ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC KYUHAE ¦ - Good Morning, Vampire {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #16 : Good morning, Vampire :: Chapter XV

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.97K
      4
      1 ธ.ค. 54



    Good Morning, Vampire.

     

    Super Junior Fan Fiction (Yaoi)

    Cast : Kyuhyun x Donghae x Siwon

    Author : xixiao’

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     



     


    CHAPTER X
    V

     







    “พ่อค้าเลือดที่เราเคยติดต่อด้วย... ถูกฆ่าตายจนหมด”


    เหรียญสลักตราดาวห้าแฉกกลับหัวถูกหมุนเล่นในมืออย่างครุ่นคิด เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ฟังแวมไพร์สาวใต้บัญชาร่ายยาวถึงสภาพเหตุการณ์ระหว่างที่เขาไม่อยู่ ซนกาอินบอกเล่าทุกอย่างถี่ถ้วน และโจวคยูฮยอนคือคนแรกที่เธอตัดสินใจพูดมันท่ามกลางความระส่ำระส่ายของดุลย์อำนาจ


    “ตอนฉันไปสำรวจที่หมู่บ้าน ชาวบ้านมีอาการกลัวและหวาดผวา พวกเขาเล่าว่าเรา...ฆ่าเขาอย่างเลือดเย็น”


    เราอย่างนั้นหรือ...?” มือเรียวยาวนิ่งหยุดพร้อมตาคมกริบซึ่งช้อนขึ้นมอง สีอำพันนั้นทอแววแปลกใจ กระนั้นเสียงทุ้มก็ยังราบเรียบจนจับทางได้ยากว่ากำลังคิดอะไร ความเคร่งเครียดยิ่งชัดเจน แต่หาได้มีคำพูดใดๆเล็ดลอดจากปากว่าที่ดยุคจนอีกคนต้องพูดแทรกความเงียบขึ้นมาอย่างลองเชิง


    “คุณกำลังคิดอะไรอยู่คะ?” สองมือรวบขึ้นกอดรอบอกคล้ายรอคำตอบ ร่างระหงของเธอยืนอยู่มุมห้อง ทอดมองชายผู้เป็นนายด้วยสายตาใคร่รู้ อย่างไรเสียโจวคยูฮยอนไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืน เขาโตพอที่จะคิดอะไรได้มากมายเกินกว่าการดูถูกของเปียร์คนอื่นมากนัก


    “คนในหมู่บ้านเข้าใจว่าสิ่งที่กำลังคุกคามพวกเขาคือเรา แต่มันน่าสงสัย... บางทีอาจจะเป็นแผนการของพวกนอกรั้วเพื่อตัดเสบียงภายในรั้วก็ได้ ระยะเวลาขนาดนี้ พวกเขาน่าจะเริ่มเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างได้แล้ว”


    ร่างสูงโปร่งยกแผ่นเหรียญขึ้นในมุมสะท้อนแสง สีเงินวาวนูนรูปห้าแฉกกลับหัวปรากฏอย่างชัดเจน หลายครั้งที่เขาเฝ้าถามผู้เป็นบิดาว่าสัญลักษณ์นี้ได้มาจากแห่งใด... ไม่เคยได้คำตอบ ตราบจนโตวัยขึ้น โจวคยูฮยอนจึงได้รับรู้มันด้วยตนเองว่าสิ่งที่กลัดอยู่บนหน้าอกของเปียร์... ก็คือสัญลักษณ์ซึ่งสื่อถึงความมืดนั่นเอง


    “ถ้าแค่ตัดกำลังเสบียงเพื่อความอ่อนแอของรั้ว... อย่างคิบอมไม่น่าจะคิดได้แค่นี้ มันต้องมีอะไรอีกแน่...”


    ใช่... คิมคิบอมรู้จักชีวิตในรั้วดี เขารู้ว่าเปียร์จะไม่ข่มขู่หรือเปิดเผยตัวต่อมนุษย์ และดำรงชีพด้วยการได้เลือดมาอย่างถูกต้อง กระนั้นการติดต่อค้าขายเลือดจำนวนมากย่อมเป็นที่สังเกตได้ง่าย เปียร์จึงต้องยึดติดเพียงกับพ่อค้าเลือดไม่กี่นาย ลำพังแค่การเปิดประตูออกสัปดาห์หนึ่งมากกว่าครั้งก็นับว่าเสี่ยงพอตัว


    “คิมคิบอม... เขาคนนั้นขึ้นเป็นผู้นำของนอกรีตเหรอคะ?”


