ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC HAEEUN ¦ - Scapegoat...? ' แพะรับบาป ' {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #8 : ` ( SCAPEGOAT ) ____chapter seven .

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 54




    SCAPEGOAT…?

    Couple : Donghae x Hyukjae

    Type : Drama Romance

    Author : xerxixiao’

    Warning : ฟิคชั่นเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อจินตนาการและความบันเทิง
    ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลจริงทั้งสิ้น




    ---------------------------------------------------------------------------------------------------










     

    CHAPTER SEVEN










     

    Love can make you happy but often times it hurts,

    but love is only special when you give it to who its worth.

    ความรักรังสรรค์ความสุข แต่บ่อยครั้งก็สร้างความเจ็บปวด

    ทว่า เมื่อคุณให้ความรักแก่คนที่สมควรได้รับ... ความรักนั้นจะมากค่า

    - Anonymous-










     

     

     

     

    ทุกอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปโดยที่ทวีความมหาศาลขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการพุ่งสูง ทว่าความรู้สึกติดลบ ความสัมพันธ์ยิ่งใกล้ชิด หากแต่ฝ่ายหนึ่งไม่รู้เลย... ว่าอีกฝ่ายกำลังทำมันให้น้อยลง


    ความตึงเครียดเริ่มถาโถมเข้าเป็นมรสุมในชีวิตของดาราดาวรุ่งอย่างอีทงเฮ เมื่อมีข่าวโคมลอยพูดกันในวงกว้างว่าเขาอาจหลุดตำแหน่งผู้เข้าชิงรางวัลประจำปีที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า เวลาหยิบจับสิ่งใดก็เห็นเพียงเนื้อหนังที่เริ่มหุ้มข้อกระดูก มีเพียงอารมณ์สุขสมยามได้ระบายกับร่างข้างใต้ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าอย่างน้อย... อย่างน้อยก็มีอยู่หนึ่งคน ซึ่งเป็นไปตามความต้องการทุกอย่างไม่ต่างจากหุ่นยนต์ซึ่งมีชีวิต


    อีกครั้งที่อีฮยอกแจต้องนิ่วหน้าหลบซ่อนภายใต้ชั้นหมอน ริ้วรอยของความเจ็บปวด รอยบอบช้ำตามร่างกายด้วยเซ็กส์ที่ดิบเถื่อนขึ้น เขากลายเป็นเพียงที่ระบายความใคร่ยามทงเฮไม่ได้ผู้หญิงสักคนกลับมานอนกกในห้อง เป็นเพียงหุ่น... ซึ่งอีกฝ่ายคิดว่าจะทำอย่างไรก็ไม่รู้สึกรู้สา แม้แต่เมื่อเย็นที่ผ่านมา... ตอนที่ทงเฮลงทุนขับรถไปรับเขาถึงที่ทำงาน โดยไม่แม้แต่จะรับฟังถ้อยคำปฏิเสธใดๆ




     


    ทงเฮ ช่วงนี้ฉันงานยุ่ง ขอล่ะ...

    เสียเวลาแค่คืนเดียว มันจะตายรึไงกัน

     




    แค่เพราะต้องเก็บตัว แค่เพราะออกไปหาเศษหาเลยที่ไหนไม่ได้จึงต้องใช้อีฮยอกแจอย่างนั้นหรือ... ยิ่งคิดก็ยิ่งสมเพชตัวเอง ฮยอกแจไม่เคยต้องยอมใคร... เว้นแค่คนๆเดียว เคยหลง... จนโงหัวไม่ขึ้น แล้วสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ล่ะ?

     







     

    เพิ่งสองทุ่มกว่าเท่านั้นเอง... ชายหนุ่มได้สังเกตเห็นเวลาก็ตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพเสื้อผ้าที่ยังใส่ไม่เรียบร้อยดี ทงเฮยังคงนอนหลับตาอยู่บนที่นอน ครั้นพอได้ยินเสียงกุกกักของหัวเข็มขัดที่ฮยอกแจกำลังใส่ เปลือกตาหนาจึงลืมขึ้นแล้วพูดออกไปเสียงห้วนโดยไม่ใส่ใจนัก


    “ทำไมต้องเข้าห้องน้ำนานนัก เข้าไปทำอะไร?”


