คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro :: อาการกำเริบ
เสียงแตรเรือส่งสัญญาณดังก้องกังวานบอกให้รู้ว่าเรือลำนี้เทียบท่าเข้าฝั่งแล้ว เสียงเอะอะโวยวายของลูกเรือดังเซงแซ่ไปทั่วเพราะต้องเตรียมตัวขนย้ายสินค้าจากเรือใหญ่ลำนี้ขึ้นสู่ฝั่ง
ใช่..
ตอนนี้ผมอยู่ในเรือส่งสินค้า
..เรือส่งสินค้างั้นหรอ ?
ผมพยายามเปิดเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งของตัวเองขึ้นแต่เปลือกตาเจ้ากรรมกลับลืมปรือขึ้นมาได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น อาจเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนของร่างกายที่มีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมบวกกับความเพลียที่เกิดจากการนั่งเรือมาเป็นเวลานาน เลยทำให้ผมไม่อยากแม้แต่จะลืมตาตื่นขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ
แต่ผมก็ต้องทำ
ผมรู้ดีว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะผมได้ยินเสียงฝีเท้าของลูกเรือกำลังเดินตรงมายังทางที่ผมนั่งอยู่
ขืนผมนั่งต่อไปมีหวัง.. ได้เป็นเรื่องแน่ๆ
ผมค่อยๆยื่นใบหน้าของตัวเองออกจากเบาะกองสูงที่ใช้เป็นกำบังตัวไว้ตลอดคืนเพื่อที่จะดูว่าบริเวณนั้นมีลูกเรือคนใดได้เดินมายังทางที่ผมนั่งอยู่รึเปล่า
เมื่อเห็นว่าทางสะดวกจึงตัดสินใจยืนตัวตรงเต็มความสูงก่อนจะรีบก้าวขายาวๆของตัวเองออกมาให้พ้นจากตัวเรือที่เขาอาศัยมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ให้ลูกเรือพวกนั้นจับเขาได้เสียก่อน
เมื่อออกมาพ้นจากตัวเรือได้ซักระยะ ร่างบางก็หันหน้ากลับไปมองยังเรือที่เขาโดยสารมาอีกครั้ง
ไม่น่าสงสัยว่าทำไมลูกเรือในเรือลำนี้ถึงได้ไม่มีใครพลัดหลงมาเห็นเขาที่เป็นคนนอกนอนหลับอุตุอยู่ข้างกองเบาะสูงจนแทบจะล้มทับหัวเขาอยู่รอมร่อ
ก็ดูเรือลำนี้สิ..
ใหญ่โตยังกับตึกห้าชั้นขนาดนี้
ไหนเลยใครจะดูแลทั่วถึง..
เด็กหนุ่มยกยิ้มเยาะนิดๆกับระบบรักษาความปลอดภัยของเรือสุดหรู ขนาดเขาเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดา เรือหรูใหญ่โตลำนี้ยังปล่อยเขาที่เป็นคนนอกเข้าไปได้..
มันก็น่าแปลกเกินไป
อย่างน้อยลูกเรือที่อยู่ในนั้นก็น่าจะมีคนเห็นเขาบ้าง
แต่ก็ไม่เลย..
ผมหยุดถกเถียงปัญหากับตัวเองที่ไม่มีทางรู้คำตอบนั่น เพราะยังไงเขาก็ต้องขอขอบคุณเรือลำนี้ที่ให้เด็กกะโปโลไม่มีที่ไปอย่างเขาได้อาศัยติดเรือมาด้วยและที่สำคัญเขาไม่ต้องเสียเงินเลยซักแดงเดียว
เป็นแบบนี้ยิ่งต้องขอบคุณ..
พอเด็กหนุ่มคิดได้เช่นนั้นก็โค้งศีรษะให้กับเรือหรูนิดๆเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วก้าวเดินออกไปยังจุดหมายปลายทางที่เขาไม่ได้กำหนดเอาไว้
เขาไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ใด
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน..
หัวสมองว่างเปล่า สองขาได้แต่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย
เด็กหนุ่มกระชับผ้าผืนบางสีเทาหม่นบนไหล่ของตัวเองไว้แน่น เพราะจู่ๆอากาศที่แปรเปลี่ยนเร็วจนน่ากลัว เลยทำให้เขาต้องดึงผ้าผืนนั้นขึ้นมาปิดลำคอของตัวเองจนแทบมิด อีกทั้งในตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาก็มีเพียงแค่เสื้อสเวสเตอร์ตัวบางๆกับกางเกงขาสั้นเท่านั้นที่กำลังมอบความอบอุ่นให้กับเขา ซึ่งมันก็ไม่ได้อุ่นอะไรมากมายเท่าที่ควร..
