ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC HAEEUN ¦ - Scapegoat...? ' แพะรับบาป ' {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #13 : ` ( SCAPEGOAT ) ____chapter eleven .

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 55


    SCAPEGOAT…?

    Couple : Donghae x Hyukjae

    Type : Drama Romance

    Author : xerxixiao’

    Warning : ฟิคชั่นเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อจินตนาการและความบันเทิง
    ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลจริงทั้งสิ้น










    ---------------------------------------------------------------------------------------------------










     

    CHAPTER ELEVEN










     

    เมื่อเปิดประตูเข้าไปได้ ตาเรียวรีสีดำสนิทกลับยิ่งต้องเบิกโพลงจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้นเสียตรงนั้น นายตำรวจจำนวนหนึ่งพร้อมของกลางเป็นบ้องเสพยาและสารเสพติดที่เขาซ่อนเอาไว้ถูกรื้นค้นออกมาจนหมด แสงแฟลชรัวจากทัพนักข่าวซึ่งอัดแน่นอยู่ภายในห้อง เพียงแค่หายใจ สองแขนก็ถูกจับไขว้ไว้ข้างหลังพร้อมพันธนาการโลหะส่งเสียงดังกริ๊ก ค่อยๆถูกคุมตัวออกไป ฝ่าแสงแฟลช เสียงกล้อง และเสียงจอแจหนาหู




    ทว่าอีทงเฮไม่ได้ยินอะไรเลย...




    ไม่ใช่ตอนนี้....







     

    ไม่ใช่ตอนนี้สิ.... ไม่ใช่......







     

    หยาดน้ำตาไหลออกมาจนคลอหน่วงไม่เหลือคราบนักแสดงหนุ่มผู้มีชื่อเสียง ทุกอย่างรอบตัวเหมือนกลายเป็นสีเทา แสงที่มีดับวูบ ได้ยินเพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจซึ่งไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใดนั่นเอง....




















     






















     

    “คุณจะยอมรับความผิดนี้แต่โดยดีไหมอีทงเฮ”




    เหมือนเสียงนั้นจะเอ่ยถามเขาเป็นครั้งที่สามแล้ว เมื่อครู่นี้เขาตอบไปว่าอะไรนะ? ปล่อยผมไป ใช่ หรือว่าไม่กันล่ะ? ปวดหัวจนแทบอยากจะฟุบลงกับโต๊ะ แสงแฟลชจากนักข่าวทั้งด้านหลังและรอบข้างยังคงรัวมาไม่ขาดสาย ทำไมกัน... ทำไมครั้งนี้ถึงรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลยกับคนพวกนี้ ไม่รู้สึกถึงแม้แต่ความยินดีหรือความไม่พอใจ




    “ให้ผม... ไปมกโพก่อน แล้วจะกลับมามอบตัว”




    “เราทำ...”




    “สัญญา”




    ถึงจะพูดไปอย่างนั้น ดวงตาคมกริบสบเข้ากับนายตำรวจซึ่งส่ายศีรษะไปมาช้าๆอย่างอ่อนใจ ไม่รู้ว่าอีทงเฮรู้ตัวหรือไม่ว่าพูดจาออกนอกประเด็นไปถึงกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว “เราทำแบบนั้นไม่ได้คุณอีทงเฮ คุณเป็นผู้ต้องหา ได้โปรดให้ความร่วมมือกับทางตำรวจด้วย เราคิดว่าคุณคงไม่อยากอยู่เป็นเป้านิ่งให้นักข่าวถ่ายรูปนานนัก”




    “ถ้ารับสารภาพ ผมจะได้ไปมกโพไหม?”




    อีกครั้งที่ถูกส่ายหน้าใส่ มือซึ่งอยู่ภายใต้พันธนาการโลหะกำลังบีบเกร็งแน่น จินตนาการภาพบิดาบนเตียงผู้ป่วยไปต่างๆนานา ห่วงจากใจ... นี่เขายังมีความรู้สึกแบบนี้อยู่หรือ?