    ร่างบางเพียงชะงักไปแต่ก็ไม่ได้ผินหน้ากลับมามองผู้ฟัง จริงอยู่ว่าทงเฮก็เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเคยมีความสัมพันธ์แค่กับหญิงสาวมากหน้าหลายตาจึงไม่เข้าใจว่าผู้ชายเขาทำกันอย่างไร ฮยอกแจมั่นใจว่าเขาเป็นคนแรก แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะยังเป็นคนเดียวหรือไม่ เพราะอีกฝ่ายเริ่มปรับจูนและชอบในตัวเขา โดยที่ความละเอียดอ่อนน้อยลง... หยาบกร้าน และทำอย่างลวกๆไม่ต่างจากการสำเร็จความใคร่ที่ไร้ความรู้สึก


    “ไม่มีอะไร แค่เข้าไปล้างตัว” ตอบกลับไปเสียงห้วนไม่ต่าง คว้าเอากระเป๋า ข้าวของ และสูทตัวนอกก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปจากห้องนอน ไม่แม้แต่จะบอกลา ไม่มีการรั้ง เพราะอีฮยอกแจมีหน้าที่มาเพื่อสิ่งนี้เท่านั้นเอง


    “ฮยอกแจ!


    เอี้ยวเสี้ยวหน้ากลับไปนิดหน่อยเพื่อรอฟัง ร่างเปลือยเปล่าก้าวอาดๆมายืนจับขอบประตู ส่งเสียงพูดมาในระยะไกลเฉกเช่นคำพูดส่งๆ ฟังดูแกมคำสั่งมากกว่าเชิญชวนหรือเว้าวอน


    “สักสองสามวันก็แวะเข้ามาหน่อยล่ะ ไม่ใช่หนีหายไปเป็นอาทิตย์ๆแบบคราวก่อน”


    “..............”


    “..............”


    “ไม่ว่าง... ไม่ต้องมาตามอีกนะ”


    แม้จะแค่เสียงแว่วๆที่ลอดผ่านช่องประตูซึ่งถูกปิดลง แต่ชายหนุ่มร่างผอมก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน และปล่อยให้ลอยผ่านไป โดยที่หัวใจด้านชานั้นเหนื่อยเกินกว่าจะเก็บมาคิดให้ต้องเจ็บอีก ทงเฮไม่ได้พูดกับเขา... แต่ก็ใช่ว่าใส่ใจกลัวจะถูกได้ยิน ทั้งเหนื่อย... อ่อนใจ... จนต้องปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาบ้าง เพียงนิดก็ยังดี


    “พอเห็นว่าตัวเองมีค่า ก็เลยเล่นตัวหรือไงกัน”




     

    พอเห็นว่าตัวเองมีค่า ก็เลยเล่นตัวหรือไงกัน



    ตัวเองมีค่า ก็เลยเล่นตัวหรือไงกัน




    ก็เลยเล่นตัวหรือไงกัน

     




    ไม่... ไม่ใช่การเล่นตัว....


    แต่บางที อีฮยอกแจควรจะใช้ทั้งหัวใจและสมองอย่างจริงจังเสียที




     

    บอกตัวเองว่าเลิกโง่.... แล้วหัดใช้สมองรักเสียบ้าง




















     

     




















    “ช่วงนี้เครียดอะไรรึเปล่า?”


    เสียงทุ่มนุ่มดังมาจากเจ้าของผิวสองสีซึ่งวางมือลงบนบ่าเขาหลังพูดจบ ฮยอกแจค่อยๆลดมือซึ่งกุมใบหน้าลงพร้อมเปิดเปลือกตาขึ้น เอี้ยวหันกลับมายิ้มให้คนถามไถ่อย่างเต็มใจ “ทำไมพี่จองซูถามแบบนั้น ผมเหมือนศพมากเลยหรือไงกันครับ”


    ถึงจะแสร้งพูดกลั้วหัวเราะแต่ก็ไร้ซึ่งความแนบเนียน ด้วยความเป็นคนผิวขาวซีด ครั้นใบหน้าหมองคล้ำหรือมีรอยแผลเพียงนิด ก็ย่อมมองออกได้ง่ายโดยไม่ต้องจับตาสังเกต “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง นายเหมือนคนเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า”


    “...........”


