ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` [S FIC] WONKYU KANGJO KYUHAE BUMHYUK HAEEUN ¦ {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #5 : ` ( haeeun ) ____S H A D O W {drama triller}

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 55











    S H A D O W

    Super Junior Fan Fiction

    Actors : Hyukjae/Eunhyuk Donghae Kibum

    Author : xixiao’

    _________________________________________________________________________

     







     

    เราเป็นฝาแฝด


    คำแรกที่ผมได้ยินจากปากเขาทั้งคู่ในวันแรกที่เปิดเทอมตอนขึ้นมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เชื่อเถอะว่าครั้งแรกที่ได้เห็นเขาทั้งสองคนนั้นผมต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเพื่อผูกปมโบว์ของความงงงวย พวกเขาเหมือนกันมาก... เป็นฝาแฝดที่เหมือนกันแม้กระทั่งการแต่งตัว แต่ก็แค่ภายนอกเท่านั้น... เพราะพอได้พูดคุยรู้จักกันอย่างจริงจังแล้ว เขาทั้งคู่ดูจะมีข้อแตกต่างกันนิดหน่อย


    อีอึนฮยอกนั้นร่าเริงสดใสจนผมแทบละสายตาไปจากเขาไม่ได้ เขาแย้มยิ้มให้ผมทุกครั้งหลังจบประโยค และเกือบทุกครั้งหลังยิ้มให้ผม เขาจะหันไปหาแฝดอีกคนพลางหัวเราะคิกคักกันเป็นภาพที่น่าดู


    อีกคนชื่ออีฮยอกแจ เขาเองก็ชอบยิ้ม... เพียงแต่ริมฝีปากแดงก่ำที่ตัดกับผิวขาวซีดนั้นรั้นขึ้นหาใช้ยิ้มยิงฟันอย่างอีกคน


    ถึงตรงนี้... ผมบอกได้เลยว่าผมกำลังสนใจเขา.... ผมกำลังจับจ้องไปที่ฮยอกแจอย่างละสายตาไม่ได้

     

    .

     


    .

     


    .

     


    .

     




    “สวัสดีคิบอม สวัสดีทงเฮ”


    สองแฝดเดินเข้ามาหาผมและกลุ่มเพื่อนด้วยรอยยิ้มที่ฉาบฉายมาคู่กัน ฮยอกแจนั่งลงข้างผม ส่วนอึนฮยอกเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคิบอมเพื่อนร่วมกลุ่ม สองคนนี้คบหากันตั้งแต่ปีสาม... ก่อนหน้าที่ผมจะตัดสินใจขอฮยอกแจคบพักใหญ่ๆ


    คิบอมเป็นผู้ชายเงียบๆที่มีโลกส่วนตัวสูง พอได้มีอึนฮยอกเข้ามาเป็นสีสันในชีวิตแล้วความหล่อขรึมเข้าถึงยากนั้นก็ดูจะพังทลายลงบ้าง ทั้งคู่ดูเข้ากันได้ดี มีทะเลาะกันบ้างพอเป็นรสชาติของคู่รัก และเวลามีปัญหาผมก็จะกลายเป็นที่ปรึกษาอย่างช่วยไม่ได้


    ต่างกันกับผมและฮยอกแจที่ไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันนัก อาจด้วยเพราะผมคงเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าคิบอมที่มีนิสัยเงียบๆ ผมชอบไปบ้านฮยอกแจ บริเวณบ้านของเขาค่อนข้างกว้างประสาคนมีฐานะ ซ้ำยังมีสวนสวยๆให้ผมไปนอนตักคนเล็กมองดูเขาอ่านหนังสือ บางทีคิบอมก็จะไปด้วยแต่มักจะอยู่ในตัวบ้านกับอึนฮยอกมากกว่า


    ตอนนี้พวกเราอยู่ปีสี่ มีรายงานมากมายสัพเพเหระจนช่วงสองเดือนหลังๆนี่ผมไปค้างที่บ้านสองแฝดหลายครั้ง พ่อแม่ของทั้งคู่อยู่ด้วย ผมจึงต้องแยกไปนอนห้องสำหรับแขกตามธรรมเนียม


    แต่ถึงอย่างนั้น... หลังๆมานี้ฮยอกแจคนดีก็ใจกล้าแอบย่องเข้ามานอนกับผมตอนดึกๆเป็นครั้งคราว










     

     

     

    “ทงเฮ...”