    เงียบไปอึดใจ สายตาชิงชังยามที่อดีตเพื่อนรักจ้องมองเขานั้นช่างเต็มไปด้วยความชิงชังในเผ่าพันธุ์ คยูฮยอนจำมันได้ดี... บางทีหากจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ผิดก็คงบอกไม่ได้ว่าเป็นเปียร์หรือพวกนอกรั้ว รั้วแห่งจารีต... ซึ่งเป็นดั่งโซ่ตรวนความทมิฬไว้ใต้ดินอย่างมหาศาล




    เสียงโหยหวนหวีดหวิวกึกก้องจากภายนอกให้สองสายตาต้องสบมองกันอย่างหนักใจ ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหากแต่สภาพการณ์ภายในรั้วช่างเลวร้ายขึ้นทุกที จากความอ่อนระโหยโรยแรงของเผ่าพันธุ์ซึ่งเขาได้เห็นจากวันที่กลับมา ความคุ้มคลั่งกอบกินอาณาจักรผีดูดเลือดจนแทบไม่ต่างอะไรจากแหล่งซึ่งรวมความเป็นปีศาจน่าเดียดฉันท์ ปราการแน่นหนาของปราสาทอาจจะปกป้องเสบียงเลือดซึ่งถูกเก็บตุนไว้ได้... แต่เพื่ออะไรเล่า เพราะนอกจากชนชั้นสูงแล้วแม้แต่ทหารบางนายของเปียร์ก็ยังเริ่มมีอาการระส่ำระส่าย ซึ่งคยูฮยอนคิดว่านี่ไม่ใช่การปกครองที่ดีนัก




    ชุดสไตล์ตะวันตกโบราณสีทะมึนขับให้ร่างของเด็กหนุ่มซึ่งเคยเป็นเพียงแค่แวมไพร์ไร้สิทธิ์ไร้อำนาจใดๆให้ดูน่าเกรงขามขึ้นจนเหมาะจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำในฐานะทายาทที่ถูกต้อง เขาไม่มีเวลาที่จะถูกเสี้ยมสอนและรับการถ่ายทอดภาระหน้าที่ดังเช่นดยุคก่อนๆ ความสุขุมเกิดขึ้นในตัวว่าที่ผู้นำอย่างชัดเจนเมื่อรู้ตัวว่าต้องแบกรับอำนาจ ระยะเวลาสั้นๆที่ผ่านมานี้มากพอ... มากพอกับการที่เขาจะเรียนรู้ทุกอย่างอย่างรวบรัดโดยความช่วยเหลือของซนกาอิน จนถึงตอนนี้คยูฮยอนมั่นใจแล้วว่าเธอช่างภักดีต่างจากสายตาวอกแวกของเหล่าอาวุโสทั้งหลาย คงจะทำใจได้ยากที่ต้องให้เด็กรุ่นราวคราวลูกหลานขึ้นคุมบังเหียนอยู่เหนือทุกฝ่าย กระนั้นสิ่งนี้เองที่ถูกต้อง... สิ่งนี้นี่แหละที่สมควรจะเป็นไม่ใช่ปล่อยให้เวลาล่วงมานับสองเดือนโดยไร้การตามหาและปักใจเชื่ออย่างง่ายๆว่าเขาสิ้นชีพไป


    “คืนพรุ่งนี้แล้วใช่ไหม...”


    ว่าเสียงแผ่วไปถึงพิธีการบางอย่างซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น คนใต้บัญชาพยักหน้ารับ... พิธีสถาปนาว่าที่ดยุคให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างถูกต้อง แน่นอนว่าหลังเสร็จสิ้น... โจวคยูฮยอนจะมีอำนาจทุกอย่างในการตัดสินใจหรือแม้แต่ออกคำสั่งอย่างไร้ข้อโต้แย้ง กาอินเสนอว่าให้รีบจัดมันโดยเร็วที่สุดเพราะเธอรู้สึกไม่ไว้ใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม... แต่เขากลับต้องพยักหน้ารับตอบกลับไปโดยสะบัดความรู้สึกของตนเองทิ้ง




    เหลือเพียงความรู้สึกสุดท้ายนี้เอง... ซึ่งคยูฮยอนยอมสลัดมันเพื่อส่วนรวมไม่ไหว




















     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

     




















    สายตายามเดินสวนกับมาควิสเฒ่านั้นไร้ซึ่งความยำเกรงในอาวุโสจนผู้เป็นว่าที่ดยุคสัมผัสได้ถึงโทสะรุมๆซ่อนอยู่ในสายตาที่มองตอบกลับมา เริ่มสังเกตทุกสิ่งรอบตัวมากขึ้นตามที่กาอินได้เสนอแนะไว้ ความเข้มงวดไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใดๆอีกต่อไปตราบจนกว่าจะผ่านพ้นพิธีสถาปนา เสื้อผ้าแบบราบเรียบสีดำสนิทถูกหยิบมาสวมใส่อย่างไร้ซึ่งความโออ่า ภายในปราสาทช่างเงียบกริบสวนทางกับพิธีซึ่งใกล้มาถึง อาจมีคนกำลังยิ้มหยัน แต่แวมไพร์หนุ่มกลับมั่นใจว่านี่คือโอกาสดีในอิสระสุดท้ายของเขา


