ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC KYUHAE ¦ - Good Morning, Vampire {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #4 : Good morning, Vampire :: Chapter III

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 54


    Good Morning, Vampire.

     

    Super Junior Fan Fiction (Yaoi)

    Cast : Kyuhyun x Donghae x Siwon

    Author : xixiao’

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     

    CHAPTER III

      

     


    ร่างโปร่งบิดตัวตื่นขึ้นในบ่ายของวันนั้น สรุปแล้วกว่าเขาจะได้นอนก็เกือบเช้า ดวงหน้าหวานโศกหันมองคนที่นอนร่วมเตียงเดียวกันที่ยังคงหลับอุตุไม่ยอมตื่น เขาไม่รู้ว่าคยูฮยอนได้นอนตอนกี่โมง ในเมื่อตอนที่เขาหลับหมอนี่ก็ยังคงนั่งอ่านหนังสือโดยที่ไม่ยอมหลับยอมนอน ถึงจะบอกว่ากว่าจะตื่นก็เย็นย่ำแล้วก็เถอะนะ แต่ตามนิสัยมนุษย์ยังไงก็ต้องควรนอนตอนกลางคืนอยู่ดีไม่ใช่รึไงกัน



    ทงเฮลุกลงจากเตียงแล้วบิดขี้เกียจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่านตรงหน้าต่างให้แสงแดดสาดเข้ามาภายในห้องบ้าง



    “อ๊าก!



    เสียงร้องของคนบนเตียงทำให้สะดุ้งตัวโยน ร่างโปร่งรีบหันมองคยูฮยอนที่นั่งขดตัวอยู่ตรงหัวเตียงคล้ายกับกำลังหลบแสงแดดที่ทอดผ่านปลายเตียง กลิ่นไหม้ๆของอะไรบางอย่างลอยมาเตะจมูกจนเขาต้องยู่หน้าเล็กน้อย



    “ปิดม่านเถอะครับ ผมขอร้อง” ตัวของคยูฮยอนยังนั่งขดอยู่ภายใต้ผ้าห่มที่ถูกดึงขึ้นคลุมตัว สีหน้าขอเขาไม่สู้ดีนักเมื่อแสงแดดยังคงทอดผ่านเข้ามาภายในห้อง



    “ห้องก็อับแย่สิ ให้แดดมันเข้ามาซะบ้าง” ทงเฮพูดบอกด้วยสีหน้าที่เรียกได้ว่างุนงงอย่างถึงที่สุด



    “ผมนอนไม่หลับ” คยูฮยอนบอกปัดๆและดูเหมือนจะเริ่มหัวเสียที่เขายังคงเปิดม่านค้างไว้แบบนั้น



    “นายยังจะนอนอีกเหรอ นี่มันบ่ายแล้วนะ” ทงเฮตำหนิเสียงเข้มแล้วทำท่าจะเปิดม่านออกให้สุดอีกครั้ง ทำให้อีกคนรีบกระโจนลงจากเตียง วิ่งเลาะหลบแสงแดดแล้วดึงชายเสื้อเขาเป็นเชิงขอร้อง



    “ผม... ผมแพ้แดด” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักและสายตาอ้อนวอนแบบที่หาได้ยาก “ผมขอร้อง”



    “นายนี่แปลกคน” ร่างเล็กหัวเราะเบาๆก่อนจะยอมปิดผ้าม่านให้สนิทจนห้องทั้งห้องมืดลงถนัดตา คยูฮยอนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเบนเท้าที่มีรอยผุพองเล็กน้อยไปข้างหลังโดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตได้



    “วันนี้คุณจะออกไปไหนรึเปล่า” ชายหนุ่มเบี่ยงประเด็นด้วยการถามเรื่องอื่นขึ้น ซึ่งดูเหมือนมันจะได้ผลเมื่อทงเฮมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง



    “ว่าจะชวนนายไปซื้อเสื้อผ้าแล้วก็ข้าวของเครื่องใช้น่ะ”



    “...........”



