ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC KYUHAE ¦ - Good Morning, Vampire {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #13 : Good morning, Vampire :: Chapter XII

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.95K
      10
      9 ต.ค. 54

    Good Morning, Vampire.

     

    Super Junior Fan Fiction (Yaoi)

                                                                         Cast : Kyuhyun x Donghae x Siwon

    Author : xixiao’

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     


     

    CHAPTER X
    II

     




     

    “ที่นี่ไม่ปลอดภัย...”


    คิ้วเรียวของทงเฮขมวดเข้าหากันจนเป็นปม พอเหลียวกลับไปมองชายวัยกลางคนชาวอันดงก็ยังเห็นนั่งสูบบุหรี่พร้อมจะไล่ส่งเขาทั้งคู่เต็มที่ คยูฮยอนดึงทงเฮให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะปรายสายตามองผู้เป็นเจ้าของบ้านอีกครั้ง


    “เราขอถามคุณอีกข้อ พวกนั้น... มาที่นี่บ่อยแค่ไหน”


    คนถูกถามหรี่ตามองคยูฮยอนเสียครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ “...เกือบทุกคืน”


    เพียงแค่นั้นขายาวก็ก้าวออกจากตัวบ้าน ความเงียบวังเวงรอบตัวทำให้ทงเฮรู้สึกหนาวขึ้นมาแม้ว่ามันจะยังเป็นช่วงปลายฤดูร้อน บางทีคยูฮยอนอาจจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง คิดในแง่ของความเลวร้ายก็คงหมายถึงอันตรายที่กำลังจะมาเยือน ร่างสูงยังคงเดินไปต่อไป ทางเดินที่พวกเขาใช้เดินมาทีแรกนั้นค่อนข้างขรุขระ ดินร่วนแดงกับแผ่นหินที่ปูเป็นหย่อมๆ แตกบ้างสภาพดีบ้างราวกับไม่ได้รับการดูแลและไม่มีใครคิดใส่ใจ บ้านทุกหลังปิดประตูเงียบเชียบ


    พลันร่างเล็กกลับถูกดึงเข้าไปในพงหญ้ารกชัฏข้างทางเพราะเสียงเดินสวบสาบที่ดังมาแต่ไกล อาการเจ็บแปลบที่หลังเล่นงานจนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดอย่างช่วยไม่ได้ หากแต่เขาจำต้องเงียบเสียงไว้เพราะมือเย็นๆที่เจ้าของวงแขนใช้อ้อมมาปิดปากเขาเป็นสัญญาณเตือนถึงสิ่งที่แวมไพร์หนุ่มรู้สึกได้


    “ขอโทษที... เจ็บมากไหม?”


    เสียงพร่ากระซิบถามข้างหูให้คนเจ็บพยักหน้ารับ คยูฮยอนผละมือออกก่อนเลื่อนมันลงมากระชับไว้ที่ต้นแขนของคนที่ซ้อนอยู่ข้างหน้า ตาสีอำพันทอดผ่านช่องว่างของสาบไม้ ร่างของชายสองคนในชุดสีดำสนิทค่อยๆเดินมาตามทางเดินหิน ก่อนจะเดินผ่านไปโดยที่ไม่ได้สำรวจมองข้างทาง


    “คนของเปียร์...”


    ทงเฮเหลียวใบหน้าไปมองคนข้างหลังด้วยความแปลกใจทั้งหมดที่มี ถึงจะรู้ว่าเป็นคนของฝ่ายตัวเองคยูฮยอนก็ยังไม่คิดที่จะออกไป แม้ว่าบางทีมันจะช่วยทำให้อะไรๆดีขึ้นบ้างหากได้กลับไปที่นั่น “พวกเขาเป็นฝั่งนายไม่ใช่หรือ?”