    ขวดเลือดสดข้นราวๆห้าถึงหกขวดซึ่งใช้อำนาจที่มีหยิบออกมาจากคลังเสบียง ครุ่นคิดอยู่ค่อนคืน จึงตัดสินใจเดินถือมันลัดเลียบไปตามทางเดินเงียบสงัดเหนือการตรวจยามของเหล่าทหาร ลอบออกไปทางช่องเล็กๆสู่สะพานทอดยาวภายนอก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังเป็นระยะ เปียร์นั้นแสดงเพียงความสมเพชและออกเก็บกวาดเหล่ากึ่งอมนุษย์จนสิ้นไปรายแล้วรายเล่า แม้แต่ความปลอดภัยยังเสียศูนย์เมื่อรอบนอกของปราสาทไม่มีทหารยามยืนเฝ้ารักษาการณ์อย่างเคยเพราะอันตรายภายในเผ่าพันธุ์ซึ่งคุกคาม


    พื้นหินชื้นปรากฏร่างสูงโปร่งเดินก้าวไปด้วยความกระฉับกระเฉงกระทั่งหยุดอยู่กึ่งกลาง คยูฮยอนไม่รู้ว่ากำลังมีใครจับตามองอยู่หรือไม่ เขาคิดเพียงว่านี่เป็นสิ่งที่ควรกระทำ อาจช่วยได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีบางสิ่งดีขึ้น... เขาหวังว่าอย่างนั้น


    ไม่เสียเวลาคิดนานก็หยิบเอาขวดไวน์ในกระเป๋าผ้าซึ่งถือติดมือขึ้นเปิดฝาออกทีละขวด เทดิ่งลงไปในแนวจนเลือดสดๆปะทะปนเข้ากับผืนน้ำทอดยาวตัดสองฝั่งเมือง สีแดงจางๆปรากฏเป็นวงแคบๆ กระทั่งกระจายออกจนกินวงกว้างเมื่อขวดโลหิตต่อๆไปถูกทำอย่างเดียวกัน แวมไพร์อ่อนระโหยหลายตนเริ่มพากันก้าวออกมาจากตัวอาคารเมื่อได้กลิ่นอาหารอันโอชะ ควักน้ำในแม่น้ำขึ้นใส่ปากอย่างหิวกระหาย หน้านั้นอิ่มเอมขึ้น แม้ว่าสิ่งที่ได้รับจะเป็นเพียงน้ำเปล่าซึ่งจางรสกลิ่นคาวๆของอาหารก็ตาม


    ทอดมองภาพเบื้องล่างไม่นานว่าที่ดยุคหนุ่มก็ตัดสินใจเดินต่อ... ตรงไปยังช่องอุโมงค์เล็กแคบซึ่งทอดตัวขึ้นสู่ผืนดิน อาจเป็นคืนสุดท้ายที่เขาตัดสินใจทำอะไรบ้าบิ่น... แค่คืนสุดท้าย แล้วจะเหลือเพียงดยุคแห่งชนแวมไพร์ซึ่งไม่เคยมีตัวตนบนโลกของมนุษย์อีก









    กลิ่นชื้นชวนคลื่นเหียนอบอวลอยู่รอบกายพร้อมๆกับเชิงเทียนในมือซึ่งส่องสว่างไปยังทางเบื้องหน้า เสียงฝีเท้าเบาจนต้องอาจใช้การเงี่ยหูฟัง ทุกอย่างเงียบเชียบ ต่างหากหัวใจซึ่งเต้นระส่ำเมื่อตัดสินใจออกจากรั้วอีกครั้งด้วยความต้องการซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว ใช้เวลาไม่นานบานประตูหินกลไกก็ปรากฏแก่สายตา ร่างสูงจำต้องชะงักไปพักหนึ่งเมื่อต้องการพินิจสิ่งซึ่งได้พบเห็น ขากลับเข้ามาเขาไม่ทันได้มองสภาพรอบตัว ครั้งลองสังเกต บนหินชื้นนั้นกลับเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนราวกับมีสิ่งมีชีวิตพยายามตะกุยตะกายทำลาย ความรู้สึกไม่สู้ดีแล่นริ้ว เมื่อคิดได้ว่ารอบตัวอาจกลายเป็นความไม่ปลอดภัยไปอย่างไม่น่าจะเกิด


    คิดไม่ทันขาดช่วงดีร่างกึ่งอมนุษย์ของสิ่งหนึ่งก็พุ่งเข้าจู่โจมจนเชิงเทียนตกลงมอดดับกับพื้น รู้สึกเพียงกลิ่นชื้นท่ามกลางความมืดสนิท สิ่งนั้นไม่ได้เข้าจู่โจมดยุคหนุ่มเป็นครั้งที่สอง แต่กลับได้ยินเพียงเสียงหวดลมซึ่งไกลออกไป มือเรียวควานหาเอาเชิงเทียนที่ถือติดมาอยู่พักหนึ่ง จับเอาได้โคนเทียนที่หักแล้ว ก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาพร้อมใช้อีกมือล้วงบางสิ่งในกระเป๋ากางเกง ปกติแวมไพร์ไม่ใช้มัน แต่คยูฮยอนกลับคิดว่าช่างดีเหลือเกินที่เขาพกติดไว้... ไฟแช็คของอีทงเฮนั่นเอง


