คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ` ( wonkyu ) ____APRIL SONATA {art romance}
APRIL SONATA
Couple : Siwon x Kyuhyun
Type : Art Romance
Author : xixiao’
---------------------------------------------------------------------------------------------------
รถยนต์สีดำกำลังแล่นไปตามพื้นถนนเงียบสงัด สองข้างทางเป็นสีเหลืองแซมแดงของไม้นานาพันธุ์ บ้างก็ส้ม แซมด้วยสีเขียวสีน้ำตาลของก้านต้น ดูแล้วสวยงามจับใจจนคนบนรถต้องออกปากชมตลอดทาง
“ดูเข้าสิซีวอน สวยแบบนี้แถบบ้านเราหาดูไม่มีเลย”
เจ้าของชื่อชเวซีวอนยังคงง่วนอยู่กับการฟังเพลงแจ๊สที่ดังเข้าสองข้างหู เขาไม่ได้ยินที่ผู้เป็นพ่อพูด ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมองความงามสองข้างทางดังที่ใครๆต่างก็ชื่นชมนักหนา ท่อนแขนแกร่งกอดอกอยู่บนเสื้อเชิ้ตสีเข้มใส่สบาย หนำซ้ำปลายเท้านั้นยังเอาแต่กระดิกไปตามจังหวะดนตรีสากลอย่างแม่นยำ
หนุ่มร่างสูงลืมตาขึ้นมองบิดาด้วยความขุ่นเคืองแทบจะทันทีที่หูฟังถูกดึงออก อารมณ์สุนทรีย์ขาดช่วง ทั้งที่ซีวอนคิดว่านี่เป็นหนึ่งในความสนุกที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาถูกบังคับมาที่นี่จนสำเร็จ
“แกนี่นะ มาญี่ปุ่นทั้งทีทำไมไม่หัดชื่นชมเก็บประสบการณ์อะไรบ้าง ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้แกยังจะเอาแต่นั่งฟังเพลงพวกนี้อยู่อีก” เสียงทุ้มใหญ่ของชายวัยกลางคนสวมเชิ้ตแขนสั้นสีอ่อน สีหน้านั้นติดจะระอาลูกชายคนเล็กนี่เต็มทน ลองเป็นลูกคนโตคนกลางหน่อยก็ไม่ได้ คงได้ยกกล้องขึ้นมาถ่ายแล้วนึกอยากฟังบทฟังกลอนเสียด้วยซ้ำ
“ผมคงไม่เอาแต่นั่งฟังเพลงแก้เบื่อแบบนี้ ถ้าที่พักของเราจะอยู่ในที่เจริญหูเจริญตา มีห้าง ร้านอาหาร อะไรที่มันสมควรจะเรียกได้ว่าน่าสนุก” มือแกร่งทำไม้ทำมือประกอบจนชัดแก่ความต้องการ ก่อนจะหยิบหูฟังเข้าใส่หู แล้วรวบเข้านั่งๆนอนๆกอดอกอีกครั้ง ใจคิดเพียงแค่ว่าจะถึงที่หมายช้าหรือเร็วก็คงเท่ากัน
ที่ๆเขาและพ่อลงทุนนั่งเครื่องบินข้ามประเทศมาเป็นเวลาสองชั่วโมง แล้วยังต้องนั่งรถต่อไปอีกเกือบสองชั่วโมงนั้นเป็นเพียงบ้านสไตล์ญี่ปุ่นหลังกว้างที่พ่อเอารูปให้ดู ไม่มีอะไรน่าสนุก บันเทิงใจ ดังที่ซีวอนได้ปรามาสไว้ว่ามันเป็นวัฒนธรรมของความโลวเทคโนโลยี!
ในที่สุดพาหนะคันเก่งก็แล่นเข้าสู่รั้วประตูบ้าน จอดส่งสองพ่อลูกอย่างดิบดีก็แล่นออกไปทางโรงจอดรถนอกบริเวณ โดยมีหญิงชายรับใช้วัยสามสิบขึ้นไปคอยยกกระเป๋าสัมภาระพร้อมนำทางไปสู่ตัวเรือนรับแขกที่เจ้าบ้านได้กำชับเอาไว้ ชเววอนกีออกปากคุยกับชายยกสัมภาระด้วยอารมณ์ที่เรียกว่าดีมาก ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเพื่อนรักอยู่ในที ต่างจากคนเป็นลูกชายที่ได้แต่เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินทอดน่อง อารมณ์ไม่สู้ดีนักหลังจากโดนบังคับให้เก็บเอาหูฟังเพลงนั้นลงกระเป๋าไปอย่างช่วยไม่ได้
“โอ้... สวัสดีฮวาซอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
สองชายวัยกลางคนสวมกอดกันหลวมๆประสาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบพานกันนาน ชายผู้เป็นเจ้าบ้านนั้นรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเขา หากแต่สวมใส่ยูกาตะลวดลาดเรียบๆสีเข้มดูสง่า ถัดออกไปนั้นเป็นหญิงวัยกลางคนดูเรียบง่ายต่างจากคนเป็นแม่ที่เกาหลี หล่อนทอดรอยยิ้มอ่อนๆเป็นเชิงทักทาย ซีวอนจึงต้องโค้งให้น้อยๆอย่างเป็นมารยาท ทอดสายตามองต่อไป ข้างๆหญิงเจ้าบ้านเป็นเด็กหนุ่มผิวขาวตัดกับสียูกาตะที่สวมใส่ ดวงหน้านั้นยังคงสงบราบเรียบ ไม่ได้เบนสายตามองมาทางเขาดังเช่นผู้เป็นแม่
“แล้วคุณล่ะเป็นยังไงบ้างฮยอนอิน อาการปวดเข่าหายดีแล้วรึยัง?”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ยาตัวนี้ใช้ดีมาก คุณฮวาซองเองยังออกปากขอยืมไปใช้บ้างบ่อยๆ”
ชายหนุ่มทอดมองผู้เป็นพ่อที่กำลังทิ้งตัวลงนั่งเพื่อสนทนากับครอบครัวของเพื่อนรัก ความคุ้นเคย สนิทสนมเช่นนี้เขาพอรู้มาก่อน พ่อมักจะกล่าวถึงเพื่อนชายตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่ย้ายมาตั้งรกรากอยู่ญี่ปุ่นหลังตั้งตัวได้ มีหน้าที่การงานมั่นคง การติดต่อพูดคุย หรือแม้แต่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ประสาชายรุ่นใหญ่จึงเพลาๆลงไปบ้าง เพราะไม่มีคนให้พูดคุยปรึกษาดังเช่นแต่ก่อนนั่นเอง
“นั่นคงเป็น... คยูฮยอนใช่ไหม?”
