คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 2 ︱ หนังสือกับความเปลี่ยนแปลง
APOSTROPHE ’S
2
“ที่บ้าน... เราไม่มีโอกาสได้คุยกันเท่าไหร่ แต่ผมอยากจะขอบคุณพี่เรื่องหนังสือน่ะครับ”
ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่โจวคยูฮยอนก็ไม่ได้การตอบรับอะไรกลับมาอย่างที่หวังไว้ แต่เขาคงดูออกง่ายเกินไป ถึงได้ทำให้พี่ชายต่างสายเลือดใจอ่อนจนลอบถอนหายใจออกมาซึ่ง ๆ หน้า บางทีทงเฮคงอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูด
“พี่ทงเฮ” ริมฝีปากนั้นหยักขึ้นหน่อย ๆ หลังจากกลืนอาหารที่อยู่ในปากลงคอไปอีกคำ บางทีถ้าจับเวลาจากประโยคที่แล้ว มันก็คงราว ๆ ครึ่งนาทีได้ที่เขารู้สึกเหมือนกำลังพูดคนเดียว “ผมทำให้พี่อึดอัดหรือเปล่าครับ?”
“คิดอยู่นานเชียวล่ะ” ผิดคาดที่คนแก่กว่าสวนคำนั้นขึ้นมาได้ทันควันผิดกับก่อนหน้า บางทีทงเฮคงไม่ได้คิดมากเรื่องการใส่ใจความรู้สึกเขานัก (พูดให้ถูกคือคงไม่คิดเลย) แต่ช่างเถอะ เพราะคยูฮยอนไม่ได้ถึงกับรู้สึกแย่อะไรขนาดนั้นหรอก
“ขอโทษนะครับ”
พอเห็นคนตรงหน้ากลั้วหัวเราะไปกับคำพูดเกรงอกเกรงใจอย่างนั้นแล้วอีทงเฮเองกลับนึกอะไรไม่ออก เขาถอนหายใจเป็นรอบที่สองแล้วว่าต่อ “แม่นายไม่เคยบอกหรือไงว่าอย่ามายุ่งกับฉันน่ะ”
แต่พอเป็นคำนี้ โจวคยูฮยอนกลับทำเพียงแค่ยิ้มแห้ง ๆ เท่านั้นเอง
____________________________________
“เมื่อกลางวัน... คิดว่าจะมากินข้าวด้วยกันเสียอีก”
หยั่งเชิงถามขึ้นมาตอนที่กำลังนั่งรอเวลาเข้าโรงภาพยนตร์ อย่างน้อยป็อปคอร์นอาจจะช่วยให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลงบ้าง แต่สีหน้ารู้ทันของคนข้าง ๆ กลับฉายแววบอกเขาอย่างชัดเจนว่าทฤษฎีป็อปคอร์นคงไม่ได้ผล “คิดว่าจะสมหวังแล้วเสียอีก ที่ทั้งบ่ายนายไม่ได้ถามมันขึ้นมา”
ทำไมซีวอนจะไม่รู้ว่าทงเฮหมายความว่ายังไง แต่ก็นั่นแหละ สิทธิ์ที่จะรู้ของเขามันไม่ใช่เรื่องผิด “เพราะคิดว่านายคงจะไม่ตอบน่ะ”
“ลูกของมินจีฮยอนไงล่ะ ถ้าเข้าใจว่าหมอนั่นมีศักดิ์เป็นน้องชายฉันนายคงสบายใจขึ้น”
ได้เวลารอบฉายแล้ว ทงเฮเป็นฝ่ายลุกนำไปก่อนเพราะตั๋วอยู่ในกระเป๋าเสื้อ และบางทีทฤษฎีน้ำอัดลมในมืออีทงเฮคงจะได้ผลมากกว่าเพราะชเวซีวอนกำลังยิ้มอย่างคนที่โล่งใจมากทีเดียว ตั๋วในมือทงเฮถูกพนักงานฉีกเอาปลายบัตรออก มันคงจะดูน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงเกินไปถ้าเขาจะขอตั๋วนั่นมาจากทงเฮก่อนที่มันจะถูกทิ้งไปพร้อม ๆ กับแก้วน้ำและป็อบคอร์นในตอนออกจากโรงฉาย
บางทีคงไม่เคยมีใครบอกอีทงเฮอย่างจริงจัง ว่าเขาเป็นคนที่ใจร้ายน่าดูเชียวล่ะ