    เสียงพร่าคุ้นหูนั้นกระซิบลงที่ข้างหูผมเบาๆ ผมอมยิ้มในความมืดก่อนจะเปิดผ้าห่มออกแล้วดึงกระชับเขาขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน กลิ่นของฮยอกแจนั้นหอมเสียจนผมปดปากลงไปที่แก้มฟอดใหญ่ ....น่ารัก


    “อึนฮยอกนอนแล้วหรือ...?” ผมถามกลับไปในความมืด คนตัวเล็กซุกตัวเข้ามาแนบอกผมยิ่งขึ้นอย่างที่ผมเคยบอกว่าชอบนัก หลังๆมาฮยอกแจรู้วิธีเอาใจผมดีทีเดียว


    “อือ... หลับแล้ว” เสียงเขาน่ารัก และผมก็ไม่คิดเบื่อเลยที่จะนึกชมเขาด้วยคำนี้บ่อยๆ


    ผมแตะริมฝีปากลงกับพวงแก้มก่อนจะแนบแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว ฮยอกแจหัวเราะเบาๆ หนำซ้ำยังกดหน้าตัวเองให้แนบแน่นกับกลับปากผมยิ่งกว่าเดิม ไม่นานนักเราทั้งคู่ก็จูบกัน ผมยันตัวขึ้นคร่อมเข้าโดยที่ไม่ยอมให้ริมฝีปากละออก แลกลิ้นกันอยู่อย่างนั้น แล้วผมก็เริ่มใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ประคองแก้มเขาเข้าไปนัวเนียอยู่ใต้สาปเสื้อ


    “รู้ตัวไหมว่าน่ารักขึ้นทุกวัน” ไม่ถึงห้าวินาทีที่ผมยอมผละจากเขา ผมได้ยินฮยอกแจหัวเราะในลำคออย่างพึงใจ รู้ดีว่าผมไม่ได้คิดพูดเอาใจ เพียงแต่มันมาจากแรงปรารถนาที่ผมกำลังปล่อยให้มันก่อตัวขึ้นช้าๆ


    เซ็กส์ครั้งแรกของเรานั้นเก้อเขิน ฮยอกแจไม่ใช่คนแรกที่ผมมีอะไรด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ประหม่า เขาเอาแต่นอนเขินอยู่ใต้ร่างผมและตอบรับบ้างในครั้งคราว แต่หลังจากนั้น... ก็ดูเหมือนเราจะจูนเข้าหากันได้ดีอย่างไม่มีที่ติ


    แต่ละคู่มีความรู้สึกทางเซ็กส์ที่ไม่เหมือนกัน... อย่างที่ผมและฮยอกแจก็มีรสชาติเซ็กส์ของเราเอง


    ผมปล่อยตัวไปตามแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เสียงครางของฮยอกแจนั้นเบาหวิว ผมรู้ว่าเขาคงอัดอั้นไม่น้อยที่ต้องพยายามเก็บเสียงไม่ให้มันดังจนอาจมีใครข้างนอกเอะใจ ผมโน้มตัวลงไปคลอเคลียอยู่กับไหล่ของเขา ทั้งจูบทั้งหอมซ้ำๆจนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก


    “ทงเฮอ่า... มันจั๊กจี๋ออกนะ”


    เขาพูดด้วยเสียงที่ขาดช่วงหน่อยๆ อาจเพราะการที่ผมยังคาอยู่ในตัวเขา ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เล่น แล้วก็รู้สึกดีที่เดียวที่ได้แกล้งคนรักตัวเองในเวลาแบบนี้


    “............”


    วูบหนึ่งที่ความรู้สึกของผมมันบอกว่ามีสายตากำลังจ้องมองอยู่ ผมยันตัวขึ้นจากแนวระนาบก่อนจะหันไปมองที่บานประตู เป็นชั่ววินาทีที่ประตูเพิ่งปิดสนิทลง


    “ให้ตายเถอะฮยอกแจ...”


    “..........?”


    “มีคนเห็นเราเข้าแล้ว”


    ความกังวลก่อตัวขึ้นภายในใจของเราทั้งคู่ ผมไม่เห็นสีหน้าคนรักว่าตอนนี้เขากำลังว้าวุ่นใจอย่างที่ผมเป็นหรือเปล่า แต่เสียงของเขาเงียบไป นั่นทำให้ผมคิดว่าเขาเองก็คงมีอาการไม่ต่างกัน


    “ไม่ใช่พ่อกับแม่แน่ ท่านอยู่ชั้นสาม ถึงจะเข้าห้องน้ำก็คงใช้ห้องน้ำที่ชั้นสาม” เสียงนั้นกลัดกลุ้มเสียจนผมนึกสงสารขึ้นมาจับใจ อย่างดีผมก็แค่คนนอก แต่ฮยอกแจนี่สิ... ถูกคนในบ้านเห็นเข้าแบบนี้จะทำยังไง


    “ถ้าเป็นอึนฮยอกล่ะ?” ผมถามออกไปเบาๆในความมืด ถ้าไม่ใช่พ่อกับแม่ก็ต้องเป็นอึนฮยอก ตัวเลือกมีอยู่แค่นี้