    ส่องแสงสลัวออกไปรอบทิศจนมั่นใจว่าไม่พบสิ่งใดแอบแฝงอยู่อีก ก็ตัดสินใจดำเนินกลไกเข้ากับกำแพงหินในลักษณะเฉพาะซึ่งมีเพียงเหล่าชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์ซึ่งรู้ดี ไม่นานนักแผ่นหินเคลื่อนเปิดออกเป็นขั้นบันได และภาพซากปรักของโบสถ์เก่าๆกลับปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง...




















     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

     




















    จอแลปทอปขนาดกลางฉายภาพจากกล้องวงจรปิดในคืนหนึ่งซึ่งทิ้งปริศนาเอาไว้มากเกินกว่าที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถหาคำอธิบายใดๆได้ บานประตูห้องพักห้องหนึ่งในคอนโดมิเนียมชื่อดังย่านใจกลางเมืองมีลักษณะของการเปิดปิดอย่างชัดเจน หากแต่นอกเหนือจากความเคลื่อนไหวของบานประตูแล้ว กลับไม่ปรากฏภาพของบุคคลใดๆซึ่งส่อเค้าว่าจะมีส่วนเกี่ยวกับการตายของกูฮารา กระทั่งอีทงเฮผู้เป็นเจ้าของห้องกลับมาถึง


    ไม่ว่าจะย้อนดูกี่ครั้ง นายตำรวจหนุ่มกลับไม่เห็นความเป็นไปได้ใดๆ ไม่ว่าจะทิศทางลม ถูกเปิดจากข้างใน หรืออะไรก็ตามแต่ พิรุธของทงเฮซึ่งเป็นพยานเพียงหนึ่งเดียวกลับทำให้เขายิ่งตั้งข้อสงสัยขึ้นนานา คนเดียวที่ชเวซีวอนได้พบเจออยู่กับอีทงเฮถึงสองครั้งสองคราคือคยูฮยอน ชายหนุ่มที่ทงเฮอ้างว่าเป็นน้องชายแต่กลับไม่ยอมปริปากให้ข้อมูลใดๆ ซ้ำยังไม่มีหลักฐานอ้างที่อยู่ในเวลาเกิดเหตุ ทั้งรอยนิ้วมือที่ปรากฏตามร่างกายหญิงสาวผู้เสียชีวิต กลับไม่ตรงกับบุคคลใดซึ่งพอจะอ้างถึงได้ ครั้งได้เจอน้องชายของวิศวกรหนุ่มอีกครั้ง... ชเวซีวอนจึงได้นึกออก ว่าเขาลืมคนๆนี้ไปได้อย่างไร! มองเลยไปถึงคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่นอกระเบียงแล้วก็ต้องถอนหายใจ บางทีถ้าอีทงเฮให้การตรงกับความเป็นจริงบ้างอะไรๆก็คงง่ายกว่านี้มาก เพียงแต่เพราะความจริงบางอย่าง... กำลังถูกปกป้องไว้







    ผู้คนขวักไขว่อยู่บนพื้นถนนกันแออัด หน้ากากหลากหลายสีบางก็ถูกยกขึ้นถ่ายรูป บ้างก็สวมใส่อยู่บนหน้า เสียงอึกทึกจอแจสนุกสนานจนอดใจได้ยากหากไม่ลงไปร่วมงานเทศกาล เสียงเพลงประกอบการร่ายรำดังอยู่อีกทางหนึ่ง วันนี้ทั้งวันมีแต่ผู้คนพากันสวมหน้ากากเดินไปเดินมาในโรงแรมจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทว่าแทนที่จะรู้สึกสนุกสนานตามไป กลับกันที่เขารู้สึกห่อเหี่ยวอย่างประหลาด ระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังเฝ้ารออะไร ทุกอย่างไร้จุดหมาย และดูเหมือนจะมองไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลยสักทาง


    กำลังรอให้คยูฮยอนกลับมาอีกแล้วหรือไง?







