คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : CHAPTER VII :; Died
CHAPTER VII :; Died
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ดังแทบไม่ได้สรรพ เมื่อคนที่หายตัวไปร่วมเดือนเดินก้าวเข้ามาภายในบริเวณตึกคณะด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โต๊ะไม้ตัวยาวหน้าตึกซึ่งมีกลุ่มผู้ชายสามคนนั่งอยู่คือจุดหมายที่เขากำลังเดินตรงไป
“เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย”
ผู้ชายในกลุ่มที่นั่งหันหน้ามาทางเขาพอดีร้องผงะขึ้นเสียงดังลั่นจนทั้งโต๊ะเหลียวมามอง อีทงเฮวางหนังสือเรียนเล่มไม่หนามากในมือลงบนศีรษะคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “มองอะไร ไม่เคยเห็นคนรึไงพวกแก”
“แกมั่นใจนะว่าแกเป็นคน” ชินดงฮีปัดหนังสือที่วางอยู่บนหัวออกแล้วเค้นเสียงถามคนตรงหน้าคล้ายไม่แน่ใจนัก ตามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนทั้งกลุ่มที่มองมาทางเขาเป็นตาเดียว
“แหวกไส้ให้ดูเอามะ ?” ร่างโปร่งสบถยียวนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆร่างท้วมของเพื่อนรัก เป็นเรื่องน่าขนลุกโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ชายสามคนที่เหลือกำลังเขยิบเข้ามาเบียดกันเพื่อจ้องมองเขาให้ใกล้ที่สุด
“นายไปไหนมาน่ะทงเฮ” รยออุคเปิดบทด้วยน้ำเสียงที่เคลือบแคลงอย่างโจ่งแจ้ง นัยน์ตาเรียวรีของคนถูกถามสบขึ้นมองเพื่อนทั้งกลุ่มแต่ก็ยังไม่ได้ตอบอะไร
“หายไปจนพวกฉันเกือบลืมไปแล้วว่าแกยังมีชีวิตอยู่” คิมชงอุนเสริมขึ้นมาเสียงแปร่ง พวกเขากำลังรอคำตอบจากทงเฮที่ยังนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อน ซ้ำยังเปิดกระเป๋าหยิบหูฟังขึ้นมาเตรียมจะต่อกับเอ็มพีสาม
ชินดงวางมือท้วมๆลงบนมือของอีกคนแล้วกดลง ทงเฮจิ๊ปากขัดใจเมื่อถูกขัดขวางการฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์ในเช้าวันแรกที่มามหาวิทยาลัย “ตอบคำถามก่อน”
“บ้าเอ๊ย พวกแกจะอยากรู้ไปทำไมวะ” เขาเกาศีรษะแกรกๆก่อนทำท่าจะลุกเดินหนี เพื่อนทั้งกลุ่มโวยวายขึ้นเซ็งแซ่ก่อนจะช่วยกันดึงชายเสื้อของคนคิดชิ่งให้นั่งลงตามเดิม
ทงเฮกำลังใช้ความคิดอย่างหนักในสมอง เขาบ่ายเบี่ยงพวกบ้านี่ไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ และปัญหาใหญ่กว่านั้คือเขาควรจะตอบออกไปว่าอะไรต่างหาก
‘เมาแล้วไปปล้ำฮยอกแจว่ะ เลยโดนลักพาตัวไปปล้ำคืน’