    นิ่งไปครู่หนึ่งแรงบีบที่แขนก็มากขึ้นอีก ร่างสูงทอดสายตาออกไปข้างหน้า เอื้อนเอ่ยคำตอบที่ครุ่นคิดอยู่ในใจโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา “ให้เป็นแวมไพร์ฝ่ายไหน มันก็ไม่ปลอดภัยต่อมนุษย์เหมือนกัน”


    ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานนักทงเฮก็เข้าใจดีว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความเป็นห่วง อีกครั้งที่รู้สึกแปลกๆขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดถึงการกระทำก่อนหน้า อีทงเฮไม่รู้... ว่าแวมไพร์เป็นเช่นนี้เมื่อได้อยู่ใกล้มนุษย์เสมอรึเปล่า และต่อให้มันใช่... เขาก็ไม่สามารถทำใจยอมรับเหมือนเรื่องปกติได้อยู่ดี


    อีทงเฮเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง.. เขามีคนรักเป็นผู้หญิง... และไม่คิดข้ามไปถึงสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์


    “เรา... จะทำยังไงกันต่อไป?” เลือกที่จะวกเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาควรฟุ้งซ่าน หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ดังเช่นในหนังแอคชั่นหรือสยองขวัญก็คงจะไม่ต่างอะไรกับคำว่าหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาคิดเพียงว่าโชคดี... โชคดีที่อย่างน้อยก็มีคยูฮยอนอยู่ด้วยกันในตอนนี้ ความกลัวที่มีมันค่อยๆเลือนหายไปพร้อมๆกับภาพความตายของกูฮาราที่ถูกฝังลงในจิตใจ กลับกลายเป็นเพียงความรู้สึกเดิมๆเช่นตอนที่คิดเพียงว่าคยูฮยอนเป็นมนุษย์... อยู่อย่างวางใจและปล่อยตัวเองให้ใกล้ชิดโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ


    อีทงเฮเคยลองคิดหาเหตุผลที่ทำให้เขาลืมความหวาดกลัวที่มีต่อคยูฮยอนไปได้ง่ายๆ... และเขาก็คิดได้เพียงความสัมพันธ์ที่เหินห่างไปตามกาลเวลาระหว่างเขากับฮาราซึ่งมันแทบไม่เหลือความผูกพันใดๆ และสิ่งนั้นเอง... ที่เขามั่นใจเป็นแน่แท้ว่ามันคือเหตุผลชั้นเยี่ยมที่มีต่ออาการเศร้าโศกในระยะสั้นซึ่งทงเฮคิดว่ามันฟังดูเห็นแก่ตัวเสียเหลือเกิน


    “ไปจากที่นี่...”


    ทั้งคู่ลัดเลาะตามแนวพงหญ้ากลับไปในทางเดิมอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กสะดุ้งทุกครั้งเมื่อเผลอไปเหยียบกิ่งไม้แห้งที่ร่วงอยู่ตามพื้นจนทำให้เกิดเสียง แต่คยูฮยอนยังคงบอกให้เดินต่อไป พวกเขาไม่ควรชักช้า อาจมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้หากไม่รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด


    กลิ่นของเลือดมนุษย์นั้นแรงขึ้นทุกขณะ มีหลายครั้งที่แวมไพร์หนุ่มสังเกตเห็นมือที่เลือดซึมออกมาจนผ้าพันแผลช่วงกลางฝ่ามือเป็นสีแดงฉาน เขากำลังพยายามจะมองข้าม พยายามจะห้ามใจตัวเองทุกครั้งเมื่อไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขากำลังต้องการอีทงเฮ...


    ต้องการที่จะลิ้มรสเลือดนั้นอีกครั้ง... ต้องการที่จะฝังเขี้ยวลงยังคอขาวที่ว่างเปล่า...


    หากแต่เป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้ากลับดึงให้คยูฮยอนดึงตัวเองออกจากภาพในหัวได้ทันควัน รถยนต์ของทงเฮยังคงจอดอยู่และมีสภาพเหมือนเดิมทุกอย่าง ทงเฮจัดการล้วงหากุญแจรถในกระเป๋าก่อนที่จะเดินไปถึงตัวรถ แยกกับคยูฮยอนอ้อมมาฝั่งคนขับ ไขประตูเข้าไปเตรียมออกรถโดยที่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง


    เพียงแต่สัมผัสหยาบๆที่คว้าเข้ายังมือซ้ายนั้นกลับทำให้ดวงตาสีนิลต้องเบิกกว้าง ร่างของผีดูดเลือดในลักษณะกึ่งอมนุษย์กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขี้ยวนั้นยาวออกมาน่าเกลียด ดวงตาปูดโปนและดำคล้ำ แรงจองจำมหาศาลที่บีบลงบนบาดแผลนั้นแทบทำให้ทงเฮร้องออกมา เขี้ยวยาวๆผิดแผกจากที่คยูฮยอนมีกำลังง้างจนเต็มเหนี่ยวพร้อมที่จะปะทะลงบนผิวกายละเอียด


    มันตามกลิ่นเลือดเขามา...


