คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 3 ︱ ความถูกต้องกับความรู้สึก
3
ขอบตาคล้ำโบ๋ดูจะดีขึ้นมาหน่อยเพราะเช้านี้ คุณชายคนที่สองของบ้านตระกูลอียอมออกมาสูดอากาศยามเช้านับตั้งแต่ประชุมบอร์ดบริหารเมื่อห้าวันก่อน และนั่นทำให้มินจี ฮยอนยอมละความสนใจจากหนังสือแคตาล็อกเครื่องเพชรในมือลง
“ยอมโผล่หน้าออกมาแล้วหรือ”
คยูฮยอนยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จะบอกแม่อย่างไรดีว่าเขามีกำลังใจขึ้นมากแค่ไหนกับเรื่องงาน ซึ่งดูเหมือนมินจีฮยอนจะสังเกตได้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามอะไรออกไป ใครบางคนก็เดินลงบันไดมาด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้ม และเธอก็ได้รู้เดี๋ยวนั้นว่ามื้อเช้าวันนี้บุตรชายจะไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะกับเธอด้วย
“ขอตัวก่อนนะครับคุณแม่”
จีฮยอนนึกอยากจะกรี๊ดให้หัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาเดี๋ยวนั้นเมื่อเห็นว่าคยูฮยอนลูกชายกำลังออกไปกับอริเบอร์หนึ่งของเธออย่างอีทงเฮ ดูเหมือนจะว่าเจ้าตัวไม่สนใจแม้แต่จะหันมามองว่าเธอปั้นหน้ายังไงเสียด้วยซ้ำ
มากกว่าสองครั้งในระหว่างทางที่คยูฮยอนนึกอยากจะถามคนข้าง ๆ ว่าการเรียนรู้ที่ว่าทำไม่ถึงมาอยู่ที่เมียงดง มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่ร้านค้ามากมาย ใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีทั้งเสื้อผ้า ของกิน และอะไรอื่น ๆ อีกมากมายเต็มไปหมด
“ที่นี่มันมีอะไรหรือครับ?” ตัดสินใจถามออกไปในที่สุดเพราะเดินมาจนครึ่งเมียงดงแล้วก็ยังไม่เห็นเข้าใจอะไร ทงเฮถอนหายใจเล็ก ๆ แล้วก็ดูเหมือนว่ากำลังมองทอดไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นทีท่าว่าจะหยุดอยู่ตรงไหนเป็นพิเศษ
“เมียงดง”
คนฟังได้แต่เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงเมื่อรู้ตัวว่าโดนเข้าแล้ว แบบนี้ทุกทีสิน่า พี่ทงเฮทำให้เขาแปลกใจได้เสมอ ถึงอย่างนั้นก็กลั้นใจถามออกไปอีกรอบเพราะหวังจะได้คำตอบดี ๆ กลับมาบ้าง “แล้วเรามาทำอะไรกันหรือครับ”
สุดท้ายทงเฮก็เลี้ยวนำเข้าไปในร้านกาแฟร้านหนึ่งโดยไม่บอกเขาล่วงหน้าสักคำ เป็นร้านที่ตกแต่งค่อนข้างหรูหราแต่ราคากลับอยู่ในระดับกลาง ๆ พอที่คนทั่วไปจะไม่รู้สึกเสียดายเงินถ้าเข้ามานั่งจิบกาแฟสบาย ๆ ชายหนุ่มเลือกนั่งติดกระจกซึ่งมองเห็นคนด้านนอกขวักไขว่แทนที่จะเป็นมุมเงียบ ๆ ด้านในอย่างที่คยูฮยอนเล็งไว้ (และคิดว่าพี่ทงเฮเองก็น่าจะเล็งด้วยเหมือนกัน)
ตอนนี้เพิ่งสิบโมงกว่า คนเดินผ่านไปมาพอสมควรแต่ไม่ถึงกับเบียดเสียด จนถึงตอนนี้คยูฮยอนก็ยังไม่ได้คำตอบเลยสักนิดเกี่ยวกับการที่ออกมาเรียนรู้นอกจอคอมพิวเตอร์แบบนี้
“ได้อะไรมาบ้าง”