คำตอบแรกในหัวถูกตัดทิ้ง
‘กลับบ้านที่มกโพ’
ไม่ดี.... ชินดงรู้ว่าเขาเกลียดครอบครัวอุปโลกน์ที่นั่น
‘ไปมีเรื่องกับพวกอันธพาล เลยหนีไปกบดาน’
ประโยคนี้ดูจะเข้าท่า แต่มีหวังเขาได้โดนตบหัวค่ำด้วยมืออวบๆคนข้างๆนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ทำงานน่ะ” คำตอบที่ดีที่สุดถูกเอื้อนเอ่ยออกไปเสียงห้วน เพื่อนทั้งกลุ่มพากันเลิกคิ้วสูงจนเกิดรอยย่นบนหน้าผาก “พวกแกก็รู้ว่าฉันค้างค่าเช่าห้องมาหลายเดือนแล้ว ป้าแกก็ขู่จะไล่ฉันออก ฉันเลยต้องลาไปทำงานพิเศษหาเงินมาจ่ายค่าห้องไงเล่า”
มันดูจะน่าฟังที่สุดและไม่ต้องเสี่ยงกับความฉลาดเป็นกรดของเพื่อนตัวท้วมที่กำลังจ้องตาเขาอยู่นี่ อีทงเฮกำลังร่ำภาวนาในใจให้ข้ออ้างสมเหตุสมผลนี่ทะลุสมองของเพื่อนร่วมกลุ่มและไม่ติดใจอะไรอย่างที่เขาหวังไว้
“แต่ว่า....” เสียงใสของรยออุคเปรียบเสมือนเสียงนรกสำหรับเขาในตอนนี้ เขาอยากจะตะโกนออกไปรอมร่อว่าหุบปากซะ จะจุดชนวนให้คนอื่นๆสนใจอีกทำไม ! “ตอนพวกเราไปตามทงเฮที่ห้องน่ะ คุณป้าเจ้าของตึกแกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บอกว่าเพิ่งมีผู้ชายมาจ่ายเงินค่าเช่าห้องให้นายนี่”
‘ดะ...เดี๋ยว ซีวอน ! บ้าน... เอ่อ ห้องของฉันล่ะ ?’
‘ยังอยู่ดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างไว้ฉันเคลียร์ให้หมดแล้ว’
เขาเกือบจะทึ้งหัวตัวเองขึ้นมาดื้อๆเมื่อรยออุคพูดจบ ไหนจะเรื่องอาจารย์อีก.... ไม่ใช่เขาจะหมดสิทธิ์สอบอย่างที่กลัวมาตลอดหรอกนะ พอคิดเรื่องนี้ก็เลยไปถึงคนที่ชื่อชเวซีวอน.... สองวันหลังจากที่เขาออกมาจากบ้านหลังนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่กลับมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวอย่างที่เคยเป็นเท่านั้นเอง
“แล้วแกปิดเครื่องโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลารึไง ไม่มีใครติดต่อแกได้เลยสักคน” ชินดงยังคงเพ่งมองมาทางเขาเช่นเดียวกับเพื่อนในกลุ่ม มันจะมาฉลาดอะไรกันตอนนี้ ทำเอาเขาไปต่อไม่ถูกแล้ว
“จะว่าไปมันก็แปลกๆนะ ฮยอกแจน่ะหายไปพร้อมๆกับแก จนเพิ่งจะโผล่หน้ามาให้เห็นก่อนแกหนึ่งวัน”
คำพูดของชงอุนทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย ฮยอกแจกลับมาเรียนตามปกติแล้วสินะ แต่ถ้ามองอีกนัยหนึ่ง.... ไม่ใช่ว่าพวกนี้กำลังโยงฮยอกแจเข้ากับเรื่องของเขาหรอกนะ
“บอกความจริงพวกเรามาซะดีๆอีทงเฮ”
“เอ่อ....”