    “นายคงไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าของฉันไปตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ใช่ไหม” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นประโยคคำถามเมื่อคยูฮยอนแสดงสีหน้าลำบากใจใส่เขาอีกครั้ง



    “ผม...”



    “............”



    “เราไปกันตอนหัวค่ำได้ไหมครับ ห้างมันยังไม่ปิดหรอก” คยูฮยอนถอนหายใจเบาๆก่อนจะยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างยอมแพ้ ทำเอาทงเฮหัวเราะออกมาเสียงใส



    “อา... ฉันเชื้อแล้วว่านายเป็นโรคแพ้แดดจริงๆ อยู่กับนายฉันไม่ต้องกลายเป็นมนุษย์กลางคืนรึไงนะ”







     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-








     

    “นี่นายพกเงินติดตัวมากขนาดนี้เลยรึไงกัน ?” ทงเฮเอ่ยถามขึ้นเมื่อคยูฮยอนจ่ายค่าเสื้อผ้าเครื่องใช้ของเขาทั้งหมดด้วยเงินสด ซึ่งไม่ใช่ราคาน้อยๆเลย หรืออย่างน้อยๆหมอนี่ก็ควรจะพกเอทีเอ็มหรือบัครเครดิตไว้บ้าง “อันตรายจะตาย นายไม่พกบัครเครดิตไว้แทนล่ะ”



    คยูฮยอนหัวเราะเบาๆพร้อมตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีเล่นทีจริงแบบที่ทงเฮเดาทางไม่ถูก “ถ้าผมทำแบบนั้นคงจะอันตรายกว่านี้”



    “อ้าว คุณทงเฮ”



    เสียงทักทายจากร่างสูงโปร่งที่เขาคุ้นเคยดีจากคดีแปลกประหลาดนั่น และเป็นเจ้าของเสียงที่โทรมาแจ้งเรื่องคดีกับเขาเมื่อคืน ชเวซีวอนอยู่ในชุดลำลองสบายๆและกำลังส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร



    “สวัสดีครับคุณตำรวจ” ทงเฮแยกเขี้ยวใส่เพราะฝังใจในความกวนประสาทของนายตำรวจร่างสูงคนนี้เป็นที่สุด ซึ่งซีวอนก็ไม่คิดว่าเขาไปทำอะไรให้วิศวกรตัวเล็กคนนี้นักหนา



    “มาซื้อของเหรอครับ ?” ซีวอนถามไปตามประสา ซึ่งในความคิดของเขามันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นเมื่อในมือของทงเฮไม่มีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว



    “ไม่ใช่หรอก พอดีผมมาเตะบอล” คนถูกถามยิ้มหน้าตายตอบกลับไปหวังจะเอาคืนที่ซีวอนชอบมายิ้มน่าหมั่นไส้ใส่เขา ทำเอาอีกคนหัวเราะเบาๆอย่างนึกขัน



    “รสนิยมดีนะครับ”



    “ทงเฮ” คยูฮยอนเดินออกมาจากภายในร้านพร้อมถุงเสื้อผ้าราวๆสี่ห้าใบ นัยน์ตาคมปราดมองคู่สนทนาของคนตัวเล็ก เช่นเดียวกับซีวอนที่มองจ้องเขากลับอย่างสงสัย



    “ผมว่าผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะ” ซีวอนพยักหน้าเออออพร้อมรอยยิ้มบางที่ติดจะเศร้าอยู่ลึกๆ ดูเหมือนทงเฮจะรู้ทันว่าเขากำลังคิดอะไรจึงรีบชิงพูดขึ้นมาเพราะไม่อยากให้โนเข้าใจผิดคารังคาซังนัก



