ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กูรู้ มึงสู้ไหว

    ลำดับตอนที่ #7 : โชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 53


    โชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย
    อยากให้คนไทยลองอ่านเรื่องนี้ดู
    เรื่องของชาติมอญ ประเทศมอญ ที่อาจจะสะท้อนอะไรบางอย่างให้ชาติไทย
    (จากหนังสือ กูรู้ สู้ไหว 160 หน้า ราคา 99 บาท)
    หนังสือของเราเอง กำลังใจราคาถูก ที่อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆแน่นอน

    เมื่อสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ปี 2 (ตัวผู้เขียน)

    ผมได้ไปเข้าค่ายแพทย์ชนบท ตามที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้เห็นการใช้ชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชนบท
    จริงๆ แล้วเราก็แยกย้ายกันไปหลายจังหวัดทั้ง สงขลา น่าน ขอนแก่น แต่จังหวัดที่ผมได้ไปก็คือ กาญจนบุรี

    ผมได้ไปอยู่กับครอบครัวแห่งหนึ่งที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
    ครอบครัวนี้ สามีเป็นกะเหรี่ยง แต่เป็นกะเหรี่ยงที่อยู่ในไทยมานานแล้วและมีสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านเหมือนคนไทยคนอื่นๆ ทุกอย่าง มีภรรยาเป็นคนอีสาน


    สังคมของที่นี่จึงเรียกได้ว่า เป็นพหุสังคมได้อีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
    - คนไทยพื้นราบ
    - คนจีนที่ค้าขายอยู่ในตลาด
    - คนมอญ
    - คนพม่าที่เข้ามาทำงาน
    - คนกะเหรี่ยงที่เป็นคนพื้นที่อยู่เดิม
    - ชาวต่างชาติที่ทั้งมาท่องเทียวและเป็นนักพัฒนาสังคม รวมทั้งมาเผยแพร่ศาสนาตามแนวชายแดน

    แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกสะดุดและสะเทือนใจก็คือ “ชาวมอญ”
    เป็นมอญที่เพิ่งอพยพเข้ามาใหม่ หนีจากสภาพถูกบีบคั้นจากประเทศพม่า

    สมัยก่อนรัฐบาลไทยพยายามผลักดันมอญกลุ่มนี้ให้กลับออกนอกประเทศ เพราะไม่ต้องการบาดหมางกับรัฐบาลพม่า
    แต่แล้วเพราะเป็นเรื่องมนุษยธรรม ประเทศไทยจึงต้องรับกลุ่มมอญพลัดถิ่นนี้ให้อยู่ในประเทศต่อ แต่มีนโยบายจัดทำทะเบียนและบัตรประจำตัวผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าขึ้น

    ถ้าคุณเคยไปที่วัดวังวิเวการาม หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อของวัดหลวงพ่ออุตมะ เราจะเห็นบ้านเรือนที่ปลูกอยู่รายล้อมวัดบ้านเรือนเหล่านั้น คือบ้านของชาวมอญนั่นเอง มีเพื่อนบางคนได้ไปอยู่ที่นี่ด้วย
    บ้านเหล่านี้คือที่พักอาศัยของเขาเท่านั้น ไม่มีกรรมสิทธิ์ทั้งในตัวบ้านและที่ดิน เพราะพวกเขาไม่ใช่คนไทย ไม่มีทะเบียนบ้าน ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน
    เขาคือคนมอญที่อพยพหนีไฟสงครามและไฟการเมืองมาจากประเทศพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่าเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศและเริ่มดำเนินนโยบายปราบปรามชนกลุ่มน้อย ส่งผลให้สถานการณ์ชายแดนค่อนข้างตึงเครียด จึงมีชาวมอญอพยพหนีภาวะเสียงอันตรายเข้ามามากขึ้น ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นของประเทศไทย ส่งผลให้มีชาวมอญอพยพและหลบหนีเข้ามารับจ้างเป็นแรงงานในไทยมากขึ้น
    และที่สำคัญ เขาไม่ใช่คนพม่า เพราะพวกเขาคือมอญ จึงไม่สามารถกลับไปฝั่งพม่าได้ (หัวหน้าของพวกเขาเล่าว่ามีบางคนกลับไป แล้วถูกคนฝั่งโน้นยิ่งเสียชีวิต เพราะไม่มีบัตรแสดงตัวว่าเป็นคนพม่า)