    “...อาจจะใช่ แต่อึนฮยอกคงไม่พูดอะไรหรอก เขาก็รู้ว่าเราคบกัน” เสียงใสนั้นแสดงถึงความไม่ยี่หระอย่างที่ว่า อย่างไรฮยอกแจก็คงอายและอึดอัดใจอยู่ไม่เบา


    “จะกลับห้องตอนนี้เลยไหม...?” ผมก้มถามอีกครั้งพลางประคองใบหน้ามนไว้ แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าเบาๆ ก่อนแผ่นหลังเขาจะลอยขึ้นจากพื้นเตียงและประทับจูบที่ปากผมเบาๆ และนั่นทำให้ผมหัวเราะได้


    อย่างไรเสียค่ามันก็เท่ากัน... บางทีผมก็ไม่ควรตีโพยตีพายไปก่อนไข้










     

     

     

     

     

     

    ฮยอกแจกลับไปราวๆตีสามหรือตีสี่ นอนพักสักสามสี่ชั่วโมงก่อนจะตื่นมารับประทานมื้อเช้าพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ฮยอกแจส่งยิ้มให้ผมบนโต๊ะอาหารพลางแนะนำเมนูเด็ดฝีมือคุณแม่เขา น่ารักจนผมกินมื้อเช้าได้อย่างเอร็ดอร่อยกว่าร้านข้าวแถวหอพักเป็นไหนๆ


    แต่อีกเรื่องที่ผมอดจะเป็นห่วงไม่ได้คืออึนฮยอก เขาส่งยิ้มกว้างมาให้ผมทีหนึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นอันหมดห่วงไปได้หนึ่งเปราะว่าอึนฮยอกคงไม่ได้คิดอะไร


    หลังกินมื้อเช้าเสร็จผมกับฮยอกแจก็แยกไปติวหนังสือกันที่สวนหลังบ้านจนถึงบ่าย คิบอมมาถึงตอนเกือบเที่ยงและใช้เวลาอยู่กับอึนฮยอกในบ้านตามเคย ราวๆบ่ายสองอึนฮยอกก็เอาน้ำชาและของว่างมาเสิร์ฟให้เรา


    “เป็นไงบ้าง ติวกันถึงไหนแล้ว”


    เขายิ้มให้ทั้งผมและฮยอกแจเช่นปกติ แล้วฮยอกแจเองก็เอ่ยตอบกลับไปตามปกติเช่นกัน “อีกสองสามบทก็คงจบ นายกับคิบอมล่ะ?”


    ใบหน้าหวานที่ไม่ต่างกันเง้างอดไปเล็กน้อย ก่อนจะจัดแจงจานของว่างออกจากถาด “คิบอมมาช้า คงจบเล่มช้ากว่านายสองคนหน่อย”


    ถึงตรงนี้ทั้งผมและฮยอกแจหัวเราะร่วน ผมหยิบแคร็กเกอร์ขึ้นมาใส่ปากเสียอันหนึ่ง เคี้ยวกรุบกรับกลืนลงคอแล้วว่าออกไปเสียงใส “เจ้าคิบอมมันเรียนเก่งใช่ย่อย ดีไม่ดีจะจบก่อนเราซะมากกว่า”


    “แต่ฮยอกแจก็เรียนเก่งกว่าฉัน สงสัยคงต้องเจ๊ากันไป” ยักไหล่น่ารักจนแฝดอีกคนยีหัวเข้าให้ อึนฮยอกเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านพร้อมถาดที่รองมาเสิร์ฟ ผมหันไปยิ้มให้ฮยอกแจอย่างสบายใจ


    “ดูท่าอึนฮยอกคงไม่คิดอะไร”


    “หืม?”


    “ก็เรื่องเมื่อคืนไงเล่า” ผมหัวเราะร่วน สื่อความนัยให้อีกฝ่ายเข้าใจตรงกัน ฮยอกแจก็ยิ้มออกพลางก้มลงอ่านหนังสือต่อ ผมหยิบน้ำชาขึ้นจิบแล้วจดจ่อสายตาอยู่กับตัวหนังสือบ้าง ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมาก็เจออีกคนรีบหลบสายตาทำเป็นอ่านหนังสือไม่รู้ไม่ชี้ เห็นแบบนี้ก็อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้จนต้องโน้มตัวไปขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่ๆสักที

     

     

     










     

     

     

    เผลอๆก็ใกล้ถึงช่วงรับปริญญา เราเรียนจบกันมาได้ราวๆหนึ่งเดือนแล้ว แต่ผมก็ยังคงเทียวไปเทียวมาเหมือนเดิมแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยกับช่วงทดลองงาน นอนหอสักห้าคืน นอนบ้านฮยอกแจอีกสองคืน แค่นี้ก็มีความสุขจนไม่รู้จะไปหาจากไหนได้อีก