    “เข้าใจอะไร นี่คยูฮยอน เป็น.... เอ่อ...” เขาอึ่กอักไปพักหนึ่งเพื่อคิดหาสถานภาพอันจะเป็นข้อแก้ตัวที่จะไม่ให้ใครต่อใครคิดเองเออเองไปว่าเขากับคยูฮยอนเป็นคนรักกัน “เป็นน้องชายผม”



    คยูฮยอนหันมองทงเฮด้วยสีหน้าเรียบเฉยต่างจากซีวอนที่ลอบอมยิ้มเล็กๆเมื่อรู้ว่าคนที่เขารู้สึกสนใจยังไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตน



    “แล้วเรื่องคดีเป็นไงบ้างครับ ได้เบาะแสคนร้ายมั่งไหม ?” ทงเฮเอ่ยถามออกไปอย่างใคร่รู้ อย่างไรซะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็อยู่ในสถานที่ภายใต้การดูแลของเขา จะทำไม่สนใจเลยมันก็กระไรอยู่ เพราะเขายังมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินงานให้เสร็จภายในกำหนดแม้ว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นก็ตามทีเพื่อแสดงถึงศักยภาพในการทำงานและบริษัท



    “ใจคอจะยืนคุยเรื่องคดีกับผมหน้าร้านเสื้อผ้านี่เลยรึไงคุณ”



    “ผมพูดรึยังล่ะ” เส้นความญาติดีขาดผึงเมื่อดูเหมือนว่าคนตรงหน้านี่คิดจะกวนประสาทเขาทุกครั้งที่เจอกัน



    “ถ้าไงไปหาที่นั่งคุยเป็นมื้อเย็นสักมื้อไหมล่ะครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”



    ทงเฮพยักหน้าเออออและปล่อยให้ซีวอนเป็นฝ่ายเดินนำไปยังร้านอาหาร โดยมีคยูฮยอนเดินรั้งท้ายปล่อยให้ทั้งคู่เดินด้วยกันอยู่ข้างหน้า และฉวยจังหวะที่ซีวอนกำลังรับโทรศัพท์เรื่องงานเดินเข้าไปกระซิบที่หลังใบหูร่างเล็ก



    “เขากำลังสนใจคุณแน่ๆ”



    “ตลกรึไง ไม่หรอกน่า หมอนี่กวนประสาทฉันทุกครั้งที่คุยกัน” ทงเฮหันไปแยกเขี้ยวใส่คนข้างหลังก่อนจะหันกลับมาตามเดิมเมื่อซีวอนบอกเขาว่าคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว



    ทงเฮเห็นว่าคยูฮยอนดูจะหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ก็ยังคงปั้นสีหน้าเรียบเฉยแบบทุกที ซีวอนหยุดยืนหน้าร้านญี่ปุ่นชื่อดังแล้งเอ่ยตอบคำถามของพนักงานต้อนรับ



    “ผมขอตัวก่อนละกันครับ” คยูฮยอนโพล่งขึ้นในขณะที่ซีวอนยังจองโต๊ะกับพนักงานไม่เสร็จดี คนที่ตกใจที่สุดดูเหมือนจะเป็นทงเฮที่ร้องถามขึ้นอย่างแปลกใจ



    “นายจะไปไหนล่ะ ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันรึไง”



    “ผมไม่หิว เจอกันที่รถนะครับ” คยูฮยอนยิ้มให้ทั้งคู่อย่างสุภาพก่อนจะเดินหายไปท่ามกลางความแปลกใจของทั้งทงเฮและซีวอน นี่เป็นอีกครั้งที่ทงเฮคิดว่าผู้ชายคนนี้แปลกจริงๆ









     

     

    “น้องคุณไม่ชอบทานอาหารญี่ปุ่นเหรอ ?” ซีวอนถามขึ้นในขณะที่ทั้งคู่กำลังทานอาหารบนโต๊ะเพียงสองคน ทงเฮยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบออกไป



    “ผมก็ไม่รู้”



    ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เป็นพี่น้องกันแต่ไม่รู้ว่าน้องชอบหรือไม่ชอบอาหารญี่ปุน มันดูจะแปลกไปหน่อย แต่เขาก็ไม่นึกอยากใส่ใจอะไรนัก



    “เรื่องคดี เมื่อตอนเช้ามีศพถูกพบที่บริเวณกองขยะหลังไนท์คลับห่างออกไปจากบริเวณก่อสร้างของคุณ เท่ากับว่าเมื่อคืนมีผู้เสียชีวิตถึงสองคน และไม่ได้เจาะจงอยู่แค่พื้นที่เฉพาะ แต่ดูเหมือนว่าฆาตกรจะวนเวียนอยู่ในเมือง ทางเราสันนิษฐานว่าอาจเกิดเหตุขึ้นอีกที่ไหนและเมื่อไหร่ก็ได้... ในยามค่ำคืน” ซีวอนพูดเล่าเรื่องคดีหลังดื่มน้ำอึกสุดท้ายของมื้อตามที่ได้ตั้งจุดประสงค์ไว้กับทงเฮในทีแรก



    “คุณกำลังจะบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็คงไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์อย่างนั้นใช่ไหม”



    ซีวอนพยักหน้ารับคำสรุปของทงเฮที่ประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว “ผมอยากให้คุณระวังตัว”



    ร่างเล็กหัวเราะออกมาเสียงใส ก่อนจะยิ้มให้เขาเป็นเชิงล้อเลียน “พูดกับประชาชนแบบนี้ให้ครบทั้งเมืองนะครับคุณตำรวจ ~”



    “จะบอกอะไรให้นะ นี่ผมพูดกับคุณคนเดียว”



    คนถูกล้อท้าวแขนลงกับโต๊ะแล้วมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงจนคนฟังรู้สึกเขินแปลกๆ ทงเฮยกน้ำขึ้นดื่มแก้เก้อ ซีวอนมามุขนี้เขาเองก็ไม่รู้จะไปต่อทางไหนดี ตอนนี้เองที่ทงเฮนึกถึงคำพูดของคยูฮยอนขึ้นมา



    “รีบกลับบ้านเถอะครับ น้องคุณคงรอแย่แล้ว” ซีวอนพูดกลั้วหัวเราะแล้วยิ้มให้อย่างสุภาพ ก่อนจะเรียกพนักงานมาเก็บเงินหลังจากนั้น







     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-








     

    บรรยากาศในรถค่อนข้างน่าอึดอัด ตั้งแต่ตอนที่ทงเฮเดินมาที่รถและพบว่าคยูฮยอนยืนรอเขาอยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรนอกจากขึ้นไปนั่งบนรถเงียบๆและรอให้ทงเฮขับออกไป



    “อารมณ์ไม่ดีรึไง” เขาถามขึ้นลอยๆในขณะที่ทั้งคู่ยังนั่งอยู่นิ่งๆภายในรถ และเขาจะไม่สตาร์ทรถออกไปหากว่ายังเคลียร์กับคนข้างๆนี่ไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาเป็นเพียงความเงียบจากคนที่เพียงนั่งนิ่งให้เขารู้ว่ายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น “คยูฮยอน นายโกรธฉันเรื่องอะไรน่ะ”



    “หื้ม เปล่านี่ครับ” คยูฮยอนตอบคำถามเสียงเรียบ แม้ว่าสายตาของทงเฮจะจับจ้องเขาอยู่นานก็ตาม



    “นายโกรธที่ฉันไม่เชื่อนายเรื่องซีวอนรึไง”



    ถึงตอนนี้ คยูฮยอนกลับหันมองมาทางเขานิ่งงันจนทำให้รู้สึกประหม่า เขามองตอบร่างสูงที่เพ่งมองมาด้วยความรู้สึกแปลกๆที่คล้ายกับความตื่นเต้น หัวใจเขามันกำลังบีบรัดโดยที่เขาไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ ทำไมคยูฮยอนถึงมองมาทางเขาแบบนั้นกัน



    “ออกรถ...”