    “วันนี้ทั้งวันคุณยังไม่ได้ทานอะไร ผมคิดว่าคุณน่าจะดูแลตัวเองสักหน่อยนะครับ”


    เสียงทุ้มของใครอีกคนซึ่งอยู่เป็นเพื่อนเขามาตลอดหลายวันดังขึ้นเบื้องหลังจนชายหนุ่มต้องหันไปมองด้วยความรู้สึกขอบคุณ บางทีซีวอนก็คงดูออก เขาไม่ใช่อีทงเฮวิศวกรหนุ่มหัวดีซึ่งตัดสินใจทุกอย่างได้อย่างเฉียบขาด ไม่ใช่คนฉลาดซึ่งคิดอะไรรอบคอบและมีจุดหมายจุดหมายชัดเจน ไม่ใช่คนเข้มแข็งที่ต่อปากต่อคำกับนายตำรวจหนุ่มตรงหน้านี้ได้อย่างมีเหตุผลเหมือนเช่นเคย ใช่... อีทงเฮกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาโง่เง่า... และไร้สาระสิ้นดี


    “ผมไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด คุณอยู่กับผมมาทั้งวัน ถ้าหิวก็ไปทานเถอะครับ” ระบายยิ้มอ่อนเกรงอกเกรงใจอยู่ในที รอบตัวมีแต่มวลควันขาวของบุหรี่ กลิ่นฉุนๆนี้ไม่ได้ช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้น แต่มันกลับผ่อนคลายความตึงเครียดทั้งมวลลงได้ชะงัดนัก


    “ผมจะออกไปซื้อมื้อเย็นมาให้ เจ้านี่ขึ้นชื่อในเมืองอันดงมาก อย่างน้อย... ก็อย่าให้เสียน้ำใจผมเลยนะครับ”


    ถอนหายใจเพียงครั้ง ชเวซีวอนก็ตัดสินใจหักดิบด้วยการบอกว่าจะออกไปซื้อมาให้ ตอนนี้ในโรงแรมค่อนข้างวุ่นวาย ลงทุนขับรถไปสักหน่อยคงจะได้อะไรอร่อยๆกลับมาไวกว่า พอตัดสินใจได้แบบนั้นก็ไม่รอฟังคำปฏิเสธของอีกฝ่ายคว้าเอากุญแจรถและกระเป๋าเงินเดินออกจากห้องไปในสภาพเสื้อยืดสบายๆ ได้แต่มองตามไปแบบนั้น แล้วปล่อยให้ความรู้สึกผิดทบทวีเมื่ออีทงเฮไม่เคยตอบรับความรู้สึกใดๆของซีวอนได้เลย










    พ่นควันบุหรี่ฉุยออกไปท่ามกลางแสงสีของพลุซึ่งพุ่งขึ้นแตกเป็นสีสันประดับราตรี เสียงฮือฮาอื้ออึงพลางพากันชี้มือชี้ไม้ดูบนท้องฟ้าสว่างไสว นัยน์ตาสีดำยังก้ำกึ่งกับความเหม่อลอย ทว่าเพียงเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง กลับเรียกสายตาให้หันไปมองเพียงเพราะคิดว่านายตำรวจหนุ่มอาจลืมของอะไรไว้


    ทว่าร่างสูงโปร่งของใครบางคนซึ่งใส่หน้ากากเทศกาลเฉดสีสดตัดกับเสื้อผ้าสีมืดนั้นกลับไม่ใช่คนที่ทงเฮคาดคิด ผิวขาวซีด ดูเยือกเย็น แม้จะค่อยๆเยื้องกรายเข้ามาเชื่องช้า หากดูเหมือนจะยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก ดวงหน้ารูปไข่เป็นสันนั้นที่เขาเคยได้สัมผัสและจับจ้องอยู่บ่อยครั้ง




    ยิ่งใกล้ก็ยิ่งแน่ใจว่าช่างคุ้นเคย




    บุหรี่มวนเรียวมอดดับกับราวระเบียงตามนิสัยที่ชอบทำ ครั้นร่างนั้นประชิดติด ตาเรียวสั่นไหวเมื่อมั่นใจว่าร่างนี้ไม่ใช่ใครอื่น แน่นอน... แน่นอนแล้ว... ยกมือขึ้นแตะผะแผ่วบนพวงแก้ม ก่อนหน้ากากเฉดสีสดจะค่อยๆถูกถอดออกอย่างช้าๆ...


    “..............”


    “..............”







    “หายไปไหนมา...”







    เสียงของร่างเล็กกว่านั้นสั่นพร่าเสียจนจับความรู้สึกได้ง่ายดาย คนฟังเพียงเหยียดรอยยิ้มบาง ตาสีอำพันสะท้อนภาพดวงหน้าขาวมน ความรู้สึกโหยหาอย่างประหลาดกลับดึงทั้งคู่จนตกอยู่ในห้วงภวังค์หนึ่งของความรู้สึก นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา ทำไมไม่ชินกับความรู้สึกที่โดนทำแบบนี้เสียที


    “ผมดีใจที่คุณยังปลอดภัย” ว่าออกไปเสียงเรียบ กอบกุมมือเรียวจนปล่อยให้หน้ากากตกลงกระทบพื้นห้องมันวาว รอยหยาบๆของแผลบนมือวิศวกรหนุ่มยังคงมีให้เห็น แผลแห้งดีและกำลังหายสนิท ทว่าดูเหมือนมันจะไม่ถูกใส่ใจสักเท่าไรนัก “แผลหายดีแล้วใช่ไหม?”