    บ้านผมอยู่มกโพ การหางานในโซลคงง่ายกว่าเป็นไหนๆผมจึงไม่ได้กลับไปอยู่บ้าน อีกเหตุผลหนึ่งคือผมติดแฟน ถ้ากลับไปอยู่มกโพแล้วผมจะเจอฮยอกแจได้ยังไง


    เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วฮยอกแจช่วยผมขนของออกจากหอแถวมหาวิทยาลัยมาอยู่คอนโดมิเนียมราคาปานกลางย่านใจกลางเมือง ช่วยกันจัดของได้ไม่กี่ชั่วโมงเขาก็อาบน้ำแล้วหลับไป อาจเพราะตอนนี้เป็นช่วงเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมเองก็โดนสอนนั่นสอนนี่บวกกับจิกหัวใช้จนเหนื่อยหลับไปง่ายๆเหมือนกันตอนหัวถึงหมอน


    นอนเอามือเคลียแก้มอีกคนเบาๆก็เผลอหลุดหัวเราะกับตัวเองเหมือนคนบ้า ทั้งที่เหนื่อยแทบตายแต่ทำไมผมกลับมีความสุขเหลือเกิน ตอนแรกก็เครียดแทบแย่ว่าเรียนจบแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานแล้วจะได้เจอกันเหมือนก่อนไหม แต่กลายเป็นว่ากลับได้เจอกันบ่อยขึ้น เพราะพอเรียนจบก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ผมไปค้างด้วยบ้าง หากเกรงใจพ่อกับแม่หน่อยฮยอกแจก็จะเป็นฝ่ายออกมาค้างกับผมเสียเอง


    พูดไปก็คงเหลือเชื่อ เราไม่เคยมีเซ็กส์กันที่อื่นนอกเหนือจากบ้านฮยอกแจ อาจเพราะไม่คุ้นที่ หรืออาจจะบวกกับความเหนื่อยล้า เวลามาค้างกับผมก็แบบนี้ เผลอหลับไปก่อนทุกที นอนกอดกันบ้างซุกอกบ้าง มันก็อบอุ่นดีในอีกความรู้สึก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เป็นผู้ชาย ลักหลับบ้างขโมยจูบบ้างพอหอมปากหอมคอ ไม่ได้แสดงความต้องการออกไปชัดเจน


    สุดสัปดาห์นี้ผมจะไปค้างกับเขา ฮยอกแจไม่กลับบ้านบ่อยๆมีหวังพ่อแม่คงไม่ไว้ใจกันพอดี

     

     

     

     










     

     

    เคลิ้มๆไปจะหลับกลิ่นหอมอ่อนๆก็มาพร้อมร่างที่แทรกตัวเข้ามานอนด้วย อาจะเป็นเพราะอึนฮยอกรู้เรื่องของเราแล้วฮยอกแจถึงใจกล้ากว่าเคย แม้ผมจะมาค้างบ้านฮยอกแจตั้งแต่เมื่อวานแต่ต่างฝ่ายก็คงหลับสนิท คืนนี้เป็นคืนที่สองของวันหยุด ทั้งผมและเขาเก็บแรงไว้มากพออยู่


    “แรงมาแล้วเหรอหืม?” ผมเอ่ยกระเซ้าตามประสาคนขี้เล่น ก่อนจะร้องโอ๊ยเมื่อถูกบีบจมูกอย่างหมั่นเขี้ยวโทษฐานที่พูดอะไรสองแง่สองง่าม ไม่อยากเสียเวลาเง้างอดต่อปากต่อคำกันแบบเด็กๆ ผมพลิกตัวขึ้นคลอเคลียเขาให้สมกับเวลาที่เสียไปกับการพักผ่อน


    “ขอโทษนะ...” เสียงพร่าพูดแผ่วเบาในความมืด ผมครางในลำคออย่างสงสัยถึงคำสำนึกผิดที่ดูไม่มีเหตุผลอะไร “ช่วงนี้มันเหนื่อยๆ ยังปรับตัวไม่ได้....”


    พูดมาแค่นี้ผมก็เข้าใจได้ชัดเจน ฮยอกแจน่ารักเสมอ เขารู้ว่าผมคิดและต้องการอะไร จนสุดท้ายก็หาวิธีมาเอาใจได้ทุกที “ควรอภัยให้ไหม?”