วอนกีส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มผิวขาวที่ซีวอนมองอยู่ก่อนหน้า คนอ่อนวัยกว่าระบายยิ้มอ่อนๆตอบ โค้งศีรษะลงน้อยๆอย่างนอบน้อม “สวัสดีครับ”
ชั่วนาทีที่ใบหน้ามนเงยขึ้น ซีวอนกลับได้สบดวงตากลมสีดำสนิทโดยไม่ตั้งใจ เพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มหันกลับเข้าไปในวงสนทนาโดยที่ไม่ให้ความสนใจเขามากมายนัก ยืนเก้ๆกังๆอยู่พักใหญ่ก็ถูกบิดาส่งเสียงเรียกให้นั่งลงตามมารยาท อาจเพราะเป็นต่างที่ ไม่อย่างนั้นชเววอนกีคงได้สวดเขาด้วยเรื่องยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ไปอีกยก
“นี่ก็คงเป็นลูกคนเล็กสิท่า หน้าตาถอดแบบนายมาไม่มีผิด” โจวฮวาซองพูดกลั้วหัวเราะ ยกชาในมือขึ้นซดเสียอึกใหญ่ ได้ยินเสียงซดชัดเจนจนซีวอนต้องขมวดคิ้วน้อยๆ ดื่มชาเสียงดังแบบนี้คงจะเรียกได้ว่าไร้มารยาท ตำหนิในใจไม่ทันขาดช่วงก็ได้ยินเสียงซดชาดังไม่แพ้กันจากผู้เป็นพ่อ ทำเอาชายหนุ่มนึกฉงนอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่ว่ามันกลายเป็นธรรมเนียมของที่นี่ไปเลยหรือ “เห็นทีชาของซีวอนจะเย็นหมดแล้ว ถ้ายังไงให้คยูฮยอนชงให้ใหม่คงดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ชอบดื่มชาเย็นๆมากกว่า”
ชเววอนกีแทบกุมขมับเมื่อลูกชายตัวดีพูดจาออกไปกึ่งกวนประสาท แต่เหมือนฮวาซองจะคิดว่าเป็นมุข เขาจึงเรียกสาวใช้ให้จัดการเก็บถ้วยแต้มลายซากุระตรงหน้าหนุ่มคราวลูกไปเสียให้พ้น พร้อมๆกับที่สาวใช้อีกนางหนึ่งยกสำรับชงชามาวางไว้หน้าเด็กหนุ่มชื่อโจวคยูฮยอน ร่างโปร่งเปิดกระปุกชาสีแดงเข้มด้วยมือหนึ่ง ใช้ไม้ยาวเล็กลักษณะปลายงุ้มตักผงชาใส่ถ้วยแบบมัทชะ ตามด้วยน้ำร้อน ก่อนจะหยิบเอากระบอกไม้ไผ่ซึ่งปลายซอยถี่ ลักษณะเหมือนพู่กันขนาดใหญ่ก็ไม่ปาน คนด้วยสีหน้าสงบนิ่งอยู่พักหนึ่ง ถ้วยชาร้อนในแบบญี่ปุ่นแท้ๆก็ถูกยื่นมาตรงหน้าหนุ่มร่างสูง พร้อมด้วยรอยยิ้มจากคนชงที่คลี่ออกสุภาพ
ซีวอนยกถ้วยชาขึ้นด้วยท่าที่ไม่ถูกต้องนัก ชาเขียวร้อนๆที่ถูกคนจนขึ้นฟองมันดูแปลกจนเขาแทบนึกรสชาติไม่ออก บางทีรสชาสำหรับรูปตามคอนวีเนียนหรือที่ขายกันอยู่ทั่วไปอาจจะมีรสชาติดีกว่าด้วยซ้ำไปกระมัง
ถึงอย่างนั้นลูกชายคนเล็กของตระกูลชเวก็ทำได้แค่คิด ชายหนุ่มจำต้องยกถ้วยชาลวดลายธรรมชาติขึ้นจิบ มันไม่ได้นุ่มลิ้นหรือรสชาติหวานเปรี้ยวเหมือนชาสำเร็จรูป มันทั้งขม จืดชืด หากแต่ก็หอมใบชาอย่างแท้จริง หากจะเทียบกันในรสชาแล้วซีวอนยอมรับว่ามันอร่อย แต่ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัวชายหนุ่มคงขอพึ่งชาตามคอนวีเนียนคงจะดีกว่า
“คยูฮยอนน่ะชงชาได้อร่อยทีเดียวล่ะ จำวอนบินได้ไหม... ลูกชายคนรองของลุงน่ะ หลังกลับไปเกาหลีคราวที่แล้วก็บ่นคิดถึงฝีมือชงชาของหลานน่าดู พอรู้ว่าคราวนี้ติดงานมาด้วยไม่ได้ ก็ทำพูดเสียดายนักเสียดายหนาเลยเชียว” วอนกีว่าตามจริง นึกไปถึงลูกชายคนรองที่ติดใจอยากจะมาชมธรรมชาติด้วยในคราวนี้ เมื่อสองสามวันก่อนยังมาเลียบๆเคียงๆถามเผื่อว่าจะได้เลื่อนกำหนดการณ์ แต่ลองได้นัดทางนี้ไว้แล้ว หนุ่มสูงวัยก็ไม่อยากจะโลเลให้มากเรื่องมากความ
โจวคยูฮยอนหัวเราะเบาๆ มองสาวใช้ที่ยกสำรับชงชาออกไปวางไว้นอกวงสนทนา “ถ้าพี่วอนบินชอบ ผมกะว่าจะจัดผงชาฝากไปให้สักชุดหนึ่ง แต่เกรงว่าคุณลุงจะลำบาก...”
“ไม่หรอก รายนั้นคงดีใจแย่ที่ได้ของฝากจากทางนี้”
รุ่นใหญ่พากันหัวเราะครืน ต่างจากซีวอนที่ยังหาความน่าขันในบทสนทนานั้นไม่เจอ ชายหนุ่มวางถ้วยชาลงหลังจิบไปได้สองสามอึก จะให้ซดเสียงดังแบบพวกผู้ใหญ่เขาคงทำได้ไม่ดีนัก
“รสชาไม่ถูกปากเหรอครับ?” คนชงชาเอ่ยถามขึ้นเบาๆเพื่อไม่ให้ขัดกับบทสนทนาของพวกผู้ใหญ่ เขาสังเกตเห็นลักษณะการดื่มชาของซีวอนอยู่ในที คิดเอาว่าคนตรงหน้านี้คงไม่ชอบดื่มชา หรือรสชาไม่ถูกปากก็เป็นได้
“ครับ?” ร่างสูงทวนซ้ำ รู้สึกว่าตัวเองคงทำอะไรผิดไปถึงได้ถูกถามเอาด้วยสีหน้าติดกังวลเช่นนั้น “เอ่อ... ผมชอบมากเลย อร่อยครับ”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าอ่อนวัยนั้นเหยียดยิ้มอ่อนร่างสูงก็อดที่จะรู้สึกดีขึ้นตามไม่ได้ เขาไม่รู้วัฒนธรรมของทางญี่ปุ่นนัก จึงเป็นไปได้ง่ายๆที่จะทำอะไรยึดติดต่อค่าสังคมนิยมจนสร้างความรู้สึกตะขิดตะขวงใจให้แก่คนที่นี่
นานสองนานที่หนุ่มร่างสูงต้องติดอยู่ในบทสนทนาน่าเบื่อของคนรุ่นพ่อ คยูฮยอนขอตัวลุกออกไปได้พักใหญ่แล้ว แต่เขาเป็นคนต่างที่คงไม่กล้าออกปากอะไรมากนัก ถึงลุกหนีก็ใช่ว่าจะมีจุดหมายที่ไหนให้ไป คิดวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ท้ายสุดแล้วเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้น เลี่ยงเดินออกมาโดยที่กลุ่มผู้ใหญ่ยังคงคุยกันออกรส
ชานทางเดินไม้ทอดตัวเป็นแนวยาวรอบตัวเรือนแต่ละหลัง เลี้ยวทางนู้นทีทางนี้ที แล้วก็วนกลับมาเจอบ่อน้ำหลังเรือนใหญ่ซ้ำอยู่ถึงสองครั้ง กระบอกไม้ไผ่ตัดปลายเฉียงเอียงทอดสายน้ำต่อกันเป็นธารน้ำตกขนาดย่อม สวนหินและพรรณไม้ที่เป็นสีสดกลางฤดูใบไม้ผลิ ถึงจะทำเอาเพลินตาได้ครู่ใหญ่ๆ แต่ไม่นานนักผู้ชายที่ใช้ชีวิตกลางเมืองอย่างเขามาตลอดก็เบื่อ เมื่อต้องมองอะไรซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้นเป็นเวลานานๆ
ชายหนุ่มตัดสินใจเดินไกลออกไปอีกหน่อย ได้ยินเสียงหวดดาบไม้เสียงดังก็สนใจ พบโรงฝึกเล็กๆตั้งแยกออกไปจากตัวบริเวณบ้านเล็กน้อย เด็กๆหลายคนฝึกหวดดาบไม้ไผ่กันแข็งขัน ใกล้ๆกันนั้นเป็นโรงครัว แม่บ้านจำนวนหนึ่งกำลังเตรียมอาหารสำหรับจัดสำรับตอนมื้อเย็น ส่งกลิ่นหอมน่าทานจนชายหนุ่มรู้สึกหิวขึ้นมาตงิด
นาฬิกาข้อมือเพิ่งบอกเวลาบ่ายสามโมง อีกพักใหญ่ๆกว่าจะถึงเวลามื้อเย็น ชเวซีวอนไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรไปไหน ขนาดวันแรกยังเอาแต่รออยู่เฉยๆแบบนี้ จะต้องอยู่อีกสองวันจนถึงเวลากลับก็คงจะน่าเบื่อไม่น้อยเลย
ก้าวเท้ากลับมาทางเดิมด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างห่อเหี่ยว มีแต่คนบอกถ้าได้มาเห็นความสวยงามของฤดูใบไม้ผลิจะต้องสดชื่น แต่ของสวยๆงามๆมองได้นานเท่าไหร่มันก็เบื่ออยู่วันยังค่ำ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่ได้สวยมากไปกว่าเดิม ไม่ต่างอะไรจากการยืนอยู่เฉยๆท่ามกลางทุ่งดอกไม้เลยแม้แต่น้อย
ถึงตรงนี้ ชเวซีวอนเพิ่งจะได้มีโอกาสเห็นเรือนที่ซ้อนอยู่หลังเรือนใหญ่อีกเรือนหนึ่งเมื่อเดินกลับมาจากชานระเบียงในฝั่งซ้าย ห้องโปร่งๆที่เปิดประตูทิ้งไว้ชวนให้ชายหนุ่มเดินไปดูด้วยความสนใจที่ไม่มากไปกว่าเดิมนัก เสื่อทาทามินั้นปูพื้นจนทั่ว มีส่วนที่เป็นเวิ้งเล็กๆเรียกว่าโตโคโนมะอยู่ด้านในของห้องสำหรับวางงานจัดดอกไม้ที่ถูกจัดจนเสร็จ แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือร่างโปร่งในชุดยูกาตะสีเข้มคุ้นเคย คนซึ่งแยกตัวออกไปก่อนหน้าเขาไม่นานในโถงรับแขก
เด็กหนุ่มกำลังง่วนอยู่กับการใช้คีมขนาดเล็กดัดก้านไม้ในแจกันสีทึบ ข้างๆเป็นกะละมังใบใหญ่ที่รองน้ำไว้เพียงก้น กิ่งสนและเบญจมาศจำนวนหนึ่งกำลังถูกจัดแต่งอยู่ในแจกัน มีไม้พรรณอื่นที่ซีวอนไม่รู้จัก หากแต่ร่างสูงกลับเลือกที่จะยืนดูอยู่เงียบๆ เฝ้ามองสายตาสงบนิ่งนั้นยามจัดแต่งงานศิลปะล้ำค่า ประณีต งดงาม และเป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่เข้าถึง
แม้บรรยากาศโดยรอบจะเงียบสงบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าบ้านจะรู้สึกตัว ชเวซีวอนเดินใกล้เข้าอีกหน่อย ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงเยื้องออกไปด้านข้าง ทำเอาคนที่คุกเข่าอยู่ก่อนหน้าจำต้องเงยขึ้น เหยียดรอยยิ้มบางให้ทีหนึ่ง กล่าวถ้อยสนทนาโดยที่สายตาจับจ้องอยู่เพียงสิ่งที่กำลังทำ “แยกตัวออกมาอย่างนี้ คุณลุงไม่ว่าเอาเหรอครับ”
“ถึงผมจะอยู่หรือไม่อยู่ มันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก” กลั้วหัวเราะอยู่ในที คิดว่าจะเงียบดูต่อไปจนเสร็จ แต่แค่การดัดกิ่งก้านก็ช่างนานสองนาน เงียบเสียจนรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะทำ จำต้องพูดขึ้นทำลายความเงียบอย่างช่วยไมได้ “ผมไม่เคยได้ดูการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่นอย่างนี้มาก่อน แต่ก็พอจะผ่านตามาบ้าง แต่งานของคุณมันดูแปลกตา”
“การจัดดอกไม้แบบที่คุณคุ้นเคยคงจะเป็นแบบโมริบานะ เห็นว่าเป็นสมัยนิยมทีเดียว” คยูฮยอนคลี่ยิ้มประกอบกับสิ่งที่พูดอย่างเต็มใจ เขารู้สึกยินดีหากจะมีใครชวนคุยเรื่องงานอดิเรก
“แล้วแบบที่คุณจัดนี่เรียกว่าอะไรหรือ?”