    “มีปัญหาอะไรกับคุณจีน่ารึเปล่า? เพราะพี่เห็นเรื่องงานนายก็ไม่มีอะไรนี่”


    “ไม่ครับ ทุกอย่างโอเค ผมคงแค่... นอนน้อยไปก็เท่านั้น” คลี่ยิ้มบางออกไปอีกครั้งเพื่อรักษาความสบายใจ ปาร์คจองซูจึงได้แต่พยักหน้ารับ “แล้วนี่จะไปกินข้าวกลางวันกันเหรอครับ?”


    “อ่า... ใช่แล้วล่ะ ไปด้วยกันสิ”


    พยักพเยิดเชิญชวนเพราะอยากให้รู้สึกดีขึ้น แต่กลับกันที่ท่าทางของรุ่นน้องร่วมบริษัทนั้นกลับเปลี่ยนแปลงไป เพราะตัดสินใจปฏิเสธกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ตามสบายเลยครับ ผมไม่หิวเท่าไหร่”


    ได้ยินอย่างนั้นก็จำต้องยอมรับ เดินแยกตัวออกไปตามเพื่อนร่วมงานกลุ่มใหญ่ ทิ้งไว้เพียงครีเอทีฟมือดีซึ่งยังคงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะนั่นเอง ปาร์คจองซูทำได้แค่คิดในใจ... ระบายกับเพื่อนร่วมงาน... เพียงว่าฮยอกแจนั้นเปลี่ยนไปจนเหมือนคนละคน ทั้งเซื่องซึม เชื่องช้า และหลงๆลืมๆในเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างที่ไม่เคยเป็น



















     






















     

    ทั้งที่เดินออกมาไกล แต่ครีเอทีฟหนุ่มกลับอดรู้สึกหัวเสียไม่ได้เมื่อจำต้องเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานอีกครั้งเพราะลืมกุญแจรถไว้ในลิ้นชัก ความรู้สึกหน่วงๆในหัวและการประมวลผลทางความคิดนี่เอง ซึ่งทำให้อีฮยอกแจต้องหงุดหงิดตัวเองอยู่เป็นประจำในพักหลัง ประสิทธิภาพการทำงาน มนุษยสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง ทุกสิ่งทุกอย่างดูเลวร้ายลงจนเหมือนไม่ใช่นักคิดอันดับต้นๆของบริษัทที่คนพากันชื่นชม


    ได้แต่หมุนต้นคอช้าๆขณะเดินอาดมาจนถึงลาดจอดรถซึ่งเงียบเชียบ วันนี้เขาต้องทำเรื่องขอเลิกงานก่อนเวลาถึงสองชั่วโมงเพราะมีนัดสำคัญ ใกล้เวลานัด แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองเชื่องช้าไม่กระฉับกระเฉงจนน่าขัดใจ


    มือเรียวค่อยๆไขกุญแจกระโปรงท้ายรถแล้วจัดวางสัมภาระงานอย่างระมัดระวัง ตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่ลืมอะไรจึงปิดลง ทำท่าจะไขประตูตัวรถฝั่งคนขับ หากแต่ยอดตึกชะลูดสูงซึ่งไล่กันไประดับสายตากลับทำให้ร่างผอมบางต้องชะงัก เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงรั้วกั้นขนาดเอว ครั้นพอมองต่ำ เห็นพื้นถนน สภาพแวดล้อมในเมือง ระดับความสูงจากพื้นกินของชั้นเก้า... ซึ่งเคยแค่ยืนจิบกาแฟแล้วมองอย่างเพลิดเพลินเพียงนั้นเอง




    ถ้ากระโดดลงไป....




    ในสมองของอีฮยอกแจแว่วเพียงคำนี้... เบื่อหน่ายกับปัญหา การกดดัน ความเอาแต่ใจ และสภาพที่ย่ำแย่ลงของตัวเอง... ปีศาจในหัวเอาแต่ร่ำบอกว่า โดดสิ... โดดลงไป เหมือนคนขลาดเขลาเพราะยังคงลังเล... ลังเลกับการจบปัญหาทุกอย่าง... ด้วยการทำลายชีวิตแพะตัวนี้อย่างโง่งม


    ถ้าโดดลงไปอะไรๆจะดีขึ้นไหม... จะดีกว่าการมีชีวิตอยู่รับปัญหาต่อไปหรือเปล่า?


