คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
เรือพายลำเล็กๆลอยตัวอยู่บนผิวน้ำตัดกับแสงสีทองระยิบระยับของลำน้ำโขงที่กำลังทักทายกับแสงอาทิตย์ในยามเย็นที่สาดส่องลงบนผิวน้ำเพื่อล้อเล่นกับคลื่นเล็กๆที่เคลื่อนตัวไปกระทบฝั่ง ทำให้สายน้ำโขงแห่งนี้ดูคล้ายกับมีชีวิตจริงๆ ปรากฏร่างของชายสองคนกำลังพายเรือนั้นมุ่งหน้าออกไปกลางลำน้ำ ทั้งสองเร่งมือพายเรือให้เร็วขึ้นเพื่อไปให้ถึงเกาะกลางลำน้ำขนาดใหญ่ ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้ โดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ทันทีที่เรือเข้าเทียบฝั่งของเกาะ ชายคนที่นั่งอยู่หัวเรือก็รีบกระโดดขึ้นฝั่งแล้วผูกเชือกเรือไว้กับตอไม้ที่ยืนต้นใต้อยู่ริมแม่น้ำนั้น
ชายอีกคนลงจากเรือตามมาติดๆ ดูจากใบหน้าที่ยังอ่อนวัยอยู่ คงอายุราวๆ 20-21 ปี
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณพ่อถึงห้ามนักห้ามหนาไม่ให้ผมมาที่นี่ แต่ผมว่ามันไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ถึงมันจะดูรกไปหน่อยก็เถอะ”
เขายักไหล่พูดทำท่าทางอวดเก่ง แล้วหันไปมองรอบๆเกาะอย่างตื่นเต้น
“เกาะกลางน้ำสวยๆแบบนี้น่าอยู่จริงๆ ทำไมพ่อต้องห้ามผมด้วยก็ไม่รู้ พี่ว่าไหม เราน่าจะกางเต็นท์นอนที่นี่สักคืนนะ อากาศดีๆแบบนี้ผมว่าหลับสบายแน่ๆ”
พูดแล้วหันไปหันไปทางชายอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการผูกเชือกเรือกับตอไม้นั่น
“เสร็จแล้วครับคุณกันต์ เราเดินเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
เมื่อผูกเชือกเรือเสร็จ ชายคนดังกล่าวก็เดินไปหาชายอีกคนที่ยืนรออยู่ทันที
ชายคนนี้คือ น้าหมาย คนสวนของที่คุ้มเงินคำ คุณกันต์ที่เขาเอ่ยถึงเมื่อครู่ ก็คือ กันต์ ณ.เงินคำ บุตรชายคนเล็กของเจ้าของคุ้มนั่นเอง
เพราะเขาถูกห้ามมาตลอดว่าไม่ให้เข้าไปใกล้กับเกาะกลางน้ำแห่งนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขายิ่งอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น เขาสงสัยในความเป็นมาของเกาะแห่งนี้มาโดยตลอด แม้จะถามพ่อหลายครั้งถึงเหตุผลที่สั่งห้าม แต่พ่อก็กลับปฏิเสธที่จะเล่าให้เขาฟังมาโดยตลอดเช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เกาะแห่งนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่ รู้แต่เพียงว่าเกาะแห่งนี้มีชื่อว่า “เกาะร่มขาว” ไม่เพียงแต่พ่อของเขาเท่านั้น ชาวบ้านที่เป็นคนเก่าคนแก่และอยู่ที่นี่มานานต่างก็เอ่ยปากห้ามลูกหลานของตนเองทั้งนั้น
แต่ตอนนี้เขาคิดว่าเขาโตพอที่จะค้นหาความจริงด้วยตัวเองให้ได้ เขาจึงขัดคำสั่งของพ่อและออกเดินทางมาที่เกาะแห่งนี้พร้อมกับคนสวนเพียงสองคนเท่านั้น
“โอ๊ย”
กันต์อุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันระวัง ทำให้เขาสะดุดเข้ากับหินก้อนหนึ่ง แล้วล้มไปถูกหนามเกี่ยวที่ขาจนเลือดไหลซิบๆ
“นั่งพักก่อนเถอะครับ”
น้าหมายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แล้วประคองกันต์ที่กำลังเดินเขยกเนื่องจากข้อเท้าพลิกมานั่งพักที่ก้อนหินประหลาดก้อนใหญ่ที่กันต์เพิ่งจะสะดุดมาเมื่อครู่ โดยไม่ทันตั้งใจ ขาของเขาพาดไปบนก้อนหินนั้น เลือดจากรอยแผลก็ทาบลงบนหินก้อนนั้นในทันที