“ริกกะครับ ผมชื่นชอบในความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆที่ถือเอาความงามและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติเป็นหัวใจในการจัด นานๆทีถึงจะมีโอกาสได้จัดแบบนาเงอิเระบ้าง โมริบานะบ้าง” ท่าทางมีภูมิความรู้นั้นทำให้ซีวอนประเมินค่าอีกฝ่ายไว้สูงทีเดียว แม้ว่าจะดูอ่อนวัยกว่า กระนั้นเด็กหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความสุขุม นุ่มลึก ดั่งรสชาที่ได้ชงให้เขาเมื่อตอนบ่าย
จ้องมองต่อไปอีกพักใหญ่ เหมือนเจ้าบ้านจะรู้ตัวว่าทำให้แขกเบื่อไม่น้อย จึงหยัดตัวลุกขึ้น หายเข้าไปในห้องด้านในไม่นานก็ออกมาพร้อมแจกันทรงเตี้ยอันหนึ่งพร้อมโอเอซิสซึ่งอัดจนแน่นอยู่ก้นกระถาง
“สนใจจะลองจัดดอกไม้ดูบ้างไหมครับ?” วางแจกันเลื่อนไปอยู่ตรงหน้า จัดแจงเอาเครื่องมือและกะละมังมาวางไว้ใกล้ หากแต่ทำเอาคนนั่งว่างเหรอหราจนไปไม่ถูก “ลองดูนะครับ มาเยือนบ้านนี้ทั้งที... พี่ชายคุณเองก็เคยสนุกกับมันอยู่เหมือนกัน”
“ผมเกรงว่ามันจะออกมาไม่เป็นดอกไม้น่ะสิครับ” ซีวอนหัวเราะร่วน หยิบๆจับๆกิ่งไม้ใบไม้ดอกในกะละมังเก้ๆกังๆ ยิ่งได้มองผลงานของคนตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกด้อย ปลอบใจตัวเองเพียงว่าแค่จัดดอกไม้คงไม่ยากนัก
“คิดเสียว่าฆ่าเวลารอมื้อเย็นก็ได้ มันคงทำให้คุณรู้สึกเพลินได้นานพอดู”
อย่างที่คยูฮยอนได้บอกไว้ไม่มีผิด ตั้งแต่การเลือกพรรณไม้ตลอดจนจัดแต่งลงแจกันก็เสียเวลาไปนานโข หยิบๆจับๆอยู่อย่างนั้นไม่รู้จะเลือกอะไรดี ฟังคำแนะของคยูฮยอนบ้างเป็นครั้งคราว งานในแจกันนั้นยิ่งทำยิ่งสวย ต่างจากงานของเขาที่โอเอซิสเป็นรูพรุนจนบ้างก็ปักกิ่งลงไปไม่อยู่ พอจะใช้คีมดัดกิ่งก้านเข้าหน่อยก็หักคาเครื่องมือจนต้องหยิบเปลี่ยนถึงหลายรอบ ทำจนถึงห้าหกโมงเย็นก็เห็นจะไม่เข้าที จำต้องยอมแพ้เมื่อสาวรับใช้มาตามไปร่วมมื้อเย็น
ร่างโปร่งหัวเราะเบาๆเมื่อดูซีวอนจะเอาแต่ง่วนอยู่กับการจัดแต่งดอกไม้ แจกันของเขานั้นเสร็จดีจนนำไปวางบนโตโคโนมะได้แล้ว เหลือก็แต่ในแจกันทรงเตี้ย จะว่าเป็นสวยก็ไม่ใช่ เป็นรูปเป็นร่างก็ไม่เชิง
“เห็นทีผมคงต้องฝึกอีกนาน” คนเป็นแขกยอมแพ้ ปล่อยมือออกจากกองกิ่งไม้บนแจกันในที่สุด เมื่อเห็นคยูฮยอนหัวเราะหนุ่มร่างสูงก็หัวเราะบ้าง เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะออกมาดีตั้งแต่ในทีแรก กลับกันที่มันช่วยฆ่าเวลาน่าเบื่อได้อย่างดีเยี่ยมจนต้องนึกขอบคุณเจ้าบ้านอยู่ในใจ
“คุณคงเหนื่อยกับมันพอดู ไปทานข้าวกันเถอะครับ”
เป็นเรื่องน่าเบื่อที่คนบ้านนี้เข้านอนกันตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม ชเวซีวอนคิดว่ามันไม่ต่างกันตรงไหนกับการนอนดึกแล้วตื่นสาย ยังไงเสียเวลานอนมันก็พอๆกันอยู่ดี คนอย่างเขากิจกรรมกลางคืนมันเยอะกว่า ตื่นมาตอนเช้าก็ใช่จะคิดออกว่าควรทำอะไร
นั่งนอนๆข่มตาให้หลับตั้งแต่สามทุ่ม จนแล้วจนรอดก็ไม่มีแม้แต่ความง่วงถามหา ที่นอนนี่ก็ใช่ว่าจะนุ่มขนาดกระโดดเล่นได้แบบเตียงที่บ้าน เป็นแค่ฟูกแข็งๆที่วางกับพื้นยกระดับ บนผนังมีแต่รูปวาดและแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง... ครั้นพอคิดถึงแจกันดอกไม้ ภาพของชายในชุดยูกาตะกำลังง่วนอยู่กับอิเคบานะก็ลอยเข้าหัวจนต้องเผลออมยิ้มออกมา
หลังกินมื้อเย็นเสร็จก็ได้คยูฮยอนนั่งเป็นเพื่อนคุยให้ท่ามกลางวงสนทนาของรุ่นใหญ่ ซีวอนจึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นนักแปลหนังสือ รับงานสองภาษาคือทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี แต่ดูทักษะอังกฤษก็ยอดเยี่ยมอยู่ ทำงานมาแล้วสองปี ปีนี้เป็นปีที่สาม... พอได้ลองมองตัวเองเล่า ชเวซีวอนเรียนจบมาเกือบห้าปี ได้แต่ช่วยกิจการของที่บ้านพอเป็นพิธี ทั้งพี่ชายคนโตและคนรองก็รับผิดชอบให้หมด ชายหนุ่มจึงได้แต่เที่ยวเล่นไปวันๆแก้เบื่อ เข้าบริษัทบ้างไม่ให้พนักงานลืมหน้า ส่วนเอกสารอะไรก็แทบจะไม่มีมาให้เซ็นแบบพี่สองคนเลยสักนิด
ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายใจ กะว่ากลับไปเกาหลีคราวนี้คงต้องหมายมั่นปั้นมือขอพ่อทำงานจริงๆจังๆดูบ้าง ชเวซีวอนมีหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางภูมิฐาน และฐานะทางบ้านร่ำรวย แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้เรื่องเลยถ้าเทียบกับผู้ชายใส่ชุดยูกาตะอยู่ติดบ้านคนนั้น
ร่างสูงดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยทรงผมกระเซอะกระเซิง ลุกไปจัดแต่งทรงอยู่หน้ากระจกพอเป็นผู้เป็นคนก็กระชับชายยูกาตะตัวบางที่สวมใส่แล้วเดินออกไปรับลมภายนอก คืนนี้จันทร์ช่างสุกส่องสว่างจนทั้งบริเวณบ้านไม่ต้องพึ่งแสงตะเกียงใดๆ ล้วนมีแต่ความเงียบสงัดกับสายลมที่หวีดหวิวเข้าหูเป็นครั้งคราว สีสดของไม้ดอกพลิ้วไหว ทำเอาชั่วหนึ่งความคิดของหนุ่มเมืองกรุงอย่างชเวซีวอนนึกอยากจะอยู่ดูมันผลัดใบในฤดูใบไม้ร่วง
“พันหมื่นทิวาล่วง
เต็มเสี้ยวเด่นมองเห็นสลับ
วันนี้กลับส่องแสง
จันทร์เด่นยังโลกเด่น
จันทร์ยังโลกหม่นมืดมิด
จันทร์ดับดาวกลับเด่น...”
