ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Spirit Of The Destiny ยัยเซ่อซ่า กับ เทวดาไร้ปีก

    ลำดับตอนที่ #1 : ลาก่อน Soul City

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ค. 50


    ในคืนก่อนวันพระจันทร์เต็มดวง...
                  แสงจันทร์อันนุ่มนวลส่องลงมาสัมผัสกับผิวน้ำข้างบ้านแล้วสะท้อนเข้ามาในห้อง  ทำให้เหมือนกับมีแสงออราเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา  ส่งผลให้เห็นสภาพในห้องได้อย่างลางๆ  ว่ามีการจัดห้องไว้อย่างเป็นระเบียบ  โต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ใกล้หน้าต่าง  มองเห็นได้ชัดที่สุด  และยังมีไดอารี่ที่เธอวางไว้มุมโต๊ะด้วย    กลิ่นของดอกลีลาวดีที่อยู่ข้างๆบ้านเธอส่งกลิ่นหอมชวนให้ผ่อนคลาย   หากใครได้มาอยู่ที่นี่คงจะมีความสุขไม่น้อย  แต่ อาริน  สาวน้อย วัย
    14 ก็ยังมิอาจข่มตาให้หลับลงได้เพราะไม่แน่ใจว่าหลังจากที่หลับตาลงไปแล้วจะสามารถลืมตาได้อีกครั้ง  ด้วยเหตุที่ว่าโบลีเวียพ่อของเธอที่เป็นหมอดูประจำหมู่บ้านได้ทำนายดวงชะตาของหมู่บ้านว่าจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นจนถึงขั้นมีการล้างเมือง  ตอนนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้อพยพออกไปกันหมดแล้ว  เหลือก็เพียงแต่คนชรา และ พ่อแม่ของเธอเท่านั้น ที่ยินยอมที่จะสูญสลายไปพร้อมกับหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ เธอเคยถามผู้เฒ่าในบ้านว่าเหตุใดจึงไม่ไป  เธอได้รับคำตอบว่า

    "เพราะว่าอยู่ผูกพันกันมาหลายปี  จากไปก็อยู่ได้ไม่นาน  สู้สลายไปกับมันดีกว่า"

                     ...  เธอหลับตาลงพักหนึ่งสูดลมหายเข้าเข้าลึกๆ  แล้วลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจยาวๆ  ลุกจากที่นอนแล้วเดินลงไปข้างล่าง  และพบว่าโซลฟีชแม่ของเธอกำลังนั่งอยู่ที่เตียงไม้ข้างล่าง  โดยที่มีพ่อของเธอนอนหนุนตักอยู่  แม่ของเธอเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์มือก็คอยลูบผมของพ่อเธอไปเรื่อยๆ พ่อเธอหลับไปแล้ว  เพราะจากความเหน็ดเหนื่อยที่ไปช่วยผู้คนขนของ  ไม่มีการเอื้อนเอ่ยคำพูดใด  อารินถึงกับน้ำตาไหลกับภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้า  แล้วเธอก็นั่งลงที่ตรงบันไดนั้น  จนเช้า...
     

                    ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  แสงอาทิตย์อุ่นๆในตอนเช้ายังคงสาดส่องลงมา  ปะทะกับผืนน้ำที่มีคลื่นเล็กๆจากสายลมอันแผ่วเบาที่พัดผ่าน  อาคารบ้านเรือนยังคงดูเรียบร้อยเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าผู้คนที่เคยเดินพลุกพล่านทักทายกันในยามเช้าได้หายไปแล้ว  ถนนที่ปูด้วยอิฐสีขาวดูว่างเปล่าน่าใจหาย   ต้นไม้ก็ดูเฉาไปถนัดตา  เหมือนต้องการกล่าวคำอำลากับหมู่บ้านแห่งนี้  หมู่บ้าน "Soul city"

                     อาริน เดินไปที่โบสถ์พร้อมกับพ่อและแม่  เธอเดินอยู่ข้างหลัง  เงาของพ่อและแม่ทอดมายังตัวเธอ  เธอมองพ่อจากด้านหลัง ในใจก็คิดว่า ทำไมพ่อจึงได้เข้มแข็งนัก  แม่ก็เช่นกันคอยอยู่ข้างพ่อเสมอมา  แม่ก็เข้มแข็งเหมือนกัน  ทำงานบางอย่างแทนพ่อได้  และแล้วเธอก็เดินมาถึงโบสถ์  ทุกคนที่ยังอยู่ในหมู่บ้าน มารวมกันที่นี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  สายตาทุกคู่ที่จ้องมาทางพ่อเธอ  ช่างเป็นสายตาที่หดหู่ยิ่งนัก  เธอเห็นแล้วก็อยากจะร้องไห้  ตาของเธอเริ่มแดงก่ำ  แต่ในใจยังคิดว่า ฉันต้องเข้มแข็ง  ต้องไม่ร้องไห้ให้พ่อเห็น  ไม่ให้พ่อต้องเป็นห่วง