    “คืนนี้ไง... คืนนี้จะยอมให้ลงโทษทุกอย่างเลย”

     

     










     

     

     

     

    เช้านี้บ้านฮยอกแจไม่มีคนอยู่ เห็นว่าพ่อกับแม่ไปต่างจังหวัดตั้งแต่สองวันก่อนยังไม่กลับมา เหลือแค่ผมและสองแฝดกับอาหารมื้อเช้าสไตล์ยุโรปเรียบง่าย


    “คิบอมมันได้แวะมาหาบ้างไหม? ไม่ค่อยได้คุยกับมันนักช่วงนี้” ผมว่าก่อนจะจิ้มไส้กรอกที่ตัดแล้วเข้าปาก อึนฮยอกส่ายศีรษะเบาๆอย่างเศร้าสร้อย


    “เราต่างคนต่างยุ่งๆ ทงเฮยังดีที่พอมีเวลาแวะเวียนมาบ้าง แต่คิบอมนี่สิ... นานๆที”


    “แล้วอย่างนี้ที่เรานัดไปแคมป์กันอาทิตย์หน้า คิบอมจะชัวร์หรือ?” ฮยอกแจถามออกไปด้วยความเป็นห่วง อึนฮยอกละสายตาจากผมก่อนจะหันไปตอบคำถามแฝด


    “ต้องว่างสิ เขาบอกว่าเคลียร์งานส่วนนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว” อึนฮยอกตอบเสียงใส น้ำเสียงนั้นไม่ได้ดูดีใจจนออกนอกหน้า หรือจะพูดให้ถูกคือมันสงบกว่าที่ควรจะเป็น “หรือถ้าไปไม่ได้ก็ช่างปะไร ทิ้งให้อยู่โซลคนเดียวเสียก็สิ้นเรื่อง”


    เสียงนั้นเหมือนเด็กขี้งอนน่าเอ็นดู ทงเฮคิด สองแฝดต่างกันตรงนี้ แม้จะเป็นคนร่าเริงทั้งคู่ แต่อึนฮยอกนั้นราวกับมีไฟสุมอก รุ่มร้อนตัดกับเยือกเย็นจนเดาอารมณ์ไม่ถูกในบางครั้ง ความห่างเหินกับคิบอมจึงมากกว่าคู่ผมและฮยอกแจที่มักจะเง้างอนกันแค่พองามและพูดคุยกันด้วยเหตุผล


    “อิจฉาฮยอกแจ... ที่ทงเฮน่ะเอาใจใส่อยู่ตลอดเลย” ยิ้มนั้นสดใส... แต่น้อยกว่าทุกที ผมตัดสินเอาว่าเป็นแค่การตัดพ้อถึงเจ้าเพื่อนตัวดีที่หายหน้าหายตา แต่ถึงอย่างนั้นฮยอกแจกลับไม่พูดอะไรเหมือนเคย


    สองแฝดห่างเหินกันมากขึ้น... อาจด้วยเพราะวัยวุฒิกระมัง

     

     

     

     










     

     

    ผมใช้เวลาค่อนคืนจัดของลงกระเป๋าสำหรับไปแคมป์ เราจะไปด้วยกันสี่คนสามคืน ไม่มีอะไรน่าอึดอัดนัก อาจด้วยเพราะอยู่ด้วยกันแบบนี้มาหลายปี ฮยอกแจโทรมาเมื่อราวๆสิบนาทีก่อนเพื่อเตือนความจำไม่ให้ผมลืมเอาของจำเป็นไป เราแยกกันนอนเป็นเต็นท์เล็กๆสองเต็นท์ และนั่นนับเป็นเรื่องดีทีเดียว


    -RRrrrr-


    ผมแย้มยิ้มอีกครั้งเมื่อชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นชื่อของฮยอกแจ บางทีก็นิ่งสงบเหมือนน้ำ บางทีก็ร้อนเป็นไฟ ถึงอย่างนั้นผมก็รับมือไหว


    “ว่าไงครับ~”


    -คิดถึงอีกแล้ว...-

     

     

     

     

     










     

     

    คิบอมเป็นคนขับรถพาเรามาถึงชานเมือง ฮยอกแจเป็นคนเสนอว่าไม่ต้องไปเที่ยวไกลนัก เสียดายเวลาที่นานๆจะได้รวมตัวกันสักที ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ เที่ยวให้เพลินใจดีกว่าเอาไปนั่งมองวิวข้างทางตอนขับรถ ข้อนี้ผมเห็นด้วย


    เรามาถึงกันในช่วงเย็นเพราะออกรถเสียบ่าย บวกกับแวะกินข้าวและขับรถอย่างไม่เร่งรีบ เลยตัดใจเอาว่าจะออกไปน้ำตกในวันพรุ่งนี้ น่าดีใจที่มีงานเทศกาลเล็กๆสไตล์ญี่ปุ่น หาดูได้ยาก พวกเราไม่เคยมีใครได้เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นสักคน หลังรับประทานมื้อเย็นและจัดของหลังกระโปรงเสร็จจึงพากันไปเดินเที่ยวตั้งแต่หัวค่ำ


    คิบอมเองก็ดูอยากแยกกันเดินกับคู่ผมเต็มแก่ แต่อึนฮยอกค้านว่าอยากเดินไปกับฮยอกแจและผม คิบอมจึงขัดไม่ได้ อาจด้วยเพราะอึนฮยอกยังมีความรู้สึกน้อยใจอยู่จึงพูดไปแบบนั้น แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้งอนง้ออะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว


    “นายไม่ง้อเขาสักหน่อยล่ะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”


    “ง้ออะไร?” คิบอมตีหน้าซื่อถามกลับมา ผมอุตส่าห์อาศัยจังหวะที่สองแฝดพากันไปเข้าห้องน้ำมาให้กำลังใจเพื่อน แต่กลับโดนกวนประสาทกลับมาหน้านิ่ง


    “ก็อึนฮยอกไง เขางอนนายแน่ะ บอกว่าเล่นหายไปเป็นอาทิตย์ๆ ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นบ้าง”


    “เขาพูดอย่างนั้นหรือ?” ดูเหมือนว่าไม่ได้จงใจจะกวนประสาท สีหน้าของคิบอมดูแปลกใจมากจนผมเองยังสงสัย ผมพยักหน้าตอบกลับไปด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน “ฉันน่ะโทรหาเขาแทบทุกวัน จะมารับไปกินข้าวด้วยซ้ำ แต่อึนฮยอกต่างหากที่บอกว่าไม่ว่าง”


    เป็นผมที่โดนความแปลกใจเล่นงานเสียเอง ผมกับคิบอมไม่ได้คุยอะไรกันต่อเพราะฮยอกแจและอึนฮยอกออกมาพอดี คงไม่ดีนักที่ผมกับเพื่อนจะพูดถึงอึนฮยอกต่อหน้า


    “ตรงนั้นมีจำลองงานทานาบาตะ ไปดูกันไหม?” ฮยอกแจเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมยิ้มตอบแล้วเดินเคียงนำไปกับเขา ทิ้งให้อึนฮยอกและคิบอมเดินตามมาข้างหลัง เผื่อว่าทั้งสองคนจะได้มีโอกาสพูดคุยอะไรกันบ้าง


    ดูก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันใหญ่โต... แต่ฟังจากคำพูดของคิบอมแล้วมันช่างตรงข้ามกับที่อึนฮยอกตัดพ้อให้เขากับฮยอกแจเห็นตลอดเวลา


    “น่าสนุก”


    ผมหลุดจากภวังค์เพราะเสียงใสๆที่ดังขึ้นข้างหู ฮยอกแจหันมาแย้มยิ้มให้ผมก่อนจะดึงมือพาเดินไปยังซุ้มต้นไผ่ที่มีคนอออยู่มากพอดู บนต้นไผ่มีแผ่นกระดาษสีเหลี่ยมหลากหลายสีถูกห้อยเรียงไว้จนเต็มต้น แต่ละใบมีลายมือหมึกสีดำเขียนอยู่ ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมอะไรสักอย่าง


    “ที่ญี่ปุ่นจะมีเทศกาลหนึ่งชื่อว่าทานาบาตะ โดยให้เขียนคำอธิษฐานใส่กระดาษแล้วก็นำไปผูกบนต้นไผ่ เชื่อกันว่ามันจะเป็นจริง” ฮยอกแจส่งแผ่นกระดาษขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ได้มาจากคนดูแลซุ้มให้ผมแผ่นหนึ่ง ผมยิ้มแล้วรับมันมา นิสัยผู้ชายอย่างเราๆเรื่องพวกนี้มันฟังดูไร้สาระแปลกๆ ก็ผมไม่ใช่คนญี่ปุ่นนี่ครับ ดูเหมือนฮยอกแจจะดูออก เขากลั้วหัวเราะแล้วกระซิบใส่ใบหูผมด้วยน้ำเสียงน่ารัก “จะคิดมากทำไม เราเป็นนักท่องเที่ยวนะ”


    ผมยิ้มตอบ ชะโงกหน้าดูว่าเขาเขียนคำอธิษฐานอะไรลงไปในกระดาษบ้าง แต่คนตัวเล็กกลับเอามือปิดแล้วหันมายิ้มเย็นดูน่ารัก ผมยักไหล่เหมือนไม่ยี่หระอะไรก่อนจะเขียนคำอธิษฐานของตัวเองลงไปในกระดาษบ้าง อึนฮยอกเดินอ้อมไปเขียนคำอธิฐานอยู่ข้างๆฮยอกแจ


    “ทงเฮเขียนเสร็จหรือยัง จะเอาไปผูกให้”


    อึนฮยอกยื่นมือมาขอกระดาษอธิษฐานไปจากมือผม ในมือของเขามีของคิบอมกับฮยอกแจด้วย ผมยื่นให้อึนฮยอกนำไปผูกกับต้นไผ่แยกเป็นสองจุด กิ่งหนึ่งสองใบ อีกกิ่งหนึ่งสองใบ เห็นแวบๆว่าใบที่ห้อยคู่กันกับของผมมันเขียนว่า ทงเฮ