    ได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับช้าๆ ครั้นมองจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าคนตรงหน้านี้คงหายไปที่ไหนมาสักแห่งที่ไม่ใช่การโซซัดโซเซไร้จุดหมาย ดึงมือซึ่งถูกกุมไว้กลับมาก่อนจะจัดการปิดประตูระเบียงแล้วรูดม่านจนทั้งห้องแทบจะมืดสนิท อาศัยเพียงเปิดไฟสีส้มดวงเล็กตรงหัวเตียง ใบหน้าหล่อเหลาจึงชัดแก่สายตาอีกครั้งทั้งแฝงแววขึงขังชัดเจน การกลับมาครั้งนี้คงมีเหตุผล... แล้วอีทงเฮก็มั่นใจดี ว่าเหตุผลนั้นคงสำคัญมากพอที่จะทำให้คุ้มค่าต่อการกลับมา


    “ซีวอนถามฉันเรื่องนาย... ทางตำรวจกำลังสงสัยนายในคดีฮารา” ความร้อนใจส่งผลให้รัวคำพูดออกไปแบบนั้น หากอีกคนไม่ได้ตื่นตระหนก ลำดับเรื่องในหัวอยู่นิดหน่อย ก็พูดโต้ตอบออกไปในสิ่งที่คิดดีแล้ว


    “ผมไม่ใช่มนุษย์... พวกเขาทำอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว” พูดให้อีกคนหายห่วงแล้วจึงตีเสียงเครียดอีกครั้ง สอดส่องสายตามองไปรอบๆ ก็เข้าใจว่าซีวอนคงใช้เวลาอยู่ที่นี่กับทงเฮมาตลอด อย่างน้อยถือเป็นเรื่องดีที่วิศวกรหนุ่มไม่ต้องอยู่คนเดียวอย่างฟุ้งซ่าน “ผมอยากให้คุณดูแลตัวเอง หนีไปที่ไหนก็ได้ให้ไกลและปลอดภัยที่สุดโดยเร็ว”


    สังหรณ์ไม่ดี เป็นอีกครั้งที่ยากจะปักใจเชื่อกับความรู้สึกแปลกๆซึ่งร่ำเตือนถึงอันตรายที่กำลังจะเกิด คยูฮยอนอยากให้เขาหนี... หนีไปเพียงลำพังอย่างนั้นใช่ไหม “ทำไม... แล้วนายจะไปไหน?”


    “ผมมั่นใจว่าตอนนี้พวกคิบอมต้องกำลังเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง แม้แต่ในที่ของพวกเรายังมีแต่เรื่องไม่ชอบมาพากล ตอนนี้คุณอาจจะยังปลอดภัย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มันหาเราเจอและตามมาถึงที่นี่...”


    “..............”


    “ทงเฮ...”


    “นายยังไม่ได้ตอบฉัน ว่านายจะไปไหน” เสียงนั้นทุ้มนิ่งลงจนเหลือแต่แววจริงจังทางสายตา คยูฮยอนพูดแค่ให้เขาหนี ไม่แม้แต่จะบอกว่าตัวเองหายไปไหนหรือทำอะไรมาบ้าง ไม่มีต้นสายปลายเหตุใดๆ จริงอยู่ว่าทงเฮไม่ชอบการคาดคั้น ทว่าเรื่องครั้งนี้มันเกี่ยวกับเขาโดยตรง เขาซึ่งตกเป็นหนึ่งในเหยื่อ... และคงไม่ปลอดภัยที่จะลอยหน้าลอยตาล่อความตายโดยไม่มีทางหนีทีไล่ใดๆ


    “ผมอยู่ในที่ของผม... และคุณ... ต้องอยู่ในที่ของคุณ” อ่อนลงจนเหลือเพียงแววของความเว้าวอน แวมไพร์หนุ่มสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่านี่คือความเป็นห่วง... เป็นห่วงเป็นใยในแบบที่มนุษย์อาทรต่อกัน แวมไพร์ไม่มีน้ำตา ไม่มีการร้องไห้ มีเพียงความเจ็บปวดซึ่งหยั่งรากไร้ชีวิตลงในจิตใจ ให้เหลือเพียงความเยียบเย็นสุขุมเพียงนั้นเอง “ผมกับคุณ... เรา... ไม่ควรที่จะมาเกี่ยวข้องกันแต่แรก....”


    ก็แค่ความบังเอิญไม่ใช่หรือไร... ความบังเอิญในโชคชะตาที่ได้มาเจอกันบนตึกสูงกับคืนแห่งความหวาดหวั่น ตรงกันข้าม... แต่กลับได้มาชิดใกล้ ทั้งที่อะไรๆยังคงไม่ชัดเจน ทว่าคำตัดรอนที่ส่อเค้าถึงการจากลาแบบนี้.... เขาควรจะยิ้มรับ และเชื่อทุกอย่างแต่โดยดีอย่างนั้นใช่ไหม?




    “ฉัน...”


    “.............”