“ทงเฮ !?” เสียงใสของใครบางคนเรียกให้ทั้งโต๊ะหันไปมอง ทงเฮรู้สึกเหมือนเขากำลังได้ยินเสียงสวรรค์ที่มาช่วยชีวิตไว้ยังไงยังงั้น เขาเป็นคนที่หันไปมองต้นเสียงช้ากว่าเพื่อนเพราะมัวแต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “ทงเฮจริงๆด้วย”
“ซองมิน....” ร่างเล็กอวบขาวกำลังแย้มยิ้มให้เขาอย่างสดใส นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ เดือนหนึ่ง.... ใช่แล้ว เพียงเวลาแค่เดือนหนึ่งเขากลับลืมคนตรงหน้าที่เคยบอกว่ารักนักหนานี่ไปซะสนิทใจ อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายหลายอย่างที่ดึงตวามสนใจของเขาจนลืมคิดถึงเรื่องที่โดนหักหลังนี่ไป
รวมทั้งอะไรบางอย่าง.... ที่ดึงหัวใจของเขาคืนมาจากซองมินอย่างไร้เยื่อใย
“เอ่อ....” ซองมินยิ้มแห้งๆให้เพื่อนร่วมกลุ่มของทงเฮที่พากันชักสีหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วหันกลับไปมองลมมองอากาศตามเดิม มือขาวแตะลงบนมือของคนที่ยังคงมองเขาก่อนจะแย้มรอยยิ้มอ่อนๆที่ทงเฮเคยหลงนักหลงหนา “ไปคุยกันสักเดี๋ยวได้ไหม”
“เอาสิ” ร่างโปร่งเลือกที่จะตอบตกลงไปอย่างง่ายดายเมื่อเทียบกับการที่เขาจะต้องถูกนั่งซักความจริงจากกลุ่มเอฟบีไอนี่เสมือนเป็นผู้ต้องหาที่ถูกคุมตัว เขาปล่อยให้ซองมินจับมือพาเดินออกไปจากบริเวณที่คนเดินผ่านไปมาอ้อมไปยังหลังตึกคณะด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า
ซองมินหยุดฝีเท้าลงและหันมามองเขาโดยที่ยังไม่ปล่อยมือออก มืออีกข้างของทงเฮล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงสบายๆโดยไม่มีทีท่าวิตกกังวลอย่างที่ซองมินวาดหวังเอาไว้ ร่างเล็กเขยิบเข้ามาใกล้ก่อนจะสวมกอดอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคยเฉกเช่นที่ผ่านมา หากแต่ทงเฮไม่ได้กอดตอบ ไม่แม้แต่จะเอามือที่ล้วงกระเป๋านั่นออกมาสัมผัสกายเขาด้วยซ้ำ
“ฉันคิดถึงทงเฮมากเลย” ซองมินกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ตอบรับอะไรเลยก็ตาม เขาแย้มยิ้มอุ่นใจเล็กน้อยเมื่อในที่สุดทงเฮก็เลือกที่เอามือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพียงแต่เขาไม่ได้กอดตอบอย่างที่เจ้าของอ้อมกอดหวังจะได้รับ มือเรียวดันร่างอดีตคนรักออกช้าๆและเนิบนาบเสียจนเห็นใบหน้าตระหนกของซองมินชัดเจน
“อย่าทำแบบนี้เลย เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว” ร่างโปร่งระบายยิ้มอ่อนๆยามพูดคำปรามออกไปอย่างสุภาพ ช่างต่างจากเสียงตวาดกร้าวในครั้งสุดท้ายที่ซองมินได้เจอคนๆนี้
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความรู้สึกที่คนตรงหน้ามีให้เขามันจะริบหรี่ในเวลาอันรวดเร็ว
“ไม่ได้เป็นอะไรกัน ?” ซองมินแค่นเสียงออกมาผ่านลำคอที่แห้งผาก “เราเลิกกันตอนไหนเหรออีทงเฮ ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ตั้งแต่ตอนที่นายเลือกจะไปจูบกับผู้ชายคนนั้นไงล่ะ” เสียงของอีทงเฮยังคงราบเรียบเสียจนซองมินคิดว่าเขากำลังคุยกับคนอื่น ทงเฮอ่อนโยนกับเขาเสมอ แววตาเปล่งประกายสดใสไปพร้อมกับคำพูดทุกครั้งที่มองเขา แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เลย
“ฉันอธิบายได้นะ” ร่างเล็กเอื้อมไปแตะต้นแขนนั้นแผ่วเบา สายตาเว้าวอนกำลังถูกส่งให้คนตรงหน้าราวบทโศกชั้นยอด “ฉันไม่เลิกกับทงเฮหรอก เรื่องครั้งนั้นมันก็แค่....”
