คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ` ( SCAPEGOAT ) ____chapter eight .
SCAPEGOAT…?
Couple : Donghae x Hyukjae
Type : Drama Romance
Author : xerxixiao’
Warning : ฟิคชั่นเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อจินตนาการและความบันเทิง
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลจริงทั้งสิ้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------
CHAPTER EIGHT
ครั้งที่เก้าแล้วซึ่งอีทงเฮถูกตัดสายทิ้งโดยไร้เยื่อใย สองวันแล้วที่ฮยอกแจไม่รับสายเขา ไม่แม้แต่จะโทรกลับ หรือบางก็ปิดเครื่องหนี และถ้าถามถึงความรู้สึกในตอนนี้ทงเฮตอบได้เลยว่ามันกำลังปะทุด้วยแรงโทสะ เขาไม่ควรถูกทำแบบนี้... ไม่มีสิทธิ์ อีฮยอกแจไม่มีสิทธิ์อะไรเลย...
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกวะ!”
ไม่พอใจก็ยันเท้าถีบโต๊ะรับแขกตรงหน้าจนถอยออกไปพ้นทาง กองหนังสือระเกะระกะหล่นระเนระนาดบนพื้น กลิ่นบุหรี่ซึ่งลอยอบอวลนั้นยังไม่หายไปไหน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ดาราหนุ่มรู้สึกดีขึ้นอย่างเช่นเคย
เสียงออดหน้าห้องดังขึ้นจนร่างหนาอดที่จะสบถหยาบคายออกมาไม่ได้ อะไรๆก็เริ่มไม่ได้ดั่งใจ งานโฆษณาหลายชิ้นที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์วางแผนจะไม่จ้างเขาต่อเมื่อครบกำหนดอายุสัญญา เรื่องทั้งหมดมันยิ่งกว่าแย่... พอยิ่งได้เห็นใบหน้ามึนตึงของผู้จัดการชายหนุ่มก็กลับยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้นอีก ในมือนั้นมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงมีข่าวเสียๆหายๆมาให้โมโหเล่นอีกแน่
“อะไรอีกล่ะ? คราวนี้พวกแม่งขุดคุ้ยอะไรผมไปเขียนอีกหรือไง” คว้าเอามวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแล้วพ่นควันฉุย คิ้วเรียวขมวดมุ่น ถลึงตามองขึ้นแข็งกร้าวเมื่อถูกอีกฝ่ายโยนหนังสือพิมพ์ใส่โดยไม่พูดอะไร ถอนหายใจเพียงครั้ง วางบุหรี่คาบไว้กับขอบโต๊ะแล้วจึงหยิบเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านในหน้าที่เปิดค้างพับไว้
‘เป็นข่าวซุบซิบกันหนาหูถึงดารารูปหล่อที่ดีกรีร่วงมาเป็นพระรอง แหม... มรสุมข่าวฉาวเกี่ยวกับเรื่องคั่วไฮโซสาวเพิ่งซาไปแค่ไม่กี่เดือน นอกจากจะออกตัวแรงปะทะสื่อแล้ว พ่อคุณยังขยันหาของเสียๆเข้าตัวจนมีลุ้นพลาดรางวัลใหญ่ซึ่งกำลังจะมาถึง ก็ไม่รู้ว่าชอบเป็นข่าวหรืออะไร... เพราะล่าสุด เจ้าตัวเล่นเป็นข่าวฉาวโฉ่ให้เขาซุบซิบถึงร่างกายที่ซูบเอ๊าซูบเอาทุกวัน ถ้าพ่อหนุ่มจะรู้ตัวสักนิด เขาพูดกันให้ทั่วค่ะว่าคุณน่ะเล่นของ อีหรอบนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จนะคะไม่ขอคอนเฟิร์ม.....’