ภาพยนตร์ฉายจบในเวลาราวเกือบ ๆ ตีสอง ถ้าเป็นคนอื่นคงจะเตรียมโอดครวญล่วงหน้าเรื่องที่ต้องเตรียมตัวถูกตัดเงินเพราะไปทำงานสายในวันรุ่งขึ้นเป็นแน่ แต่อันที่จริงถ้าไม่ติดว่านี่ไม่ใช่วันศุกร์ซีวอนก็คงจะชวนทงเฮให้กลับไปคุยต่อที่ห้องเขาแล้ว (และถึงจะเป็นอย่างนั้น ซีวอนก็ยังคิดจะชวนอยู่ดี) ถ้าไม่ติดว่าเขาลืมสิ่งที่เพิ่งคุยกับพรรคพวกที่ทำงานไปเมื่อตอนกลางวันนั่นแหละ
“ฮ้า นั่นซีวอนหรือเปล่าน่ะ” เป็นเรื่องบังเอิญที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าปาร์คจองซูเองก็นัดมาดูหนังกับคู่เดทคนใหม่วันนี้ โซราขอตัวเข้าห้องน้ำไปก่อน ทำเหลือแค่เขากับจองซูและคนอีกไม่กี่คนที่ทยอยออกมาจากห้องน้ำเพื่อไปยังลิฟท์ “นัดดูหนังกับสาวด้วยจริง ๆ สินะ”
คำพูดกลั้วหัวเราะนั้นทำเอาชเวซีวอนได้แต่ยิ้มเก้อ ๆ อย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี แต่ไม่ต้องเก้อนานสาวที่ว่าก็เดินออกมาจากห้องน้ำชาย ซึ่งนั่นทำให้จองซูชะงัก
“อ้าวพี่จองซู มาดูรอบมิดไนท์เหรอครับ” เป็นทงเฮที่เปิดบทถามขึ้นก่อนเฉกคนที่ทักกันตามปกติ แต่สำหรับคนที่คิดตามประสาผู้ชายแท้ ๆ แล้วคงต้องใช้เวลาปรับความคิดตัวเองสักครู่
“สาวที่ว่านี่ทงเฮเองหรอกหรือ?”
สิ้นคำร่างสูงได้แต่อมยิ้มน้อย ๆ จนดูเหมือนว่าจองซูสามารถเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ทว่าดูเหมือนคนถูกอ้างถึงคงไม่ยินดีนัก “แค่เพื่อนมาดูหนังกัน พี่คงไม่คิดไปไกลหรอกใช่ไหมครับ”
โซราออกมาเสียก่อน นั่นทำให้บทสนทนาเป็นอันยุติลงโดยที่ความรู้สึกของซีวอนไม่สู้ดีนักกับคำพูดเมื่อครู่ จองซูกับโซราเดินไปแล้ว ไปไกลเสียจนซีวอนคิดว่าคงจะไม่เป็นไรหากเขาเปิดปากถามถึงความคาใจที่มีอยู่
“มันน่าอายมากเลยหรือ” ว่าย้อนไปถึงคำพูดเมื่อครู่ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่ความเฉยชาเท่านั้นเอง สายตาของทงเฮกำลังบอกเขาว่านี่มันช่างเป็นคำถามที่ไร้สาระมากสุด ๆ คำถามหนึ่งเลยทีเดียว
บางทีชเวซีวอนก็ควรจะเข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่สักที
____________________________________
หนังสือสองเล่มที่วางอยู่ตรงหัวเตียงนั้นดูไม่มีอะไรน่าสนใจนัก ทว่าคงไม่หรอก คยูฮยอนไม่ได้มองเพราะคิดถึงเนื้อหาในหนังสือนั่น แต่เลยไปถึงใครอีกคนที่เพิ่งจะมีศักดิ์เป็นพี่ชายเขาอย่างหมาด ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง มาคิด ๆ ดูแล้ว ทงเฮก็ไม่เคยพูดสักคำนี่นะว่าได้ยอมรับเขาเป็นน้องแต่โดยดีแล้ว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกถ้าเทียบกับความสัมพันธ์ดี ๆ เช่นนี้ โจวคยูฮยอนไม่เคยมีพี่ชาย และถึงจะรักแม่มากแค่ไหนในใจมันก็ยังดื้อด้านกับความคิดที่ว่าแม่ไม่ใช่คนที่คุยได้ทุกอย่างเลย เขาเองอยากจะลองพูดคุยกับทงเฮให้มากกว่านี้อีก สนิทกันให้มากอีกสักหน่อย อย่างน้อยชีวิตที่บ้านนี้ก็คงจะไม่น่าอึดอัดอย่างที่เคยกลัวไว้
แต่เดี๋ยวก่อน เขาคิดถึงทงเฮในแง่ไหนนะ?