    เสียงพร่าพูดสั่งแผ่วเบาจนทงเฮต้องเงี่ยหูฟังอีกที เขาสังเกตเห็นว่าสายตาของคยูฮยอนเบี่ยงมองเลยเขาไปทางด้านหลัง ร่างเล็กเอี้ยวตัวมองตามก็พบแต่ยามคนหนึ่งที่กำลังมองจ้องมาทางพวกเขานิ่ง



    ผมบอกให้ออกรถ ! เร็ว !!” คยูฮยอนร้องสั่งเสียงดังจนเขาสะดุ้งตัวโยน แม้จะไม่รู้เหตุผลที่คยูฮยอนตะคอกใส่แบบนั้นแต่เขาก็เลือกที่จะสตาร์ทรถและขับออกไป คยูฮยอนหันไปมองทางกระจกหลังด้วยท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนจนผิดสังเกต “ขับไวๆหน่อย เร่งความเร็วขึ้นอีก !



    “มีอะไรน่ะ ?” ทงเฮเอ่ยถามออกไปเมื่อคยูฮยอนเอาแต่สั่งเขาขับรถไวขึ้น “นี่มันโซลนะ ให้ขับรถเร็วๆได้ยังไงกัน”



    คยูฮยอนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อยามคนที่ยืนมองเขาและทงเฮอยู่ในลานจอดรถเมื่อครู่ค่อยๆแปรสภาพเปลี่ยนเป็นเงาสีดำและค่อยๆตามรถของทงเฮมา “อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ ทำตามที่ผมบอกก็พอ”



    “นายทำยังกับว่าเราโดนไล่ตาม” ทงเฮสันนิษฐานขึ้นในขณะที่เหยียบคันเร่งและขับแซงรถคันแล้วคันเล่าจนถูกบีบแตรด่าไปทั่วท้องถนน เขาไม่เคยต้องมาทำอะไรฝ่าฝืนกฏจราจรขนาดนี้ และอาการเงียบที่เอาแต่มองข้างหลังอย่างกดดันของคยูฮยอนก็ทำให้เขาได้บทสรุปว่าคำสันนิษฐานของเขามันเป็นเรื่องจริง



    คยูฮยอนเป็นใครมาจากไหนกันแน่.....



    เงาสีดำนั่นยังคงวูบตามรถของพวกเขามาอย่างไม่ลดละจนแทบจะประชิดตัว แน่นอนว่าถึงตอนนี้ทงเฮเองก็เห็นมันเช่นเดียวกัน มันเป็นเงาแบบเดียวกับที่เขาเห็นบนตัวตึก และมันคงไม่ช่เรื่องดีที่เงานั่นกำลังตามเขามาแบบนี้



    “เฮ้ย !



    ทงเฮร้องออกมาเสียงดังเมื่อเห็นผู้ชายหนึ่งยืนขวางทางรถเขาอยู่เบื้องหน้า คยูฮยอนหันกลับมามองตามด้วยความตระหนกไม่ต่างจากทงเฮ “ชนไปเลย !



    “นะ... นายจะบ้ารึไง !?”



    ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ถกกันเสร็จ ทงเฮก็ตัดสินใจเหยียบคันเร่งและชนเขากับผู้ชายที่ยืนขวางทางรถเขาจนกระเด็นปลิวปะทะกระจกหน้ารถและกลิ้งไปด้านหลัง ครั้นเหลียวกลับไปมองกลับไม่มีร่องรอยของคนที่เขาชนเมื่อครู่ หากแต่เงาดำๆน่ากลัวนั่นกลับเพิ่มจำนวนเป็นสอง นี่มันอะไรกัน....