“นี่มันอะไร ?” พอเห็นอย่างนั้นก็อดจะมีน้ำโหไม่ได้ นี่มันตลกร้ายหรือไงกัน เป็นเรื่องบ้าที่สุดในรอบปีกับการที่เขาโดนเอาไปเขียนข่าวเสียหายในช่วงใกล้วันประกาศรางวัล ร่ายมาขนาดนี้ อืงเฮเชื่อว่าต่อให้เป็นเด็กอนุบาลก็เดาออก ร่างหนาผุดลุกยืนพร้อมขยำหนังสือพิมพ์จนเป็นก้อนขยะใหญ่ปาลงกับโต๊ะกระจก “ผมจะฟ้องร้องมัน... เขียนข่าวแบบนี้ได้ไง!?”
“แล้วมันไม่ใช่เรื่องจริงหรือไง?” เสียงของผู้จัดการนามจองฮุนทุ้มเข้ม ขยับแว่นสายตานิดหน่อยก่อนจะเบือนหลบไปอีกทาง ทั้งเหนื่อยใจและไม่สบอารมณ์กับคนในการดูแลมานานเต็มกลืน ไม่มีสักครั้งหรอกที่อีทงเฮจะสำนึกบุญคุณเขา แม้แต่คำพูดสวยหรูหรือกิริยานอบน้อมดังเช่นตอนเข้าวงการใหม่ๆก็น้อยลงตามความโด่งดังที่เพิ่มมากขึ้น
“นี่พี่จองฮุน... หน้าที่ของพี่คือช่วยผม ไม่ใช่มาตอกย้ำกันแบบนี้!” ยกมือขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างขาดสติ ปากบางตวาดว่า หมดคราบชายหนุ่มนิสัยดีหน้ากล้องอย่างสิ้นเชิง “ไปจัดการพวกแม่งให้เรียบร้อย... ผมคิดว่าพี่รู้นะว่าควรจะทำยังไงต่อไป”
ใบหน้าของจองฮุนขมวดขึ้ง ส่อแววแห่งความไม่พอใจออกมาชัดเจนโดยไม่ไว้หน้า “ฉันเป็นผู้จัดการ ไม่ใช่ลูกจ้างที่นายจะมาชี้นิ้วสั่งได้”
“มันก็เหมือนกันแหละวะ! ไอ้คนทำงานมันก็ผม พี่มีหน้าที่แค่กินเปอร์เซ็นต์ไปวันๆ ไม่มีผม... พี่ก็อดตาย”
“...........”
“...........”
“คนอย่างนาย... ไม่มีทางเป็นดาวค้างฟ้าได้หรอก...”
สิ้นคำดาราหนุ่มกลับกลั้วหัวเราะอย่างไม่แยแส คล้ายได้ฟังเรื่องตลก... คนอย่างอีทงเฮไม่มีทางจมดิน... ไม่มีทาง ดังคำปรามาสที่เขาเคยได้พูดไว้... ใช่ ต่อให้ตกจากฟ้า ดาวอย่างอีทงเฮก็ไม่มีทางได้สัมผัสความตกต่ำอย่างแน่นอน
“เออ... คนอย่างผมนี่แหละที่จะอยู่ค้างฟ้า แล้วเอาตีนเหยียบหน้าไอ้พวกเวรตะไลที่มาขัดขวางผม... ทุกคน”
คนฟังไม่พูดอะไรนอกจากกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ริมฝีปากได้รูปเม้มเป็นเส้นตรงดูรู้ว่าสกัดกลั้นอารมณ์โทสะซึ่งปะทุขึ้นไม่ต่างกัน ตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอเด็กคนนี้ในย่านท่องเที่ยวแถวมหาวิทยาลัย ชักชวนเข้าวงการ เสี้ยมสอนจัดการทุกอย่างและได้รับกิริยานอบน้อมตอบกลับมา แต่ยิ่งดังขึ้น... มีชื่อเสียงมากขึ้น... สิ่งเหล่านั้นก็ยิ่งน้อยลง ราวกับอุปมาตัวเองเป็นพระเจ้า แม้แต่เขาซึ่งเป็นคนที่คอยดูแลมาตลอด...