                   
    เธอนั่งลงข้างๆแม่  โบลีเวีย ก้าวออกไปข้างหน้าแล้วหันหลังกลับมา กล่าวกับทุกคนว่า

          
                
    "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ก็ตาม  ขอให้ทุกคนใน โซลซิตตี้ ทุกคนในโบสถ์แห่งนี้  อย่าได้หวาดกลัวต่อสิ่งชั่วร้ายที่กำลังจะคืบคลานเข้ามา  ขอให้ทุกคนเชื่อในพระเจ้า  อย่าได้กลัวเกรงพวกมัน  พระเจ้าจะต้องคุ้มครองพวกเรา  และจะทำลายสิ่งชั่วนั้นอย่างแน่นอน  และบัดนี้  เราจงมาวิงวอนพระเจ้าร่วมกันเถิด  และขอให้การสวดมนต์ของเราครั้งนี้เป็นครั้งที่ตั้งใจ  และดังที่สุดเท่าที่พวกเราเคยสวดมา  ครั้งนี้ เราจะสวดให้ถึงหูพระเจ้า..."


                   
    หลังจากที่โบลีเวียพูดจบ  เสียงสวดมนต์จากทุกคนก็เริ่มดังขึ้น เหล่านกสาลิกาที่อาศัยอยู่ในโบสถ์นับร้อยตัว ก็บินออกมาเกาะที่ขอบหน้าต่างแก้วหลากสีแล้วส่งเสียงประสานเจื้อยแจ้วมาประสานกับเสียงสวดมนต์ที่ดังก้องกังวานไปทั่วโบสถ์  ช่างเป็นเสียงสวดมนต์ที่ไพเราะเสียจริงๆ  แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านกระจกสีเหล่านั้นแล้วตกมากระทบกับพื้นและละอองฝุ่นที่ล่องลอยอยู่ภายในโบสถ์ดูเหมือนเป็นลำแสงหลากสีที่ส่องลงมาจากฟากฟ้าหากผู้ใดได้มาสัมผัส  ก็ต้องรู้สึกอิ่มเอิบสุขใจเป็นยิ่งนัก...  นี่พวกเขาหวังให้พระเจ้าได้ยินจริงๆอย่างนั้นหรือ...

                    พอตะวันขึ้นมาตั้งฉากกับพื้นดินลำแสงนั้นส่องตรงลงมายังรูปปั้นพระเยซู  ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปอย่าฉับพลัน  แสงเจิดจ้าจากดวงอาทิตย์เลือนหายไปรวมทั้งลำแสงภายในโบสถ์  สายลมที่พัดมาอย่างแผ่วเบาก็หยุดไปเสียดื้อๆ  พร้อมกับการเข้ามาแทนที่ของเมฆหมอกสีดำ  เหล่าสรรพสัตว์ที่อยู่ในป่า  ต่างกู่ก้องร้องประสานเสียงดังระงม  ประดุจดั่งจะต้องการกล่าวคำอำลาแก่โซลซิตตี้  เมฆหมอกกำลังคืบคลาน  ขณะที่เสียงสวดมนต์ที่มี  โบลีเวีย  นำสวดเริ่มดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายแต่เบาลงเล็กน้อย เนื่องจากความกลัวที่มีต่อความมืดนั้น 

                      จนกระทั้งระฆังดังขึ้นเมื่อเวลา
    6 โมงเย็น  ดูเหมือนการสวดมนต์  จะทำได้แค่เพียงชำระจิตใจที่หวาดกลัวเท่านั้น  หาได้ช่วยให้เมฆหมอกที่กำลังคุกคามอยู่นั้นเคลื่อนที่ช้าลงไม่  และแล้วเมฆหมอกก็เข้าปกคลุมเมืองนี้ไว้โดยสมบูรณ์  และมืดอยู่อย่างนั้นจนเวลาสี่ทุ่มเสียงสวดมนต์ยิ่งเบาลงไปอีก  ข้างนอกนั้นมืดมากแม้แต่แสงจันทร์ในวันที่พระจันทร์เต็มดวง  ก็ยังไม่อาจสาดส่องลงมาถึงหลังคาบ้านเรือนและถนนได้แม้แต่น้อย 


                   
    เปรี้ยง
    !!!  ฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหว  เสียงสวดมนต์ขาดช่วงไประยะหนึ่งด้วยความตระหนก  แล้วเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง  พร้อมๆกับเสียงฝนที่เทลงมาจากฟากฟ้าราวกับฟ้าจะถล่มทลาย  และพอระฆังดังขึ้นอีกครั้ง  เพื่อเตือนว่านี่เป็นเวลาเที่ยงคืน...