“ครับ?” ตอบรับไปโดยอัตโนมัติก่อนที่สมองจะได้ประมวลผลคำถามนั้น ได้อะไรงั้นหรือ? ถ้าคยูฮยอนตอบออกไปว่าไม่ คงโดนหงุดหงิดจนลุกหนีเป็นแน่ “ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
“ให้ตายเถอะ” ร่างเล็กกว่ายิ้มอ่อนใจ มองคนซึ่งนั่งตรงข้ามเหมือนแค่กำลังมองเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง “ถ้าแม่ของนายไม่โม้ไว้เยอะว่านายไปเรียนถึงเมืองนอก ฉันคงคิดว่านายเพิ่งมาจากเกาะสักเกาะ”
คำเหน็บแนมประสาอีทงเฮนั้นเจ็บทุกทีที่ได้ฟัง แต่ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็ได้แต่กลั้วหัวเราะแห้ง ๆ อย่างไม่ถือสา “ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไรหรอกครับ”
“ฉันหมายถึงเรื่องของชีวิตต่างหาก” กาแฟมาเสิร์ฟแล้ว ทว่าคำพูดเมื่อครู่ยังคาใจจนยอมเงียบเพื่อที่จะได้ฟังขยายความต่อไปเฉกคนไม่รู้ ทั้งรู้สึกประหม่า ขลาดเขิน อย่างที่ไม่คิดว่าจะถูกอีกฝ่ายชวนออกมาในวันหยุดแบบนี้โดยอ้างว่าจะไปเรียนรู้ “เคยได้ยินคำนี้ไหม... ถ้าคนธรรมดามีสองตา นักธุรกิจก็ต้องมีแปดตา”
ส่ายหัวน้อย ๆ พลางอมยิ้มไปด้วย เขาชอบเวลาที่พี่ทงเฮดูจริงจัง ชอบเวลาเรียวปากบางนั่นว่าคำพูดต่าง ๆ ออกมาได้อย่างน่าฟัง ทว่าสิ่งเดียวที่คยูฮยอนยังลังเลไม่ถึงกับชอบ ก็คือการโดนจ้องตาตรง ๆ เวลาที่เขาเงียบตอบคำถามไม่ได้นั่นแหละ
“นายไม่รู้จริง ๆ หรือว่าฉันพามาที่เมียงดงนี่เพราะอะไร”
“.............”
“คนที่นี่ทุกคนก็คือลูกค้า ฉันกำลังให้นายลงพื้นที่สำรวจเพื่อหาอินไซด์ของลูกค้า แต่นายกลับบอกว่าไม่ได้อะไรเลย?” นิ่วหน้าดุแล้วว่าเสียงเข้ม โจวคยูฮยอนในตอนนี้เหมือนลูกหมาไม่มีผิด ดู ๆ แล้วก็ยังหาไม่เจอสักส่วนที่ถอดแบบมินจีฮยอนมา ทั้งแววตา คำพูด นิสัย หรือแม้การแสดงออกเวลาที่อยู่กับเขา
“แต่กลุ่มเป้าหมายของเราค่อนข้างจำกัด ไม่น่าใช่คนที่เดินอยู่ทั่วไปแบบนี้นะครับ”
“...............”
ทงเฮเพียงระบายยิ้มบาง ๆ และนั่นทำให้คยูฮยอนเข้าใจโจทย์ของการเรียนรู้ในวันนี้ได้มากขึ้น ถ้ากอปรกับสิ่งที่ทงเฮวาดให้เขาดูเมื่อคืน กุญแจสำคัญในการกู้วิกฤติของบริษัทไม่ใช่ชางจิน แต่เป็นตัวมุนยองเองต่างหาก
การทำให้สินค้าของบริษัทเป็นตัวที่สนใจกับคนทุกระดับ ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายโดยขายอินไซด์ร่วมกัน
เพียงแต่ต้องทำยังไงล่ะ
พอคิดขึ้นได้อย่างนั้นคยูฮยอนก็เกิดมั่นใจขึ้นมาว่าการกระทำทุกอย่างของทงเฮย่อมมีความหมายแน่ แม้แต่การที่พาเขาเข้ามาในร้านกาแฟซึ่งค่อนข้างแน่นขนัดไปด้วยกลุ่มลูกค้าน้อยใหญ่มากมายจนดูจอแจแบบนี้
ใช่... คยูฮยอนเดาถูก เพราะบริเวณหน้าร้านมีป้ายโปรโมชั่นเด่นหราแบบที่เขาไม่เคยสนใจจะสังเกตเห็นเลย
“ตายจริง ฉันไม่คิดว่าจะเห็นแกกลับมาบ้านถูกทางเลยจริง ๆ” พูดเหน็บลูกชายแต่ส่งเสียงไกลออกไปให้อีกคนได้ยินมากกว่า จะไม่มีสักวันเลยใช่ไหมที่มินจีฮยอนไม่คิดหาเรื่องเขา