    ทงเฮสังเกตเห็นไฟจราจรแยกข้างหน้าที่กังเปลี่ยนเป็นสีแดง รถรอบข้างเริ่มชะลอความเร็วลง หากแต่เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วทงเฮกลับตัดสินใจที่จะเหยียบคันเร่งเพื่อไปให้พ้นไฟแดงก่อนที่เงาข้างหลังจะตามทัน เสียงบีบแตรดังสนั่นแยกถนนเมื่อรถของทงเฮเฉียดกับรถบรรทุกที่แล่นเลี้ยวมาได้อย่างหวุดหวิด



    “ฉันงงไปหมดแล้วจริงๆนะ พวกนั้นมันตัวอะไร !? ทำไมมันต้องตามเราด้วย”



    คยูฮยอนยังไม่ได้ตอบอะไรเขาเลยสักคำ หากแต่ใบหน้าคมกลับฉายแววแปลกใจอย่างถึงที่สุดเมื่อเงาทั้งสองนั่นเริ่มชะลอความเร็วลงจนห่างจากรถของทงเฮออกไปทุกทีจนลับตา ร่างสูงหันกลับมามองทิศที่ทงเฮกำลังขับตรงไปและพบว่าเบื้องหน้าคือโบสถ์คริสต์ขนาดใหญ่ที่มีไม้กางเขนตรึงอยู่บนยอดอย่างสง่า



    “คุณจะทำอะไรน่ะ !?”



    เขาร้องตวาดขึ้นเสียงดังเมื่อทงเฮกำลังจะขับเลี้ยวเข้าไปในโบสถ์ ทำเอาร่างบางที่เริ่มหัวเสียจากเหตุการณ์น่าตระหนกตะคอกกลับเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน “หาคนช่วยไงเล่า !



    “บ้าเอ๊ย ! หยุดนะ” คยูฮยอนจับพวงมาลัยหมุนบดจนรถเสียหลักไถลเข้ากับโพรงหญ้าข้างทางและหยุดนิ่งลง เสียงหอบหายใจของคนทั้งคู่ดังถี่อย่างโล่งอกที่รถไม่เป็นอะไร



    “นายทำบ้าอะไร ถ้ารถเกิดคว่ำขึ้นมาเราไม่ต้องตายกันรึไง !” ทงเฮหันไปตวาดใส่คนที่นั่งหอบหายใจเสียงดัง เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคยูฮยอนไม่ยอมให้เขาเลี้ยวเข้าโบสถ์ และทำไมเงาประหลาดพวกนั้นถึงได้ถอยห่างไปเมื่อพวกเขาเริ่มใกล้โบสถ์ขึ้นทุกขณะ “นี่มันเรื่องอะไรกัน นายจะบอกฉันได้รึยัง?”



    คยูฮยอนไม่ตอบอะไรแต่กลับเปิดประตูรถและเดินลงไปด้วยท่าทีหุนหันจนทงเฮต้องรีบลงจากรถตาม แขนเรียวกระชากชายเสื้ออีกคนไว้จนคยูฮยอนหยุดฝีเท้าลงและหันกลับมาสบตากับเขานิ่งงัน



    “ผมต้องไปแล้ว”



    “ไป ? นายเล่นตลกร้ายอะไร คิดจะไปไหนกัน” เขาพูดเร็วเสียจนคิดว่าคยูฮยอนอาจจะฟังมันไม่รู้เรื่อง เรียวปากบางพูดย้ำอีกทีเมื่ออีกคนดูเหมือนไม่คิดจะตอบอะไรเขาเลยสักคำ “นายจะไปไหน ?”