เสียงร่างบทกลอนดังแผ่วในความเงียบสงัดของราตรี ร่างสูงก้าวเท้าเดินไปทางทิศต้นเสียงหวังจะได้เจอใครเป็นเพื่อนคุยยามดึกบ้าง หัวเสียนิดหน่อยเมื่อเผลอเหยียบชายยูกาตะตัวเองถึงสองครั้งจนต้องเดินให้สำรวมกว่าเก่า ร่างโปร่งยืนตัดความมืดอยู่เหนือระเบียงหน้าห้อง ทอดสายตามองพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่น
ทำทีเดินเลียบๆเคียงๆเข้าไป ใจนึกอยากจะต่อคำอย่างเช่นชายเจ้าบทเจ้ากลอนบ้าง แต่ชเวซีวอนไม่มีความรู้ด้านนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากลอนที่เด็กหนุ่มร่ายออกมานั้นเป็นกลอนชนิดใด
“ผมคิดว่า... คุณนอนแล้วเสียอีก” เสียงทุ้มนุ่มของร่างสูงเป็นฝ่ายเปิดบทในการสนทนาครั้งนี้ รู้สึกดีไม่น้อยที่เป็นโจวคยูฮยอนซึ่งอยู่ตรงหน้า ร่างโปร่งเพียงหันมาแย้มยิ้มให้ ทอดสายตาให้ไหลไปตามกระแสวนของสายน้ำ
“ผมนอนไม่หลับน่ะครับ” คราวนี้เป็นเจ้าของชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มลายอ่อนที่ตอบ ซีวอนได้แต่พินิจอยู่ในใจว่าโทนเย็นทึบนี้คงเป็นสีโปรด แอบนึกคะเนในใจล่วงหน้าไปถึงวันพรุ่งนี้ว่าคงเป็นยูกาตะสีโทนนี้อีกเป็นแน่
“คนบ้านนี้นอนกันไวชะมัด ผมข่มตาหลับอยู่ชั่วโมงกว่า ตาไม่ยักกะปิดลงสักที”
คนฟังหัวเราะเบาๆในคอราวกับดูโจ๊กรอบดึก แม้ไม่ใช่ความตั้งใจแต่ซีวอนก็รู้สึกไม่เลวนักที่ได้ดูอีกฝ่ายหัวเราะ คยูฮยอนรวบสองแขนเข้ากอดอก ยืนสูดลมกลางคืนด้วยใจผ่อนคลาย “ผมเองก็นอนผิดเวลาที่สุดในบ้าน บางทีต้องเร่งส่งต้นฉบับ ได้นอนเอาตีสองตีสามถึงกับตาช้ำ”
“กลอนเมื่อกี้... คุณแต่งเองงั้นหรือ?”
ใบหน้าหวานขึ้นสีน้อยๆพอแต้มที่สองโหนกแก้ม หากเป็นซีวอนคงมีการกระแอมไอต่อเป็นของแถม แต่คยูฮยอนไม่เป็นเช่นนั้น เขายังคงรักษากิริยาได้สำรวมเสมอต้นเสมอปลายจนหนุ่มร่างสูงนึกอยากลองแกล้งดูสักครั้ง “กลอนไฮกุน่ะครับ ผมก็แต่งไปตามเรื่อง ไม่มีมีฝีมืออะไรในด้านนี้นักหรอก”
“แต่ผมว่ามันฟังเพราะดีออกนะ” ส่งยิ้มกว้างเออออไป ร่างเล็กหรี่ตาลงเสียหน่อย ทำท่าจะพูดจากลั้วหัวเราะอีกรอบแต่ก็จำต้องปรับน้ำเสียงลง คิ้วสองข้างเลิกขึ้นพร้อมด้วยแววตาระคนแปลกใจ
“คุณมักจะรู้สึกดีและกล่าวชื่นชมแม้ว่าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้นเลยหรือ?” ชเวซีวอนจุกไปถนัดตา คยูฮยอนรู้ดีตั้งแต่คราวจัดดอกไม้ สังเกตเห็นตั้งแต่ครั้งจิบชา ผู้ชายผู้ไม่เคยรู้ธรรมเนียมปฏิบัติและไม่เคยสนใจในชนชาติใกล้เคียง แต่กลับพูดเยินยอเขาด้วยความจริงใจหรือตามมารยาทก็ไม่ทราบได้
“อะไรที่รู้สึกว่าดีผมก็ว่าดี จำเป็นต้องมีความรู้ประกอบด้วยเหรอครับ?” ยิงคำถามกลับไปแต่พอดี แค่นั้นก็เรียกเสียงหัวเราะให้เจือออกจากกลีบปากอิ่มอีกครั้ง ในใจโจวคยูฮยอนแล้ว เขาไม่คิดว่าซีวอนจะยอมรับมันโดยดุษณี
คนทั้งคู่ไม่มีนิสัยชอบปะทะฝีปากกันอย่างที่คนในครอบครัวเป็นนัก เห็นได้จากการที่ซีวอนมักจะเงียบนิ่งยามถูกผู้เป็นพ่อดุ หรือคยูฮยอนที่ได้แต่น้อมรับทุกคำอย่างว่าง่าย ครั้นพอมาเจอกัน กลับมีแต่คำพูดหยั่งเชิงกันไป จนสุดท้ายก็ลงด้วยเสียงหัวเราะอย่างหาความไม่ได้ทุกทีไป
“การที่ผมมองคุณมันทำให้รู้สึกขัดแย้งอยู่สองข้อ” ร่างสูงเอี้ยวตัวมองคนข้างๆสลับกับธารน้ำตกไม้ไผ่ ชั่วอึดใจที่คิดจะพูดมันออกไปเขาคิดว่าคยูฮยอนคงไม่ถือสาหาความอะไรนัก และดูเหมือนจะใช่ เมื่อดวงหน้านั้นติดจะตื่นเต้นสนใจมากกว่าทำท่าทีกระเง้ากระงอดตามวิสัยคนมากความ “คุณสวมใส่ชุดยูกาตะ อยู่ในญี่ปุ่น มีคนถามคุณบ่อยไหมว่าทำไมถึงชื่อโจวคยูฮยอนทั้งที่ดูออกจะกลมกลืนด้วยซ้ำ”
แค่นั้นร่างโปร่งก็หัวเราะร่า ผายมือออกเล็กน้อยไปทางอีกฝ่ายอย่างเชื้อเชิญให้พูดต่อ “อีกข้อล่ะครับ”
“ผมเคยคิดว่าการชงชา จัดดอกไม้ หรือแม้แต่ชมธรรมชาตินี่เป็นกิจกรรมของผู้หญิงเสียอีก”
นิ่งไปอึดใจก็พยักหน้าครุ่นคิด บางทีคยูฮยอนอาจจะโกรธหรือหาเรื่องเลี่ยงเขาหลังจากนี้ แต่ดูเหมือนจะโชคดีที่ความกังวลของร่างสูงไม่สัมฤทธิ์ผล รอยยิ้มบางแต้มบนใบหน้าเจือกับสีเลือดอ่อนๆ บ่งให้รู้ว่าเจ้าบ้านไม่ได้มีความขุ่นข้องหมองใจใดๆกับคำพูดตรงไปตรงมาเมื่อครู่ “ผมรู้ว่าทุกคนคิดแต่ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมานัก... ตอบตามตรงว่าผมยังไม่มองเห็นความเสียหายอะไรในสิ่งที่ผมทำ ดังคำพูดที่ว่าไม่มีใครเป็นคนกำหนดโลก...”
ร้อยเรียงถ้อยคำจาเป็นคำพูดได้อย่างน่าฟัง ลมอ่อนพัดมาน้อยๆ เสยชายยูกาตะให้พลิ้วไปตามแรงกระทั่งมันผ่านไป ไม่เว้นช่วงนานนัก เรียวปากแดงฉ่ำก็เผยอพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงกึ่งราบเรียบ
“คุณเองก็ได้ลองจัดดอกไม้มาบ้างแล้ว ตอนที่จัดมัน คุณได้รู้สึกตัวเองหรือเปล่าว่ามันช่างหญิงสาวเสียจริง” ลองเชิงกลับไปด้วยปัญหาให้อีกฝ่ายขบคิด แน่นอนว่าคำตอบในใจของชเวซีวอนคือไม่
“คุณทำให้ผมยอมแพ้ซะแล้ว” ร่างสูงยักไหล่จริต นึกสนใจกับความคิดความอ่านของนักแปลหนุ่มเข้าให้อย่างจัง ตั้งแต่เจอกันชเวซีวอนพบเห็นแต่ความเรียบง่าย... หากแต่เป็นความเรียบง่ายที่มากไปด้วยเสน่ห์ เพราะลองได้รู้จักพูดคุยแล้ว กลับอยากที่จะหยุดยืนอยู่ตรงนี้ไปจวบจนเช้าของความน่าเบื่อจะมาถึง
“พรุ่งนี้พวกผู้ใหญ่ท่านมีแพลนจะไปออนเซ็นที่คานางาวะ คุณเองก็จะไปด้วยใช่ไหม?”
