ่ยปากขอโทษเขาทันที

                    คือผมอยากรู้ว่าน้องชายผมเสียชีวิตได้ยังไง

                    ก้องภพเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ ฝืนยิ้มให้และทิ้งจังหวะให้อีกฝ่ายค่อยๆลำดับเหตุการณ์และเรียบเรียงความคิด เพื่อไม่ให้เธอลำบากใจ

    จากสภาพศพที่หมอเห็นในตอนแรก ผู้ตาย เอ่อ น้องชายของคุณหนะคะ เขาตัวเขียวไปหมดแล้ว ตามตัวก็เห็นเป็นจ้ำแดงไปหมด และก็น่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนจะถึงโรงพยาบาลแล้วนะคะ หมอว่าน่าจะเป็นโรคระบบหายใจล้มเหลว (Respiratory failure) มากกว่า

    ทันทีที่นึกออกเธอก็พยักหน้าช้าๆ แล้วเล่าสิ่งตนเองพบในวันนั้นให้เขาฟัง

    แล้วโรคที่หมอว่านี่เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้างครับ

    ก้องภพรีบถามต่อด้วยความอยากรู้

    ส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะเป็นโรคปอด อาจจะเป็นหอบหืดมาก่อน เป็นปอดอักเสบติดเชื้อ หรือโรคปอดอะไรก็ได้คะ

    กานต์ชนกอธิบายให้เขาฟังตามสมมติฐานที่เธอเคยเรียนมา ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งฟังอย่างตั้งใจแต่ดูจากสีหน้าแล้วดูท่าว่าเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก

    โรคปอดงั้นเหรอ กันต์มันแข็งแรงดีมาตลอดนี่นา

    ก้องภพถามตัวเองในใจหลายครั้ง เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามบอกจริงๆ

    แต่น้องชายผมไม่เคยเป็นโรคหอบ หรือว่าเป็นโรคปอดอะไรมาก่อนเลยนะครับ

    ก้องภพยังคงถามต่อด้วยความอยากรู้

    บางทีคนไข้อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองป่วยอยู่ก็ได้นะคะ

    หรือว่า น้องผมอาจจะ…”

    ยังไม่ทันที่ก้องภพจะเอ่ยปากถามจนจบประโยค พยาบาลจากหอผู้ป่วยในก็วิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง

    หมอคะๆ มีเด็กชักหมดสติไปคะ

    ฉันขอตัวก่อนนะคะ

    กานต์ชนกรีบออกจากห้องตามพยาบาลคนดังกล่าวไปอย่างรีบร้อน ทิ้งให้ก้องพบงุนงงกับคำตอบที่เพิ่งที่ได้รับมาเมื่อครู่ แม้ว่าการตายของน้องชายของเขาจะสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ แต่เหตุการณ์ก่อนที่น้องของเขาจะตายก็ไม่มีใครรู้หรือเห็นจริงๆ มันน่าจะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตายของน้องเขาแน่ๆ หรือว่ากำลังมีคนปองร้ายครอบครัวของเขาอยู่ ถ้าเขายังไม่สามารถสืบให้ได้โดยเร็วแล้วละก็ จะต้องมีคนในครอบครัวของเขาได้รับอันตรายเพิ่มขึ้นแน่ๆ

    ---------------------

                    ทันที่ที่มาถึงเตียงของผู้ป่วยเด็กที่พยาบาลอ้างถึงเมื่อครู่ เธอก็พบว่าทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและญาติพากันยืนอยู่ข้างเตียงเต็มไปหมด ในขณะที่เด็กนอนหมดสติอยู่บนเตียง ตัวเขียวคล้ำ

                    หมอขอเชิญญาติไปรอข้างนอกก่อนนะคะ ขอให้หมอได้ทำงานก่อนนะคะ

                    ในขณะที่พูดออกคำสั่งเธอก็รีบจัดท่าเด็กให้นอนตะแคงอย่างคล่องแคล่ว พร้อมๆกับที่พยาบาลปิดม่านข้างเตียงบังไว้

                    เธอคว้าหน้ากากออกซิเจนมาครอบจมูกและใช้อุปกรณ์ต่างๆในการปฏิบัติการช่วยชีวิตเด็กคนดังกล่าวอย่างรวดเร็ว จนเด็กหญิงค่อยๆมีสีผิวเป็นสีชมพูมากขึ้นและเริ่มจะรู้สึกตัวมากขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าจะยังสะลึมสะลืออยู่บ้าง

                    พอดีเด็กเป็นลมชักอยู่แล้วหน่ะคะ แล้ววันนี้มีไข้สูง ก็เลยชัก แล้วหลังชักก็ตัวเขียวขึ้นเรื่อยๆ พี่ตกใจก็เลยรีบเรียกหมอให้มาดูก่อน ขอโทษนะคะ

                    พยาบาลรีบรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เธอทราบและเอ่ยปากขอโทษที่ไปตามเธออย่างรีบร้อนทั้งที่เธอยังคุยธุระอยู่

                    โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หมอจะโกรธมากกว่าถ้าพี่ไม่ไปตาม

                    เธอรีบปฏิเสธคำขอโทษของอีกฝ่ายเพราะไม่ได้มีใครทำผิดอะไร และนี่ก็เป็นหน้าที่ที่เธอต้องรับผิดชอบและต้องมาดูคนไข้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว

                    ตอนนี้เด็กเป็นอย่างไรบ้างคะ

                    ตอนนี้ดีขึ้นแล้วคะ ไม่เขียวแล้ว คงจะหยุดหายใจหลังชัก เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้นเป็นปกติแล้วหละคะ

                    เธอเอ่ยตอบเสียงหวานพร้อมกับประกายยิ้มที่ปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า แล้วก็ยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อเธอหันกลับมาที่เด็กคนดังกล่าวแล้วเห็นว่าเด็กตื่นดีขึ้นและขยับตัวได้มากขึ้น

                    แม้ว่าเด็กจะตื่นดีแล้วแต่เธอก็ยังไม่วางใจ ยังคงนั่งอยู่ในหอผู้ป่วยเพื่อดูอาการต่อไปและต้องการจะซักประวัติการเจ็บป่วยเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการวางแผนการรักษาต่อไป

                    หายดีหรือยังคะ

                    หายดีแล้วคะเด็กหญิงตอบไปตามซื่อเสียงอ่อยๆ

    แล้วชื่ออะไรคะเนี่ย

    กานต์ชนกเริ่มต้นการสนทนาด้วยคำถามง่ายๆก่อนเพื่อให้เด็กไว้ใจและเชื่อใจ

                    ชื่อแก้มคะนับว่าได้ผล ท่าทางและน้ำเสียงที่ดูใจดี ทำให้เด็กหญิงกล้าที่จะตอบคำถามเธออย่างไม่รอช้าและยิ้มให้เธอเหมือนอย่างคุ้นเคย

                    กี่ขวบแล้วคะ

                    “7 ขวบแล้วค่ะ

                    การสนทนาระหว่างกานต์ชนกและเด็กหญิงดำเนินไปเรื่อยๆจนเธอได้คำตอบที่น่าพอใจจึงยุติการสนทนาลงในที่สุด

                    ขอบใจมากนะคะ หนูนอนพักไปก่อนนะ เดี๋ยวหมอขอไปทำงานก่อนนะ

                    เดี๋ยวคะหมอ

                    เด็กหญิงเอ่ยทักเหมือนมีอะไรที่อยากจะบอกกับเธอ

                    มีอะไรหรือเปล่าคะกานต์ชนกเอ่ยถามอย่างเอ็นดู

    เวลาที่คุณหมอแต่งชุดเจ้านางน้อย ดูสวยกว่าแต่งตัวเป็นหมออีกนะคะ

                    เหรอคะ แล้วหนูไปเห็นหมอแต่งชุดนั้นตอนไหนหล่ะ

                    เธอรู้สึกแปลกใจในคำพูดของเด็กคนนี้ไม่น้อย เด็กคนนี้พูดเรื่องอะไรนะ เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าไปแต่งชุดเจ้านางน้อยอะไรนั่นตอนไหน

                    ก็ตอนที่หนูหลับไปแล้วเห็นคุณหมอกำลังช่วยหนูอยู่ไงคะ หมอเก่งมากเลยนะคะ หนูไม่ได้แกล้งชมนะ ขนาดญาติของหมอที่ยืนอยู่ด้วยยังชมเลย

                    เด็กหญิงตัวน้อยเล่าทุกอย่างไปตามความจริงที่เธอได้พบ แต่คนรอบข้างกลับมีสีหน้างุนงงเมื่อได้ฟังเรื่องที่เธอเล่า แม้แต่ญาติของเด็กหญิงตัวน้อยเอง

                    ญาติงั้นเหรอ

    กานต์ชนกเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย คำว่า ญาติ ที่เด็กคนนี้เอ่ยถึงหมายถึงใครกันนะ ก็เธอมาอยู่ที่โรงพยาบาลนี้คนเดียวนี่นา แล้วเธอจะมีญาติที่ไหนอีก เธองงไปหมดแล้ว ทำไมตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ถึงได้เจอแต่เรื่องแปลกๆตลอดเวลาเลยนะ

                    ใช่คะ ญาติของหมอก็แต่งชุดเจ้านางแบบคุณหมอเลย มีแต่ชุดสวยๆทั้งนั้นเลย หนูเห็นแล้วยังอยากใส่มั่งเลยคะ

                    แกอาจจะฝันไปมั้งคะ หมอไม่ต้องคิดมาหรอกคะ

                    คำพูดปลอบใจของญาติคนไข้ ช่วยให้เธอคลายความสงสัยและกังวลลงไปได้มาก แต่เธอก็ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมเด็กหญิงอายุแค่  7 ขวบ ถึงได้สามารถเล่าเรื่องราวปะติดปะต่อได้อย่างแนบเนียนเป็นคุ้งเป็นแควขนาดนี้ ถ้าจะเป็นเรื่องโกหกหรือเรื่องที่แต่งขึ้น ก็คงต้องใช้จินตนาการอย่างมากเลยทีเดียว แต่ก็เอาเถอะในเมื่อเธอไม่เคยแต่งตัวอะไรแบบนั้นสักหน่อย แล้วเธอจะต้องมานั่งคิดอะไรให้มากมายหละ เด็กคนนี้อาจจะเอาเรื่องราวที่เธอเคยได้ดูในละครโทรทัศน์มาเล่าให้ฟังก็เป็นได้ ใครจะไปรู้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×