    คยูฮยอนสูดลมหายใจลึกราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูดในสมอง ก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเรียบเป็นปรกติ “ไปจากคุณ นั่นเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณไม่ต้องเดือดร้อนเพราะผม”



    “พวกเงาประหลาดเมื่อกี้น่ะ เป็นพวกเดียวกับที่ฉันเห็นที่ตึกนั่นใช่ไหม”



    คยูฮยอนไม่ได้ตัดสินใจที่จะบอกหรือไม่บอกอะไร เขาคิดเพียงว่ามันไม่มีประโยชน์ที่ทงเฮจะต้องรับรู้เรื่องโลกของเขา ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตเช่นพวกเขาเป็นเพียงเส้นขนานที่ไม่มีวันจะมาบรรจบและอยู่ร่วมกันได้ “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”



    “ไม่ใช่เรื่องของฉัน ? เหอะ...” ร่างเล็กแค่นเสียงออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันไปถลึงตามองคนตรงหน้าที่ยืนนิ่งไม่ต่างอะไรจากท่อนไม้ที่ไร้การตอบสนอง “แล้วไอ้ที่มีคนตายอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไอ้เงาปีศาจหรือคนที่ฉันเคยเจอบนตึกนั่น แล้วก็ไอ้ที่ฉันต้องขับรถหนีพวกนั้นแทบเป็นแทบตายนั่นนายก็จะบอกว่าไม่เกี่ยวงั้นสิ ถามจริงเถอะโจวคยูฮยอน... ฉันยอมรับว่าฉันเป็นฝ่ายพูดเองว่าจะไม่คาดคั้นเรื่องส่วนตัวของนาย แต่จนถึงขั้นนี้แล้วนายก็ยังจะปล่อยให้ฉันเป็นไอ้งั่งที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปพร้อมกับนายโดยที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นเหรอ ? จะเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึเปล่า”



    ความอดทนของอีทงเฮสิ้นสุดลงพร้อมกับคำต่อว่าตัดพ้อที่ร่ายยาวใส่คนปั้นหน้านิ่งที่ทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทงเฮถอนหายใจด้วยทีท่าที่เรียกได้ว่ากำลังระงับสติอารมณ์อย่างถึงที่สุด ก่อนจะคว้าข้อมืออีกคนและลากเดินกลับไปที่รถด้วยกัน



    “ทงเฮ ?”



    “ขึ้นรถสิ” เขาพูดกับคยูฮยอนเสียงเรียบก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับเตรียมจะเข้าไปนั่ง แต่เมื่อเห็นอีกคนยังคงยืนนิ่งโดยไม่มีทีท่าที่จะเปิดประตูรถ เขาจึงเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่งและดันตัวคยูฮยอนให้เข้าไปนั่งอย่างเผด็จการ “อย่าคิดว่าฉันหายโกรธนายล่ะ เพียงแต่ฉันทิ้งคนที่กำลังเดือดร้อนไม่ได้แค่นั้นเอง”



    คยูฮยอนลอบยิ้มกับตัวเองในขณะที่ทงเฮเดินอ้อมกลับไปยังฝั่งคนขับ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก เช่นเดียวกันพวกเขาก็มีสภาวะทางอารมณ์และความรู้สึกไม่ต่างจากมนุษย์ เขามีรูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในเฉกเช่นทงเฮทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ดำเนินไปบนเส้นขนานในยามแดดออกและยามวิกาล ต้องเข่นฆ่าชีวิตอื่นเพื่อดำรงชีวิตอยู่



    เพียงแค่การฆ่าเพื่ออยู่ของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งผิดตามข้อบัญญัติบนโลก แต่การฆ่าของพวกเขากลับเป็นเรื่องน่ารังเกียจเพราะต้องคร่าชีวิตสิ่งมีชีวิตที่มีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากตนเอง



    รวมถึงตัวเขา.... ต่อให้ตั้งกฏเกณฑ์ให้ตัวเองมากแค่ไหน ก็ไม่อาจเอาชนะสัญชาตญาณได้ในสักวัน



    สักวัน... ที่เขาอาจคร่าชีวิตคนข้างๆนี้ตามหลักที่ควรจะเป็นในโลกแห่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่าผีดูดเลือด

     

     





    TBC





    ทำไมมันฟิคเฉินหลงขนาดนี้ -_______-

    เรื่องนี้ฟิคดราม่านะ งอแง ๆ







    no.
    beer
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×