“ผมโตมากพอที่จะคิดได้... ไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสาที่จะให้พี่มาคอยบงการทุกอย่าง” ก้าวอาดๆจนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พรายยิ้มหยัน โดยไม่ใส่ใจต่ออะไรอื่นเสมือนตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก ทั้งก้าวร้าว... และน่ารังเกียจเสียจนเหมือนปีศาจตนหนึ่งเพียงนั้นเอง “บางทีพี่ควรจะเอาเวลาไปจัดการปัญหาระยำพวกนี้ มากกว่าการพยายามทำตัวอยู่เหนือผมตลอดเวลา...”
หยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาม้วนเป็นป้องแล้วตบลงบนอกแกร่งของผู้จัดการหนุ่มเบาๆ คล้ายจะย้ำเตือนในสิ่งที่ควรทำ หากแต่จองฮุนยังนิ่ง... นิ่งฟังด้วยความรู้สึกที่เลวร้ายซึ่งประดังประเดเข้ามา
“ฉันลาออก....”
“หืม?”
“นับจากตอนนี้... นายไม่มีผู้จัดการที่ชื่อจองฮุนอีกต่อไป”
อึดใจหนึ่งซึ่งความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมจนเกิดความรู้สึกอึดอัดกดดันเข้ารายรอบ แต่ก็เพียงครู่เดียว... ครู่เดียวที่ดวงหน้าซูบผอมของดาราหนุ่มนิ่งตึง จากนั้นก็กลับแค่นหัวเราะราวไม่รู้สึกรู้สาทั้งที่ในอกวูบโหวง “ก็ดี... กะอีแค่ผู้จัดการ ถึงไม่มีผมก็อยู่ได้”
สมุดบันทึกตารางงานเล่มราวฝ่ามือถูกหยิบออกมาจากในกระเป๋าและวางลงบนโต๊ะ หวดเสียงลมกระแทกกับแผ่นกระจก จากนั้นร่างสูงของชายหนุ่มก็ถอยออก หมุนตัวเดินกลับออกไปจากห้องโดยไร้เยื่อใยใดๆต่อกันแม้ในฐานะผู้มีพระคุณ อีกหนึ่งชีวิตที่เอาตัวออกไปจากอีทงเฮได้สำเร็จ...
“โว้ยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!”
ปัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวลงกับพื้นจนเลอะเทอะไปทั้งบริเวณ กี่ครั้งแล้วที่เขาผลักไสทุกคนรอบตัว... กี่ครั้งแล้ว... แม้แต่ตอนนี้ ฮยอกแจก็ยังทำท่าจะหนีจากเขาไปอีกคน เหนื่อย... แต่ก็ยังต้องทะเยอทะยาน เพราะความฝันของเขาอยู่อีกไม่ไกลแล้ว...
“คิดว่ากูต้องง้อพวกมึงหรือไง...”
♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣
หญิงสาวในชุดคลุมท้องเดินอุ้ยอ้ายลงมาจากบันไดพร้อมกระเป๋าสะพายเล็กๆใบหนึ่ง แม้ว่าใบหน้าจะดูอวบอิ่มเพราะหน้าท้องซึ่งโตขึ้นจากเมื่อสองเดือนก่อนที่ไปอัลตร้าซาวน์ ทว่าแววแห่งความสุขนั้นน้อยลง... ดูโศกเศร้าผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยชีวิตในท้องโดยการทำให้ตัวเองทรุดโทรม อย่างน้อยนี่ก็เป็นหนึ่งในข้อดีของชเวจีน่า... เธอเข้มแข็งกว่าผู้หญิงหลายๆคน และแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างชัดเจน