“แม่ครับ... ผมแค่ออกไปศึกษางานกับพี่เขา” คยูฮยอนรู้สถานการณ์ดี จึงได้แต่ตรงเข้าไปบีบนวดเอาใจเพื่อหวังว่ามารดาจะใจเย็นลงบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าจีฮยอนไม่ชอบให้เขาไปญาติดีกับพี่ชายต่างสายเลือดเท่าใดนัก แต่ในเมื่อพี่ทงเฮไม่ใช่คนเลวร้ายซ้ำยังคอยช่วยเหลือ ไอ้คำที่แม่บอกมันเลยไร้น้ำหนักไปโดยปริยาย
“อ้อ...” หล่อนแค่นเสียง แล้วพาลสบถคำหยาบคายด้วยความหงุดหงิด “พวกวิปริต”
โดยที่ไม่รู้เลยว่าภายใต้แผ่นหลังอันนิ่งงันของคนที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปนั้นคิดอะไรอยู่
สำหรับโจวคยูฮยอนแล้วอีทงเฮเป็นพี่ชายที่ดีและทำงานเก่ง ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขาคงไม่ได้คิดไปเองเรื่องที่พี่ชายคนนี้เปิดใจให้เขามากขึ้นเป็นแน่
ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ถูกเชื่อมไว้ด้วยโครงการสำคัญของบริษัทมุนยอง ไม่มีคนรู้มากนักว่าทงเฮเป็นคนของชางจิน ทว่าเป็นทายาทมุนยอง และเจ้าตัวก็ไม่คิดเปิดเผยเรื่องนี้ให้ออกไปเป็นข้อกังขาของใครต่อใคร แค่ในห้องสมุดนี่เท่านั้น ห้องสมุดที่เคยเป็นที่ทำงานของเขามาตลอดนับแต่พ่อเสีย แต่โจวคยูฮยอนกลับก้าวเข้ามาและขลุกอยู่กับเขาภายในห้องนี้แทบทุกคืน
“วันนี้ผมไปติดต่อบริษัทมาสี่แห่ง ทั้งหมดให้การตอบรับด้วยดีเกี่ยวกับข้อเสนอของเรา มันก็เลยทำให้ผมพอจะมองเห็นเค้าลาง ๆ ของโครงการแล้วล่ะครับ” คนอ่อนวัยกว่าพูดหน้าชื่นตาบาน ยื่นเอกสารให้คนบนโต๊ะทำงานพิจารณา
ทงเฮแย้มริมฝีปากบางเบา เขาเองยอมรับว่าคยูฮยอนเรียนรู้งานได้เร็วและเก่งขึ้นมากทีเดียว แต่ทำแบบนี้ก็เท่ากับอีทงเฮต้องเหนื่อยสองด้าน เขาไม่สามารถทิ้งได้ทั้งชางจินและมุนยอง ซึ่งดูจะหนักหนาเกินไปสักหน่อยสำหรับคน ๆ เดียว
“ดีแล้วล่ะ จากนี้ไปมุนยองกับชางจินก็มาสู้กันสักตั้ง”
ถึงจะฟังดูเป็นคำที่น่าฮึกเหิมชวนให้ฮึดสู้เพียงไร แต่ลึก ๆ แล้วคยูฮยอนกลับรู้ดีว่าเหตุผลในการได้อยู่ในห้องทำงานนี่กำลังจะหมดลงไปในไม่ช้า
“หมู่นี้นายดูเพลีย ๆ นะ”
“อา... นอนดึกน่ะ” ตอบปัดไปราวกับไม่มีอะไรสำคัญนัก ดินสอในมือยังคงขีด ๆ เขียน ๆ ภาพสเก็ตซ์ออกแบบโต๊ะทำงานอเนกประสงค์ซึ่งมีแผนจะวางตลาดในสี่เดือนนี้ คงเพราะช่วงนี้เขาใช้ความคิดไปกับการช่วยเหลือคยูฮยอนมากเกินไปถึงได้ทำให้สมองมันล้าจนคิดอะไรไม่ออกแบบนี้
“นอนดึก? ทำอะไร คงไม่ใช่ว่าออกแบบโต๊ะนี่อยู่หรอกนะ” ทำทีกระเซ้าไปอย่างนั้น แต่ลึก ๆ แล้วมีหรือซีวอนจะไม่รู้ ภาพสเก็ตซ์ที่ถูกทำค้างไว้ในแต่ละวันไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย ทงเฮเอามันมานั่งทำที่บริษัทเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ออกไปกินข้าวกลางวัน หรือแม้แต่ลุกไปสังสรรค์กับกลุ่มพี่จองซู “คืนนี้ไปรีแล็กซ์กันสักหน่อยไหม”
“ไม่ล่ะ”
“หรือว่าอยากรีบกลับไปเจอใคร”
“.............”