    “คยูฮยอน...”


    เพียงแต่พละกำลังมหาศาลนั้นกลับกระชากร่างผีดูดเลือดกึ่งอนุษย์นั้นลงไปกระแทกกับพื้นหินจนได้ยินเสียงแรงกระแทก ร่างนั้นดิ้นพล่าน คำรามลอดไรฟันจนคนเหนือกว่าเริ่มยั้งไว้ไม่อยู่ เสียงแหบพร่าของคยูฮยอนร้องบอกอีกคนที่ยืนเยื้องไปข้างหลังอย่างต้องการความช่วยเหลือ


    “หาอะไรแหลมๆมาให้ผม!!


    ร่างเล็กวิ่งห่างออกไปอีกทางซึ่งมีกองฟืนของชาวบ้านมัดรวมกันอยู่เป็นปล้อง เลือกเท่าไหร่ก็มีแต่อันทื่อๆที่ถูกตัดจนเป็นทรงกระบอกขนาดพอดีกัน เพียงแต่ขวานที่วางอยู่ห่างออกไปกลับเรียกรอยยิ้มได้ ทงเฮจัดการคว้ามันขึ้นมาก่อนจะวิ่งกลับไปทางเดิม คยูฮยอนและแวมไพร์คลั่งกำลังยื้อยุดกันจนร่างสูงเริ่มจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


    วิศวกรหนุ่มหาหนทางยื่นขวานให้อีกคน หากแต่เพียงได้เห็นมนุษย์ ผีดูดเลือดหน้าตาน่าเกลียดก็ตัดสินใจใช้แรงที่มีผละจากเผ่าพันธุ์ที่ยื้อกันอยู่เพื่อตรงเข้าตะครุบร่างเล็กจนไถลไปกับพื้น


    “อะ...!


    รอยแผลที่หลังปะทะกับแผ่นหินขรุขระจนน้ำตาเล็ด ทงเฮใช้สองมือดันศีรษะสิ่งมีชีวิตกระหายเลือดตรงหน้าไว้ เพียงแต่เขาพลาด... ที่มือข้างซ้ายมันไวกว่าจนใช้ดันอยู่ที่ส่วนหัว ส่วนอีกมือที่ไม่ได้มีบาดแผลกลับดันอยู่ที่ลาดไหล่แข็งกร้าน หน้านั้นลงมาใกล้เรื่อยๆ ความเจ็บที่แล่นริ้วบนมือซ้ายของเขาบั่นทอนเรี่ยวแรงที่มีไปจนหมด


    รู้สึกขยะแขยง... เมื่อเขี้ยวนั้นรังแต่จะจู่โจมลงมา น้ำลายน่ารังเกียจหยดลงข้างแก้ม ในขณะที่มือหยาบกร้านคว้าจับเข้าที่เรียวแขนซึ่งกำลังยื้อยุดต่อความต้องการ แขนของเขาสั่นเทา... แทบจะรับแรงต้านไว้ไม่ได้อีก


    ขวานที่กระเด็นหลุดมือเขาไปเมื่อครู่เฉาะลงยังแผ่นหลังของกึ่งอมนุษย์ตรงหน้า มันคำรามเจ็บปวดจนได้กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง คยูฮยอนกระชากร่างที่ใหญ่กว่าตัวเองออกจากทงเฮอย่างโซซัดโซเซ โดยไม่ลืมที่จะดึงขวานออกจากแผ่นหลังและกดคมลงยังอกข้างซ้ายจนโลหิตคาวแดงฉานไปทั่วทั้งพื้นหิน กรีดร้องเสียงดังก่อนร่างนั้นจะสลายเหลือเพียงผงธุลี และสิ่งนี้ที่คยูฮยอนมั่นใจว่าคนของเปียร์คงจะมาที่นี่ในอีกไม่ช้า


    “ทงเฮ... เป็นอะไรไหม?”