“ถึงนายไม่เลิก ฉันก็จะเลิก” ทงเฮตัดบทเสียงเย็นโดยไม่ลืมที่จะแย้มรอยยิ้มสุภาพเช่นคนอื่นคนไกลให้เขาราวกับกำลังย้ำว่าซองมินเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
มืออวบตกลงข้างตัวคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น คำที่หูได้ยิน “อะไร... อะไรทำให้นายเปลี่ยนไปขนาดนี้”
ร่างโปร่งแค่นหัวเราะเบาๆคล้ายได้ฟังคำถามไม่ประสีประสาของเด็ก เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบไปเสียงพร่า “ความรักไงล่ะ”
“ไม่จริงหรอก คนอย่างนายจะทิ้งความรักลงได้ง่ายๆหรือไง”
“ฉันไม่ได้ทิ้งความรัก แต่ความรักฆ่าฉันต่างหาก” เขาเหยียดยิ้มที่ซองมินคิดว่ามันดูขมขื่นที่สุด “ฉันได้รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนโง่ตั้งแต่ที่ถูกนายหักหลัง และโง่ยิ่งขึ้นเมื่อฉันยอมเจ็บซ้ำๆซากๆเป็นครั้งที่สอง”
“หมายความว่าไง ?”
“ความสุขที่สุดของฉัน คือตอนที่ไม่มีความรักต่างหาก” ทงเฮทิ้งรอยยิ้มสุดท้ายไว้ให้คนที่เขาเคยรัก ก่อนจะเดินออกไปเมื่อได้เวลาเข้าเรียน
รักครั้งแรกสอนเขาว่าอย่าไว้ใจ
รักครั้งที่สองสอนเขาว่าอย่าคาดหวัง
แต่อีทงเฮให้สัญญากับตัวเองว่ามันจะไม่มีครั้งที่สามอีกแล้ว .
-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-
“เป็นไงบ้างจ๊ะกับอาการของคุณป้าเธอที่มกโพ ?”
“เห ?” มือเรียวชะงักกึกกับการเก็บของบนโต๊ะเลคเชอร์ลงกระเป๋า เมื่ออาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาถามไถ่ด้วยน้ำเสียงสบายๆในท้ายคาบเรียน
“อ้าว ก็เธอทำเรื่องขอลาเพื่อจะไปดูแลคุณป้าที่ป่วยไม่ใช่หรือจ๊ะ”
ร่างโปร่งประมวลผลในสมองอย่างถี่ถ้วนเมื่อเจอคำถามชวนแปลกใจจากอาจารย์สาว จริงอยู่ว่าเขามีครอบครัวอยู่ที่มกโพ มีคุณป้าที่เลี้ยงดูในช่วงเด็ก หากแต่นั่นไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริง ทุกคนในบ้านไม่เคยเห็นเขาเป็นลูกหลานอย่างที่ได้ให้สัญญากับสถานสงเคราะห์ไว้ เขามีข้าวปลาอาหารและได้เรียนหนังสือเฉกเช่นเด็กทั่วไป หากแต่ความอบอุ่นและความใส่ใจเขากลับไม่เคยได้สัมผัสเช่นมันลูกแท้ๆของครอบครัวอุปถัมป์
และที่สำคัญ.... คุณป้าป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
“อ๋อ... เอ่อ ท่านอาการดีขึ้นมากแล้วครับ” เขายิ้มตอบกลับไปตามน้ำตามที่ควรจะเป็น มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่ มีคนบอกอาจารย์เรื่องที่เขาหายตัวไปซ้ำยังทำเรื่องขอลาไว้เรียบร้อยแล้วเนี่ยนะ ?
.......คงไม่ใช่ฝีมือใครที่ไหน
เขายกกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายด้วยไหล่ข้างเดียวเมื่ออาจารย์พยักพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินจากไป หากแต่เมื่อหันหลังกลับเจอใครบางคนยืนแย้มรอยยิ้มอ่อนให้อย่างเป็นมิตร
“ฮยอกแจ” เขาเอ่ยชื่อคนตรงหน้าเสียงแผ่วราวกับกลัวว่าจะลืมหายไปจากความทรงจำ สีหน้าของฮยอกแจดูมีชีวิตชีวาขึ้นจากเมื่อสองวันก่อนในบ้านของซีวอน
“ดีใจจังที่นายมาเรียนแล้ว”
ทงเฮระบายยิ้มตอบอย่างมีมารยาทผิดกับนิสัยปกติ “นายเองก็เพิ่งมาเรียนเมื่อวานไม่ใช่รึไง”
ร่างบางพยักหน้ารับและยังคงยืนอยู่หน้าเขาต่อไปโดยที่ไร้เรื่องพูดคุย กระทั่งเพื่อนร่วมเซคเดินออกไปจนหมด ทั้งคู่จึงเงยหน้าขึ้นมองกันอีกครั้งราวกับนัดหมายไว้ล่วงหน้า “เรื่องซีวอน....”