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ดูครึ้มลงอย่างแทบจะทันทีทันใด พื้นดินรอบๆสั่นไหวเบาๆแต่ก็พอสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนของแผ่นดิน หินประหลาดที่กันต์นั่งอยู่ก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นตลอดทั้งก้อน
“เปรี๊ยยย”
“นี่มันอะไรกัน”
กันต์อุทานออกมาเสียงดังแล้วกระโดดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจจนลืมความเจ็บปวดที่ผ่านมาเมื่อครู่ไปจนหมด
ทันใดนั้นเองหินทั้งก้อนก็แตกเป็นเสี่ยงๆแยกออกจากกันเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย จนไม่อาจจะคาดเดารูปร่างที่แท้จริงก้อนหน้านี้ได้เลย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
กันต์หน้าถอดสีเพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
“เรากลับกันเถอะครับคุณกันต์”
น้าหมายหน้าตาเลิ่กลักด้วยความกลัว มองไปรอบตัวอย่างหวาดๆแล้วรีบเอ่ยปากชวนเจ้านายของตนกลับด้วยความกลัวจนลนลาน
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว หมอกจัดลงปกคลุมจนทั่งทั้งเกาะจนไม่อาจจับทิศทางได้ ท้องฟ้ามืดลงกว่าเดิมอย่างทันทีทันใด อากาศรอบๆตัวเย็นลงจนหนาวเหน็บ นกกาพากันส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ บินแตกรังราวกับมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวกำลังคืบคลานเข้ามา ทั้งสองคนพยายามหาทางกลับไปที่เรือ แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนไกลออกไปเรื่อยๆ จนไม่อาจหาทางออกได้
---------------------
อากาศเย็นลงๆเรื่อยๆพร้อมกับแสงตะวันที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า เริ่มเวลาแห่งการพักผ่อนหลังจากที่ต้องตรากตรำกับการทำงานมาทั้งวัน ตรงกันข้ามกับที่สองสามีภรรยานั่งสนทนากันอยู่ในห้องหนังสือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ปีนี้แล้วสินะที่ตาก้องจะเรียนจบกลับมา”
วนิดาผู้เป็นภรรยาเอ่ยถึงบุตรชายด้วยสีหน้ากังวล
“ตาก้องหนะ ผมไม่ห่วงหรอก เพราะมันโตพอที่จะฟังเราพูดรู้เรื่อง คนที่ห่วงมากกว่าก็คือตากันต์ รายนั้นนะหัวดื้อ พูดอะไรไม่เคยยอมฟัง”
ดำรงผู้เป็นสามีกลับเอ่ยถึงบุตรชายคนเล็กด้วยสีหน้าที่วิตกกังวลมากกว่า
“แต่ไม่ว่าใครก็ลูกของเราทั้งคู่ ฉันจะไม่ยอมให้ลูกของเราเป็นอะไรเด็ดขาด”
“ใช่ แต่ไม่สำคัญเท่ากับปีนี้คือปีที่ครบ 200 ปี หลังจากเหตุการณ์ตอนนั้น”
“ฉันถามคุณจริงๆเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเงินคำกันแน่ ฉันอยากจะฟังความจริงจากปากของคุณ ฉันไม่อยากได้ยินคำปฏิเสธของคุณอีกต่อไปแล้ว”
วนิดาขอร้องผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงที่วิงวอน สายตาที่จ้องมองไปที่ดำรงราวกับว่าอยากจะรู้ใจแทบขาด เธอรู้ดีว่าตระกูลเงินคำมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ปกปิดไม่ให้คนนอกรู้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบสามสิบปีที่ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เธอคือคนของเงินคำทั้งตัวและหัวใจอย่างที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