    ถึงจะส่ายหน้าเป็นคำตอบหากแต่ความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามามันทำให้เขารู้สึกปวดไปทั้งตัว ผ้าพันแผลที่มือซ้ายชื้นไปด้วยเลือด ทั้งที่แผลยังไม่หายดีแต่กลับมีเรื่องให้เขาต้องเจ็บซ้ำบนมือนี้หลายต่อหลายครั้ง จะโทษว่าเป็นความโชคร้ายหรือเรื่องงี่เง่าอะไรก็ตามแต่ แต่อีทงเฮจะไม่มีวันสร้างภาระให้มือตัวเองอีกเป็นครั้งที่สอง!


    “พวกแวมไพร์ที่อดอยากเลือดมากๆ มักจะขาดสติและการควบคุมจนไม่ต่างอะไรกับผีดิบกระหายเลือด” คยูฮยอนรั้งมือของอีกคนขึ้นมาดู เขากำลังรู้สึกสงสารคนตรงหน้าจับใจ อีทงเฮต้องเจ็บตัวถึงหลายครั้งเพียงเพราะเขา... เขาที่อยู่ตรงนี้แต่กลับปล่อยให้อันตรายมันเกิดขึ้น “ผมเกรงว่าแผลคุณจะอักเสบ...”


    “นายบอกว่าเราควรรีบไปจากที่นี่ไม่ใช่หรือ?” ขัดขึ้นพลางชักมือกลับแล้วส่งยิ้มให้ แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกเจ็บที่หลังและมือจนแทบทนไม่ไหว แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังต้องไปต่อ แผลแค่นี้มันยังไกลหัวใจ อีทงเฮได้แต่ปลอบตัวเองเช่นนั้น แม้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันจะตรงกันข้ามก็ตามที “ขึ้นรถเถอะ”


    คยูฮยอนยอมทำตามอย่างว่าง่าย อยู่ที่นี่ก็รังแต่จะมีอันตรายเพิ่มมากขึ้น ทงเฮยังคงใช้มือขวาเพียงข้างเดียวขับรถดังเช่นขามา เสียงฟ้าคำรามบ่งบอกว่าฝนกำลังจะตกหนักในอีกไม่ช้า ร่างเล็กเหยียบคันเร่งด้วยใจที่ไม่สงบดีนัก เขายังคงมีความตระหนก... ตื่นกลัว... อย่างที่มนุษย์ควรจะมี ลองใครได้เจอเรื่องแบบนี้ในระยะเวลาสั้นๆอย่างที่เขากำลังเจอ... ทงเฮคิดว่าดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เป็นบ้า... ดีแค่ไหนแล้วที่เขายังเข้มแข็งอยู่ได้...


    ดีแค่ไหนแล้วที่ความกลัวมันไม่ได้ครอบงำจนเขาอยากหนีไปให้พ้น....

     

     

     




     

    “ระวัง!!!!!









     

    ไปได้เพียงไม่กี่กิโลเมตรอีทงเฮก็เกือบจะขับรถประสานงาเข้ากับรถบรรทุกส่งของใหญ่ที่ขับสวนมาอีกเลน คยูฮยอนถลาตัวเข้ามาปัดพวงมาลัยหมุนไปอีกทางจนรถแสกเข้ากลางพงหญ้านอกเส้นถนน หัวใจอีทงเฮแทบหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น... น้ำตาใสๆที่ไม่เคยมีบัดนี้มันกลับปรากฏเด่นชัดขึ้นมาจนเขากลั้นไว้ไม่อยู่ ไหลคลอลงมาตามพวงแก้มทั้งที่ดวงหน้ายังคงมองแค่พวงมาลัยรถ... ฝนเทลงมาแล้ว... เช่นเดียวกับมรสุมในใจของอีทงเฮที่รุนแรงเสียจนเขามองไม่เห็นหนทางข้างหน้า


    “................”