    ผมหันไปยิ้มให้ฮยอกแจ เขาเองก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน... ทำไมผมถึงได้รักเขามากขึ้นทุกวันขนาดนี้


    “ปวดหัว เดี๋ยวไปนอนรอที่เต็นท์”


    คิบอมพูดกับผมเสียงพร่า สีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก แต่อึนฮยอกกับฮยอกแจอยู่ด้วยจึงทำให้ผมไม่กล้าถามไปตรงๆว่ามีอะไร หากแต่ดวงตาของเพื่อนนั้นแดงก่ำ... ผมไม่เคยเห็นคิบอมเป็นอย่างนี้

     

     

     










     

     

     

    แล้วคืนนั้น ผมก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันแว่วมาจากเต็นท์ข้างๆ...


    คนในอ้อมกอดผมดิ้นขลุกขลัก ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมาในความมืดสลัว มือนั้นกระชับเสื้อผมไว้แน่น “เป็นห่วงอึนฮยอก...”


    “คิบอมไม่ใช่คนใช้อารมณ์ ไม่ต้องห่วงหรอก...” ผมกระซิบตอบไปเสียงแผ่ว อย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องของคู่นั้น คงไม่ดีนักหากพวกผมจะแทรกตัวเข้าไกล่เกลี่ยอย่างสอดรู้ เรากระชับอ้อมกอดเข้าหากันแน่นขึ้น เสียงจากเต็นท์ข้างๆเงียบลงพร้อมกับสติที่ลางเลือนเข้าสู่นิทราของผมและคนรัก


     




     

     

    หากเพียงแต่เช้าขึ้นมา... เราก็พบเพียงศพของอึนฮยอกที่เสียชีวิตอยู่ภายในเต็นท์....

     

     

     

     










     

     

    คิมคิบอมตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกที่ถูกต้อนให้ยอมรับว่าเป็นฆาตกร แต่สีหน้าของคิบอมนั้นสับสนและมีน้ำตาคลอ ผมเป็นเพื่อนสนิทกับคิบอมมานาน สายตาของเขาในตอนนั้นทำให้ผมไม่นึกปักใจเชื่อว่าเขาจะเป็นฆาตกรจริงๆ ผมกับฮยอกแจเองก็ต่างต้องรอให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนข้างตัวเอาแต่โผเข้ากอดผมแล้วร้องไห้ ผมได้แต่ลูบหัวเขาอยู่อย่างนั้น นอกจากปลอบใจแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร




     

    “ผมทะเลาะกับอึนฮยอก แต่เราไม่ได้ใส่อารมณ์กันมากนัก เขาบอกเพียงว่าอยากเลิกกับผม... พอผมถามเหตุผลก็ไม่ยอมตอบอะไร ตอนนั้นผมยอมรับว่าผมรู้สึกมีน้ำโหมากจึงคิดจะไปสงบสติอารมณ์ไกลๆ เดินเข้าไปในตัวอุทยานหน่อยก็เห็นเต็นท์ของนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ มีกลุ่มใหญ่ๆที่กำลังเฮฮา พวกเขาบอกว่าเป็นคนที่มาตั้งแคมป์พักผ่อนเหมือนกันเลยมารวมกลุ่มกันสังสรรค์ แล้วก็ชวนผมเข้าไปด้วย พอเบียร์เข้าปากบวกความครื้นเครง ผมก็หายโมโหลงได้มากแล้วตัดสินใจเฮฮาอยู่ตรงนั้นกล่อมใจตัวเองจนเกือบเช้า กลับมาอีกทีก็เห็น....”


    คิบอมก้มหน้าลงสงบสติอารมณ์พักหนึ่ง ก่อนจะเงยขึ้นให้การต่อด้วยแววตาสั่นไหว แม้ว่าจะมีพยานให้การว่าคิบอมไปดื่มเบียร์สังสรรค์ร่วมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตั้งเต็นท์กันอยู่ในอุทยานจริง แต่ก่อนหรือหลังจากนั้นเขาอาจมีสิทธิ์เป็นฆาตรกรได้มากที่สุด


    “....เห็นอึนฮยอกอยู่ภายในเต็นท์... เขา... ตายแล้ว....”




     

    หน่วยสอบสวนขอแยกพวกผมไปให้ปากคำทีละคน ผมบอกไปว่าเมื่อคืนเราอยู่ด้วยกัน นอนกอดกันหลับสนิทอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางที่ฮยอกแจจะออกไปไหนได้


    “แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าอีฮยอกแจเขาหลับสนิทเหมือนคุณ”


    ผมตอบไม่ถูก สภาพศพของอึนฮยอกนั้นไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ ทางตำรวจสันนิษฐานว่าฆาตกรอาจใช้หมอนกดกับใบหน้าจนขาดอากาศหายใจ


    “คุณรู้ไหม... ตอนนี้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เราสันนิษฐานว่าฆาตกรเป็นคนนอกที่ลอบเข้ามาทำการฆาตกรรมซึ่งแทบไม่มีเหตุจูงใจอะไรเลยนอกจากการฆ่าเพื่อชิงทรัพย์”


    “.............”