                   
    เปรี้ยง
    !!!  ฟ้าคำรามขึ้นอีกครั้ง  และท่ามกลางแสงสว่างเพียงชั่วพริบตานั้นปรากฏเงาของบุรุษผู้หนึ่งใส่ผ้าคลุมยืนถือดาบอยู่บนไม้กางเขน  ที่จุดยอดสุดของโบสถ์   เสียงเหล่าสัตว์นรกที่ที่โหยหวนอยู่ด้านนอกเล็ดลอดทุกช่องว่างที่มีของโบสถ์เข้ามาด้านในชวนให้ขนลุกยิ่งนัก  แล้วยิ่งไปกว่านั้นก็คือเสียงหัวเราะแหลมๆ  จากเหล่าปีศาจ  จากขุมนรก  ขณะนี้ทุกคนในโบสถ์ต่างกำมือแน่น  ตัวสั่นสะท้าน  เสียงสวดมนต์ดังไม่เป็นคำอีกต่อไป...


                   
    เอี๊ยด
    !!!เสียงประตูโบสถ์ถูกเปิดออก  มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น  ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล   กลิ่นอายจากความชั่วร้าย  และกลิ่นสาบของเหล่าสัตว์นรก ได้ทะลักเข้ามาในโบสถ์  ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้


                   
    "เริ่มขึ้นแล้ว...พะ..พวกมัน...มากันแล้ว"  ชายคนนั้นพูดๆตะกุกตะกัก  แต่ยังพอจับใจความได้  และยังไม่ทันที่จะได้พูดต่อ...


                   
    เปรี้ยง
    !!!  แสงวาบเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง  ส่งให้เห็นถึงปีศาจร้ายนับพันที่อยู่ข้างนอกโบสถ์  และเงาของชายอีกคนมายืนอยู่ข้างหลังชายคนแรกที่เข้ามา  ชั๊วะ!!!  ชายที่พึ่งปรากฏตัวถอนดาบอกจากร่างชายคนแรก และชายคนแรกก็ล้มลงตรงนั้นเอง   แล้วมันเดินเข้ามาภายในโบสถ์  แสงไฟจากคบเพลิงภายในโบสถ์ส่องให้เห็นถึงชุดดำที่มันสวมใส่อยู่  ตอนนี้เสียงสวดมนต์ได้เงียบหายไปแล้วโดยสิ้นเชิง  มันค่อยๆยกดาบของมันขึ้นมา  แล้วตวัดลิ้นเลียกินเลือดสดๆที่ติดมากับตัวดาบแววตาที่ไม่สนใจอะไรเบื้องหน้าของมันนั้นช่างเยือกเย็น  มันเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นพระเยซู  แล้วยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้าย 


                   
    "เอาเลยสิ  พระเจ้า  ฆ่าฉันเลย"  มันตวาดเสียงดังลั่นก้องโบสถ์


                   
    "ไม่กล้ารึ  ทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ"  มันยังท้าทายพระเจ้าต่อไป  และหันไปทางรูปปั้นเทวดาที่ตั้งอยู่ในมุมทั้งสี่ของโบสถ์


                   
    "พวกแกก็เหมือนกัน  ทำไมไม่ปกป้องเมืองนี้ล่ะ  ให้มันสมกับที่คนพวกนี้ศรัทธาหน่อยสิฟะ"


                   
    "ฮ่าๆๆๆๆๆๆ   ทำไม่ได้เหมือนกันละสินะ  ฮ่าๆๆๆๆๆๆ"มันหัวเราะอย่างสะใจ  แล้วมันก็ละสายตาจากรูปปั้น  หันมามองชาวบ้านแทน


                   
    "พวกมนุษย์ที่แสนต่ำต้อยเอ๋ย  ที่พึ่งของพวกเจ้านั้นหามีไม่ ฮ้าๆๆๆๆๆ  ช่างน่าสงสาร  ถ้าเช่นนั้นจงมาเป็นอาหารแก่เหล่าสมุนของข้าซะเถอะนะ" มันยิ้มอย่าสะใจอีกครั้ง ในขณะที่ชาวบ้านทุกคนตัวสั่นระรัว 