อ้อ... ใช่แล้ว ก็พี่ชายนั่นไง
แปลกใจที่ป่านนี้ยังไม่ได้ยินเสียงรถของพี่ชายกลับเข้ามาถึงบ้าน นี่ก็ปาเข้าไปตีสองครึ่งแล้ว รู้ตัวว่าปากกำลังหาวหวอดจึงได้เอื้อมมือไปปิดโคมไฟเพื่อล่วงสู่นิทราเสียที แต่ยังไม่ทันจะได้หัวถึงหมอน เสียงรถของคนที่รออยู่ก็ดังมาจากไกล ๆ และใกล้ขึ้นจนเงียบไปในที่สุด
ขนาดแค่เสียงรถยังขนาดนี้ โจวคยูฮยอนคิดว่าตัวเองคงเป็นเอามาก ทำตัวเป็นคนขาดความอบอุ่นจนน่าอายเชียว
____________________________________
“มีอะไรสำคัญหรือครับแม่?” เอ่ยปากถามพลางเร่งฝีเท้าก้าวตามมารดาเข้าไปในตัวบริษัท สีหน้าของมินจีฮยอนไม่ดีนัก จนพอดูออกได้ว่าอาจจะมีอะไรไม่สู้ดีเกิดขึ้นก็เป็นได้
“เจ้าคิมซังฮุนเรียกประชุมด่วนน่ะสิ”
“ผู้อำนวยการคิมน่ะหรือครับ” นึกไปถึงผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาเจ้าเล่ห์และหยิ่งผยองอย่างไม่น่าถูกชะตาคนนั้น แต่คยูฮยอนก็เป็นคนคิดอะไรในแง่ดีเกินกว่าจะตีโพยตีพายเป็นอื่นได้นอกจากเรื่องงาน
“มันวางแผนจะถอดแกไงล่ะ! ตอนคุณจุงโฮเสียมันก็ตั้งท่าเป็นปฏิปักษ์กับฉันมาแต่ไหนแต่ไร” จีฮยอนเบะปาก แสดงสีหน้ารังเกียจรังงอนเสียจนบุตรชายคิดคำโต้ตอบไม่ออก “แกเองก็ระวังตัวให้ดี ตาแก่นั่นมันอยากได้บริษัทนี้จนตัวสั่น”
ท่าทางจะเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างที่จีฮยอนว่า เพราะเมื่อเปิดประตูห้องประชุมเข้ามาสิ่งแรกที่ชายหนุ่มเห็นก็คือรอยยิ้มอย่างผู้ชนะจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะประชุม มินจีฮยอนจิ๊ปาก หล่อนพยายามเก็บอาการ แต่กระโปรงเข้ารูปและชายพลิ้ว ๆ ของเธอนั้นกลับทำหน้าที่สะบัดแทนที่จะเป็นสะโพก
“อะไรกัน นี่ตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารเพิ่งจะสับเปลี่ยนได้ไม่กี่วัน ก็จะตั้งมติถอดถอนกันแล้วหรือ” หญิงบนเก้าอี้รองประธานฝ่ายบริหารถลึงตา ดูเหมือนเธอจะเจาะจงไปที่ตำแหน่งของผู้อำนวยการคิมเป็นพิเศษ “ไร้สาระสิ้นดี!”
