คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
กลุ่มคนที่ออกไปค้นหาก้องภพและน้าหมายพากันถอยกลับออกมาที่เรือหลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการค้นหามาตลอดทั้งคืน
“เอ๊ะ มีคนอยู่บนเรือนี่”
เสียงชายคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้เรือที่จอดอยู่ และมองเห็นร่างของคนสองคนอยู่บนเรือ ดำรงรีบวิ่งเข้าใกล้ๆตามที่มีบอก เขากลับมามีความหวังที่จะได้พบลูกชายอีกครั้ง
แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจจนแทบจะหมดเรี่ยวแรงเมื่อพบร่างของบุตรชายคนเล็กและคนสวนคนสนิท นอนนิ่งอยู่บนเรือที่พวกเขานำมา ลำคอเขียวคล้ำ เป็นแค่เพียงร่างที่ไร้วิญญาณเท่านั้น หัวใจที่ร้าวรานของเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“รีบนำคุณก้องไปโรงพยาบาลก่อนเถอะครับ”
ปลั่งที่ยังสามารถควบคุมสติไว้ได้ ออกความเห็นที่คล้ายกับคำสั่งกลายๆให้ทุกคนทำตาม แม้จะไม่แน่ใจนักว่าคนทั้งสองจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้คนทั้งสองตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย
ในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการอยู่กับการนำร่างไร้วิญญาณของคนทั้งสองมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ทำให้ไม่ทันสังเกตว่าด้านหลังของพวกเขาปรากฏกลุ่มหมอกกำลังก่อตัวหนาแน่นขึ้นจนเห็นเป็นร่างของใครบางคนที่มองตรงมายังคนกลุ่มนี้ด้วยความเคียดแค้น
“เจ้าพี่จะให้ข้าเจ้าไปจัดการพวกมันเลยหรือไม่”
วิญญาณของเจ้านางคำทิพย์เอ่ยถามวิญญาณของเจ้าหลวงฟ้ารุ่ง หากเพียงอีกฝ่ายให้คำตอบว่า “ใช่” นางก็พร้อมที่จะทำลายกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าให้ย่อยยับลงในทันที
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของพวกเรา พลังของเรายังไม่มากพอที่จะทำอะไรมันได้ อย่างมากเจ้าก็คงทำได้แค่ให้พวกมันเจ็บตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ดวงพระเนตรสีเลือด แดงสนิทของเจ้าหลวงฟ้ารุ่งมองตรงมาที่นางอย่างเข้าใจ พลางแย้มพระสรวลเล็กน้อยที่สามารถสร้างความตื่นตระหนกให้กับศัตรูของพระองค์ได้
“แต่ถ้าเราปล่อยมันไป ก็จะทำให้พวกมันตั้งตัวและหาทางรับมือกับเราได้นะเจ้าคะ”
แต่เจ้านางคำทิพย์กลับไม่เข้าใจอย่างที่อีกฝ่ายอยากจะให้เป็น สีหน้าและแววตาของพระนางเต็มไปด้วยความสงสัย
“จุดจบที่พวกเงินคำจะได้รับจะต้องไม่ง่ายดายแบบนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกมันอยู่อย่างเป็นสุขแน่ แต่ตอนนี้เราต้องอย่าเพิ่งวู่วาม จนกว่าเราจะหาลูกหญิงของเราพบก่อน ตอนนี้เราจะให้พวกมันรู้ตัวก่อนไม่ได้เป็นอันขาด”
เจ้าหลวงฟ้ารุ่งตรัสตอบด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น ดวงพระเนตรของพระองค์ฉายแววความเคียดแค้นออกมาอย่างเต็มที่ก่อนที่วิญญาณของทั้งสองจะค่อยๆเลือนหายไปในกลุ่มหมอกที่หนาทึบ พร้อมๆกับความน่าสะพรึงกลัวที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ราชตระกูลเงินคำ อดีตเจ้าผู้ครองนครเงินคำที่มีอดีตอันมืดดำอยู่เบื้องหลัง โดยที่คนภายนอกไม่มีวันได้รับรู้ แต่ต่อไปนี้ มันกำลังจะถูกเปิดเผยในไม่ช้า
---------------------
ร่างของหญิงสาวในชุดกางเกงทำงานขายาวสีดำพอดีตัว สวมเสื้อกาวน์สีขาวนอนอยู่บนเตียงราวกับหมดสติด้วยความเหนื่อยล้า เวลาตอนนี้เกือบๆตีสองแล้ว แต่เธอเพิ่งจะได้เอนกายลงนอนพักผ่อนหลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน
พญ.กานต์ชนก หรือหมอหญิง เพิ่งจะมาเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอเงินคำแห่งนี้แค่ 3 เดือน แม้ว่าเธอจะไม่เคยได้ยินชื่อของ “เงินคำ” มาก่อน แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองมีความผูกพันกับชื่อนี้อย่างบอกไม่ถูก และหลังจากได้ยินชื่อนี้บ่อยครั้งเธอก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจและรู้สึกว่าตนเองอาจจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่างที่นั่น เธอเองก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าเพราะอะไร ความรู้สึกของเธอบอกกับเธออย่างนั้น และนี่เองที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจมาหาคำตอบด้วยตัวเอง
เธอเพิ่งจะอายุ 23 ปีเท่านั้น และเพิ่งจะเรียนจบแพทยศาสตรบัณฑิตมาหมาดๆ แต่เธอก็มุ่งมั่นที่จะทำงานในหน้าที่ของหมอที่ดีอย่างเต็มที่
ทั้งที่ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศมากพอที่จะทำให้นอนหลับได้อย่างสบาย แต่แล้วจู่ๆเธอก็กลับรู้สึกอึดอัดอย่างไรบอกไม่ถูก กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาหลายครั้ง พยายามทำใจให้สงบ นอนนิ่งๆและข่มตาให้หลับ แต่ใจก็กลับไม่สงบอย่างที่ต้องการจะให้เป็น ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจออกมายืนที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก เผื่อว่าบรรยากาศที่ดูแปลกตาในยามค่ำคืนคงจะพอให้เธอสบายใจขึ้นและพอที่จะหลับต่อไปได้
หญิงสาวเหม่อมองไปเรื่อยๆเท่าที่เธอพอใจ ปล่อยให้ใจของเธอผ่อนคลายไปกับภาพบบรรยากาศในยามค่ำคืน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเวลาตี 3 แล้ว ดึกสงัดแบบนี้บรรยากาศรอบตัวช่างดูวังเวงเหลือเกิน
“ช่วยด้วย”
ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งฝ่าความมืดไกลออกไปเรื่อยๆพร้อมทั้งส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา แม้จะไม่รู้ว่าหญิงคนดังกล่าวคือใคร และยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นและมีอันตรายมากน้อยแค่ไหน แต่ด้วยสัญชาตญาณและจรรยาบรรณของความเป็นหมอ บอกกับเธอว่าต้องช่วยคนในยามที่เดือดร้อน ทำให้ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจวิ่งตามหญิงสาวแปลกหน้าออกไป
แต่แม้ว่าเธอจะพยายามวิ่งตามหญิงสาวคนดังกล่าวให้เร็วเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถตามไปได้ทัน หญิงสาวแปลกหน้ากลับวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ เห็นแต่เพียงด้านหลังของเธอเท่านั้น จนเธอเกือบจะถอดใจ แต่แล้วในที่สุดเธอก็ตามมาทันในสถานที่แห่งหนึ่ง เธอเองก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนเหมือนกัน รู้แค่เพียงที่นี่ดูรกทึบลึกลับและไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือ หญิงสาวตรงหน้าของเธอไว้ผมยาวประบ่า สวมชุดล้านนาโบราณพร้อมทั้งเครื่องประดับมีค่าหลายชิ้น ราวกับนางฟ้อนที่เธอเคยเห็นในละครโทรทัศน์เลยทีเดียว ผิดกันตรงที่หญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเธอดูสง่างามและสูงศักดิ์กว่ามาก จนเธอรู้สึกได้ว่าหญิงสาวคนนี้อาจจะเป็นเจ้าหญิงองค์ใดองค์หนึ่งแห่งล้านนาก็เป็นได้
“ช่วยด้วย”
หญิงสาวแปลกหน้าล้มลง ความเหนื่อยล้าจากการถูกตามล่าทำให้เธอแทบจะไร้เรี่ยวแรงให้พยุงกายลุกขึ้น สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดบอกให้เธอร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนา แม้จะรู้ดีว่าแทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองตายไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร
“อย่าทำอันใดข้าเลย ปล่อยข้าไปเถอะ”
หญิงสาวร้องขอชีวิตอีกครั้งด้วยความกลัวจนลนลาน หน้าซีดเผือดราวกับไร้สีเลือด เหงื่อแตกเต็มใบหน้า เนื้อตัวสั่นเทาราวกับจะรู้ดีว่าเธอไม่อาจมีชีวิตรอดอีกแล้ว
“อย่าทำอะไรเธอนะ”
กานต์ชนกช่วยหญิงสาวตรงหน้าร้องขอชีวิตอีกแรงด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอน แต่ก็เหมือนไม่มีใครได้ยินเสียงหรือเข้าใจคำพูดของเธอเลยสักนิด
“ไว้ชีวิตงั้นเหรอ”
เปล่าประโยชน์ ชายคนดังกล่าวไม่ใส่ใจคำขอร้องของหญิงสาวลึกลับและเสียงห้ามปรามของเธอเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังสาวเท้าก้าวเข้าไปใกล้หญิงสาวมากขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันขอร้อง ปล่อยเธอไปเถอะ”
แม้จะรู้ว่าอันตรายแค่ไหนแต่กานต์ชนกก็ยังอ้อนวอนขอร้องคนร้ายให้ไว้ชีวิตหญิงสาวคนดังกล่าวพร้อมทั้งเอาตัวเองเข้าไปขวาง ถึงจะทำเป็นกล้าแต่ก็รู้ได้ว่ากลัวจนเสียงสั่น และแล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่า หญิงสาวคนนั้น ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธออีกต่อไปแล้ว ทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงได้มีใบหน้าดุจเดียวกันกับเธอไม่มีผิด นี่เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
กานต์ชนกอุทานออกมาด้วยความตกใจจนแทบจะหยุดหายใจ เวลานี้เธอสับสนเหลือเกิน แต่เธอไม่มีเวลามากพอที่จะหาคำตอบให้กับตัวเองอีกแล้ว
“งั้นก็ตายไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”
ชายคนดังกล่าวสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เงื้อด้ามขึ้นจนสุด มองมาที่เธอด้วยแววตาที่ดุดันและโหดเหี้ยม เพียงแค่สบตากานต์ชนกก็รู้สึกถึงความตายมาอยู่ตรงหน้าจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น
“ไม่”
“อย่า”
ช้าไปเสียแล้ว ชายคนนั้นฟันดาบในมือลงมาที่ร่างของเธอเต็มแรง
“ฉับ”
เสียงอาวุธแหวกอากาศลงมาด้วยความรวดเร็วจนรู้สึกได้ถึงความน่ากลัว
“อ๊าย”
กานต์ชนกกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงด้วยความกลัวจนจับขั้วหัวใจ สะดุ้งจนสุดตัวลุกขึ้นนั่งแทบจะทันทีทันใด เหงื่อเม็ดโตปรากฏให้เห็นอยู่บนใบหน้าเต็มไปหมด เมื่อมองออกไปรอบๆ เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าเธอยังคงอยู่ในห้องนอนของเธอเอง ไม่มีร่างไร้วิญญาณของใครอยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว
“นี่เราฝันไปหรือนี่”
กานต์ชนกบอกกับตัวเองเพื่อเรียกสติกลับมา ที่แท้เธอก็ฝันไปนี่เอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอฝันแปลกๆแบบนี้ แต่ทุกครั้งความฝันของเธอจะปรากฏภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น จนสามารถปะติดปะต่อเป็นเรื่องเดียวกันได้
“กริ๊ง”
ไม่มีเวลาให้เธอคิดมากอีกแล้ว วันนี้เธออยู่เวรที่โรงพยาบาลทั้งคืน แม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบๆตีสามแล้วและเธอเพิ่งจะนอนได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่เธอก็ต้องลุกมาทำหน้าที่ของเธอต่อ เพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังในตอนนี้ ย่อมหมายความว่าต้องมีคนป่วยกะทันหันที่ต้องการให้เธอช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