“หืม...? ผมไม่รู้เรื่องมาก่อน” คิ้วหนาเลิกขึ้นแสดงความฉงนชัดเจน ทำเอาคยูฮยอนแย้มยิ้มขัน เอ่ยทวนความจำเมื่อช่วงเย็นที่ซีวอนไม่แม้แต่จะแสดงความสนใจ
“คุณลุงท่านหันมาพูดกับคุณแล้ว ตอนนั้นคุณกำลังคีบปลาซาบะเข้าปาก ผมเองคิดว่าคุณจะรับรู้แล้วเสียอีก”
“แย่ชะมัดที่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มเล็กที่สองข้างแก้ม ชเวซีวอนมักจะเลินเล่อและไม่สนใจในสิ่งรอบตัวจนมักจะพลาดอะไรไปถึงหลายครั้ง แต่อย่างนั้นเขาไม่ใช่คนขี้เสียดาย จึงมักจะพร้อมหาอะไรใหม่ๆอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ชีวิตน่าเบื่อจำเจ “แล้วคุณล่ะครับ? คุณเองก็จะไปกับพวกผู้ใหญ่เหรอ”
“เห็นทีจะต้องขอตัวครับ ผมมักไปแค่ช่วงหน้าหนาว”
“พ่อผมนี่ก็แปลก ใครเขาเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนหน้านี้กัน” ใบหน้าหล่อเหลาแทบจะขำพรืด โคลงศีรษะไปมาอย่างนึกขัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ชเววอนกีนั้นบ่นอยากไปแช่ตัวที่บ่อน้ำพุร้อนตั้งแต่ปีก่อน พอได้มีโอกาสมาในหน้าใบไม้ผลิ ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่ฤดูแต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ลงแช่ ไม่อย่างนั้นคงเสียดายเต็มทีถ้าจะมาถึงญี่ปุ่นแต่พลาดทริปออนเซ็น “แล้วพรุ่งนี้คุณมีธุระอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”
“ไม่ครับ แต่คิดว่าจะเข้าไปดูเด็กๆซ้อมเคนโด้ตอนช่วงเย็น”
“คุณเล่นเป็นด้วยหรือ?” วาดรอยยิ้มกว้างเมื่อนึกไปถึงการฝึกดาบในชุดหน้ากากที่ได้เห็นเมื่อตอนบ่าย แต่พอมาลองนึกภาพวางชุดเคนโด้เทียบลงไปบนร่างกายผอมโปร่งนี่แล้ว ซีวอนกลับนึกภาพไม่ออกสักนิด แสดงออกทางสายตาจนคนโดนนินทาในใจรู้ทัน
“ถ้าคุณคิดว่าจะเบี้ยวนัดออนเซ็น จะมาดูผมหวดชินัยก็ได้นะครับ”
เป็นไปตามที่นักแปลสัญชาติญี่ปุ่นคาดไว้เมื่อแขกหนุ่มโอดครวญว่าตื่นไม่ไหวหลังหลังกลุ่มรุ่นใหญ่ให้สาวใช้มาปลุกตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ล่วงเข้าสิบเอ็ดโมงก็เดินหาวออกมาจากห้องรับรองในชุดยูกาตะที่ทางเจ้าบ้านจัดเตรียมไว้ให้ ตัวนี้ใส่สบายหน่อย เพราะชายเท้าเต่อขึ้นไปจนเกือบครึ่งแข้ง และซีวอนบอกว่าชอบมันมากกว่าตัวเมื่อคืน
ตื่นมาก็ทันได้กินข้าวเที่ยงร่วมกับคยูฮยอนเพียงสองคน ของหวานมื้อนี้เป็นโมจิฤดูร้อนรสหวาน ทานคู่กับชาก็พอแก้เลี่ยนกันไปได้ แต่ที่ทำให้อาหารอร่อยเห็นจะเป็นบทสนทนามื้อเที่ยงที่ไม่น่าเบื่อ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคลอไปกับมื้ออาหาร นั่งแช่ในโถงบ้านอยู่ถึงชั่วโมงเศษ คยูฮยอนก็ออกปากขอตัวเข้าไปในเมือง จะไปซื้อโคะอิโนโบริ ได้ความว่าเป็นธงรูปปลาคาร์ฟที่พบเห็นได้บ่อยในประเทศญี่ปุ่น ร่างโปร่งบอกกับเขาว่าอยากซื้อมาติดไว้หน้าโรงฝึก ใกล้ถึงวันโคโดโมะโนะฮิแล้ว เป็นวันฉลองของเด็กผู้ชาย นิยมติดธงปลาคาร์ฟไว้หน้าบ้าน บูชาตุ๊กตานักรบด้วยขนมคาชิวะโมจิและจิมากิ เทศกาลดั้งเดิมแท้ๆของชาวญี่ปุ่นที่คนในเมืองมักเหมารวมกับวันเด็กไปแล้ว น่าเสียดายที่ซีวอนอยู่ไม่ถึงวันนั้น
สุดท้ายก็ได้ติดรถไปเที่ยวเล่นในเมืองสมใจอยาก ถึงบ้านจะเป็นแบบพื้นเมืองโบราณแต่รถที่ใช้ไม่ยักกะโบราณตามไปด้วย คราวนี้คยูฮยอนใส่ชุดไปรเวทสวมสบายสมกับกาลเทศะ สารถีตัวผอมบอกว่าเขาเพิ่งถอยรถออกมาได้ไม่กี่เดือน บวกกับเป็นคนติดบ้านเลยไม่ค่อยได้เอาออกไปลุยดินลุยฝน วันนี้มีเพื่อนออกมาด้วยก็เป็นเรื่องดี ซีวอนหัวเราะร่าเมื่อร่างโปร่งขู่ว่าจะให้เขาช่วยถือของจนไหล่หลุด
แต่พอเอาเข้าจริงก็ใช่ว่าจะซื้ออะไรมากมายอย่างที่แกล้งพูด บอกว่าจะออกมาซื้อธงคยูฮยอนก็ซื้อแค่ธงอย่างที่ว่าจริงๆ เดินย่านขายของได้ขนมกลับมาอีกนิดหน่อย ทำให้คนกรุงอย่างชเวซีวอนได้เรียนรู้นิสัยไร้ความจุกจิกที่ไม่เดินช็อปปิ้งเรื่อยเปื่อยอย่างเช่นชีวิตที่พบเห็นได้ทั่วไป
แล้วก็เพราะไม่ได้มาคนเดียวอีกนั่นแหละ ลองร่างสูงได้ชวนดูโน่นดูนี่เข้าหน่อยคยูฮยอนก็จำต้องเดินตามไปอย่างเสียมิได้ แกล้งใส่วิกหัวล้านบ้างล่ะ เอาหน้ากากทหารเอโดะมาใส่บ้างล่ะ เรียกเสียงหัวเราะจากคนมองจนท้องแทบแข็ง แต่พอคนเล่นตั้งท่าจะหัวเราะตามบ้าง เสียงก็ดังจนคนที่เลือกของอยู่ในร้านต้องหันมามอง
“ดูหน้าคนที่มองเราเมื่อกี้สิ นั่นเขาเหวอที่ผมหัวเราะเสียงดังเหรอ!?” ดวงหน้าหล่อเหลาหันมองคนข้างกายที่เอาแต่หัวเราะเบาๆในลำคอ คยูฮยอนไม่ใช่คนที่แสดงออกทางอารมณ์ชัดเจนนัก จะคิดจะรู้สึกอย่างไรก็ราวกับเรียงร้อยงานอักษร ทั้งอ่อนนุ่ม ละมุนละไม จนทำเอาคนได้เห็นตัดใจวางตายากเหลือเกิน
“ผมว่าน่าจะได้เวลากลับแล้วล่ะครับ คุณยังอยากดูอะไรอีกรึเปล่า?” โจวคยูฮยอนละจากนาฬิกาข้อมือขึ้นถามอีกคน ซีวอนส่ายหัวพรืด ผายมือออกโดยไร้ข้อโต้แย้ง
“ตามใจคุณเลย ผมเองก็อยากดูคุณหวดดาบจะแย่”
ความรู้ใหม่อีกข้อสำหรับวันนี้ ชินัยที่ร่างโปร่งพูดถึงตอนชวนมาดูเคนโด้ก็คือดาบไม้ไผ่ที่ใช้ในการฝึกนั่นเอง หายเข้าไปในห้องแต่งตัวไม่นานนักก็ออกมาพร้อมชุดเคนโด้และหน้ากากป้องกันในอ้อมแขน พวกเขากลับมาถึงช้ากว่ากำหนด ได้ดูเด็กๆซ้อมไม่นานก็ต้องทยอยกลับบ้านกันไปตามเวลา เหลือก็แต่คยูฮยอน และครูฝึกร่างสูงใหญ่ที่ฉีกยิ้มกว้างทักทายอย่างเป็นกันเอง
คยูฮยอนจัดการใส่หน้ากากป้องกัน แต่งองค์ทรงเครื่องจนมั่นใจว่าเรียบร้อยก็เดินเข้าสนามพร้อมตั้งท่าเตรียม ฝั่งครูฝึกยืนรออยู่ก่อนแล้ว โค้งคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วก็ตั้งท่าขึ้นพร้อมกันบ้าง