คิมซังฮุนยิ้มกระหยิ่ม เขาปรายตามองโจวคยูฮยอนทีหนึ่ง แล้วจึงวกกลับมาที่มินจีฮยอน “ใจเย็นก่อนรองประธานมิน ผมเพียงแค่ต้องการเรียกร้องให้ประธานโจวได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ เพื่อจะพิสูจน์ให้คนในบริษัทแห่งนี้รู้ว่าเรามีประธานมากความสามารถเพียงไหนเท่านั้นเอง”
จีฮยอนตาขวาง ต่างกับคยูฮยอนที่กำลังทำสีหน้าปั้นยาก เขาไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จึงได้แต่ว่าไปตามเกมอย่างที่ทุกคนรอฟัง “ผู้อำนวยการคิมมีความเห็นยังไงก็เชิญว่ามาได้เลยครับ”
“โอ้ ขอบคุณครับท่านประธาน” ซังฮุนเกือบจะกลั้วหัวเราะ “พวกเราได้ลงความเห็นกันว่า หมู่นี้แนวโน้มผลกำไรของบริษัทมุนยองเฟอร์นิเจอร์ของเรามีเปอร์เซนต์ลดลงอย่างน่าตกใจ และหลายเปอร์เซ็นต์ในนั้นก็มาจากชางจิน”
ถ้าจำไม่ผิด คยูฮยอนคิดว่าบริษัทชางจินเฟอร์นิเจอร์คือบริษัทที่พี่ทงเฮของเขาทำงานอยู่
“จากคำรับรองของรองประธานมินแล้ว ผมคิดว่านี่คงเป็นวิกฤติที่ท่านสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน หรือประธานโจวมีความคิดเห็นว่าอย่างไรครับ?”
ตาของคิมซังฮุนนั้นเหมือนปีศาจ แต่ถึงอย่างนั้นโจวคยูฮยอนก็ไม่มีเวลาให้ตรึกตรองมากนัก ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นผู้นำบริษัทนี้ หน้าที่นี้ก็ควรจะเป็นของเขาอย่างชอบธรรม “ครับ แน่นอน”
เสียงของชายหนุ่มไม่แกร่งกล้านัก แต่จากสีหน้าของจีฮยอนแล้วหล่อนดูวิตกในสาสน์ท้ารบนี้มากทีเดียว และหากมุนยองกรุ๊ปไม่สามารถกู้ยอดผลกำไรขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้ได้ คิมซังฮุนก็คงจะกรอกหูทั้งบริษัทให้ลงมติถอดถอนคยูฮยอนได้อย่างไม่ต้องสงสัย
____________________________________
“ยอดเยี่ยมทีเดียว ผลงานออกแบบของคุณได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักวิจารณ์และตัวแทนจำหน่าย ผู้บริโภคเองก็ดูเหมือนจะให้ความสนใจกันมากทีเดียว” จดหมายตอบรับถูกยื่นให้เจ้าของผลงานอย่างชื่นชม ลองถ้าอีทงเฮได้ถูกเรียกตัวเข้ามาในห้องของผู้จัดการแล้วล่ะก็ ไม่ต้องเดาเป็นอื่นเลยนอกจากว่าผลงานนั้นจะได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม
“ขอบคุณมากครับ เป็นข่าวดีมากทีเดียว” ร่างเล็กโค้งให้คนตรงหน้าน้อย ๆ อย่างเป็นมารยาท แต่กลับเป็นเขาเสียมากกว่าที่ได้รับการโค้งตอบกลับมา