ปลายจมูกมนเริ่มแดงนิดๆจากการถูกลมเย็นๆกระทบเข้าใส่ เขาจับจมูกบิดไปมาเบาๆสองสามทีเพื่อไล่ความเย็นนั่นออกไปแต่ก็ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล
เพราะมันกลับทำให้จมูกมนนั่นนอกจากจะไม่หายเย็นแล้วยังแดงเหมือนลูกมะเขือเทศสุกอีกด้วย
เด็กหนุ่มเลิกสนใจกับจมูกของตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่จู่ๆกลับมืดครึ้มเสียจนน่ากลัว ความชื้นที่กระทบจมูกมนบ่งบอกว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฝนจะต้องตกลงมาแน่ๆ
ร่างบางจึงสอดส่องสายตาหาที่หลบฝนก่อนจะหันไปเจอสะพานส่งน้ำตรงหน้า เขาไม่รอช้าที่จะเดินไปใต้สะพานนั้นทันที ทั้งที่ใจจริงอยากจะรีบวิ่งเข้ามาใต้สะพานแต่ก็กลับฝืนสังขารร่างกายตัวเองไม่ไหวเพราะความเหนื่อยอ่อนที่มี ทำให้เขาไม่สามารถทำตามที่ใจคิดได้
ฝนก็เทกระหน่ำลงมาแล้วแต่เขาก็ยังคงต้องเดินตากฝนไปทั้งอย่างนั้นจนกว่าจะถึงที่หมายที่เขากำหนดเอาไว้
โชดยังดีที่ร่างบางยังมีผ้าผืนบางสีเทาหม่นผืนนี้ อย่างน้อยมันก็ช่วยไม่ให้หัวของเขาโดนน้ำฝนที่ตกกระทบลงมา
อาจจะกันได้ไม่มากมายนัก
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกันเอาไว้เลย..
พอมาถึงผมก็มองบริเวณรอบๆใต้สะพานนั่น พื้นที่ใต้สะพานค่อนข้างกว้างไม่อับชื้นเท่าไหร่ อากาศก็ถ่ายเทสะดวก มีคลองน้ำใสใสไหลผ่านพอให้ผมได้ล้างหน้าหรือดื่มมันได้เมื่อผมรู้สึกกระหาย
ผมสะบัดผ้าผืนนั้นที่ใช้คุมตัวออกแล้วเอาไปตากไว้กับก้อนหินก้อนใหญ่แถวนั้นเพื่อรอมันแห้ง แล้วหาที่นั่งที่คิดว่าดีที่สุดให้กับตัวเอง
ผมนั่งลงกับตีนกำแพงของสะพานก่อนจะค่อยๆเอนหลังนาบลงกับกำแพงด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากที่เดินตากฝนมาเมื่อครู่ เมื่อนั่งไปได้สักพัก ผลันอากาศก็เริ่มเหน็บหนาวขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายเริ่มสั่นไหวนิดๆจากแรงลมที่พัดเข้ามาปะทะเข้ากับตัวของผม
เพราะร่างกายที่เปียกชื้นอยู่แล้ว
พอโดนลมเลยทำให้หนาวมากยิ่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
ผมเลยยกขาของตัวเองขึ้นมากอดไว้เพื่อบรรเทาความหนาวที่กำลังก่อตัวขึ้น วิธีนี้มันอาจไม่ได้ช่วยให้ตัวของผมหายหนาวเป็นปลิดทิ้ง แต่มันก็ยังดีกว่าให้ผมนั่งทนหนาวอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
ความเงียบเข้าปกคลุมโสตประสาทอีกครั้ง ถึงแม้จะมีสายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงเหล่านั่นก็ไม่อาจแทรกเข้ามาในส่วนความคิดของผมได้
ความคิดต่างๆเริ่มหมุนเวียนในหัวสมองอีกครั้ง
การกระทำอันโหดร้ายของใครบางคนเริ่มฉายซ้ำไปมาในหัวของผมจนน่า
..เวียนหัว
ร่างกายเริ่มสั่นเทา ใบหน้าเริ่มก้มงุดลงกับเข่าของตัวเอง ไม่ต้องการให้ใครได้เห็นสีหน้าอันเจ็บปวดที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งที่ในบริเวณนั้นไม่มีใครเลยแท้ๆแต่เขาก็กลับทำเช่นนั้นด้วยความเคยชิน..