“นายโกหก” คนฟังเป็นฝ่ายโพล่งขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายเพิ่งเริ่มประโยค นัยน์ตาของทงเฮขึงขังไม่ต่างจากตอนที่กระซิบข้างหูเขาในตอนนั้น “รอยเลือดบนเตียงของฉัน ฉันรู้ว่าเป็นนาย”
ฮยอกแจเหยียดยิ้มในแบบที่เขาเดาอารมณ์ไม่ถูก มือเรียวบางนั้นกระชับสายกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้ราวกับกลัวมันจะหลุดออกไป “ช่างมันเถอะ”
เป็นอีกครั้งที่ทงเฮรู้สึกว่ามันงี่เง่าสิ้นดีกับการปล่อยให้ความเงียบเป็นบทสนทนาของทั้งสองคน หลายๆเรื่องมันคาอยู่ในใจเขาเต็มไปหมด แล้วถ้าเขาพูดถามออกไปฮยอกแจจะยังตอบกลับเขามาด้วยคำว่าช่างมันเถอะอยู่รึเปล่า
“นายช่วยฉันทำไม ในเมื่อฉันเป็นคนทำให้นายเจ็บขนาดนั้น” ทงเฮไม่รู้หรอกว่าฮยอกแจเจ็บอย่างที่เขาคิดรึเปล่า เขาเพียงปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดจากรอยเลือดและคำด่าทอของซีวอน แต่ตอนนี้เขาอยากฟังมันจากปากของฮยอกแจ อยากรับรู้ในสิ่งต่ำช้าที่เขาทำลงไปกับคนตรงหน้านี่ทั้งหมด
ฮยอกแจส่ายศีรษะไปมาในขณะที่ก้มใบหน้าจนขนานกับพื้นห้อง มือเรียวบางอีกข้างนั้นกำแน่นอยู่ข้างตัวไม่ต่างจากมือที่บีบสายสะพายกระเป๋าซึ่งอยู่ในระดับสายตาของทงเฮ เขาไม่รู้ว่าฮยอกแจคิดอะไรอยู่ บางทีอาจจะคิดหาเหตุผลมาให้เขาสบายใจหรือกำลังคิดคำด่าทอต่อว่าให้เขาเจ็บแสบอย่างถึงที่สุด
“คืนนั้นน่ะ...” ในที่สุดฮยอกแจก็เปิดปากพูด ดวงตาสีดำวาวนั้นกลอกขึ้นข้างบนเช่นเดียวกับเขาในเวลาที่คิดไม่ตก ริมฝีปากของฮยอกแจแห้งผากจนทงเฮได้แต่จับจ้องเพื่อรื้อฟื้นความรู้สึกที่เคยได้สัมผัสมันมาแล้ว “นายเมามาก ฉันก็เลยพานายออกมาจากไนท์คลับแล้วมาส่งที่ห้อง แต่นายไข้ขึ้น แล้วก็เพ้อถึงอีซองมิน...”