ร่างผอมโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอกค่อยๆวางจานอาหารเช้าลงกับโต๊ะอาหาร พอได้เห็นร่างซึ่งเดินลงจากชั้นบนก็รีบปราดเข้าไปประคอง พูดคุยกับลูกในท้องเหมือนอย่างที่ทำทุกวัน “ว่าไงครับคนเก่ง ปลุกคุณแม่แต่เช้าเลยใช่ไหมเรา”
แววตาอ่อนโยนนั้นจับจ้องเพียงท้องนูนกลมอย่างห่วงใย แม้คนที่ถูกเรียกว่าคุณแม่จะตกอยู่ในอาการโศกเศร้า กระนั้นเธอกลับยิ้มออกมา... ยิ้มอย่างที่อธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ถ้าถามว่าเธอยังรู้สึกดีกับฮยอกแจอยู่ไหม... จีน่าก็ยังจะตอบเป็นคำเดิมว่าใช่ ตั้งแต่วันนั้นที่ชายหนุ่มพูดมันออกมา... หลายต่อหลายครั้งซึ่งเธอเฝ้าถามว่าทำไม หากแต่ไม่มีคำตอบ... ไม่มีเหตุผลใดๆถูกยกขึ้นกล่าวอ้างในคำว่ารักไม่ได้ของอีฮยอกแจ
“ผมทำมื้อเช้าไว้ให้ ทานสักหน่อยนะครับเดี๋ยวผมขับรถไปส่ง” ระบายยิ้มอ่อนให้อีกคนเสมอต้นเสมอปลาย อาหารบำรุงอ่อนๆสองสามอย่างถูกจัดไว้อย่างน่ารับประทาน จีน่าไม่เข้าใจนักว่าทำไมฮยอกแจยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยๆถ้าไม่ได้รัก.... ก็ไม่ควรต้องทำแบบนี้
“ฉันนั่งแท็กซี่ไปเองดีกว่าค่ะ รบกวนคุณเปล่าๆ” พูดทั้งที่ไม่มองหน้า ความห่างเหินซึ่งถูกสร้างขึ้นราวเกราะกำบังความเจ็บปวดของหญิงสาวไม่ได้ทำให้ครีเอทีฟหนุ่มรู้สึกดีนัก กระนั้นเขาก็ยังคงยิ้ม... ยิ้มให้อย่างจริงใจเฉกเช่นครั้งแรกที่เจอกัน โดยไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มนั่นเอง... ซึ่งกำลังทำให้หญิงสาวคนหนึ่งเกิดความรู้สึกอ่อนไหวจนต้องร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แล้วคุณจะกลับกี่โมง ผมไปรับไหมจะได้ไม่ลำบาก?”
“...........”
“จีน่า?”
“คุณไม่ต้องทำดีกับฉันขนาดนี้ก็ได้ฮยอกแจ...”
ไม่ต่างจากทุกวัน ยิ่งทำดีเท่าไหร่กลับยิ่งสร้างความอึดอัดได้มากเท่านั้น เป็นเขาเองที่ทำให้จีน่าดีขึ้น... แล้วก็เป็นตัวเขาที่ทำให้ทุกอย่างกลับแย่ลงอย่างไม่น่าให้อภัย ทั้งที่อาหารในชามยังไม่พร่องไปมากนัก แต่หญิงสาวกลับเลือกหนีความเงียบบนโต๊ะอาหารด้วยการลุกหนีออกไปช้าๆ สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเปิดรั้วบ้าน เธอคงออกไปแล้ว...
พอลับสายตาของชเวจีน่า... น้ำตาที่เก็บกลั้นไว้กลับไหลออกมาอย่างเหลืออด ไม่... อีฮยอกแจไม่ได้ฟูมฟาย แต่ความรู้สึกผิด ความท้อแท้ ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามาจนเขาทำอะไรต่อไปไม่ถูก ไม่ว่าจะทางไหนก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรดีขึ้น... ไม่เลยสักนิด...