    แรงสั่นที่กระเป๋ากางเกงยีนส์สีเข้มเรียกสติชายหนุ่มให้ฟื้นคืนจากภวังค์ เปลือกตาบางหลุบปิดลงแล้วถอยกลับมาก้าวหนึ่ง นึกกลัวตัวเองที่เผลอคิดอะไรบ้าๆ... อะไรที่คนมีภาระอย่างเขาไม่ควรจะคิดหนีดังคนเห็นแก่ตัว


    “ยอโบเซโย...”


    ( ฮยอกแจ... ฉันถึงร้านกาแฟตรงหัวมุมถัดจากสถานีชงกักแล้วนะคะ )


    “โอเค คุณรอในร้านนะครับ ผมคงถึงภายในยี่สิบนาทีนี้” เสียงหวานจากปลายสายทำเอาร่างบางระลึกขึ้นได้ว่าควรรีบออกไปตามนัดโดยเร็ว สลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดทิ้งแล้วจึงเปิดประตูรถขึ้นนั่ง หมุนกุญแจสตาร์ท แล้วรีบบึ่งออกไปด้วยกลัวอีกคนจะรอนาน ใบนัดพบของแพทย์วางอยู่บนเบาะข้างคนขับ นัดตรวจครรภ์... ซึ่งดึงเอาสติสัมปชัญญะของอีฮยอกแจกลับมาจนรู้สึกละอายไปทั้งใจ


    เขายังมีภาระ... มีคนที่ยังต้องดูแล....


    อีฮยอกแจคงจะกลายเป็นคนที่โง่เง่ากว่าเดิม... ถ้าหากตัดสินใจกระโดดลงไปอย่างที่เสียงในใจพร่ำบอก

     





















     




















    “เชิญคุณแม่นอนบนเตียงเลยครับ”


    ร่างของหญิงสาวค่อยๆนอนราบลงกับผืนเตียงโดยการช่วยพยุงของพยาบาลหญิง ทั้งทุลักทุเลและอุ้ยอ้าย แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติของหญิงที่ต้องอุ้มท้องซึ่งโตขึ้นทุกวัน ชายหนุ่มได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้เพราะกลัวว่าจะเผลอทำอะไรเงอะงะงุ่นง่านออกไป พักใหญ่ที่แพทย์และพยาบาลตรวจเช็คเครื่องมือ สายเชื่อมไปสู่ตัวเครื่องซึ่งมีจอภาพขนาดใหญ่กำลังทำงาน สิ่งที่ทั้งคู่เฝ้ารอนักหนา จนดวงหน้าสวยหันมองมาทางเขา เพียงเพื่อสื่อว่ารู้สึกแบบเดียวกัน และแน่นอน... อีฮยอกแจอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ หากคยูฮยอนอยู่ด้วย เขาคงโดนแซวว่าให้ท้องเสียเองอย่างไม่ต้องสงสัย


    เมื่อสัมผัสเย็นวาบวางลงบนหน้าท้อง ความเคลื่อนไหวภายในกลับปรากฏบนหน้าจอเป็นภาพสิ่งมีชีวิตแรกเกิด อวัยวะยังไม่สมบูรณ์นักแต่กลับเห็นส่วนต่างๆได้ชัดเจน ร่างนั้นขดงอ ทว่าอ่อนโยนจนว่าที่คุณแม่ต้องคลี่ยิ้มกว้าง อีกครั้งที่เธอผินหน้ามองคนซึ่งยืนอยู่ห่างออกไป ตาเรียวรีนั้นเบิกกว้างมองจอภาพประหนึ่งคนที่กำลังได้รับของขวัญชิ้นใหญ่


    คุณพ่ออยากจะลองสัมผัสทารกบ้างไหมครับ?”


    เสียงทุ้มของนายแพทย์เอ่ยเรียกคุณพ่อซึ่งมีท่าทีเหรอหราจนไม่สมเป็นคนเดิม ครั้นถูกคะยั้นคะยอเข้าด้วยน้ำเสียง ร่างผอมโปร่งก็จำต้องเบือนสายตาไปทางอีกคน และรอยยิ้มนั้น... ที่กำลังบอกเขาว่าเธอเต็มใจอนุญาตอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น ชเวจีน่ากำลังรู้สึกยินดีเหลือเกิน


    ก้าวเดินละล้าละลังมาหยุดอยู่ข้างเตียง มือขาวนั้นสั่นเทายามค่อยๆยกขึ้นวางบนหน้าท้องกลมนูน  สัมผัสของการมีชีวิตทำให้ฮยอกแจรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ชั่วชีวิตหนึ่ง... ชั่วชีวิตหนึ่งของเขาที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกนี้ ความคาดหวังในชีวิตเท่ากับศูนย์... เพราะแค่ความรัก ยังไม่เคยที่จะได้ตอบกลับมา นับประสาอะไรกับอนาคต คงไม่พ้นการอยู่อย่างเดียวดาย แต่ตอนนี้... เขากำลังถูกเรียกว่าคุณพ่อ พ่อ... ของภูติตัวน้อยที่รอวันตื่น


    “คุณ... รู้สึกได้ใช่ไหม....”