ตวัดดาบไม้ไผ่สู้กันได้สูสี หวดพลาดบ้าง ตีเข้าตรงจุดบ้าง จนคนนั่งดูอยู่ข้างสนามแทบนั่งไม่ติด ชเวซีวอนปั้นหน้าหวาดเสียวหลายต่อหลายครั้งเมื่อคิดว่าหากดาบนั้นฟาดโดนตัวโดนท่อนแขนเข้าจริงๆคงเจ็บไม่หยอก แล้วก็คงไม่ดีที่คนดูนุ่มนวลอ่อนแออย่างคยูฮยอนจะต้องเจ็บตัวเพราะเกมส์กีฬา ซึ่งกลับกันแล้ว... ครูฝึกร่างยักษ์ดันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ลงเสียดื้อๆ ร่างโปร่งถอดหน้ากากออกพร้อมรอยยิ้มกว้าง โค้งอีกรอบให้คู่ต่อสู้ แล้วจึงเดินมาหาร่างสูงที่ปรบมือให้อย่างเยินยอ นายน้อยของตระกูลโจวดูถูกแค่เพียงรูปไม่ได้จริงๆ
“เห็นทีผมคงไม่กล้ามีเรื่องกับคุณไปจนตาย”
โจวคยูฮยอนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแต่พอดี ทอดสายตามองท้องฟ้าภายนอกที่เริ่มมืดครึ้ม “ผมเองก็ฝึกดาบเสียเพลิน คุณคงหิวแย่”
“ผมยังอิ่มทาโกะยากิเจ้าอร่อยที่คุณแนะนำอยู่เลย” ซีวอนทำท่าลูบหน้าท้องป้อยๆ มองหน้าคู่สนทนาแล้วก็ยิ้มเก้อ ด้วยความรักสนุก อยากลอง หรืออะไรก็ตามแต่ หากมันก็ทำให้เจ้าบ้านตาโตราวกับไม่เชื่อหู “ถ้ายังไง... ผมก็อยากจะลองประเคนโด้กับคุณบ้าง”
“คุณเล่นเป็นเหรอครับ?” เอียงศีรษะถามอย่างข้องใจ แล้วก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวพรืดจนคนถามแทบจะหัวร่อออกมาเดี๋ยวนั้น มีมากทีเดียวพวกคนจะขอประลองกับเขาด้วยความบ้าบิ่นทั้งที่ไร้ทักษะ แต่ก็ได้กลับไปเป็นอาการมึนหัวบ้างล่ะ ฟาดโดนแขนจนช้ำบ้างล่ะ แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแล้วก็เข็ดหลาบกันไปเป็นแถวๆ
“ไม่หรอกครับ แต่ผมอาจจะได้เล่นเป็นเพราะคุณสอนนี่แหละ”
ครูฝึกขอตัวกลับไปเมื่อราวๆห้านาทีก่อน เวลานี้คยูฮยอนกำลังยืนเตรียมอุปกรณ์ให้คนที่หายเข้าไปในห้องแต่งตัวอยู่นานสองนาน แล้วก็คาดไว้ไม่มีผิด ว่าชเวซีวอนออกมาในชุดฮากามะแบบไม่มั่นใจนัก เสื้อตัวบางลักษณะคล้ายยูกาตะและกางเกงตัวใหญ่ผูกเชือกที่เอวนี่เองที่ใครๆต่างก็ว่าใส่ยากนัก คยูฮยอนระบายยิ้มอ่อนเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ ละมือเรียวจากเกราะและดาบไม้ไผ่แล้วหยุดอยู่หน้าร่างสูงราวจ้องมองเด็กน้อย
“ขอโทษนะครับ”
เอ่ยขออนุญาตเสียงเบาแล้วจึงย่อตัวลงปลดดึงเชือกกางเกงฮากามะออกเสียใหม่โดยให้ซีวอนคอยจับขอบกางเกงไว้ ดึงเชือกผูกอย่างทะมัดทะแมงเพียงรอบเดียวก็ผูกกลับเข้าไปใหม่แน่นหนา มั่นใจได้ว่ามันจะไม่หลุดแม้คนสัญชาติเกาหลีจะเผลอเหยียบชายกางเกงก็ตามที
ไม่เพียงแค่คยูฮยอนซึ่งไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา แม้แต่เจ้าของดวงตาคมสีเอเชียเองก็บอกไม่ได้ถึงนัยที่เขาจับจ้องยังร่างโปร่งซึ่งง่วนอยู่กับช่วงเอวกิ่ว พอได้เงยหน้าขึ้นสบแค่นั้น ดวงหน้าขาวก็กลับเจือสีระเรื่อแล้วผละออกอย่างสุภาพ คว้าเอาเกราะทั้งสี่ส่วนทยอยส่งให้สวมใส่ทีละอย่าง ตามด้วยชินัยซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบการเล่นเคนโด้อย่างสุดท้าย
เจ้าบ้านเป็นฝ่ายเดินแยกไปทางฝั่งตรงข้ามแล้วโค้งตัวนำตามธรรมเนียมปฏิบัติ เห็นดังนั้นชเวซีวอนก็โค้งตามบ้าง แล้วตั้งท่าจับดาบไม้เลียนแบบอีกฝ่ายทุลักทุเล ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดหรือคิดถูก พอได้เห็นเสน่ห์ของคยูฮยอนยามตวัดชินัยแล้วก็อดไม่ได้ที่อยากจะลองประมือดูบ้าง อย่างน้อยคนหน้าหวานที่ตั้งท่ามั่นเหมาะอยู่ตรงหน้านี้ก็คงจะออมมือให้เขามากพอตัว
ตัดสินใจยืนรอเป็นฝ่ายรับให้ซีวอนแกว่งอาวุธเข้ามาอย่างผิดหลัก คยูฮยอนเอียงองศาดาบรับเพื่อให้รู้จังหวะ และซีวอนทำมันได้ดี พอรุกใช้ได้ก็ถึงคราวเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง เมื่อคยูฮยอนแกว่งดาบมาด้วยแรงพอเหมาะ ใบหน้าใต้หน้ากากพรายยิ้มโดยที่ร่างสูงไม่ทันสังเกตเห็น ประมือกันอยู่ไม่เกินห้าดาบ ก็ทำแต้มได้จนเป็นฝ่ายชนะใส
คยูฮยอนถอดหน้ากากออกเมื่อทั้งโรงฝึกมีเพียงแสงจากหลอดไฟเหนือหัวที่สว่างจ้า แสงธรรมชาติมืดไปแล้วเมื่อเวลาล่วงเข้าเกือบสองทุ่ม เขาประเคนโด้กับชเวซีวอนมาถึงชั่วโมงกว่า เลยเวลาทานมื้อเย็นไปแล้ว เห็นทีจะลำบากหากต้องจัดสำรับให้แขกเสียใหม่ พออ้าปากถามอีกคนก็บอกว่าไม่หิวเพราะเสบียงเมื่อเย็นยังแน่นท้อง หัวเราะกันอยู่อย่างนั้นร่างโปร่งก็เดินนำไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่ถัดเข้าไปข้างใน
ตาคมเบิกกว้างเมื่อห้องอาบน้ำที่ว่าก็คือห้องอาบน้ำรวมโล่งๆนี่เอง มีม้านั่งไม้อยู่สี่ตัว คาดว่าสำหรับคนในโรงฝึกที่คิดจะมาอาบน้ำชำระล้างเหงื่อเหนียวตัวก่อนกลับบ้าน มียาสระผม สบู่ และฟองน้ำสะอาดบริการอยู่พร้อม เจ้าบ้านบอกว่าแม่บ้านที่นี่รู้หน้าที่ตัวเองดี พวกเธอมักจะแวะเวียนเข้ามาในเวลาที่กลุ่มผู้ชายในโรงฝึกไม่อยู่ จัดการทำความสะอาดและหมั่นเปลี่ยนฟองน้ำ ผ้าเช็ดตัวมาไว้สำรองให้เสมอ เพื่อที่จะได้ไม่สกปรกและปนกัน ซึ่งหากนับตามจริงแล้วก็จะมีเพียงแค่คยูฮยอนและบรรดาครูฝึกเสียมากกว่า
แม้จะเป็นธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่นว่าจะต้องแก้ผ้าล่อนจ้อนในการอาบน้ำล้างตัวให้สะอาด แล้วจึงลงแช่ในอ่างน้ำร้อนทางฝั่งหนึ่งของห้อง แต่สภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้คือต่างฝ่ายต่างเก้อเขิน ยืนห่างกันออกไปสองฟุตอยู่หน้าล็อกเกอร์ คยูฮยอนจัดการข้าวของส่วนตัวนานกว่าปกติ ยืนค้างอยู่อย่างนั้น กระทั่งเอ่ยปากออกมาเสียงแผ่ว
“ผมคิดว่า... จะกลับไปอาบน้ำที่ห้องคงดีกว่า”
“คุณรู้สึกไม่ดีหรือ?”