เสียงโทรศัพท์มือถือดังแว่วมาจากทางห้องรับแขก ได้แต่ปาดน้ำตาอย่างลวกๆแล้วก็จำต้องลุกเดินไปรับสาย ดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอให้แน่ใจว่าใครโทรมา เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ใครบางคน ร่างบางจึงตัดสินใจรับสายโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนานนัก “ยอโบเซโย”
( เสียงแบบนี้... นี่พี่ร้องไห้อีกแล้วหรือไง )
เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มซึ่งอีฮยอกแจแสนคุ้นเคย บ่อยครั้งที่คยูฮยอนโทรมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ปลีกตัวมากินข้าวกลางวันด้วยเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ถือว่าห่างกันพอดู เด็กเมื่อวานซืนของเขาโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานมีการทำจนไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเคย คยูฮยอนต่างจากฮยอกแจ... เพราะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานและครอบครัว ว่างพอพบปะ แต่ใช่ว่าฮยอกแจจะเล่าให้ฟังเสียทุกเรื่อง... อย่างน้อยก็เรื่องทงเฮ ไม่อย่างนั้นเด็กนี่คงอาละวาดบ้านแตก บุกไปต่อยอีกคนแบบไม่ไว้หน้าเช่นเมื่อหลายเดือนก่อนเป็นแน่
“เปล่า... วันนี้จะเข้ามากี่โมง?” วันนี้เป็นอีกวันที่พอจะมีเวลาว่างมาเจอกัน คยูฮยอนอาสามาหาเพราะเพิ่งซื้อรถใหม่ แซวไปบ้างว่าคงเห่ออยากผลาญน้ำมันรถเล่น จริงอยู่ว่าคยูฮยอนรับมุข แต่ก็ไม่ลืมจะต่อท้ายด้วยคำที่ย้ำนักย้ำหนาว่าอยากให้เขาพักผ่อนบ้าง
( น่าจะบ่ายๆ ขอผมอ้อนแม่ตอนกินมื้อกลางวันแล้วจะรีบไปหา )
คนฟังอมยิ้มเมื่อได้ยินคนอ่อนวัยกว่าพูดถึงความอบอุ่นในครอบครัวจนนึกภาพออกได้ไม่ยาก เขาไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวแม้ว่าจะถูกชวนอยู่หลายครั้ง เหมือนว่าแม่ของคยูฮยอนจะรู้จักชื่ออีฮยอกแจดีในฐานะรุ่นพี่คนสนิท แต่แน่นอนว่าคงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์นอกเหนือจากนั้น
“อืม... ถึงแล้วก็โทรเข้ามาล่ะ”
( เสียงละห้อยแบบนี้ อยากให้ผมรีบไปปลอบใจก็บอกเถอะ )
พูดเล่นไปอย่างนั้น อย่างที่รู้ๆกันว่าพวกเขาไม่ได้มีเซ็กส์กันมาหลายเดือนเพราะเวลาไม่ตรงกัน ทั้งเขายังย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านจีน่า มีโอกาสแวะไปที่คอนโดมิเนียมก็แค่ไม่กี่ครั้ง คนๆเดียวที่ฮยอกแจมีความสัมพันธ์ด้วยเพียงคนเดียวจึงหาใช่อื่นไกลเลย... คนๆนั้น... คนที่เขาตั้งตัวถอยห่างออกมาอย่างจริงจังนับสามเดือน
“จะทะลึ่งใหญ่แล้วเจ้าเด็กนี่...”
♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣
ทั้งที่ขึ้นว่าเป็นสายซ้อนแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีทงเฮจะมีโอกาสได้ยินเสียงปลายสาย รู้สึกได้ว่ากำลังโดนถอยห่าง... เพียงแต่มันไม่มีอิทธิพลอะไรต่ออีทงเฮนักในเมื่อเขายังตั้งตนอยู่เหนือฮยอกแจ อยากจะระบาย... อยากจะมีใครสักคนที่คอยรับฟังปัญหา... แม้ว่านานมาแล้ว... นานมาแล้วกับการที่เขาได้รับเพียงความเงียบกลับมาเป็นคำตอบ เพื่อนรักเพียงคนเดียวเริ่มทำเหมือนไร้ตัวตน ไม่เต็มใจให้กระทำ ไม่มีเสียงตอบรับของความสุขสม... เหมือนเขาเป็นไอ้บ้าที่กระทำทุกอย่างอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้นเอง
ถึงหลังๆมานี้เขาจะรุนแรงไปบ้างแต่ฮยอกแจก็ต้องเข้าใจเขาไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเข้าใจเขามาตลอด เพราะอย่างนั้นมีสิทธิ์อะไรถึงจะทิ้งกันไป หลบหน้าหลบตาทุกอย่าง ใช้ชเวจีน่าเป็นเกราะกำบังในบ้าน คิดว่าเขาจะไม่กล้าหรือไงกัน
“ไหนว่ารักนักรักหนาไงล่ะ...”
♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣
“เป็นไง เฉาตายหรือยังพี่ชายของผม”
มาถึงก็พูดจาทะเล้นให้อีกคนยีหัวเล่นเฉกคนคุ้นเคย ร่างสูงโปร่งนั้นเปลี่ยนไปนิดหน่อย ทั้งทรงผมที่ถูกตัดสั้นขึ้น ลักษณะการแต่งตัวซึ่งดูสบายๆแต่ก็ภูมิฐาน ไม่มีเค้าความกะโปโลหลงเหลืออยู่ภายในเวลาไม่กี่เดือน ฮยอกแจสำรวจดูรุ่นน้องคนสนิทหัวจรดเท้า แล้วก็ต้องอมยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายแสร้งทำท่ากระชับคอเสื้อเก๊กหล่อแบบไม่จริงจังนัก “ว่าไงคุณวิศวกร โตขึ้นเป็นกอง”
“โธ่พี่ครับ... พูดยังกับคุณยายผมที่ต่างจังหวัดเลย” โดนค้อนให้ทีหนึ่งโทษฐานพูดจาล้อเลียน โจวคยูฮยอนกลอกสายตามองไปรอบตัวๆบ้าน ใจอยากจะถามถึงเรื่องชเวจีน่าที่ฮยอกแจเล่าให้ฟังเมื่อเดือนก่อน แต่อีกใจกลับเลือกไม่พูดออกไปเพราะอยากรักษารอยยิ้มนั้นไว้ คิดผิดเสียเมื่อไหร่... คนดีๆแบบพี่ฮยอกแจของเขาเป็นใครก็คงหลงรักทั้งนั้น
“เดี๋ยวจะไปเอาน้ำกับของว่างมาให้”
หยัดตัวลุกขึ้นทั้งที่ยังพูดไม่จบ ร่างผอมบางเดินเลี่ยงเข้าไปทางด้านในของบ้าน คล้อยหลังไปหน่อย ร่างสูงก็ตัดสินใจลุกตาม เดินไปยืนเตะท่าเกาะขอบประตูห้องครัวอย่างนั้น มองหนุ่มรุ่นพี่จัดแจงอาหารว่าง แล้วก็อดจะคลี่ยิ้มกว้างไม่ได้ ข้าวของในห้องครัวส่วนใหญ่ถูกจัดตามรสนิยมของฮยอกแจเกือบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ของตกแต่งตามส่วนต่างๆตามทางเดิน คงเป็นพ่อบ้านเต็มขั้นเลยสินะ
“งานที่บริษัทหนักไหม?” ว่าทั้งที่เอื้อมตัวหยิบกล่องผงชาบนตู้ติดผนัง ตาเรียวรีนั้นไม่ได้ปรายมองมาทางเขานัก มัวแต่ง่วนอยู่กับสิ่งที่ทำเสมอ ข้อนี้คยูฮยอนคุ้นเคยดี
“ดูเอาเถอะ เมื่อไหร่ที่ผมมีเวลาปลีกตัวออกมาหาพี่ นั่นแหละคือเวลาว่างของผม” พูดเชิงเปรียบเทียบจนเรียกเสียงหัวเราะจากฮยอกแจได้พอดู ฟังจากคำตอบก็พอรู้ว่าคยูฮยอนยุ่งมาก รุ่นพี่ที่บริษัทพากันยัดเยียดสอนงานให้จนแทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหน ไม่วายพูดติดตลกอีกว่าอายุไม่เกินสามสิบคงได้เลื่อนเป็นถึงขั้นบอสใหญ่ประจำบริษัท
“นายก็พูดเกินไป ไม่ดีหรือจะได้เลื่อนขั้นไวๆไง”
“ผมไม่รีบขนาดนั้นหรอกครับ” เดินเอื่อยเฉื่อยมาจนหยุดอยู่ใกล้อีกคน จ้องมองขนมสีน่ากินในจานกระเบื้องเคลือบแล้วก็อดไม่ได้จนต้องใช้มือเปล่าหยิบขึ้นมาชิมเสียชิ้นหนึ่ง เคี้ยวกรุบๆในปากแล้วก็พยักหน้าพึงใจ จนเมื่อถูกหันมาเห็นเท่านั้นล่ะ อดไม่ได้ที่จะตีมือเจ้าเด็กแสบแล้วขอกลับคำที่ว่าดูโตขึ้นเสียเดี๋ยวนั้นเลย “ขนมอะไรครับเนี่ย อร่อยชะมัด”
“เจ้าแถวบริษัท เห็นพี่จองซูชอบซื้อมาฝาก”