“.............”
“ที่ไหนล่ะ?”
เสียงกระหึ่มของดนตรีที่ดังออกมาจากลำโพงราวกำลังกำกับทุกคนในที่นั้นให้โยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะอยากสนุกสนานบ้าง มึนเมาบ้าง เว้นเสียก็แต่เขาเถอะ อีทงเฮได้แต่นั่งกระดกแอลกอฮอล์สีอำพันลงปากแก้วแล้วแก้วเล่า ไม่ต่างจากคนข้าง ๆ ที่พอกรึ่มก็เริ่มพูดมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว
“ช่วงนี้พอนายไม่ไปค้างด้วยแล้วมันเหงาน่าดูเชียวล่ะ” บอกออกไปอย่างนั้นเพราะหวังจะได้รับความใส่ใจกลับมาบ้าง ทว่าร่างเล็กกลับทำเพียงแค่ยกแก้วต่อไปขึ้นดื่ม
“เอาไว้ฉันจะไปค้างด้วย แต่คงไม่ใช่ช่วงนี้”
“งานออกแบบโต๊ะมันยากมากเลยหรือ” แฝงแววอารมณ์เล็ก ๆ ในน้ำเสียง ชเวซีวอนไม่เคยคิดยุ่มย่ามวุ่นวายกับทงเฮถ้าไม่เพียงแต่พักหลังมานี่ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนคล้ายกับว่ากำลังเปลี่ยนไป เขาเคยเป็นคนที่เข้าใจทงเฮที่สุด คุยด้วยมากที่สุด และสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังแสดงในยามนี้นั้นไม่ต่างอะไรจากการตรงกันข้าม เขาไม่มีสิทธิ์พูด ไม่มีสิทธิ์ถามอะไรทั้งนั้น
“............”
“ทงเฮ”
“ตอนนายเมาแล้วมักจะพูดเยอะแบบนี้เสมอ”
หันไปยิ้มให้และดันแก้วเหล้าอีกฝ่ายออกไปอีกทางหนึ่ง ริมฝีปากของซีวอนเม้มเป็นเส้นตรง และตัดสินใจเปิดบทพูดออกไปแม้ว่าจะพอเดาบทสรุปออกก็ตามที “ที่เราเป็นอย่างนี้ นายไม่ได้คิดอะไรใช่หรือเปล่า”
ชเวซีวอนต้องการอะไรจากอีทงเฮกันแน่ ต้องการเพียงแค่เป็นคนรู้ใจ ให้รักตอบ หรือต้องการเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แต่ไม่ว่าจะทางไหนทงเฮก็รู้ตัวเองดีว่าเขาไม่สามารถให้ได้
“อะไรทำให้นายคิดแบบนี้”
“..........”
“..........”