    คนที่พูดอะไรไม่ออกคือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อครู่เป็นอีกครั้งที่เขาพาทงเฮเฉียดสู่ความตายซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายดาย คยูฮยอนเข้าใจดีถึงสภาพเปราะบางของจิตใจที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญ


    ความเย็นของสายฝนนั้นทำให้รู้สึกหนาวเหน็บขัดกับช่วงปลายฤดูร้อน ฝ้าที่เกาะอยู่บนกระจกจนหนาเมื่อดูเหมือนว่าภายนอกจะเริ่มทวีความหนาวเย็นมากกว่าอุณหภูมิในตัวรถ น้ำตาของทงเฮยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ ไร้ซึ่งการสะอื้น จะมีก็เพียงเสียงของลมฝนที่เทสาดลงมาราวฟ้ารั่ว


    หากตอนนี้จะมีใครสักคนที่ให้ความอบอุ่นแก่ทงเฮได้... คยูฮยอนคิดว่าคนๆนั้นย่อมไม่ใช่เขา....


    “ฉันไม่เคยคิด...” เสียงนั้นอ่อนแรง หากแต่คนฟังก็จับใจความในน้ำเสียงได้ว่าอีทงเฮกำลังรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอแค่ไหน มันไม่แปลกเลย... สิ่งที่คยูฮยอนมั่นใจว่ามันแปลกยิ่งกว่าคือความเข้มแข็งของคนตรงหน้า ความเข้มแข็งยามที่ต้องเจอในสิ่งเลวร้ายติดต่อกันอย่างหนักหน่วง ถึงอย่างนั้นเขากลับให้ทางเลือกแก่ทงเฮไม่ได้... ปกป้องทงเฮไม่ได้นอกเหนือเสียจากการอยู่ด้วยกันอย่างนี้ “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตหนึ่ง... จะต้องมาเจออะไรแบบนี้...”


    “................”


    สูดลมหายใจฟึดฟัดเข้าจมูกหลายที ทงเฮกำลังพยายามที่จะหยุดร้องไห้ มันไม่น่าดูเอาเสียเลยที่ผู้ชายอย่างเขาจะมานั่งร้องไห้ต่อหน้าแวมไพร์ที่เป็นเพียงคนรู้จัก.. เพื่อนร่วมทาง... หรืออะไรก็ตามแต่...


    พายุภายนอกตัวรถยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา ตาสีอำพันยังคงจับจ้องออกไปยังสายฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา โจวคยูฮยอนไม่ได้ปาดน้ำตา เอ่ยคำพูดปลอบใจ หรือแม้แต่จะกระทำสิ่งใด... อยู่อย่างนั้น... เนิ่นนาน....


    “คุณถอยได้...” แวมไพร์หนุ่มพูดด้วยความสัตย์จริง เขาพร้อมจะหาหนทางทุกอย่างเพื่อที่จะให้อีทงเฮหลุดพ้นจากเรื่องนี้ และโจวคยูฮยอนมั่นใจว่าเขาทำได้.. หลังได้เห็นน้ำตาของความอัดอั้นที่อยู่ภายในของคนตรงหน้านี้เอง


    “นายพูดอะไรน่ะ...” หยั่งเชิงถามออกไป ใช่.. ทงเฮเคยคิดเรื่องเกี่ยวกับการหนีหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าทางไหนพันธนาการที่รั้งไม่ให้เขาตัดสินใจบ้าบิ่นนั้นก็คือคยูฮยอน ผู้ชายที่บังเอิญเจอบนตัวตึกและช่วยชีวิตเขาไว้ในครั้งนั้น


    บางทีอีทงเฮเองก็อาจจะกำลังรู้ตัวถึงความเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆเป็นไปอย่างช้าๆ...


    สิ่งที่เขาเป็นหาใช่ความละอายใจต่อการทอดทิ้งคยูฮยอนให้อยู่อย่างลำพัง... แต่คือการต้องอยู่โดยที่คยูฮยอนไปจากเขานั่นเอง...


    สิ่งนี้ที่ทงเฮหาคำอธิบายไม่ได้ ความฟุ้งซ่านที่กัดกินใจเขาราวกับถูกครอบงำ และประโยคที่ร่างสูงเพิ่งพูดมันออกมานั่นเองกลับทำให้อีทงเฮรู้ชัดแก่ใจว่าสิ่งที่เขากำลังรู้สึกนี้คืออะไร นานแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้คิด... ไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่หัวใจของเขาบรรจงสลักมันลงอย่างช้าๆ


    แม้แต่ชั่วนาทีที่จะถูกปองร้าย... ความตื่นกลัวในใจเขาก็ยังเพรียกหาเพียงให้คนตรงหน้ามาปกป้อง ออกตามหายามที่หายไป... อยากรู้จัก... ให้ความสนใจ... เสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะได้เจอแม้ว่าไม่มีหวัง...