“ไหนๆคุณก็เป็นภรรยาของผม และก็ถือว่าเป็นคนของเงินคำแล้ว ผมจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง เพราะยังไงคุณก็ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกันกับผมและลูกอยู่ดี”
ดำรงลุกขึ้นแล้วยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ เดินไปที่หน้าต่างอย่างช้าๆ มือสองข้างล้วงกระเป๋า ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ถอนหายใจหลายครั้งด้วยความอึดอัด เรียบเรียงความคิดเพื่อหาคำตอบให้กับผู้เป็นภรรยาแล้วเอ่ยปากเล่าเรื่องที่ปิดบังมานานให้เธอฟัง
“ต้นตระกูลของเราก็คือ เจ้าหลวงคำก้อน แห่งนครเงินคำ”
ยังไม่ทันจะเล่าต่อเขาก็หันหน้ามาทางวนิดา เหมือนมีเรื่องที่ลำบากใจจนไม่อยากจะพูดต่อ
“เรื่องนั้นฉันก็รู้ ชาวบ้านแถบนี้ก็รู้ ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น ที่ดินแถบนี้ก็เป็นมรดกตกทอดของตระกูลเงินคำมาตั้งนานแล้ว”
“แต่เธอไม่แปลกใจบ้างหรือว่า ทำไมนครเล็กๆอย่างเงินคำ ถึงได้มีที่ดินและทรัพย์สมบัติมากมาย และยังคงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้”
“ก็ตระกูลของคุณเป็นถึงเจ้าหลวงมาก่อนนี่คะ ถ้าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายก็ไม่เห็นจะแปลก ยังไงฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
วนิดายังคงไม่เข้าใจสิ่งที่สามีบอกกับเธอ
“แต่เมืองอื่นๆที่อยู่รอบๆเงินคำหละ ทั้งที่เป็นเมืองใหญ่กว่าเงินคำแทบทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติเหลือไว้ให้ลูกหลานมากมายเหมือนอย่างเงินคำ”
“คุณกำลังจะบอกอะไรฉันหรือคะ”
วนิดาถามต่อด้วยสีหน้ากังวล แต่ยังไม่ทันที่ดำรงจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้เป็นภรรยาฟัง ก็กลับมีเสียงร้องเรียกขัดจังหวะขึ้นจนต้องยุติการสนทนาลง
“แย่แล้วครับพ่อเลี้ยง มีชาวบ้านเห็นคุณกันต์กับไอ้หมายแอบเอาเรือเล็กพายออกไปที่เกาะโน่นแล้วครับ เราจะทำยังไงกันดีครับ”
ปลั่ง คนขับรถร้องตะโกนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาอย่างรีบร้อนจนผู้คนพากันแตกตื่นไปทั้งคุ้ม
“ว่ายังไงนะ”
เขาอุทานออกมาเสียงดังเพราะตกใจจนลืมตัว สีหน้าฉายความกังวลออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ท่านได้ยินไม่ผิดหรอกครับ คุณกันต์แอบออกไปที่เกาะนั่นจริงๆ”
“แกรีบพาคนของเราออกไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย”
ดำรงรีบออกคำสั่งอย่างลนลาน แล้วรีบออกจากห้องไปที่เกาะแห่งนั้นแทบจะทันทีด้วยใจที่เต้นระส่ำจนแทบไม่เป็นจังหวะ เวลานี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตบุตรชายของเขาอีกต่อไปแล้ว
---------------------
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำในเครื่องแต่งกายเจ้านายฝ่ายเหนือโบราณ กระชับดาบในมือแน่น สาวเท้าเข้าไปใกล้ชายวัยกลางคนที่แต่งกายคล้ายคลึงกัน นั่งอยู่บนพื้นหญ้าไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้หรือหนีไปที่ใดๆได้อีกต่อไป ในสภาพที่เลือดอาบไปทั้งตัว
“ไว้ชีวิตข้าเถอะ ทรัพย์สมบัติของข้า เจ้าก็ได้ไปหมดแล้ว ชีวิตของคนฟ้ารุ้งร่มขาวก็สังเวยคมดาบของเจ้าไปจนหมดแล้ว เจ้ายังจะต้องการอะไรจากข้าอีก”