                   
    อารินน้ำตาไหออกมาโดยไม่รู้ตัว  เธอวิ่งไปหลบที่หลังรูปปั้นพระเยซู   เธออยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง  แต่ดูเหมือนเธอจะทำไม่ได้เลยเพราะความตกใจที่เห็นภาพข้างหน้านั่น  และเพียงชั่ววินาทีที่เธอกระพริบตา  ชาวบ้าน
    2 คนที่อยู่ในโบสถ์ก็ได้ล้มไปอีกแล้วเลือดไหลซึมออกมาจากร่างกายไหลไปตามพื้นไหลไปเรื่อยๆ  ชาวบ้านทุกคนต่างควบคุมสติไม่ได้อีกต่อไป  แม้ว่าจะตัดสินใจสลายไปพร้อมกับเมืองนี้ก็ตามแต่ทุกคนที่ยังมีชีวิตก็ได้วิ่งหนีออกจากโบสถ์ไปเพราะจิตสำนึกแห่งความหวาดกลัวนั้นได้เข้ามาแทนที่ความกล้าหาญเสียแล้ว เพื่อที่จะไปตายเอาดาบหน้า ดีกว่ามาตายด้วยมือปีศาจจอมโหดแบบนี้ 

                    เหลือเพียงแต่  อาริน  ที่ยังขยับเขยื้อนไม่ได้  เนื่องจากความช๊อคที่ชาวบ้านที่ล้มลงไปนั้น  คือโบลีเวียและโซลฟีชพ่อกับแม่ของเธอนั่นเอง ปีศาจเดินข้ามร่างพ่อและแม่ของเธอ  เข้ามาใกล้เธอขึ้นเรื่อยๆ  พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างพอใจ


     
    "ฮ้าฮ้าฮ้าฮ้าฮ้า เหล่าสมุนของข้าเอ๋ย  วันนี้พวกเจ้าจงอาละวาดให้หนำใจเถอะ ฮ้าฮ้าฮ้าฮ้าฮ้า" มันเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เหลือระยะห่างกันเพียงแค่ สองเมตรเท่านั้น  มันสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง...


              "ว้าว  กลิ่นของวิญญาณอันบริสุทธิ์  หืมมมม  เด็กน้อยนี่เองน่ะหรือที่เป็นเจ้าของกลิ่นนี้  ถ้าไม่รังเกียจ  ข้าจะขอนำดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์นี้ลงไปอยู่กับข้ายังในนรก  ในที่พักของข้า  เป็นทาสของข้า ก็แล้วกันนะ  แม่หนูน้อย ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆ"  หลังจากมันหัวเราะจบก็เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอีกครั้ง  และเงื้อดาบเตรียมที่จะแบ่งร่างของ อารินให้กลายเป็นสองซีก  แล้วดาบของมันก็แหวกอากาศมายังร่างของเธอ 


                   
    ฉับ
    !!!  ตุ้บ!!!  เงาของอะไรบางอย่างที่คล้ายกับหัวคนหล่นลงมากระทบกับพื้นและร่างๆหนึ่งที่ไร้หัว ก็ล้มลงกับพื้น 


                   
    ฟุบ
    !!!  ตามมาด้วยเสียงของอะไรซักอย่างที่กระโดด ลง มาจากหลังคาโบสถ์แล้วประคองตัวของสาวน้อยไว้ 


                   
    ยังไม่ทันที่เจ้าปีศาจนั่นจะรู้ตัว  หนุ่มน้อยชุดขาวก็ได้มายืนหันหลังให้มันเสียแล้ว  และยิ่งไปกว่านั้น  ดาบที่พาดบ่าขวาของเด็กหนุ่มก็ได้ไปจ่อยู่ที่คอของเจ้าปีศาจเรียบร้อยแล้ว  ส่วนในมือซ้ายของเขาก็ได้ประครองตัวที่แข็งทื่อเพราะความตกใจของสาวน้อยอารินเอาไว้  เขาค่อยๆวางร่างอันบอบบางลงกับพื้นอย่างถนุถนอม  ในขณะที่เธอสลบไปแล้ว   เขาลุกขึ้น

                    แล้วเขาก็หันหน้ามาจ้องตากับปีศาจร้าย  แล้วเอาดาบตวัดขึ้นมาชี้หน้าของมัน

                   

    "เฮ้ๆๆ!!  ให้ตายสิ  เสียงหัวเราะของแกนี่มัน...  หนวกหูชะมัด เลยแฮะ  หึหึ"  เสียงเล็กๆนุ่มๆพูดขึ้น  พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×