“ทีหลังซื้อมาฝากที่บริษัทบ้างสิ รับรองผมได้เลื่อนขั้นตั้งแต่อายุยี่สิบสองแน่” ยักคิ้วกวนประสาทประกอบคำพูดทีเล่นทีจริงเข้าไปอีกหน่อยก็ดูหมั่นไส้อย่างไม่น่าเชื่อ “เจอพี่คราวก่อนก็ว่าผอมกะหร่องแล้ว ตอนนี้ขอใช้คำว่าซูบเลยแล้วกัน เจอกันคราวหน้าผมคงต้องคุยกับกระดูกเดินได้”
เหลือบขึ้นสบตากันนิดหน่อยก็ได้แต่หัวเราะเบาๆในลำคอ ร่างสูงนั้นเข้าประคิด ไม่ได้โหยหาแต่กลับดึงดูดด้วยความคุ้นเคย ลมหายใจนั้นชิดใกล้ กระทั่งริมฝีปากแตะกันผะแผ่ว
“ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งหลายเดือน ผมควรจะคิดถึงหรืออะไรดี”
♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣
มือหนาจัดการปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเก็บใส่กระเป๋ากางเกง ดวงหน้าหล่อเหลายามนี้ไม่สบอารมณ์นัก มองตรงออกไปเห็นประตูบ้านสีขาวอยู่รำไร ตัดสินใจจอดรถห่างออกมาอีกหน่อยเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต อย่างน้อยวันนี้เขาต้องเจออีฮยอกแจให้ได้... ถึงชเวจีน่าจะอยู่ด้วยกันก็ช่างปะไร เจอกันเสียบ้าง ป่านนี้คงรู้แล้วกระมังว่าเคยมีสามีร่วมกับผู้ชายที่แต่งงานด้วย
เดินเนือยๆมาจนถึงหน้าบ้านหลังโต ประตูรั้วไม่ได้ล็อกจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเงียบเชียบ ถอดแว่นกันแดดสีทึบใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ ขมวดคิ้วหนานิดหน่อยเมื่อสังเกตเห็นรถยนต์ใหม่เอี่ยมซึ่งดูไม่คุ้นตา คิดเอาว่าจีน่าคงผลาญเงินเล่นโดยการซื้อรถใหม่กระมัง แค่เห็นรถฮยอกแจจอดทิ้งไว้ก็ไม่ต้องเดาแล้วว่าอีกฝ่ายคงจะอยู่บ้านในวันหยุดแบบนี้ เผลอๆคงนั่งกินข้าวเป็นครอบครัวแสนสุขอยู่กับเมียสุดที่รัก ขืนกดออดเรียกมีหวังได้ถูกไล่สาดเสียเทเสีย ไหนๆก็ไหนๆอีทงเฮจะจัดเซอร์ไพรส์หน่อยเป็นไร
สำรวจมองกระถางต้นไม้ในสวนหน้าบ้าน ทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งก็ลงมือสุ่มหากุญแจสำรองที่ซ่อนอยู่ เขาจำได้เมื่อครั้งที่ยังคบอยู่กับจีน่า หล่อนทำกุญแจหายแล้วรื้อๆคลำๆหาจากแนวนี้ ไม่นานนักวัตถุสีเงินสะท้อนแสงกลับปรากฏแก่สายตาร่างหนาพร้อมรอยยิ้มพึงใจ ต้องขมวดคิ้วสงสัยเป็นรอบที่สองเมื่อรองเท้าหนังผู้ชายถูกถอดไว้บนพื้นไม่ใช้ชั้นวางรองเท้า ผิดวิสัยฮยอกแจ แต่ก็ยังไม่ชวนฉุกใจคิดเป็นจริงเป็นจัง ทั้งบ้านเงียบเชียบ แม้แต่ในห้องรับแขกนั้นกลับว่างเปล่า บางทีเพื่อนรักของเขาอาจจะกำลังอ่านหนังสือหรือทำงานอยู่ในห้อง
เสียงหัวเราะเบาๆดังแว่วมาอีกทางร่างหนาจึงจำต้องชะงักฝีเท้าอยู่ตรงบันไดแล้วเปลี่ยนทิศการเดินไปอีกทาง เป็นเสียงผู้ชายจึงมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามาจากอีฮยอกแจ ยิ่งใกล้ครัวเสียงก็ยิ่งชัดขึ้น ถึงตรงนี้... ไม่ต้องคิดให้มากความก็พอรู้ว่าเป็นเสียงอะไร
“อา... คยูฮยอน...”