    สิ่งที่พวกเขามีก็คือ บัตรสี
    บัตรสีฟ้า คือ บุคคลบนพื้นที่สูง มีทั้งที่อพยพมาจากพม่าและเป็นชาวเขาดั้งเดิม ส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงอยู่ในพื้นที่ป่าเขา
    บัตรสีส้ม คือ ผู้หลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่าที่เข้าเมืองมาแล้วมีที่อยู่เป็นของตนเอง
    บัตรสีชมพู คือ ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า เป็นคนสัญชาติพม่าที่หนีภัยการสู้รบเข้ามาอยู่ในอำเภอสังขละบุรีก่อน พ.ศ. 2519
    บัตรสีม่วง คือ ผู้ที่หลบหนีเข้าเมืองมาเพื่อทำงานอยู่อาศัยกับนายจ้าง
    บัตรสีเขียวขอบแดง คือ บุคคลชุมชนบนพื้นที่สูง

    การใช้สิทธิในความเป็นบุคคลในประเทศไทยย่อมถูกจำกัด อาทิ สิทธิและเสรีภาพในการเคลื่อนไหวย่อมถูกจำกัด ทั้งนี้โดยการกำหนดเขตหมู่บ้านที่ระบุไว้ในบัตรประจำตัวหรือในทะเบียนประวัติว่าให้อยู่เฉพาะในเขตควบคุมและจะออกนอกพื้นที่ไม่ได้ เพราะบัตรเหล่านี้ ไม่สามารถใช้แทนแสดงบัตรประจำตัวประชาชนได้

    นอกจากนี้ทางราชการยังมีนโยบายผลักดันกลับให้ได้มากที่สุด
    การไม่มีบัตรประชาชนสัญชาติไทยหมายถึงโอกาสทางการศึกษา และการทำงานที่น้อยกว่าคนอื่น

    บัตรสี ไม่สามารถใช้แทนบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านได้ นั่นคือ หลักฐานนั้นจะนำไปใช้สมัครงานตามบริษัทหรือหน่วยงานราชการใด ๆ ไม่ได้ เพราะถือว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย
    ชาวมอญผู้ถือบัตรสีชมพู จะถูกจำกัดเขตที่อยู่ให้อาศัยอยู่ในเขตอำเภอสังขละบุรีเท่านั้น ห้ามออกนอกพื้นที่อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะมีความผิดทางกฎหมาย แต่ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องออกนอกพื้นที่ จะต้องทำเรื่องขออนุญาตจากทางอำเภอสังขละบุรีเสียก่อน หรือถ้ามีความประสงค์จะเดินทางกลับไปประเทศพม่า ก็ต้องรายงานแจ้งหัวหน้าคุ้มในหมู่บ้านก่อน แล้วจึงไปทำเรื่องขออนุญาตจากทางอำเภอ

    ในส่วนของชาวมอญผู้ใช้แรงงานก็จะใช้บัตรสีชมพูทำเรื่องขออนุญาตทำบัตรแรงงานต่างด้าวเอง หรือไม่ก็นายจ้างมาติดต่อทำเรื่องขออนุญาตทำบัตรแรงงานต่างด้าวให้ เพื่อออกนอกพื้นที่ไปทำงาน ผู้ใดที่มีบัตรแรงงานต่างด้าวแล้ว ก็สามารถออกไปทำงานนอกตัวอำเภอสังขละบุรีได้
    แต่ ยิ่งชาวมอญผู้ถือบัตรสีชมพูมีโอกาสน้อยแค่ไหน ชาวมอญผู้ถือบัตรสีส้มก็ยิ่งมีโอกาสน้อยกว่านั้น
    งานส่วนใหญ่ของคนที่นี่ก็คือ รับจ้างเท่านั้น

    ส่วนเด็กนักเรียน เมื่อเรียนจบมัธยมต้นก็มีวุฒิการศึกษาให้ ถึงแม้ว่าจะศึกษาต่อระดับมัธยมปลาย จนถึงระดับวิทยาลัย แต่เมื่อศึกษาจบออกมาก็ไม่มีสิทธิ์รับราชการเพราะไม่มีหลักฐานทางราชการอื่นๆ
    ดังนั้น ถึงแม้ว่าเด็กคนใดมีความสนใจอยากศึกษาต่อมากแค่ไหน หรืออนาคตวาดฝันไว้ไกลไว้สูงแค่ไหน แต่เนื่องจากผู้ปกครองมีความเห็นว่า ถึงเรียนสูงเพียงใด แต่ด้วยความไม่มีบัตรประชาชน และปัญหาความยากจนที่พวกชาวมอญต้องเผชิญ เด็กเหล่านี้ก็ต้องออกจากโรงเรียนแล้ว เดินเข้าสู่ตลาดแรงงานราคาถูกในที่สุด