    กระนั้นแล้วนัยน์ตาของโจวคยูฮยอนช่างว่างเปล่า ไม่มีคำพูดตอบกลับมาหรือแม้แต่หลักประกันใดๆที่ยืนยันว่าอีกฝ่ายได้ฟังที่เขาพูด เสียงสายฝนข้างนอกยังคงตกอย่างคึกคะนองจนเสียงอื้ออึงไปทั้งตัวรถ อีทงเฮไม่รู้สักนิดว่าในดวงตาสีอำพันนั้นกำลังคิดสิ่งใด มันสะท้อนเพียงประกายวาววับไม่ต่างจากกระจกรถเบื้องหน้า


    “....ฉัน... ตอนนี้มันรู้สึกไม่ดีเลย... ให้ตายเถอะ....”


    “...............”


    “ถึงจะปลอบใจตัวเองแค่ไหน... แต่ฉันก็ยังกลัว... กลัวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันคาดการณ์ไม่ได้...” เสียงนั้นสั่นพร่า บางทีเขาอาจจะกำลังเป็นบ้า คิดอะไรไม่ออก... ไม่ว่าจะเป็นหนทางต่อจากหนี การหลบหนี การรับมือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่การต่อสู้ซึ่งเขาไม่มีวันทำอะไรได้ “ใครมันจะไปยอมรับกัน... สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์แบบนี้น่ะ....”


    ภาพผีดูดเลือดคลั่งในคราบอมนุษย์ยังคงเด่นชัดอยู่ในห้วงคิด กลิ่นคาวเหม็นหืนยามที่มันใช้กำลังทำร้ายเขา ความหวาดกลัว... เสี้ยววินาทีที่คิดว่าตัวเองจะต้องตาย.... ความสับสนกลับแล่นประดังประเดเข้ามาจนแยกแยะไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไร เป็นเพียงความอ่อนแอที่ซัดลงมาราวห่าฝน... และยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาจนหายไป.....


    “...............”


    ตาสีอำพันนั้นกำลังทอแสงสะท้อนกับประกายน้ำที่แผ่นกระจก มันยังคงราบเรียบ... หากแต่ไม่ใช่ความว่างเปล่าอย่างเคย หัวใจนั้นกำลังบีบรัดจนเจ็บมวนไปทั้งอก


    “มันทั้งน่ากลัว... ขยะแขยง....”


    “...............”


    “พอคิดว่าจะต้องตายลงเดี๋ยวนั้น... ใจมันก็นึกรังเกียจ.........”






    CLICK

    อ่านแล้วกลับมาคอมเมนท์ที่นี่นะคะ : )
    ( ย้ำ ! ควรฟังเพลงหน้าเพจเพื่ออรรถรสนะคะ !! )







     

    TBC















    มาแบบไม่ให้ตั้งตัว -OO- ตอนนี้... เราจัดมาเซอร์ไพรส์แม่ยกคยูเฮทุกคนค่ะ (ฮา)
    ความเป็นอีโรติคดราม่าที่เราได้แฝงมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ทุกคนก็มองข้ามมันไป ;_;
    ตอนนี้เป็นตอนที่ทำเอาเราเครียดมาก....... มือไม้สั่น ใจสั่น หมดแรง...........
    กว่าจะเขียนออกมาได้ เหงื่อตก หน้าร้อน ยังกับได้ไปตั้งกล้องเลยทีเดียวค่ะ 55555.
    ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพระ-นาย หวังว่าจะชอบกันนะคะ ! :D

    จากคำถามของคุณ
    < • เด็กเจ๊ • > ที่ว่า

    ปล.อยากถามไรท์เตอร์ว่าแต่งรูปทุกรูปเองเลยเหรอคะ(รูปของแต่ละตอนน่ะค่ะ) สวยมากเลยอ่ะ 
    เราชอบมากเลย


    ทำเองค่ะ ไม่มีใครมาทำให้ 555555. ไม่ถึงกับแต่งอะไรมากมายหรอกค่ะ ใช้รูปที่ชอบมาปรับ ๆสีเอาหน่อยแค่นั้น

    รักฟิคเรื่องนี้ไปนาน ๆนะคะ ^^





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×