    “....ฉันรู้” จนถึงตอนนี้ อีทงเฮกลับกลัวเหลือเกินว่าการรอคอยจะเกิดขึ้นกับเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่แน่ใจความรู้สึกนี้นัก คยูฮยอนจะได้รู้บ้างไหมว่าความสับสนเกิดขึ้นกับเขามากมายเท่าไร ยิ่งมีคืนนั้น... คืนที่ฝนตกหนัก และโจวคยูฮยอนก็หายไปในเช้าวันต่อมา “เอาล่ะ... พูดมาสิว่าฉันควรจะทำยังไงบ้าง หนีไปให้ไกล แล้วไงอีก?”


    “............”


    “...ควรจะลืมไปว่าเคยเจอนาย... อย่างนั้นใช่ไหม...”







    เสียงซึ่งเด่นชัดท่ามกลางความเงียบนั้นเองที่ดึงดูดให้ริมฝีปากสีสดโน้มเข้าหาอีกฝ่ายอีกครั้งอย่างจงใจ และอาการเสียหลัก ที่ผลักร่างเล็กเข้าติดกับบานประตูระเบียงจนแผ่นลู่ผืนผ้าม่านยับย่น บางเบา... แต่กลับยิ่งหนักหน่วง เมื่อมือขาวซีดนั้นวางติดบนพวงแก้มระเรื่อ ลิ้นร้อนชื้นกวัดเกี่ยวแทรกซึม ดูดดื่ม หากแต่ไม่สามารถอธิบายห้วงความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ เช่นเดียวกับเหตุการณ์บนรถ... ซึ่งมันแทบไม่แตกต่างกับตอนนี้เลย เป็นอารมณ์แบบไหน คิดอะไรอยู่ ทำอะไรให้มันชัดเจนมากขึ้น


    “...ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?” เสียงพร่าเอ่ยถามเมื่อริมฝีปากห่างกันแค่เพียงคืบ ครั้นช้อนสายตาขึ้นมอง กลับเห็นเพียงความสั่นไหวในดวงตาสีอำพันโรจน์เช่นเดียวกับที่ผ่านมา ความทรมาน การอดกลั้น... กระทั่งทั้งร่างถูกรวบกอดไว้ด้วยอ้อมแขนเย็นเยียบ เหมือนว่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับกลืนเสียงนั้นหายไปในลำคอราวกับว่าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะพูดมัน มือเรียวของทงเฮขยำเข้ากับชายเสื้อสีดำสนิท ทั้งที่แข็งใจพูดไปอย่างนั้นแล้ว... “ฉันไม่เข้าใจนายเลยสักนิด... ให้ตายเถอะ”


    จูบย้ำที่สันคางเหมือนกับจะเป็นจุดเริ่มต้นความรู้สึกแปร่งปร่าทั้งหมด ขบเขี้ยวลงที่ลำคอขาว เบาจนรู้สึกได้เพียงไอเย็นของทนต์กระดูก เสียงทุ้มกล่าวคำเรียบทั้งที่ปลายจมูกแนบชิดติดใบหู “ผมอาจต้องทำร้ายคุณเข้าสักวัน...”


    “...........”


    “ผมไม่รู้... ว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร” เสียงพลุดังแว่วมาจากนอกตัวตึกเหมือนเตือนเวลาสิ้นสุดของการบอกลา ร่างสูงเลือกที่จะผละออก ทั้งอ้อยอิ่ง เสียดาย เพียงแต่เพราะเวลามีจำกัด ต้องสั่งตัวเองให้หยุด... หยุดแล้วมองใบหน้านี้เป็นครั้งสุดท้าย “ความต้องการที่มีมันรุนแรงขึ้นทุกที ผมไม่รู้ว่าจะห้ามตัวเองได้ถึงเมื่อไหร่...”


    “............”




    “....แค่กับคุณ”




    กลิ่นกายหอมหวานซึ่งราวกับหลุมกับดักให้โจวคยูฮยอนต้องทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่รู้ตัว... ไม่เคยรู้สึกตัวสักนิดจนเมื่อได้ปล่อยให้ความรู้สึกคุ้นเคยนี้เลยเถิดจนมากเกินกว่าที่คนรู้จักจะมีให้กัน อย่างนั้นแล้วกลับไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เพื่อนหรือ? ไม่... ไม่เลย พวกเขาไม่เคยแสดงสิ่งใดต่อกันในฐานะเพื่อน และที่ยิ่งกว่านั้นคือเพื่อนไม่มีทางจะจูบหรือสร้างความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันดังเช่นที่เป็นอยู่นี่แน่นอน


    “นายต้องการฉัน....?”