    อยู่ก็อยู่อย่างไร้อนาคต ไปก็ไปอย่างหมดความหมาย
    แต่ถึงลำบากขนาดไหน คนมอญก็ยังมีประโยคที่มักพูดกันเสมอในหมู่ชนของตนเองคือ

    "ชนชาติมอญแม้สิ้นแผ่นดินแต่ไม่สิ้นชาติ"

    บ้านของคนไทยทุกหลังมีรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    บ้านของพวกเขาที่ผมได้ไปเยี่ยม ก็มีรูปวาดของสมเด็จพระเจ้าราชาธิราช อดีตกษัตริย์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งชนชาติมอญ ในท่าประทับยืน เท้าข้างหนึ่งเหยียบเหนือก้อนศิลา พระหัตถ์กุมพระแสงดาบไว้
    แต่นั่นก็คือความยิ่งใหญ่ในอดีตเท่านั้น
    เพราะตอนนี้ คำว่ามอญ เป็นแค่เพียงชนชาติ แต่ไร้ซึ่งรัฐและประเทศ
    จะมีใครสักกี่คนที่เคยได้ยินว่า เคยมีรัฐมอญอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน

    แต่ในเมื่อเรายังมีสิทธิและหน้าที่ของความเป็นคนไทยสมบูรณ์ สามารถทำอะไรได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องยอมแพ้ให้กับความผิดพลาดในชีวิตที่เกิดขึ้น

    ถ้าหากทำอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด
    หรืออยู่เฉยโดยไม่คิดจะทำหรือแก้ไขอะไรเลย
    เชื่อเถอะว่า ทุกอย่างจะยิ่งแย่ลง
    และสุดท้ายก็จะไม่เป็นผลดีกับตัวเราเอง

    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย
    ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เราหันหลังกลับไปมองรากเหง้าในอดีต
    และอดีตที่จะเป็นเครื่องส่องทางให้กับอนาคตของเรา
    หากชีวิตไม่ผ่านความขรุขระ ทุรกันดาร เราก็จะไม่มีวันเห็นคุณค่าของความราบเรียบ อันแสนธรรมดา

    เราคิดเองได้ ตัดสินใจเองได้ อยากได้ หรือไม่อยากได้อะไร อยากทำหรือไม่อยากทำอะไร คิดและตัดสินใจทำได้โดยไม่ต้องรอ ผิดถูก ก็ตัวเราเอง

    เราอาจจะมีชีวิตอยู่ในวันนี้.....ด้วยความหวังของวันพรุ่งนี้ แต่จะไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ.....ท่ามกลางการแข่งขันในสังคม


    แต่เราทุกคนคงไม่อยากให้ประเทศไทยในวันนี้ กลายเป็นเหมือนรัฐมอญในตอนนี้

    หยุดทำร้ายประเทศไทยได้ไหม

    ถ้าไม่อยากให้คำว่าไทย เหลือเพียงแค่ชื่อ




    เราจะเหลืออะไรไว้ให้แก่ลูกหลานบ้าง

    จากวันนั้นถึงวันนี้ วันที่เรามี เราคงต้องมองไปข้างหน้า

    มองไปถึงอนาคตร่วมกัน อนาคตที่คนรุ่นเราต้องสร้างไว้ให้แก่ลูกหลานของเรา



    จะนั่งนิ่งๆ โดยไม่ทำประโยชน์อะไร

    เดินก้มหน้า โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง

    หรือจะเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น


    เราจะมอบมรดกอะไรไว้ให้แก่ลูกหลานบ้าง

    เราอยากให้ลูกหลานของเรา ต้องปากกัดตีนถีบ มีสภาพเหมือนเราหรือไม่

    The clock is running.

    Make the most of today.

    And remember that time waits for no one.

    Yesterday is history.

    Tomorrow is a mystery.

    But today is a gift.

    That's why it's called The Present!