เสียงที่เบาลงทำให้ทงเฮรู้สึกได้ว่าฮยอกแจคงอยากจะผ่านมันไปโดยที่ไม่ต้องพูดถึง แต่ดูเหมือนฮยอกแจจะเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดมาก ปากบางนั้นขยับว่าต่อไปโดยไม่ปล่อยให้ขาดช่วงนานนัก
“นายมีเซ็กส์กับฉัน.... แต่มันไม่ได้รุนแรงและทำให้ฉันเจ็บอย่างที่ซีวอนหรือคนอื่นๆเข้าใจ” นัยน์ตาที่กลอกขึ้นฟ้านั้นหลุบต่ำลงจนอยู่ระดับเดียวกับเขา ทงเฮกำลังตั้งใจฟังมันยิ่งกว่าข้อสอบไฟนอลทุกครั้งที่เคยทำมา “ฉันออกไปซื้อยาให้นายที่คอนวีเนียนเพราะไข้นายขึ้นสูงขึ้น แต่ฉันไม่ได้กลับไปที่ห้องนายอีกครั้งตามที่ตั้งใจไว้”
น้ำเสียงของฮยอกแจขาดช่วง น้ำใสๆรื้นปริ่มขอบตาเล็กน้อย แต่ฮยอกแจก็เลือกที่จะปาดมันออกลวกๆและกลอกตาขึ้นมองเพดานห้องอีกครั้ง
“หมายความว่าไงฮยอกแจ ? เกิดอะไรขึ้นกับนายคืนนั้น ?”
ทงเฮสังหรณ์ใจว่านี่จะเป็นสาเหตุของการที่เขาถูกซีวอนจับตัวไปขังไว้ สาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่มีเพียงฮยอกแจคนเดียวที่รู้และเก็บมันไว้ภายใต้รอยยิ้มขมขื่นดังเช่นที่เขากำลังเห็น
“....มีผู้ชายสามคนดักหน้าฉันไว้ พวกนั้นบอกว่าแค้นนายและคิดจะลงที่ฉัน”
ถึงตอนนี้อีทงเฮปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันสำเร็จ ใบหน้าน่ารังเกียจของผู้ชายป่าเถื่อนสามคนที่ชอบซ่องสุมกันอยู่แถวๆคอนโดมิเนียมของเขา ผู้ชายที่เขาเคยมีเรื่องชกต่อยด้วยเมื่อราวๆสามเดือนก่อน และทำให้พวกนั้นถูกตำรวจคุมตัวไปด้วยข้อหาอันธพาล
“ไอ้พวกนั้น.... ไอ้ระยำสามตัวนั่น......”
อีทงเฮไม่เคยกำหมัดมือเปล่าได้แน่นเท่านี้มาก่อน นัยน์ตาของเขาแข็งกร้าวและชิงชังจนฮยอกแจทำอะไรไม่ถูก เสียงของทงเฮนั้นทุ้มต่ำและรอดไรฟันแบบ มันทั้งน่ากลัวและเลวร้ายจนเหมือนไม่ใช่อีทงเฮที่ฮยอกแจคุ้นเคยอีกต่อไป
“ทงเฮ ! จะไปไหนน่ะ !?”
ร่างบางวิ่งตามออกไปก่อนจะหยุดยืนอย่างเป็นกังวลตรงเชิงบันไดเมื่อเสียงฝีเท้าหนักๆค่อยๆห่างลงไปเรื่อยๆ เขากำลังกลัว... กลัวว่าทงเฮจะไปแก้แค้นพวกนั้นด้วยตัวคนเดียว กลัวว่าทงเฮจะเป็นอันตรายอย่างที่พวกนั้นเคยกล้าทำกับผู้ชายด้วยกันอย่างเขา
มือเรียวล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนจะกดเบอร์คุ้นเคยลงไป เพียงแต่ความคิดบางอย่างกลับต้องชะงัก ซีวอนเป็นคนอารมณ์ร้อน และเรื่องจะต้องวุ่นวายขึ้นหากว่ามีมาเฟียยกโขยงไปหน้าตึก อีกเบอร์ที่เมมไว้จึงเป็นตัวเลือกต่อมาโดยไม่ลังเล
-สวัสดีครับ-
เสียงราบเรียบอันเป็นเอกลักษณ์ของปลายสายนั้นฮยอกแจจำได้ดี เขาเรียบเรียงคำพูดในหัวอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอย่างร้อนใจ “คิบอมว่างอยู่รึเปล่า ?”