    เสียงพร่านั้นหยั่งเชิงออกไปคล้ายไม่แน่ใจนัก คำพูดของคิมคิบอมแล่นปลาบขึ้นมาในหัว สร้างคำถามมากมายไม่รู้จบ ยิ่งได้เห็นแววของความสับสนในสายตาแวมไพร์หนุ่มซึ่งทอดมองมา







     

    คนที่ควรตายในคืนนั้นคือคุณต่างหากอีทงเฮ เขาฆ่ากูฮาราเพราะความต้องการที่มีในตัวคุณ... ซึ่งเขาเองก็คงยังไม่รู้ตัวในจุดนั้น







     

    “นายต้องการฉัน... เหมือนที่ทำกับฮาราใช่ไหม?”


    อาจเป็นความหวาดกลัวลึกๆซึ่งสั่งให้เขาตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น กัดให้ตายไปต่อหน้าต่อตา นั่นคือสิ่งที่แวมไพร์พึงกระทำต่อมนุษย์ไม่ใช่หรือไร? แวมไพร์หนุ่มชะงักไปเพียงครู่ แววของความเศร้าสร้อยในแววตาร่างสูงกลับปรากฏเด่นชัดขึ้นอีก มันกำลังบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้นเลย


    “มันอาจจะฟังดูงี่เง่านะ แต่...”




    “สำคัญ... ผมจะให้คำนั้นกับคุณได้หรือเปล่า”




    “..........”




    “ไม่ใช่แค่เลือด... แต่เป็นคุณ.... คุณคนเดียวทงเฮ”




    หลังจากนี้คยูฮยอนไม่รู้... มันคงเป็นไปได้ยากที่หลังจากการขึ้นรับตำแหน่งแล้วเขาจะมีโอกาสได้พบทงเฮอีก อยู่ในโลกใต้ดิน ไร้แสงแดด ไร้ความอบอุ่น ไร้ชีวิต และไร้ตัวตนอย่างที่เคยเป็นมา....




    และหากเป็นครั้งสุดท้าย... บางทีเขาควรจะต้องรู้ชัดความรู้สึกของตัวเองสักที





















     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

     




















    อาหารมื้อเย็นในกล่องโฟมใหญ่สองกล่องถูกใส่ในถุงร้านอาหารเจ้าอร่อยของเมืองอันดง ถึงจะรอคิวนานนิดหน่อย แต่ชเวซีวอนก็คิดว่ามันคุ้มกับการให้อีทงเฮยอมกินอะไรอร่อยๆบ้างในรอบหลายวัน จอดเทียบรถเข้ากับลานจอดรถของโรงแรมแล้วจึงย้อนเดินมาทางประตูหน้า งานเทศกาลยังครึกครื้น ทว่าที่น่าแปลกคือคนกลุ่มหนึ่ง... ซึ่งกำลังเดินหน้าเข้าไปทางโรมแรมโดยไม่แยแสคนอื่นๆซึ่งถูกเดินชนจนเซไปคนละทิศละทางอย่างไร้มารยาท


    “เฮ้... คุณ!




    ครั้นร้องเรียกทักท้วงออกไป กลับได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้า และแววตาสีอำพันซึ่งปรายมองอย่างเยียบเย็น...







     

    TBC














    ( ทรุด.............* )
    นับวันยิ่งแต่งออกทะเลแบบฆ่าตัวเองให้ตายตามฮารา ;A ;
    สวัสดีผีดูดเลือดเป็นเรื่องแรกที่เราถึงกับต้องเรียบเรียงพล็อตลงสมุด
    ลบ ๆซ้ำ ๆมันอยู่อย่างนั้นกว่าจะเข็นออกได้แต่ละตอน......

    มึนมาก ๑_ ๑  รู้ว่าทุกคนรอ
    แต่แค่ตอนนี้ตอนเดียว เราใช้เวลาแต่งหลายวันมากเลยค่ะ....
    จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนาน แต่คงไม่ถี่เหมือนช่วงก่อนๆ

    แล้วข่าวร้ายคือเรื่องรวมเล่ม (ปาดเหงื่อ)
    ในเมื่อมีคนถามเข้ามาเรื่อย ๆก็จัดไปแล้วกันค่ะ แต่น่าจะอีกสักพัก
    คงทำน้อย ๆแค่ยอดสั่งจองก็พอ เราอาย .//////// . แล้วก็คงทำแค่รอบเดียวแหละค่ะ
    ในเล่มก็น่าจะมีจุดต่างจากในเว็บพอสมควรเพราะจ้องรีไรท์จุดโหว่ไว้หลายที่เลย -.-
    ก็บอก ๆกันไว้ล่วงหน้าค่ะเผื่อเก็บไปพิจารณาแล้วมีคนหลงผิดเพิ่ม -/////- 5555555.
    แล้วจะมาแจ้งข่าวในทอล์คนี้นะคะ หรือแวะมาคุยกันทางทวิตเตอร์ก็ได้ :D

    ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ :D ไม่หายไปไหนแน่นอนเพราะรักคยูเฮกับคนอ่านมาก
    อีกอย่างแต่งมาขนาดนี้แล้ว.... ไฟท์ติ้ง Tv T'
    ( วาร์ปหายไปนั่งทำงานต่อ )  ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×