    เสียงหวานเค้นถามเมื่อเห็นตาเรียวรีซึ่งสั่นไหวจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ คำตอบนั้นมีเพียงการพยักหน้ารับด้วยหัวใจปรีดา อยากใกล้กว่านี้... อยากใกล้ชิด... อยากมั่นใจว่าสิ่งนี้มีตัวตน “ถ้าไม่รังเกียจ ผม... ผมขอฟังเสียงแกได้ไหม?”


    ค่อยๆโน้มหน้าลงหลังไร้คำคัดค้านใดๆ มือยังคงลูบไปมาบนหน้าท้องเชื่องช้าพร้อมๆกับหูซึ่งแนบติด แต่ทำไมกัน... ทำไมถึงได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจของตัวเองซึ่งเต้นรัว ดังก้อง... จนเหมือนทั้งหูอื้ออึง


    “ผม... ได้ยินเสียงแกแล้ว....”


    ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ซึ่งน้ำตากำลังไหล... แต่ครั้งนี้มันช่างคุ้มเหลือเกิน...


    อย่างน้อยก็ได้รู้... ว่าเขาควรอยู่ต่อไปเพื่อใคร




















     






















     

    ( ไปอัลตร้าซาวน์? นายจะโทรมาบอกฉันด้วยเรื่องแค่นี้น่ะเหรอฮยอกแจ )


    เสียงปลายสายช่างห้วนและเย็นชาเสียจนคนฟังหน้าชา ถ้าเป็นไปได้เขาจะไม่โทรหาอีทงเฮอย่างเด็ดขาด... ช่วงหลังมานี้ฮยอกแจต้องแข็งใจแค่ไหนกับการฝืนถอยห่างออกมา เพราะเขาควรต้องวางตัว ควรใช้เวลาในการดูแลจีน่าและลูกในท้อง ในเมื่อพ่อและแม่แท้ๆของเด็กซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่กำลังจงเกลียดจงชังกันเข้ากระดูกดำ แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับเริ่มไม่แน่ใจนักว่ากำลังอยู่ในฐานะคนกลาง... หรือแค่เครื่องมือของอีทงเฮ ซึ่งดูเหมือนอิทธิพลความเป็นไปได้จะอยู่ที่อย่างหลัง


    “อืม... ลูกของนายเป็นผู้หญิง”


    ( อ้อ... ก็ดี )


    “ทงเฮ... อีกไม่กี่เดือนเด็กก็คลอดแล้ว” ว่าเสียงอ่อนลงในขณะที่ฝั่งทงเฮนั้นเสียงดังเซ็งแซ่ ฟังจากเสียงที่ลอดเข้าหูโทรศัพท์มาคงกำลังอยู่ที่กองถ่าย ยิ่งใกล้ครบกำหนดคลอดก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น... และในความตื่นเต้นนั่นเองที่ระคนไปด้วยความกดดับจนคับอก เขายอมแต่งงานกับชเวจีน่าเพราะหวังว่าทงเฮจะใช้เวลาเก้าเดือนที่เหลือนี่จัดการอะไรได้บ้าง แต่ไม่เลย... ไม่มีทีท่า ซ้ำยังขาดความสนใจผิดจากช่วงแรกๆที่โทรหาเขาเช้าเย็น


    ทุกวันนี้ทงเฮโทรมา... ก็มีอยู่แค่เรื่องเดียว


    ( แล้วยังไง? )


    “เรื่องเด็กน่ะ...” หันไปเห็นจีน่าเดินอุ้ยอ้ายออกมาพร้อมกับพยาบาลสาว บางทีฮยอกแจควรจะต้องคุยเรื่องนี้กับทงเฮให้จบๆ ไม่ว่ากี่ครั้งก็ทำบ่ายเบี่ยง ไม่รู้สึกรู้สาว่าตัวกำลังจะเป็นพ่อคน ทั้งที่ความจริงก็รู้เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไร


    ( อะไรอีก... จะอินไปรึเปล่า ลูกนายหรือก็ไม่ใช่ )


    “................”