“ใช่ ทุกอย่างของเจ้าข้าได้ไปหมดแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการมากที่สุด นั่นก็คือ”
เขาหยุดพูดแล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก ชี้ปลายดาบจ่อไปที่คอหอยของอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ดุดันและตวาดออกมาเสียงดังกว่าเดิม
“ชีวิตเจ้า”
“ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าสัญญา ข้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
“ไว้ชีวิตงั้นเหรอ เจ้าเอาเกียรติยศแห่งความเป็นเจ้าหลวงไปไว้ที่ไหน เลือดสีน้ำเงินในตัวเจ้า มันไม่เหลือศักดิ์ศรีใดๆจนต้องร้องขอชีวิตเลยหรือ เจ้าหลวงเช่นเจ้าทำไมถึงได้ทำตัวอย่างน่าละอายเยี่ยงนี้นะ”
คำพูดที่ดูถูกเหยียดหยาม ทำให้อีกฝ่ายลืมความกลัวตายจนหมดสิ้น ขัตติยมานะทำให้เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าคนข้างหน้าจะเป็นใคร แม้จะรู้ดีว่าพญามัจจุราชรอคอยที่จะพบตนในไม่ช้านี้แล้ว
“ใช่ ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก ฮะๆๆฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะออกมาเสียงดังราวกับคนเสียสติ
“มีอะไรน่าขำอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ เจ้าพูดถูกแล้ว เป็นถึงเจ้าหลวงทำไมถึงได้ทำเรื่องน่าละอายแบบนี้ แต่คำคำนี้ข้าน่าจะพูดกับเจ้ามากกว่า เจ้าทำตัวได้น่าละอายยิ่งนัก เป็นถึงเจ้าหลวง แต่กลับตระบัดสัตย์ ทำลายไมตรีระหว่างเรา ปล้นชิงเอาทรัพย์สมบัติจากผู้อื่นไป ราชวงศ์พงศ์เผ่าของเจ้าจะไม่มีวันสงบสุข ข้าขอสาปแช่งเจ้า”
“ปากดีนักนะ”
ชายอีกคนโมโหจนแทบคลั่ง คุมสติไม่อยู่ตวัดดาบลงบนร่างของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ฉับ”
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดแต่ก็ต้องสะกดกลั้นความเจ็บปวดนั้นไว้ สีหน้าเคียดแค้นขึ้นมาทันที รวบรวมแรงครั้งสุดท้ายก่อนจะเอ่ยปากสาปแช่งอีกฝ่าย
“ราชตระกูลของเจ้า จะต้องสูญสิ้น สมบัติที่เจ้าได้ไป จะไม่มีวันได้ครอบครอง เจ้าจะต้องพังพินาศย่อยยับ ข้าขอสาปแช่งเจ้า”
พูดได้เพียงเท่านี้ คมดาบจากอีกฝ่ายก็ฟันลงที่คอของเขา ตัดผ่านหลอดลมและเส้นเลือดแดงใหญ่ วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างจนแทบจะทันที
ชายคนร้ายหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยความดีใจที่สามารถสังหารศัตรูของตนเองได้ แล้วค่อยๆหันหน้ากลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เย็นชา
ทันทีที่เห็นใบหน้าชายคนดังกล่าวอย่างชัดเจน ก้องภพก็เสียใจจนแทบสิ้นสติ จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไรในเมื่อภาพใบหน้าของชายคนนั้น คือใบหน้าของเขานั่นเอง
“ไม่จริง”
เขาตะโกนจนสุดเสียง ผุดลุกขึ้นนั่งทันทีพร้อมๆกับเหงื่อเม็ดโตปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า มือทั้งสองข้างกุมขมับด้วยความสับสน ภาพความฝันของเขาทำไมมันช่างเหมือนกับความจริงเหลือเกิน
“มีอะไรหรือคะก้อง”
เหมี่ยว หรือ ดวงฤทัย แฟนสาวของก้องภพที่นอนอยู่ข้างๆต้องตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกันกับเขา ในตอนแรกเธอดูหงุดหงิดไม่น้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าของแฟนหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในอาการเสียขวัญเธอก็ใจเย็นลง