“ชางจินต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณ คุณทงเฮ” ผู้จัดการจับมือของนักออกแบบคนเก่งเขย่าเบา ๆ อย่างดีอกดีใจ “เป็นเพราะคุณยอดขายของเราถึงได้ตีขึ้นแซงคู่แข่งมาได้แทบจะทิ้งห่างทีเดียว ถ้าทำได้ผมก็อยากจะขยายบริษัทของเราให้พร้อมและกว้างขวางมากขึ้น ถึงตอนนั้นมุนยองก็มุนยองเถอะ”
ถึงตรงนี้ทงเฮไม่ได้ตอบอะไรออกไป จะให้เขาพูดว่าผมนี่แหละทายาทของมุนยองกรุ๊ปก็คงไม่ขำนัก ทางที่ดีถ้าไม่มีใครถามก็ไม่ต้องบอกจะดีกว่า อย่างน้อยก็ทำให้ได้ทำงานที่รักต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีข้อกังขาอะไร
____________________________________
จะว่าไปหมู่นี้อีทงเฮรู้สึกหงุดหงิดอยู่หน่อย ๆ ที่เขาไม่สามารถเข้าไปขลุกอยู่ในห้องสมุดที่บ้านมาได้สามสี่คืน จะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่ว่ามีคนถือวิสาสะเข้าไปยึดพื้นที่แทนเขา ถ้าจะนับถอยหลังไปเมื่อวันแรกที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็คือตอนที่เขานอนไม่หลับและคิดจะลงมานั่งหาอะไรอ่านให้มันชวนง่วง เห็นแสงไฟลอดผ่านใต้ประตูออกมารำไร ครั้นพอเปิดเข้าไปก็พบว่าโซฟาทางด้านหลังมีร่างของใครบางคนนอนอยู่ โจวคยูฮยอนนั่นเอง และหมอนั่นก็แทบจะกินนอนอยู่ในนั้นแล้ว!
อันที่จริงทงเฮรู้ว่าตัวเองชอบทำงานในห้องนั้นมากกว่า แต่มันก็ดูเด็กเหลือเกินถ้าจะเที่ยวไล่ใครต่อใครให้ออกไปเพียงเพราะว่าฉันคิดว่าฉันเป็นเจ้าของห้องนี้ แต่นี่มันเข้าคืนที่ห้าเข้าไปแล้ว บางทีเขาควรจะต้องรู้ว่าหมอนั่นทำอะไรอยู่ในนั้น คิดไปว่ามันทำให้เขาเสียพื้นที่ส่วนตัวไปที่หนึ่งแล้วกัน
เช่นเคย แสงไฟลอดผ่านใต้ประตูออกมาให้รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา โจวคยูฮยอนกำลังนั่งหัวฟูอยู่ท่ามกลางกองหนังสือ กองเอกสาร และคอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊คสีดำอยู่บนโซฟา แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขากำลังเดินเข้ามาจนหยุดอยู่ตรงปลายเท้า มือเรียวเอื้อมไปหยิบเอกสารข้างตัวอีกฝ่ายมาอ่านดูเสียแผ่นหนึ่ง และนั่นทำให้คนที่นั่งง่วนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องเงยหน้าขึ้นแล้วสะดุ้งโหยงจนเกือบทำของบนตักให้หล่นระเนระนาด
“พะ... พี่ทงเฮ...!?”