“ไม่ครับ... ไม่ใช่อย่างนั้น” หน้าขาวนั้นขึ้นสีระเรื่อจางๆจนต้องทำทีชะโงกหน้าเข้าไปหลบหลังประตูล็อกเกอร์ที่เปิดค้างไว้ ทุกครั้งที่ได้มาฝึกเคนโด้คยูฮยอนก็ใช้บริการที่นี่ เขินอายบ้างในช่วงแรกที่ย้ายมา หากแต่ญี่ปุ่นได้กลายเป็นบ้านของเขานานเกินกว่าที่จะเอียงอายต่อธรรมเนียมปฏิบัติใดๆ “อาบน้ำเถอะครับ ถ้าได้แช่น้ำอุ่นๆคงจะสบายตัวขึ้น”
ว่าเสียงเรียบแล้วจัดการปิดประตูล็อกเกอร์จนเรียบร้อย ในมือมีตะตะกร้าใบหนึ่งใส่ชุดยูกาตะสีเข้มโทนโปรดและผ้าขนหนูเล็กๆสองผืน เดินนำเข้าไปในห้องอาบน้ำโดยไม่รอ แต่ไม่นานนัก ร่างสูงก็จำต้องเดินตามเข้าไปในสภาพเดียวกัน
เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นเจือสีแดงก่ำไม่ต่างจากคนก่อนหน้า ซีวอนถอดชุดฮากามะที่สวมออกโดยจงใจเบือนสายตาหลบจากร่างกึ่งเปลือยซึ่งนั่งขัดตัวอยู่บนม้านั่งไม้ตัวเตี้ย บนตักคือผ้าขนหนูเล็กๆสีขาวหนึ่งจากสองผืนที่หยิบมา และชเวซีวอนกำลังจะทำเช่นเดียวกัน พับเอาชุดฮากามะยัดลงตะกร้า ก่อนจะเดินมานั่งลงในสภาพกึ่งเปลือยโดยมีผ้าขนหนูผืนเล็กพันปกปิดส่วนสำคัญของชายไว้
“เอ่อ... ผมไม่เคยได้อาบน้ำรวมกับคนอื่นมาก่อน” ตัดสินใจหาเรื่องชวนคุยในขณะที่มือแกร่งเก้ๆกังๆกับการเลือกขวดยาสระผม คยูฮยอนอาบน้ำเสร็จแล้ว และยังตัดสินใจเอี้ยวตัวมาช่วยเลือกสิ่งที่เขาต้องการ เรียวปากอิ่มไม่ได้ตอบรับถ้อยคำของร่างสูง แต่กลับเบี่ยงประเด็นไปที่กลิ่นหอมของยาสระผมซึ่งหยิบยื่นให้
“กลิ่นนี้จะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น ผมคิดว่าคุณคงชอบ”
เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ชเวซีวอนจะจำติดกลับไปเกาหลีและอาจจะจนวันตาย โจวคยูฮยอนหมุนม้านั่งที่นั่งอยู่มาทางเขา เข่าเรียวชันเห็นขาอ่อนขาวเช่นเดียวกับสีผิวช่วงตัว สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ร่างโปร่งก็จัดการเทแชมพูแล้วขยุ้มเรือนผมซอยสั้นนั้นเบามือจนรู้สึกเคลิ้มละมุน “คนที่นี่เขาใจดีกันอย่างนี้ทุกคนรึเปล่าครับเนี่ย?”
“การสระผมและถูหลังให้ก็เป็นค่านิยมของคนที่นี่เหมือนกันครับ”
พรายยิ้มประกอบคำตอบจนคนได้ฟังใจไหววูบ ระหว่างที่ก้มหัวให้สระ สายตาก็เผลอเหลือบไปเห็นผ้าขนหนูสีขาวตรงหน้าตักนวลเปียกชื้นเป็นรอยตามร่องขา เขารู้สึกกลัวใจตัวเองขึ้นมาตงิด กลัวในแรงปรารถนาจากส่วนลึกที่ร่ำหาคนตรงหน้า เพียงแค่สองวัน... โจวคยูฮยอนได้คว้าเอาใจเขาไปแล้วทั้งดวงอย่างไม่ต้องสงสัย
“เวลาผ่านไปเร็วนะครับ พรุ่งนี้ผมก็ต้องกลับเกาหลีแล้ว”
“ผมคิดว่าคุณคงจะดีใจ”
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?”
“เพราะผมจำสีหน้าแหยๆของคุณตอนจิบชาครั้งแรกได้น่ะซี” กลั้วหัวเราะจนซีวอนนึกละอายแก่ใจไม่น้อย นั่นสิ... เทียบดูแล้วกับเมื่อวาน เป็นเขาเองแท้ๆที่ร่ำอยากกลับเกาหลีจนคนเป็นพ่อรำคาญแล้วทิ้งให้เดินเตร็ดเตร่ตามมีตามเกิด ไปเจอคยูฮยอนที่กำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่ในเรือนเล็ก ได้กินมื้อเย็นอยู่ตรงข้ามกัน และท้ายสุดนักชงชามือดีก็กลับกลายเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนไปอีกในตอนดึกดื่นมืดค่ำ
แล้วดูวันนี้สิ... เป็นเขาเองที่ติดคยูฮยอนแจยังกับอะไรดี พยายามหาเรื่องมาชวนคุยสารพัด ครั้นจะไปซื้อของก็ยังขอตามไปด้วยอีก จากไกด์ก็ได้เปลี่ยนเป็นนักกีฬาเคนโด้มือฉมัง... เชื่อเถอะว่ายิ่งรู้จัก ชเวซีวอนก็ยิ่งหลงใหลโดยไม่รู้ตัว และถึงรู้... ก็คงสายเกินกว่าที่จะถอนตัวขึ้นไหว!
“ถ้าผมบอกว่าตอนนี้ผมจะอยากอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆล่ะ” พูดลองเชิงกลับไปอย่างเป็นต่อ ทั้งแววตาคมคายและความเจ้าสำบัดสำนวนประสานักรักที่อ้อล้อสาวๆมานักต่อนัก แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้ามันจะใช้ไม่ได้ผลกับโจวคยูฮยอนชนิดที่ว่าเอาน้ำรดตอ
“คุณทำไม่ได้หรอก” ว่าคำปรามาสเสียงใสโดยที่มือยังถือฝักบัวรดหัวล้างแชมพูออกจากเรือนผมดำขลับ คิ้วหนาเลิกขึ้นเมื่อเงยหน้าสบจ้องอีกคนนิ่งงัน ต่างฝ่ายต่างชะงัก แล้วตาเรียวรีก็เป็นฝ่ายหลบสายตาไปอย่างยอมแพ้ “คนรักสนุก มีชีวิตคุ้นเคยอยู่แต่ในเมืองอย่างคุณ ได้มาอยู่ในที่ไม่มีอะไรแบบนี้คงจะเบื่อแย่”
“จะไม่มีอะไรได้ยังไงกัน” เป็นฝั่งร่างสูงบ้างที่ทำทีหัวเราะในคอ จ้องมองนักแปลหนุ่มไม่วางตา “มีคุณไงคยูฮยอน”
“.............”
“เพราะมีคุณ... อะไรๆมันถึงไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด”
มือแกร่งวางก่ายหน้าผากนานนับครึ่งชั่วโมงตั้งแต่ตัดสินใจทิ้งตัวลงนอน ในหัวมีเพียงภาพใบหน้าขาวเจือสีชมพูจางๆระเรื่อไปด้วยความเคอะเขิน หากแต่อากัปกิริยาก็ยังนิ่ง... เพียงครู่เดียว ร่างโปร่งก็ลุกสวมยูกาตะสีโปรดผละเดินจากห้องอาบน้ำ ไม่ว่าจะคิดในแง่ไหนแล้ว ชเวซีวอนก็แค่ไอ้โง่คนหนึ่งที่เพิ่งถูกปฏิเสธอย่างนิ่มๆเพียงแค่นั้นเอง
แล้วนั่นเรียกว่าการสารภาพความรู้สึกดีๆออกไปหรือ? ...สำหรับเขาแล้วมันยังไม่ใช่ ทุกอย่างในระยะเวลาวันกว่าของผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง โจวคยูฮยอนคือความเรียบง่ายที่ตราตรึงไปด้วยเสน่ห์จนถอนตัวไม่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเร็วเกินไป... เร็วเกินกว่าที่จะจำกัดความได้ว่าสิ่งที่สร้างความว้าวุ่นนี่มันจะเป็นเพียงแรงเสน่หาชั่วครู่ยามหรือมากกว่านั้น
ร่างสูงใหญ่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียงเคาะดังมาจากประตูบานเลื่อนพร้อมกับเงาตะคุ่มๆของร่างซึ่งยืนอยู่ภายนอก ชเวซีวอนหยัดตัวลุกจากที่นอนในสภาพรุ่มร่าม กระชับยูกาตะที่สวมใส่อยู่นิดหน่อยก็ปลดล็อกเลื่อนบานประตูเปิดออก เผยให้เห็นดวงหน้าขาวมนกระจ่างอยู่ท่ามกลางแสงสลัวของไฟดวงเล็กที่เปิดอยู่ตรงทางเดิน
“ผมเอาเครื่องหอมมาให้ คิดว่ามันคงจะทำให้คุณหลับสบายขึ้น...” ว่าพลางยื่นถาดรองผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้ กลิ่นหอมคละคลุ้งของกลิ่นกำยานชวนให้มึนเมา กระนั้นก็กลับยิ่งสดชื่น เมื่อได้ลองหยิบผ้าขนหนูนั้นขึ้นสูดดมห่างจากจมูกสักครึ่งคืบ
“กลิ่นนี่คุ้นๆ มันเป็นกลิ่นของอะไรหรือ?”