    ( จะว่าอะไร ทำไมไม่พูด )


    “เด็กจะต้องมีพ่อนะทงเฮ” เงียบไปถึงอึดใจใหญ่ๆก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับมาให้พออุ่นใจบ้าง ครีเอทีฟหนุ่มไม่แปลกใจหากจะถูกตัดสาย ความคาดหมายที่มีต่อตัวอีทงเฮของเขามันติดลบจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว “ทงเฮ...?”


    ( นายไงพ่อของเด็ก ฉันยกให้ )


    “................”


    ( แค่นี้ก่อนนะ ต้องถ่ายซีนต่อไปแล้ว )


    ปลายสายตัดไปแล้ว... ตัดไปโดยไร้คำใดจะอ้างขึ้นมาทักท้วงให้สมเหตุสมผล สิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่มันหมายความว่าอะไร ให้ตีความไปกี่ทางๆคำตอบก็ออกมาเท่าเดิม... ออกมาแบบไร้ความรับผิดชอบ และจิตสำนึกเกินกว่าที่ฮยอกแจจะรับไหว... ไม่ใช่ทงเฮที่เขาเคยรู้จัก..... ไม่เลย...







    “ฮยอกแจคะ เป็นอะไรรึเปล่า?”


    สะดุ้งเบาๆเพราะแรงสะกิดที่ต้นแขน ดวงหน้าขาวซีดระบายยิ้มอ่อน... ยิ้มที่เขาพอจะฝืนแย้มออกไปได้ในเวลานั้น ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อหญิงสาวในชุดครรภ์ยอมมองข้ามแล้วพูดเลยไปถึงนัดตรวจในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าซึ่งตรงกับวันหยุดเขาอย่างพอดิบพอดี หน้านั้นอิ่มเอิบ บ่งถึงความสุขซึ่งล้นปรี่เมื่อใกล้ความเป็นแม่คนเข้าทุกขณะ


    “อีกสองอาทิตย์คุณหมอนัดตรวจอีกรอบ มากับฉันนะคะ”


    “ครับ ไม่มีปัญหา” ว่าแล้วก็พากันเดินออกไปตามทางเดินในโรงพยาบาล ทะลุออกประตูด้านข้างเป็นสีเขียวของแมกไม้ คนไข้หลายคนนั่งคุยกับญาติในสวน ลมเย็นอ่อนๆที่พัดผ่านช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หากในใจของฮยอกแจนั้นไม่เป็นดังสีหน้า ยิ่งกว่ามรสุม ทั้งหนักหน่วง และชวนให้อ่อนเพลียจนไม่อยากคิดต่อ


    “คุณหมอบอกว่าลูกของเราแข็งแรงดี ฉันว่าต้องเป็นเพราะของที่คุณซื้อมาบำรุงแกตลอดแน่ๆ”


    เสียงใสว่าเจื้อยแจ้วพลางมองดูร่างหญิงชราคนหนึ่งซึ่งกำลังทำกายภาพบำบัดโดยมีนางพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เธอกำลังคิดถึงพ่อแม่ที่ต่างประเทศ หลังจากช่วงงานแต่งงานก็ไม่ได้คุยกันมากนักเพราะต้องรีบกลับ ทำได้แค่โทรศัพท์คุยกันบ้างเป็นครั้งคราว อย่างน้อยแม่ก็ไม่ปล่อยให้เธออุ้มท้องเหงาๆอยู่บ้านคนเดียวเวลาชายหนุ่มไปทำงาน


    “ฉัน... มีอะไรอยากจะถามคุณสักคำ” เพียงจบประโยคนั้นร่างทั้งร่างก็หยุดนิ่งลงจนอีกฝ่ายต้องหยุดตาม มือผอมบางก็ถูกเอื้อมมาบีบแผ่วเบา กระทั่งฝั่งหญิงสาวออกปากกึ่งเหนียมอาย แต่ก็มุ่งมั่นและแน่วแน่เสียจนคนฟังต้องหลบสายตา “ฮยอกแจ...”