    เพราะฉะนั้น จงลงมือทำเสียตั้งแต่วันนี้

    ยังไม่สายเกินไป หากจะกลับมาทบทวนตน เปลี่ยนปรับตัวเองใหม่

    อย่าหาความสุขกับอดีตที่มันผ่านไปแล้ว เพราะมันย้อนกลับมาไม่ได้

    จงหาความสุขกับปัจจุบัน เพราะมันเดินทางไปสู่อนาคตได้

    ชีวิตคนเราต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าต้องเจอกับอะไรก็ตาม

    ถ้าคุณยังคงอยู่กับอดีต ความทุกข์ก็คงวนเวียนเข้ามา





    เวลาในชีวิตของเราลดน้อยลงทุกวัน

    เรียนรู้จากสิ่งที่เสียไปและผ่านไป และเลือกมีความสุขกับปัจจุบัน

    เวลาที่ผ่านไปเท่ากับเวลาที่เสียไป ในอนาคตจะมาเรียกวันเวลาคืนไม่ได้

    ไม่จำเป็นต้องทำให้ลืม แต่ต้องรับรู้ในสิ่งที่เป็นอยู่

    สิ่งนั้นผ่านไปแล้ว เรานึกถึงได้ แต่อย่าเป็นทุกข์กับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้



    มองมุมกลับ กลับมุมมอง

    แต่ละคนก็มีเส้นทางชีวิตที่ "เลือก" แล้วต่างๆ กันไป

    เราไม่สามารถเดินตามเส้นที่ใครขีดไว้ให้เดินได้ตลอดชีวิตหรอก

    ไม่ใช่ว่าต้องเป็นคุณเท่านั้น แล้วจะไม่ได้รับความยุติธรรมในสังคม

    เพราะในสังคมมีความยุติธรรมและไม่ยุติธรรมเสมอ



    ถึงไม่ใช่คุณแต่เป็นคนอื่น

    ก็เจอกับปัญหาแบบคุณได้

    ถึงไม่ใช่คุณแต่เป็นคนอื่น

    ก็อาจได้รับความไม่เท่าเทียมได้

    ถึงไม่ใช่คุณแต่เป็นคนอื่น

    ก็ถูกสังคมเอาเปรียบได้เช่นกัน



    ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร เราต่างใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบเดียวกันทั้งสิ้น

    เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะมองโลกได้

    ชีวิตเกิดมา เพื่อเป็นบททดสอบของเราให้สู้ ไม่มีชีวิตของใครเรียบง่ายหรอก



    ต้นไม้ มันอยู่ในกระถางเล็กๆ ดินเดิมๆ ในกระถางใบเก่า

    ได้น้ำบ้างไม่ได้บ้าง

    มันยังดิ้นรนแตกใบอ่อนจนได้

    มันยังดิ้นรนที่จะออกดอกมาให้ชื่นชม

    มันยังดิ้นรนที่จะออกผลเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์



    บางครั้งลองกลับหัวมองดูโลกบ้างก็ได้
    มองแต่มุมเดิมๆ สิ่งที่คุณเห็นมันก็จะแค่ด้านเดียว

    เป็นด้านที่ทำร้ายตัวคุณเอง



    ถ้าอยากจะมองหาความสุข คุณลองมองดูรอบๆ ตัวคุณก่อน

    เราอยู่บนโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่บนโลกใบนี้

    และทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็น "เพื่อน" เรามาตั้งแต่เกิดทั้งนั้น

    เช้าตื่นลืมตา ทำจิตใจให้สดใส ยิ้มให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง

    สิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้ มีอยู่รอบตัว ทุกๆ นาที ทุกๆวินาที





    เพียงแต่ มุมมอง มุมความคิด

    คิดแบบไหน คิดยังไง ให้สร้างสรรค์

    นี่แหล่ะ คือสิ่งที่แตกต่าง

    ระหว่างแง่บวก กับแง่ลบ



    แก้ความคิดตัวเองยังยาก แก้ความคิดคนอื่นยิ่งยากกว่า

    เพราะฉะนั้น จงเดินออกมาพิสูจน์ตัวเอง ทำทุกอย่างที่คิดว่าทำได้ และอยากทำ

    แล้วทุกคนจะได้เห็นว่า

    “เราก็ทำได้”



    จงมีกำลังใจต่อสู้เพื่อที่จะอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขในทุกๆ สถานการณ์


    ความน่ากลัวของความผิดพลาด

    คือ การที่คนๆ หนึ่งมัวแต่จมอยู่กับมัน
    ความดีของความผิดพลาด

    คือ การที่คนๆ หนึ่งเรียนรู้แล้วก้าวเดินต่อไป



    ข้าพเจ้าเป็นคนเดินช้า แต่ไม่เคยเดินถอยหลัง

    วาทะเด็ดของ อับรามฮัม ลินคอร์น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×