“คุณฝันเหมือนเดิมอีกแล้วหรือคะ”
เมื่อเห็นแฟนหนุ่มไม่ตอบ เธอจึงต้องเป็นฝ่ายถามเสียเองพลางโอบไหล่เขาเบาๆเพื่อให้เขาคลายความกังวลลง ก้องภพนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะหันหน้ามาทางแฟนสาวช้าๆด้วยสีหน้าสลด
“เหมือนเดิมเหรอ มันไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว ผมรู้สึกว่ามันรุนแรงมากขึ้นทุกครั้ง ภาพมันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมแทบจะแยกไม่ออกว่ามันคือความจริงหรือความฝันกันแน่”
“เหมี่ยวเข้าใจค่ะ แต่ตอนนี้ดึกแล้วนะคะ เหมี่ยวว่าคุณนอนหลับให้สบายก่อนดีกว่าค่ะ อย่าเพิ่งคิดมากเลย ความฝันก็คือความฝัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้วนะคะ”
“เฮ้อ”
ก้องภพไม่ตอบแต่กลับถอนหายใจยาวๆแล้วค่อยๆล้มตัวลงนอนอย่างช้าๆ ถึงเขาจะนอนลงแล้วแต่ยังคงลืมตาโพลง ในใจของเขาสับสนเหลือเกิน คิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายครั้งจนสมองอ่อนล้าไปหมด เขาไม่แน่ใจว่าความฝันนี้ต้องการบอกอะไรเขา หรือว่าจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่างกันแน่
---------------------
คนกลุ่มใหญ่ พากันเอาเรือออก แล้วมุ่งหน้าสู่เกาะร่มขาวอย่างเร่งรีบ แม้ที่ผ่านมาดำรงจะห้ามทุกคนที่เกี่ยวข้องไม่ให้เดินทางไปที่เกาะแห่งนี้ และยิ่งเป็นเวลาที่ดึกขนาดนี้อีกยิ่งไม่กล้ามีใครขัดคำสั่งเขา แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ เขากล้าฝ่าฝืนข้อห้ามของบรรพบุรุษเพื่อออกไปตามหาบุตรชายคนเล็กของตระกูล บุตรชายคนที่เขารักหนักหนา
“นั่นไงครับพ่อเลี้ยง เรือที่คุณกันต์เอาออกมากับน้าหมาย”
ทันทีที่เรือเดินทางมาถึงเกาะร่มขาว สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ เรือเปล่าๆผูกติดอยู่กับหลัก ในขณะที่บรรยากาศบนเกาะเงียบเชียบราวกับไม่มีสิ่งชีวิตใดๆอาศัยอยู่เลย
“คุณกันต์ครับ”
“น้าหมาย”
“ตากันต์”
เสียงคนร้องเรียกผู้ที่หายตัวไปดังกันระงมไปหมดจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ยิ่งหาก็ยิ่งพบแต่ความว่างเปล่า ความหวังของผู้เป็นพ่อที่จะได้พบบุตรชายสุดที่รัก ริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาอ่อนล้าไปหมดแล้ว
“เรากลับกันก่อนเถอะครับพ่อเลี้ยง”
เมื่อเห็นว่าการค้นหาไม่มีทีท่าว่าจะได้ข้อยุติและทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ากับการค้นหาที่ดำเนินมานานแล้ว น้าปลั่งจึงตัดสินใจขอร้องให้หยุดการค้นหาไว้ก่อน
หัวใจของผู้เป็นพ่อแทบจะแตกสลาย ถึงแม้จะยังไม่อยากหยุดการค้นหาแต่ทุกคนก็เหนื่อยกันมาทั้งคืนแล้ว ในขณะที่หมอกลงจัดมากขึ้นจนไม่สามารถที่จะค้นหาต่อไปได้ ในที่สุดเขาก็จำเป็นต้องตัดใจ
“เรากลับกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่”
ดำรงออกคำสั่งให้หยุดการค้นหาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า เพราะไม่อยากให้คนอื่นลำบากใจ ก้มหน้าอย่างสำนึกผิดที่ไม่อาจตามตัวบุตรชายคนเล็กกลับมาได้ เดินจากไปด้วยหัวใจที่แสนจะเจ็บปวด
ความคิดเห็น