“กลิ่นกำยานน่ะครับ ได้มาจากเพื่อนของคุณพ่อที่เพิ่งกลับมาจากโอมาน ท่านว่ากำยานที่นั่นขึ้นชื่อและแพงมากทีเดียว” เอาเข้าจริงแล้วรอยยิ้มละมุนนั้นก็ยังคงความอ่อนโยนไหลไปกับน้ำเสียงทุ้มนุ่ม บางทีซีวอนอาจจะคิดมากไปเอง... คยูฮยอนก็คงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นมากนักกระมัง
“ขอบคุณครับ มันคงเป็นคืนก่อนกลับที่หลับสบายกว่าคืนไหนๆ” แม้แววตานั้นจะมีแต่ความจริงใจและลึกซึ้ง หากแต่คำพูดกลับรักษาระยะห่างด้วยเกรงถึงความอึดอัดใจที่จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกับเมื่อตอนอาบน้ำ
เงียบกันอยู่อึดใจใหญ่ ทั้งที่คิดว่าคยูฮยอนคงจะรีบขอตัวเลี่ยงกลับไปที่ห้องทันทีที่เอาของให้เขาเสร็จ แต่กลับกันสีหน้าอ้อมแอ้มนั้นหลุบลงต่ำ มือที่ถือถาดรองผ้าขนหนูหอมกำยานนั้นเกร็งน้อยๆจนมองเห็นแรงสั่นไหวที่ปลายนิ้ว
“ผมดีใจนะครับ... ที่คุณมาที่นี่”
“.................”
นิ่งไปพักใหญ่ มือเรียวก็ถูกสัมผัสอุ่นกอบกุมไว้บางเบาก่อนจะดึงให้ก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาภายใน อีกมือของชเวซีวอนเอื้อมปิด บานประตูสนิทลงไร้แสงสลัวจากภายนอก กระทั่งริมฝีปากกร้านก้มลงแตะผะแผ่ว บีบกระชับเอื้องมือแน่นไม่ให้ถาดหลุดแรงจับลงไป
“คุณ...”
เสียงอำลาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายในช่วงบ่ายของวันนั้นทำเอาชเวซีวอนใจหายไม่น้อย คยูฮยอนแยกกลับห้องตัวเองไปตอนเช้ามืดหลังปล่อยตัวให้เขากอดก่ายเสียทั้งคืน งีบหลับไปเพียงครู่ก็อดไม่ไหวต้องกระชับวงแขนเสียใหม่เป็นการเรียกทางอ้อม คยูฮยอนยังไม่หลับ... ในอารมณ์สุขนั้นแฝงแววเศร้าสร้อยเมื่อคิดถึงว่าตอนนี้จะต้องจากกันไป อย่างน้อยก็ปีหนึ่งซีวอนจึงจะได้มีโอกาสมาที่นี่
ไม่ได้เจอหรือพูดคุยกันอีกเพราะกลัวว่าจะทนความรู้สึกไม่ไหว คยูฮยอนเองก็คิดอย่างนั้นจึงได้แต่ฝากผงชามาให้โดยไม่ยอมออกมาด้วยตนเอง ผิดหวัง... แต่ก็คงดีแล้วกระมัง
.
.
สองเดือนที่ชเวซีวอนได้เหยียบแผ่นดินเกาหลีสมใจ เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักนอกเสียจากจะเที่ยวให้น้อยลง ความรู้สึกสองวันเกิดขึ้นได้โดยง่าย แต่กลับไม่จางหายไปในระยะเวลาสองเดือน
เรื่อยเปื่อย เอ้อระเหย ขับรถชมวิวไปตามบรรยากาศคนเมืองที่ไม่มีธารน้ำตกให้เจริญหูเจริญตา นานสองนานกว่าจะตัดใจเลี้ยวกลับเข้าทางไปบ้าน นี่เขาติดใจบรรยากาศแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่... บรรยากาศที่มีใครสักคนคอยร่ายกลอนว่าหวาน จัดดอกไม้ในกระถาง หรือแม้กระทั่งคอยถามถึงรสชาที่ชง...
กระนั้นก็คงทำได้เพียงแค่คิด... คิดว่าอย่างน้อยคงต้องรอถึงปีหน้า และหากถึงตอนนั้น ต่างฝ่ายจะยังจำความรู้สึกที่มีให้กันได้หรือไร?
“ทำไมกลับมาช้านัก พ่อบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าวันนี้จะมีแขก”
ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายใส่พี่ชายคนรองแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาทั้งสภาพเนคไทถอดไม่เสร็จ วันๆหนึ่งจะมีอะไรนักหนา ทำงานที่บริษัทแล้วยังต้องมารับแขกที่บ้าน ใจคอชเววอนกีจะขยายธุกิจไปให้ถึงยุโรปเลยหรือไงกัน!
แม่บ้านเดินเนิบๆถือถาดเครื่องดื่มมาเสิร์ฟที่โต๊ะเล็กอย่างรู้งาน ราวกับรู้ใจ ชาร้อนกลิ่นหอมที่คุ้นเคยทำเอาชเวซีวอนแทบดีดตัวลุกขึ้นไม่ทันการณ์ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าใครบางคนเคยได้ให้ไว้ก่อนกลับเกาหลี อย่างน้อยก็คงจะเพลาๆความคิดถึงลงได้บ้างกระมัง...
แต่เท่าที่จำได้... มันหมดไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนไม่ใช่หรือ?
รสชาจืดขม... หอมใบชาอ่อนๆ... นุ่มลิ้น....
ใช่... ชเวซีวอนจำรสนี้ได้ดี... ได้ดีทีเดียวเมื่อเขาเคยทำหน้าแหยตอนได้จิบมันครั้งแรก และคิดว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายในรอบปี “คุณพ่อไปซื้อผงชามาใหม่เหรอ?”
แม่บ้านหญิงวัยกลางคนแย้มยิ้ม หล่อนเสสายตาเข้าไปทางในตัวบ้านเสียทีหนึ่ง ก่อนจะยกมือป้องปากพูดราวกระซิบชื่นชม “แขกของคุณท่านหยิบติดมาเป็นของฝากน่ะค่ะ แล้วยังเป็นคนออกปากขอชงชาเองกับมือด้วย”
“แขก...?”
“ค่ะ อายุยังรุ่นๆอยู่เลยเชียว เห็นว่าบินมาจากญี่ปุ่น มาทำธุระถึงที่นี่”
ถึงตอนนี้ร่างสูงกลับรีบวางถ้วยชาลงกับโต๊ะจนเกือบกระฉอกเลอะ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน ถามหาใครบางคนกับสาวใช้ ใครบางคน... ที่คลับคล้ายคลับคลาในรสชานั้น...
จอโน้ตบุ๊คสีขาวเงินสะอาดตาตั้งอยู่เหนือโต๊ะกลางสวนบนศาลาสีขาวละมุนตัดกับแมกไม้ชอุ่ม นิ้วเรียวเคาะคีย์แป้นพิมพ์เรื่อยๆอย่างจดจ่อ ตาสีดำเอเชียเพ่งเขม็งอยู่ใต้กรอบแว่น ข้างกันนั้นคือต้นฉบับหนาเตอะ และหนังสืออีกสี่ห้าเล่มที่วางอยู่คู่กัน เป็นอีกครั้งที่ง่วนอยู่กับบางสิ่ง จนไม่ทันสนใจร่างสูงโปร่งซึ่งเดินเข้ามาใกล้
และวันนี้ใครบางคน... ก็อยู่ในชุดเสื้อแขนยาวร่วมสมัยไม่ใช่ยูกาตะสีโทนเย็นเข้มอย่างเช่นเคย .
ชเวซีวอนหยุดอยู่หน้าโต๊ะวงกลมมนที่ใครอีกคนนั่งอยู่ เงยหน้าสบกันเพียงแค่นั้น กลีบปากอิ่มสีสดก็คลี่ยิ้มทักทายคนเป็นเจ้าบ้านในฐานะแขกต่างเมืองอย่างคุ้นเคย
“รบกวนด้วยนะครับ”
-END-
ความคิดเห็น