-ผมอยู่กองถ่ายน่ะครับ กำลังจะกลับคอนโดฯ....คุณมีเรื่องอะไรรึเปล่า ?-
เขารู้สึกขอบคุณในความช่างสังเกตของคิบอม ร่างบางทวนอะไรบางอย่างอยู่ในหัวก่อนจะเอ่ยออกไปเสียงเครียด “ทงเฮกำลังจะเป็นอันตราย ผมกำลังจะตามไปที่คอนโดฯเขา คิบอมตามมาช่วยอีกแรงได้ไหม ?”
คิมคิบอมเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังครุ่นคิด ฮยอกแจได้ยินเสียงปิดประตูรถจากปลายสายและเสียงสตาร์ทรถหลังจบประโยคแกมคำสั่ง
-คุณรออยู่ที่มหา’ลัยดีกว่า ตอนนี้ผมอยู่ไม่ไกลจากคุณมาก ขืนคุณล่วงหน้าไปก่อนเดี๋ยวจะเป็นอันตรายไปอีกคน-
ฮยอกแจร้อนใจจนไม่ทันรู้สึกว่าน้ำเสียงของคิบอมนั้นแสดงถึงความเป็นห่วงเพียงใด
-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-
ท้องฟ้าเริ่มหรี่แสงลงรับยามราตรีที่จะมาเยือนในอีกไม่ช้า ขาเรียวก้าวอาดๆมาจนถึงตรอกแคบๆที่เขาจำได้ขึ้นใจว่าเคยมีเรื่องชกต่อยที่นี่ ชายอันธพาลสามคนแค่นยิ้มหยันพลางบี้บุหรี่กับกำแพงราบกับกำลังยินดีในการมาเยือนของโจทก์เก่า
“ฮ่า... วันนี้โผล่หัวมาหาพวกฉันถึงที่นี่เลยรึไงวะอีทงเฮ” มือหยาบโลนนั้นตบเบาๆที่แก้มเนียนของคนที่ยืนอยู่ตรงปากทางคล้ายเวลาเล่นหยอกล้อกับเด็กตัวเล็กๆ น้ำลายในปากถูกถุยรดเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตอย่างหยาบคาย
“หายหัวไปเป็นชาติจนพวกฉันนึกว่าแกตาย....”
“ไอ้เดนนรก !!!!”
หมัดหนักๆถูกเหวี่ยงสวนอากาศปะทะเข้ากับสีเข้มดินของใบหน้าอริเต็มแรง อีกสองคนที่เหลือกรูเข้ามารุมโดยไม่ต้องมีคำบอกกล่าวใดๆ ทงเฮเหวี่ยงเป้ที่สะพายไว้ออกจากตัวแล้วยกเท้าขึ้นถีบอีกฝ่ายจนเซไปข้างหลัง ใบหน้าหวานโศกถูกชกจากอีกหนึ่งอันธพาลจนเซเล็กน้อย แต่ประสาทในการชกต่อยก็ยังดีเยี่ยมเมื่อเรียวขานั้นยังคงตวัดเข้ากลางเอวอีกคนได้ตรงเป้า
“พวกแกแค้นฉันก็ลงกับฉันเซ่ !! ไปลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องทำไม !!!!”
ร่างโปร่งซัดหมัดหนักๆย้ำที่ใบหน้าอริคนหนึ่งจนติดกำแพง อารมณ์โมโหกำลังทำให้เขาขาดสติและเคียดแค้นจนอยากจะร้องไห้ออกมา เรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเขามาจากไอ้พวกนี้ ความคับแค้นทุกอย่างรวมกันจนปะปนยุ่งเหยิงในมโนสำนึก
“อั่ก.... !”