“...พี่น่ะคิดถึงผมชัดๆ”
ร่างบางที่ค้อมติดโต๊ะนั้นกึ่งเปลือยท่อนล่าง ทั้งกางเกงและชั้นในถูกรูดลงกองถึงข้อขาโดยมีอีกร่างทาบทับอยู่ติดกัน เสียงจานกระเบื้องเลื่อนครืดกับไม้โต๊ะเพราะแรงสั่นไหว ฝั่งร่างสูงขบกรามแน่นด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูง แต่ฮยอกแจก็ไม่ต่างกันเลย...
เสียงครางครือสุขสมแบบที่อีทงเฮไม่เคยได้ยินแว่วระงมในห้องโปร่งสีอ่อน ดวงหน้าขาวนั้นแดงก่ำ ยิ่งทำเสียงนั้นกลับยิ่งชัดขึ้น ตรงนั้น ตรงนั้น รสสวาทที่ต่างฝ่ายต่างเต็มใจ สีหน้าแบบนั้น...
ยิ่งกว่าโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ทงเฮบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกโกรธขึ้งอย่างรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นนี้คืออะไร ฮยอกแจไม่เคยครางแบบนั้นให้เขาได้ยิน ไม่เคยมีสีหน้าที่แสดงถึงความสุข ไม่แม้แต่จะมีอารมณ์ร่วม และช่างดูเบื่อหน่ายเสียจนทงเฮคิดว่าเป็นเขาฝ่ายเดียวซึ่งกำลังมีเซ็กส์ ฮยอกแจเป็นเหมือนตุ๊กตา... เป็นเหมือนหุ่นยนต์ซึ่งปราศจากความใคร่....
แต่ภาพที่ได้เห็นนี้ทำให้รู้ตัวว่าคิดผิด... เพื่อนสนิทของเขากำลังมีความสุขอย่างล้นเหลือกับผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่อริของอีทงเฮ แม้แต่การปลดปล่อยรสอารมณ์แบบนั้นทงเฮยังไม่เคยเห็น... ไม่เคยเห็นฮยอกแจรู้สึกดีกับเซ็กส์แบบนี้สักครั้งเดียว! ดูเหมือนว่าเขาจะคาดการณ์ผิด... สุดท้ายแล้ว อีฮยอกแจก็แค่ผู้ชายซึ่งกระสันในเรื่องเพศ... ทั้งที่ร่างกายนั้นถูกเขากกกอดมานักต่อนัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอ....
ทำสีหน้าทรมานเวลามีเซ็กส์กับเขา... แต่กลับมาคั่วอย่างมีความสุขกับโจวคยูฮยอนมันหมายความว่ายังไง
TBC
มาแล้ว...... ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลยไว้ค่อยมาแก้ -//////////// -
รู้นะว่าคิดถึงน้องโจวพี่อึนกัน ._ .
ความคิดเห็น