“แต่ถึงยังไง... นายกับเขาก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ”
“ฉันไมได้คิดอะไรกับคยูฮยอน” พูดแทรกขึ้นมาเสียงแข็ง ที่หมู่นี้ซีวอนเอาแต่ถามว่าเขาจะออกไปไหนกับใคร ไปทำอะไร ก็เพราะระแวงเรื่องนี้เองหรือ
“จะให้ฉันเชื่อ ทั้งที่แม้แต่ตัวนายเองก็ยังไม่รู้ตัวน่ะหรือ”
ได้ยินอย่างนั้นอีทงเฮก็ยิ่งไม่ชอบ มักชักจะเกินไปแล้ว อยากจะบอกให้ซีวอนถอนคำพูดนั้นเสีย แต่ก็เท่านั้น
“อย่าพยายามผูกมัดฉัน เพราะมันจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”
ร่างเล็กลุกหุนหันออกไปโดยทิ้งเงินไว้ให้จำนวนหนึ่ง ปล่อยให้ซีวอนกลั้วหัวเราะกับตัวเองแล้วกระดกเหล้าเข้าปากราวกับว่ามันจะช่วยยับยั้งความรู้สึกไม่ให้แตกออกได้
รถคันสีดำขับหุนหันแล่นเข้ามาในบริเวณบ้านก่อนจะจอดลงนิ่งอยู่พักใหญ่ เพราะว่าชเวซีวอน... คำพูดนั่น ก็แค่อยากจะทำให้เขารู้สึกแย่เท่านั้นเอง มันไม่ใช่เรื่องที่ควรเก็บมาคิดเสียหน่อย ไม่เลย
ก้าวเท้าฉับ ๆ เข้ามาในตัวบ้านที่มีเพียงแสงไฟระเรื่อจากโคมไฟสูงให้พ่อมองเห็นส่วนต่าง ๆ ตอนนี้เป็นเวลาที่ทุกคนขึ้นนอนกันหมดแล้ว เว้นก็เพียงแต่คนที่อยู่ในห้องทำงาน ทงเฮรู้ได้จากแสงไฟที่ผ่านช่องใต้ประตูออกมา ไม่ต้องใช้การเดาใด ๆ ก็รู้ได้ว่าใครอยู่ในนั้น
เปิดไปก็เห็นโจวคยูฮยอนกำลังนั่งหาวอยู่พอดี แต่พอเห็นเขาดวงหน้าหล่อเหลานั้นก็แย้มออกจนกลายเป็นยินดีจับใจ
“ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก”
คยูฮยอนปั้นสีหน้าเช่นคนที่เตรียมตัวตอบคำถามเขามาดีอยู่แล้ว ร่างโปร่งรีบดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาและรอให้เขาเป็นฝ่ายเดินไปนั่งแทน “ผมมา... นั่งอ่านหนังสือน่ะครับ”
หนังสือที่ว่าคงหมายถึงหนังสือที่ถืออยู่ในมือ นิยายภาษาอังกฤษปกสีเขียวขี้ม้าปกรูปหญิงสาวในชุดกระโปรงสุ่มไก่ “เล่มที่นายกำลังถือกลับหัวนั่นน่ะหรือ”
พอโดนหรี่ตามองคยูฮยอนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ เพราะรู้ว่าโดนจับโกหกเข้าเต็ม ๆ ร่างเล็กของพี่ชายต่างสายเลือดนั่งลงบนข้างหนึ่งของโซฟาแล้ว นั่งลงโดยที่กำลังพยายามหลบตาอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
“นายมารอฉันทำไม” คิ้วเรียวมุ่นลง เกิดนึกไปถึงคำพูดปรามาสของชเวซีวอนอย่างไม่ตั้งใจ
โจวคยูฮยอนยังไม่คิดตอบคำถามนั้น คำถามที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นน้องชายโรคจิตหรือคนแปลก ๆ อย่างไรสักอย่าง ทว่าชายหนุ่มเองก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าพี่ชายของเขาคงไม่ช่างมันไปเฉย ๆ ในเมื่อเขาทำท่าไม่อยากตอบขนาดนี้
อีทงเฮกำลังถามตัวเองว่าอยากรู้แน่เลยแล้วหรือ เรื่องไม่ใช่สายเลือดเดียวกันเขารู้อยู่ตลอดแล้วก็ไม่มีวันคิดเป็นอื่นไปได้
“เรื่อง... เรื่องงานน่ะครับ พอดีว่าผม...”
“ชอบฉันหรือไง”
พูดแทรกออกไปอย่างนั้นจนอีกคนผงะ หน้าของคยูฮยอนเกิดซับเป็นสีเลือดจาง ๆ ราวกับว่ากำลังจะปรากฏตัวหนังสือขึ้นบนหน้ายังไงยังงั้น บรรยากาศในห้องเงียบเชียบจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัว ถึงอยากจะอุทานชื่อพี่ทงเฮอกไป แต่ลำคอก็กลับแห้งผาก
“ทำไม่จะต้องมาทำตัวติดฉัน ทั้งที่เราก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ สักหน่อย”
“............”
“แม่นายคงไม่ดีใจหรอกกับการที่เราจะต้องมาทำตัวสนิทชิดเชื้อกันแบบนี้”
“............”