    “ส่วนอีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์... หนึ่งในพวกคุณสามคน ใครสักคนที่เป็นฆาตกร”

     

     

     










     

     

     

    คิมคิบอมถูกตัดสินให้เป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งเพราะความเป็นไปได้และเหตุจูงใจ เขาถูกคุมตัวไว้ในขณะที่ผมและฮยอกแจถูกปล่อยตัวออกมา ถึงจะนึกเป็นห่วงเพื่อนจับใจ แต่ผมก็ไม่รู้จะช่วยมันยังไง


    ผมเชื่อว่าคิบอมไม่ได้เป็นคนทำ.... แต่ก็ไม่เต็มร้อยนัก


    ไม่มีใครคิดหรอกว่าแคมป์สนุกๆของเราในครั้งนั้น จะเปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล

     

     










     

     

     

     

    ผมมาค้างกับฮยอกแจตั้งแต่เมื่อวานและคงจะอยู่ยาว แม่ของเขาตรอมใจจนป่วยหนักพักอยู่โรงพยาบาล ไปค้างเฝ้าบางคืน บางคืนก็กลับมานอนเสียที่บ้าน ช่วงนี้สภาพจิตใจของฮยอกแจอ่อนแอจนผมไม่วางใจที่จะให้เขาอยู่คนเดียว ฝาแฝดตายไปทั้งคน เป็นใครก็คงรู้สึกแย่กันทั้งนั้น


    เราทานมื้อค่ำกันกลางดึกหลังกลับมาจากโรงพยาบาล ผมเพิ่งเห็นว่าฮยอกแจเป็นคนเข้มแข็งเพราะเขามีสติและจัดการกับทุกเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม แต่ถึงอย่างนั้นดวงหน้าขาวที่ผมชอบมองกลับหมองคล้ำ อาจเพราะความเครียดที่สุมอกจึงทำให้เขาแปลกๆไปบ้างในบางที


    “อิ่มแล้วหรือ?”


    ฮยอกแจเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมวางช้อนส้อมลงทั้งที่เพิ่งรับประทานไปได้แค่ครึ่งเดียว ผมเป็นห่วงเขาจับใจ เราเพิ่งได้กลับมาใกล้ชิดกันไม่นาน ก่อนหน้านี้เหมือนต่างคนต่างอยู่ ต่างจมปลักกันไปในความคิดตัวเอง “ฉันเป็นห่วงนายเหลือเกิน ดูนายสิ ผอมลงไปขนาดไหนแล้ว”


    เขาหัวเราะเบาๆขัดกับใบหน้าที่หมองเศร้า “ทงเฮก็เหมือนกัน เศร้ามากหรือ?”


    เขาลุกเดินมาประคองใบหน้าของผมไว้ด้วยสองมือ ก่อนจะโน้มตัวลงกอดผมแน่นราวออดอ้อน ปกติฮยอกแจไม่ใช่คนที่ช่างออดอ้อนนักเว้นเสียแต่บนเตียง เขาชอบที่จะมีระยะห่างอย่างพอดี “จะว่าไม่เศร้าก็คงไม่ได้ แฝดของฮยอกแจตายไปทั้งคนนี่”


    เขากอดผมแน่นขึ้น มองมือผมจึงดึงเขาลงนั่งกับตักแล้วขบใบหู นานแล้วที่เราไม่ได้มีความสุขด้วยกันเช่นนี้


    “รู้ไหม... ฉันน่ะให้ทงเฮได้ทุกอย่าง”


    “หืม? ทำไมอยู่ดีๆถึงพูดแบบนี้ล่ะ” ผมกลั้วหัวเราะเล็กน้อย เขาผละหัวออกจากลาดไหล่ผมแล้วมองหน้าด้วยแววตาที่ต่างไปจากทุกที


    “อยากพูด... ตอนที่มีแค่เราสองคน”


    ผมยิ้มรับถ้อยคำหวานที่เขาเอ่ยออกมา หาได้ยาก... หาได้ยากจริงๆที่อีฮยอกแจจะออดอ้อนผมด้วยท่าทีน่ารักออเซาะเช่นนี้ อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมนัก แต่ผมรู้สึกชอบทุกอย่างที่เป็นฮยอกแจ










     

     

    70%

    ค้างเติ่ง..... ทิ้งไว้ให้ลองเดาเล่นสนุก ๆ เดี๋ยวมาต่อจ้ะ ._ .

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×