“สวัสดีคะ หมอหญิงนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”
กานต์ชนกรับโทรศัพท์แล้วเอ่ยถามปลายสายอย่างสุภาพ
“หมอคะ มีคนไข้หนักที่ E.R. (ห้องฉุกเฉิน) คะ Arrest (หัวใจหยุดเต้น) ตั้งแต่ก่อนมาแล้วค่ะ”
พยาบาลที่ห้องฉุกเฉินรีบรายงานอาการผู้ป่วยทันที
“ค่ะๆ เดี๋ยวหมอจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหละคะ”
โดยไม่ต้องซักถามอาการต่อ เธอก็รีบออกจากบ้านพักในโรงพยาบาลไปที่ห้องฉุกเฉินอย่างรีบร้อน ไม่ทันแม้แต่จะล้างหน้าล้างตาหรือทำใจให้ลืมฝันร้ายเมื่อครู่เลยสักนิด
“ทำอะไรไปแล้วบ้างคะ”
ทันทีที่เธอมาถึงห้องฉุกเฉินก็พบว่าพยาบาลและเจ้าหน้าคนอื่นๆกำลังปั๊มหัวใจกันอยู่ เธอจึงรีบถามถึงการรักษาเบื้องต้นก่อน
“ให้ Adrenaline ไป 1 amp แล้วค่ะหมอ”
เธอพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยแล้วสั่งการรักษาต่อ
“ขอ Atropine อีก 2 amp นะคะ”
หลังจากนั้นเธอก็พยายามตรวจร่างกายคนไข้เท่าที่พอจะทำได้ แต่สิ่งที่เธอพบก็คือตามร่างกายปรากฏรอยจ้ำแดง บางแห่งก็เป็นสีม่วงแดงที่เกิดขึ้นหลังการตายให้เห็น แสดงว่าร่างไร้วิญญาณที่อยู่ตรงหน้าน่าจะเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว นั่นก็หมายความว่าแม้เธอจะพยายามมากเพียงใดก็ไม่สามารถชุบชีวิตร่างที่ไร้วิญญาณตรงหน้าให้กลับมาหายใจได้อีกแล้ว
หลังการช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ผ่านไปเกินครึ่งชั่วโมงตามมาตรฐานและข้อบ่งชี้เท่าที่เธอจะทำได้ กราฟบันทึกการเต้นของหัวใจก็ยังคงเป็นเส้นตรง นั่นหมายความว่าหัวใจไม่กลับมาเต้นอย่างที่ควรจะเป็นอีกแล้ว เธอจึงจำเป็นที่จะต้องหยุดการช่วยชีวิตลง
“หมอขอคุยกับญาติหน่อยนะคะ”
“ลูกชายผมเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ”
ดำรงรีบเดินตรงมาที่หมอหลังจากที่นั่งกระสับกระส่ายมานาน สีหน้าฉายแววความกังวลออกมา ดวงตาแดงก่ำเพราะต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
“หมอเสียใจด้วยนะคะ หมอพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่หมอคิดว่าคนไข้น่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนมาถึงโรงพยาบาลแล้วนะคะ เพราะว่ามีรอยจ้ำแดงขึ้นตามตัวหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอบคุณคุณหมอมากนะครับที่พยายามช่วยอย่างเต็มที่”
“ไม่เป็นไรคะ เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว”
ไม่มีเวลาให้เสียใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว ตอนนี้ตระกูล ณ.เงินคำ เหลือทายาทเพียงคนเดียวคือ ก้องภพเท่านั้น ดำรงรู้และเข้าใจดีว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เขาจะต้องปกป้องบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาจากเหตุการณ์ร้ายๆในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ได้
ตรงข้ามกับกานต์ชนก ผู้เสียชีวิตรายนี้ก็คงเหมือนกับผู้เสียชีวิตรายอื่นๆที่เธอเคยเจอมาตลอดที่เธอทำงานและอยู่เวรที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เธอช่วยอย่างเต็มที่และเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกว่าเป็นใคร หลังจากที่เขียนใบรับรองสาเหตุการตายเสร็จแล้วเธอก็เดินกลับไปบ้านพักโดยไม่รู้เลยว่า ความตายของคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนในคืนนี้ เธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และนำมาซึ่งความยุ่งยากในชีวิตของเธอ ความลับที่เธอไม่เคยอยากรู้กำลังจะเฉลยออกมาในไม่ช้า
ความคิดเห็น