ร่างทั้งร่างแทบทรุดลงกับพื้นเมื่อรู้สึกได้ถึงความแข็งกร้าวที่ฟาดลงจนแผ่นหลังอย่างแรง ความเจ็บแล่นริ้วไปทั้งทั้งตัวหากแต่หมัดหนักๆก็ยังเหวี่ยงสวนผู้ประทุษร้ายอีกสองคนอย่างไม่ลดละ ท่อนไม้ถูกหยิบขึ้นมาใช้อีกครั้งจากหนึ่งในสามหมาหมู่ ร่างโปร่งถูกถีบล้มลงหลังโดนไม้หน้าสามฟาดเป็นครั้งที่สาม
“แกคิดว่าแกแน่นักใช่มั้ย !!” เท้าที่ถูกหุ้มด้วยรองเท้าผ้าใบโทรมๆยันลงกับศีรษะของเขาและถีบซ้ำๆจนเริ่มรู้สึกตื้อไปหมด หนึ่งในพวกนั้นบ้วนเลือดในปากรดหัวเขาป็นการหยามศักดิ์ศรี แผลตามใบหน้าและเนื้อตัวในตอนนี้เทียบไม่ได้เลยกับใจของเขาที่เจ็บยิ่งกว่า
“แกผิดเองนะที่แส่มาหาพวกฉันเอง” เรือนผมถูกกระชากขึ้นจนหน้าหงาย อริของเขากำลังกระหยิ่มยิ้มย่องในชัยชนะของหมาหมู่ซึ่งมันน่ารังเกียจสิ้นดีในสายตาเขา อีทงเฮไม่โทษใครเลยในเมื่อเขาเลือกที่จะลุยเข้ามาหาพวกมันด้วยตัวคนเดียว มันเป็นเรื่องของเขา.... เป็นเรื่องของเขาที่ฮยอกแจไม่น่ามีส่วนต้องมารับเคราะห์แบบนี้
“อ้าก !!”
นัยน์ตาสีนิลสนิทเบิกโพลงเมื่อร่างของคนที่กระชากผมเขาถูกท่อนไม้ฟาดที่ศีรษะจนเซล้มไปข้างใน ท่อนไม้อันนั้นถูกฟาดใส่พวกอันธพาลอีกสองคนที่เหลือจนเซไปตามกันก่อนจะถูกทิ้งลงกับพื้น มือนั้นเอื้อมมาจับแขนเขาแล้วดึงขึ้น ทงเฮรู้สึกว่าทุกอย่างมันพร่าเลือนในขณะที่ร่างไร้เรี่ยวแรงของเขาถูกพยุงออกมาจากตรอกแคบๆ สัมผัสกับเบาะนุ่มสบายและแอร์รถเย็นฉ่ำจนหมดสติไปในที่สุด
-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-
รถยนต์สีดำสนิทจอดลงใกล้คอนโดมิเนียมคุ้นตา ร่างบางรีบถลาลงจากรถพร้อมร่างสูงโปร่งที่ตามลงมาอย่างร้อนใจไม่แพ้กัน ฮยอกแจหันมามองหน้าคิบอมคล้ายกับเรียกความกล้าของตัวเองก่อนจะตรงไปยังสถานที่แห่งความทรงจำอันโหดร้ายโดยไม่ลังเล
ร่างอันธพาลสามคนที่เขาจำได้แม่ยำกำลังถูกตำรวจท้องที่คุมตัวไปขึ้นรถท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่มุงดูเซ็งแซ่ ฮยอกแจรู้สึกรังเกียจสายตาที่พวกนั้นมองมาทางเขาราวกับว่าจำได้ดี แต่เขาไม่แคร์อีกแล้วว่าคืนนี้จะต้องฝันร้ายหรือทนเห็นหน้าพวกมันในฝัน ตรอกแคบๆคือจุดหมายที่เขาเลือกจะเดินเข้าไปหลังได้เห็นสภาพบาดเจ็บจากพวกหยาวโลนที่เพิ่งสวนกันเมื่อครู่
หากแต่มีเพียงความว่างเปล่า ท่ามกลางความแปลกใจของฮยอกแจและคิบอมที่คิดว่าจะเจอทงเฮอยู่ในนั้น
-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-
TBC
เอาตอนยาวๆกลับมากราบขอประทานอภัยรีดเดอร์ทุกคน T^T'
ตอนนี้ทงเฮแมนเท่าโลก =..=
หวังว่าจะถูกใจกันนะคะ
(ซีวอน : ทำไมตอนนี้ฉันโผล่แค่ชื่อวะ -[]-)
no. beer
ความคิดเห็น