“ข้อมูลไตรมาสของบริษัทชางจินเฟอร์นิเจอร์” อ่านอักษรตรงหัวกระดาษเสียงเรียบแล้วลดมือลงเพื่อมองหน้าอีกคน คยูฮยอนมองเขาตาแป๋วเหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่กลับเดินไปทิ้งตัวนั่งลงตรงพนักวางแขนของโซฟาแล้วหยิบเอกสารอื่น ๆ มาดูประกอบ ยิ่งทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าที่ห้องทำงานถูกยึดมาค่อนห้าวันนี้เพราะอะไร “ส่งโน็ตบุ๊คของนายมาซิ”
ถึงจะดูงง ๆ ประสาคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูกแต่คยูฮยอนก็เป็นคนว่าง่ายเสมอ ชายหนุ่มส่งคอมพิวเตอร์คู่ใจบนตักให้พี่ชายต่างสายเลือด บนหน้าจอนี้ก็เช่นกัน ทงเฮเห็นแต่ข้อมูลของบริษัทชางจินที่เขาทำงานอยู่เต็มไปหมด ครั้นหันกลับมองเลยตัวคยูฮยอนไปอีกหน่อย กองหนังสือไม่ต่ำกว่าสิบเล่มและเกินครึ่งในนั้นเหมือนจะเพิ่งถูกซื้อมาจากร้านหนังสือ มองเห็นสองปกที่อยู่ในระดับสายตามากที่สุดจึงรู้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการตลาด และเล่มอื่น ๆ ที่เขามองไม่เห็นนั่นก็คงจะเหมือนกัน
“พี่จะใช้ห้องนี้หรือครับ?” คยูฮยอนว่าเสียงซื่อ นั่นเรียกให้สายตาของทงเฮเบือนกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“ฉันดูเหมือนคนไม่มีการมีงานทำหรือไง”
“เปล่าครับ แต่...” นึกขึ้นได้ว่าไอ้ข้อมูลบริษัทที่กำลังกองรอบตัวเขาอยู่นี่มันคือบริษัทที่ทงเฮทำงานอยู่ พอคิดได้อย่างนั้นคยูฮยอนก็รู้สึกอายที่จะอยู่สู้หน้าขึ้นมา หันไปกระวีกระวาดรีบเก็บหนังสือและเอกสารขึ้นรวบเป็นปึก หล่นกระจายเลอะเทอะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังก้มหน้าก้มตาเก็บ “เดี๋ยวผมจะเก็บของออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
ทว่าอีทงเฮกลับโน้มตัวลงมาช่วยเก็บหนังสือและเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมากองบนโซฟาใหม่ “นั่งลง”
“ครับ?”
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ นั่งลงแล้วบอกฉันทีซิว่านายกำลังทำอะไร” ว่าเสียงเรียบจนคนฟังเดาใจไม่ถูก หรือพูดอีกก็คือคยูฮยอนไม่เคยเดาอะไรในตัวเขาถูกอยู่แล้ว
อึกอักอยู่อึดใจหนึ่ง จนคิดว่าอีกฝ่ายคงเริ่มจะหงุดหงิดแล้วแน่ถึงได้ยอมพูดสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองและบริษัทออกไป อย่างไรเสียทงเฮก็มีสิทธิ์รู้ในฐานะคนที่ควรจะเป็นเจ้าของบริษัทอย่างแท้จริง “ผลกำไรของมุนยองตกลงมาก ที่ประชุมลงมติว่าถ้าเบียดบริษัทชางจินลงไปไม่ได้อะไร ๆ ก็จะยากกว่าเดิมขึ้นอีกเท่าตัว”
“แค่นั้นหรือ?” เหมือนจะอ่านสีหน้าเขาออกถึงได้ถามมาอย่างนั้น คยูฮยอนรู้ว่าทงเฮฉลาด แต่แบบนี้เรียกว่าฉลาดเป็นกรด
“จะมีประชุมเสนอมติถอดถอน หากผมกู้สถานการณ์ของบริษัทไม่สำเร็จในเร็ว ๆ นี้”
“ก็เลยรวบข้อมูลของชางจินแล้วเอามาวิเคราะห์หาวิธีชนะงั้นสิ?” ถ้าในฐานะของคนบริษัทชางจินเฟอร์นิเจอร์แล้วเขาควรจะยิ้มเยาะแล้วปล่อยเลยตามเลย แต่ถ้าในฐานะทายาทโดยชอบธรรมของอีจุงโฮผู้ก่อตั้งมุนยองกรุ๊ปแล้วล่ะก็เขาคงทนใจแข็งไม่ได้ “เอากระดาษมาให้ฉันแผ่นหนึ่ง แล้วดูนี่”
______________________________________________
ทงเฮ : คยูฮยอน... เอาน้ำแข็งมาถูหลังฉันซิ
._ .
ความคิดเห็น