“ฉันได้ช่วยเหลืองานของมุนยองอย่างเต็มที่แล้ว จากนี้ก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่ คืนต่อ ๆ ไปก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก”
น้ำเสียงของทงเฮช่างเย็นเยียบเสียจนอาจกรีดใจคนฟังให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เขากำลังต่อสู้กับใจตัวเองที่เต้นระรัวอย่างร้ายกาจ นี่เป็นเพราะฤทธิ์เหล้าหรือไง หรือเป็นเพราะสีหน้าแบบนั้นอีทงเฮถึงได้ยังยอมปล่อยตัวเองให้ยืนนิ่งงันอยู่ภายในห้อง
“ก่อนหน้านี้... ผมไม่แน่ใจนัก”
“.............”
“ว่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับพี่มันเป็นแค่ความชื่นชมหรือเปล่า”
“.............”
“แต่พอได้เตือนตัวเองว่าเราไม่ใช่พี่น้องกันแบบนั้น... ผม...”
‘พวกวิปริต’
คำพูดของมินจีฮยอนดังเด่นชัดขึ้นในหัวคิดเสียจนหัวใจเต้นรัวแรงอย่างไร้เหตุผล ทงเฮจำได้ดีว่าในตอนนั้นเขาต้องสะกดกลั้นอารมณ์เพียงเพื่อจะไม่ต้องหันไปปะทะคารมณ์ หรือถ้าจะพูดตรง ๆ อาจเป็นเพราะอีทงเฮไม่ต้องการเห็นสีหน้าลำบากใจของคยู ฮยอนมากกว่า
“นายรู้หรือเปล่าว่าสีหน้าตัวเองตอนนี้เป็นยังไง”
คยูฮยอนไม่รู้และเขาก็ไม่กล้าที่จะรู้ด้วย มันคงเป็นสิ่งที่ยอมรับยากยิ่งกว่าอะไร และเมื่อเดินออกจากนี้ไปเขาจะกล้าสบตาทงเฮได้อย่างเคยหรือ
สูดลมหายใจลึกและตั้งท่าจะเดินออกไปเมื่อเห็นว่าควรจะต้องจบเรื่องนี้สักที คำพูดของซีวอนเข้ามามาอิทธิพลมากจนเกินไป มากจนเขาแสดงออกด้วยการตัดความสัมพันธ์กับน้องชายต่างสายเลือดลงอย่างไร้เหตุผล ทว่ายังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูออกไป ข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้จากคนข้างหลัง รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่ห่างออกไปจากต้นคอเพียงแค่หนึ่งฟุต และคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ฟังจากปากคนอย่างโจวคยูฮยอน
“ผมทนไม่ได้ถ้ามันจะจบลงแบบนี้”
“..............”
“ถ้าผมบอกว่าผมชอบพี่ มันจะมีทางอื่นหรือเปล่า?”
เขาไม่คิดหรอกว่าคยูฮยอนจะมาใส่ใจความสัมพันธ์นี้มากมายนักหนา ทั้งที่มันไม่เคยมีอะไรลึกซึ้ง แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรดีขึ้นต่อไปด้วย
‘พวกวิปริต’
แต่อาจจะมีก็ได้
“นายยอมที่จะเป็นพวกวิปริตเหรอ” คำถามแทงใจดำอย่างที่คยูฮยอนนึกไม่ถึงมาก่อน คำกำชับของมารดาที่สั่งให้เขาอยู่ห่างทงเฮให้มากที่สุด คำปรามาสหยาบคายที่มารดาใช้เรียกทงเฮกับความสัมพันธ์แบบนี้ และอาจจะเป็นคำที่เขาต้องได้ฟังในอนาคต
“มันเป็นสิ่งที่ผมเลือกแล้ว”
สิ้นคำ ริมฝีปากประกบกันผะแผ่วก่อนจะเคลื่อนกายเข้าหากันอีกครั้งด้วยรสสัมผัสแนบแน่น เสื้อผ้าค่อย ๆ ถูกถอดลงกองทิ้งกับพื้น จนในที่สุดก็เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าที่ตระกองกอดกันอยู่บนโซฟาภายใต้แสงสีส้มที่ถูกหรี่ลงจนรู้สึกร้อนไปทั้งกาย
คยูฮยอนแยกแยะไม่ออกว่านี่คือความผิดหรือความถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาคิดว่าดีแล้วที่ได้อยู่กับทงเฮแบบนี้ ดีแล้วที่ได้สัมผัสความรู้สึกของการเสน่หา และหากอะไรจะเกิดในอนาคตมันก็ต้องเกิด ถึงตอนนั้นเขาจะเป็นผู้รับผิดชอบมันเอง
ความคิดเห็น