น้ำตาเริ่มรินไหลอีกครั้ง..
ทั้งที่เพิ่งเหือดแห้ง
ริมฝีปากเล็กถูกขบกัดจนช้ำด้วยฟันคมของตัวเองเพื่อสกัดกั้นเสียงสะอื้นนั่นไว้ ทั้งที่จะปล่อยโฮออกมาก็ได้แต่เขาก็ไม่ทำ..
เพราะใจจริงเขาเองก็ไม่อยากที่จะเป็นแบบนี้..
แต่เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
มันบีบคั้นความรู้สึกของเขามาก..จนเกินไป
หัวใจ..
ความรู้สึก..
ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันบอบช้ำเสียจนไม่มีใครอาจสามารถเยียวยามันได้..
สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆ อากาศก็เหน็บหนาวมากขึ้นกว่าเดิมในตอนแรกเสียอีกจนดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังตอกย้ำความรู้สึกของเด็กหนุ่มคนนี้ให้เจ็บช้ำมากยิ่งขึ้น
จู่ๆความเจ็บหนืดก็แล่นร้าวเข้าสู่หัวใจ เด็กหนุ่มใช้มือข้างขวาของตนขย้ำเสื้อตรงอกข้างซ้ายจนเสื้อยับไม่เป็นรูป กำปั้นนั้นทุบอกของตัวเองสามสี่ทีเผื่อมันจะช่วยให้ความเจ็บหนืดนี้ทุเลาลงไปได้บ้าง
ผมเหงา ผมเจ็บปวด และกลัว..
อยากสลัดความรู้สึกพวกนี้ทิ้งไปให้ไกลๆ
แต่ก็ไม่เคยทำมันได้เลยสักครั้ง..ทั้งๆที่หนีมาไกลขนาดนี้แท้ๆ
สุดท้ายผมตัดสินใจไม่เก็บก้อนสะอื้นไว้ แล้วปล่อยโฮออกมาให้ดังที่สุดเท่าที่ร่างกายในตอนนี้ของผมจะทำได้ เสียงสะอื้นดังแข่งกับเสียงฝนที่ตกกระทบลงบนพื้นดิน
สองมือกอดตัวเองแน่น หัวใจกับร่างกายอยากได้รับความอบอุ่นบ้าง
แค่เท่านั้น ที่เขาต้องการ..
ร้องไห้เสียงดังจนรู้สึกหูอื้อไปหมด ดวงตากลมใสทั้งสองข้างบวมแดงน้ำหูน้ำตาไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
เขาไม่ได้ยินแล้วเสียงฝนที่ตกกระทบพื้นดินอย่างบ้าคลั่งนั่น
และเขาก็ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงสะอื้นอันเศร้าสร้อยของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ..
ความเหนื่อยล้าเข้าปกคลุมร่างกายเด็กหนุ่มอีกครั้งทั้งที่ร่างกายยังคงสะอื้นไม่หยุด
แต่ก็รู้สึกเหมือนเปลือกตาทั้งสองข้างเริ่มหนักอึ้งจนแทบจะปิด อากาศก็เริ่มเหน็บหนาวมากขึ้นเป็นทวีคูณจนร่างกายไม่สามารถต้านทานความหนาวนั้นต่อไปได้อีก
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมหยุดร้องไห้ไปตอนไหน.. ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปเมื่อไร เพราะในตอนนี้ผมรู้เพียงแค่ว่าผมได้พบกับใครคนหนึ่งในโลกอีกฟากของความคิดแม้มันไม่ชัดเจนนักแต่ก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่เขากำลังมอบให้กับผม
ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ความคิด
เป็นแค่ความฝัน
ที่ถูกสรรค์สร้าง..
แต่ผม
..ก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลยจริงๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่าา รีดเดอร์ทุกคน..
ฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคเรื่องแรกของไรต์เลยน้า ยังไงก็ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ >.<
ป.ล. Thanks for read, Luv u all chu chu <3
◊SQWEEZ
ความคิดเห็น