    ทั้งที่ทุกอย่างดูอิ่มสุขทว่าเค้าลางของสิ่งที่หลุดจากปากหญิงสาวทำร่างผอมบางไม่รู้สึกยินดี เขาพอรู้ตัวมาพักใหญ่ถึงความรู้สึกดีๆที่จีน่ามีให้ แต่ถึงอย่างนั้นอีฮยอกแจก็เป็นเพียงผู้ชายขลาดเขลาคนหนึ่งซึ่งนำความเปราะบางทางจิตใจของหญิงสาวมาเป็นข้ออ้าง จะมีสักกี่คน... ที่กล้าพูดรสนิยมของตัวเองได้อย่างเต็มปากแม้สังคมจะไม่ยอมรับ




    “คุณเป็น... คุณพ่อที่ดีนะคะ”


    “............”


    “ถ้าเรา... จะสร้างครอบครัวด้วยกัน....”




    “จีน่า.... คือ...” คิ้วเรียวโก่งของหญิงสาวเลิกสูงประหนึ่งกำลังคาดหวังในคำตอบ ชายหนุ่มที่ดีที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้า แต่เธอไม่รู้ว่าเขากลับมีบางสิ่ง... บางสิ่งที่ความแสนดีนั้น ปฏิบัติต่อเธอเพียงเพื่อนผู้น่าสังเวชคนหนึ่งเพียงนั้นเอง “ผม....”


    พอได้เห็นท่าทีอึดอัดแบบนั้นหน้าสวยก็เจื่อนลงนิดหน่อย หากใจแข็งกว่านี้อีกนิดฮยอกแจคงพอได้พูดอะไรออกไปอย่างที่ใจคิด... แต่เพราะเป็นคนแบบนี้... เพราะคนอย่างอีฮยอกแจ....




    “ผมรู้สึกดีกับคุณ แต่...” กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แล้วจึงว่าไปเสียงแผ่วพร่าจนเหมือนว่ากลัวคนตรงหน้าได้ยิน “ผมรักคุณไม่ได้”




    ชเวจีน่าไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น ครู่ใหญ่ที่เธอจับจ้องใบหน้าขาวของชายหนุ่มไม่วางตา ค่อยๆลดมือซึ่งกอบกุมมืออีกฝ่ายลงแนบข้างลำตัว ก่อนจะตัดใจเดินนำออกไปทั้งใบหูแดงก่ำ


    บางทีเธออาจจะร้องไห้... ฮยอกแจจึงตัดสินใจเดินตามหลังไปโดยที่ไม่เอื้อนเอ่ยเสียงใดออกไปอีก

     










    TBC


















    ตอนนี้สื่ออารมณ์ไม่ได้เรื่องเลย โฮ*  OTL

    แพะเริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายแล้วค่ะ ._ .
    เนื้อเรื่องอาจจะหน่วง ๆมึนตึงขัดกับช่วงแรก กลัวว่าจะเบื่อกันซะก่อน
    จากตอนหน้าไป เนื้อเรื่องจะเริ่มกลับมาเข้มข้นแล้วค่ะ -/////////-
    ใช้เวลาสื่อเรื่องช่วงกลางไปหลายตอน ได้เข้าสู่จุดจบสักที ทรุด*

    สำหรับคนที่บ่นว่าคยูฮยอนหายไปไหน เป็นแค่คู่ขา มันก็มีห่างกันเป็นธรรมดาค่ะ ._ .
    ก็แหมเด็กมันมีงานมีการทำแล้ว 555555555555555555.

    ฟิคเรื่องนี้ เราแต่งเรียบ ๆไม่ได้กะเอาแรงเอาอะไรเลยค่ะ
    แต่งเพราะพล็อตเป็นยังงี้ คิดไปถึงความเป็นจริงว่ามันน่าจะไปทางไหน
    เพราะงั้นขอโทษนะคะสำหรับคนที่คิดว่ามันจะมันส์จะแรงทั้งเรื่อง ;A ;

    ใกล้จบแล้วค่ะเรื่องนี้ ทนอ่านกันไปอีกหน่อยเนอะ ._ .
    (รู้นะว่าหลายคนรอประตูแดง ฮี่ ๆ -OO-)

    ฟิคเรื่องนี้ยังมีจุดบอดอีกเยอะ ขอบคุณที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ
    เรารักคุณจริง ๆนะ T_ T' (ทำท่าฮาร์ทบีทใส่ทุกคน)











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×