     

    ออกไปจากชีวิตของเราเถอะทงเฮ จีน่าเธอเจ็บมามากพอแล้ว







     

    หลุดเสียงหัวเราะออกมา ทว่าก้องอยู่แค่ในลำคอเท่านั้นเอง นั่นสินะ... เขาเองก็ยังมีหัวใจ มีพ่อมีแม่ มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบเหมือนคนอื่นๆ







     

    เด็กจะต้องมีพ่อนะทงเฮ

    นายไงพ่อของเด็ก ฉันยกให้







     

    ทำไมสิ่งที่เคยลืมไปถึงได้ไหลย้อนกลับเข้ามาราวกับตอกย้ำ สมเพชตัวเองนัก... ไม่เคยคิดว่าจะมีภาระหรือการรอคอยขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมนะ... ทำไมตอนนี้ถึงได้มีคนที่อยากเจอมากมายเหลือเกิน...




    “ผม....”




    “..............”




    “ผม... ยอมรับผิด.....”




    “..............”




    “ผมยอมรับข้อกล่าวหาทุกอย่างครับ”





















     

     




















    ดูๆไปแล้วเด็กคนนี้เหมือนจีน่าก็แค่จมูก แต่นอกนั้นได้ทงเฮมาไม่ผิดเพี้ยน พอคิดได้อย่างนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น...




    “จีอึน... พ่อรักลูกนะ”




    พูดไปก็เขินตัวเองอยู่ไม่น้อย ดูเอาเถอะว่าเป็นคุณพ่อขี้เห่อไม่มีผิด




    เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น ดูท่าทางเร่งรีบ แต่พอได้หันไปมองกลับเห็นว่าอีกฝ่ายแย้มรอยยิ้มอ่อนๆให้เขามาแต่ไกล “ผมรีบบึ่งรถมาเลยนะเนี่ย มาถึงก็เห็นพี่ยืนยิ้มอยู่คนเดียว ท่าทางทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีสินะครับ”




    ถึงจะเพิ่งได้เจอกันไปเมื่อเย็น แต่ฮยอกแจก็ยังรู้สึกถึงความห่างเหินของกาลเวลาไม่น้อย โจวคยูฮยอนก้าวขึ้นมาเพื่อส่องมองเด็กน้อยให้ชัดขึ้น เพ่งไปเพ่งมาอยู่หลายเตียง แต่เดาไม่ถูกสักทีว่าเด็กคนไหนที่จะถูกยกให้เป็นหลานของเขา




    “อีจีอึน” คนแก่กว่าเลยบอกชื่อออกมา แค่นั้นคยูฮยอนก็หาเจอได้ไม่ยาก เตียงตรงกลางสายตาชัดเจน เด็กหลับตาพริ้ม ตัวยังดูแดงๆ แต่ก็คิดว่าคงปลอดภัยดีแล้ว “หมอบอกว่าต้องอยู่ห้องอบไปจนครบกำหนดคลอดเก้าเดือนเพราะคลอดก่อนกำหนด”




    “อีกตั้งสองเดือน พนันได้ว่าพี่อยากฟัดแกใจจะขาด” เอ่ยกระเซ้าอย่างรู้ทันจนอีกฝ่ายแกล้งกระแอมไอกลบรอยแดงจางๆบนใบหน้า แดงไปถึงหู ทำเอาคนแซวอดจะหัวเราะไม่ได้กับคนวางฟอร์ม “แล้วคุณจีน่าเป็นยังไงบ้างครับ?”




    “ไม่ค่อยดี หมอเลยบอกว่าขอตรวจดูอาการให้แน่ชัดว่าปลอดภัย แล้วจะให้เข้าเยี่ยม”




    ส่งสีหน้าแสดงความเสียใจออกไปแล้วจึงเบนสายตากลับมามองเด็กต่อ คยูฮยอนมีบางสิ่งในใจที่ยังไม่อยากบอก ฮยอกแจกำลังสัมผัสถึงความสุข ถึงแม้เร็วๆนี้จะต้องรู้ แต่ตอนนี้...




    “โบรา! เธอรู้หรือยังเรื่องที่ขวัญใจเธอถูกจับน่ะ”




    พยายามสาวซึ่งเร่งฝีเท้ามาแต่ไกลหันมาผงกศีรษะทีหนึ่งเป็นเชิงขอโทษชายหนุ่มสองคน พยาบาลอีกคนซึ่งเป็นคู่สนทนากำลังขีดๆเขียนๆบางอย่างอยู่กับรถเข็น หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง ท่าทางตื่นเต้นกึ่งๆจะไม่กล้าฟัง




    “อีทงเฮไง... อีทงเฮที่เป็นดาราน่ะ ออกข่าวใหญ่โตว่าถูกจับข้อหาเสพยา โทรทัศน์ก็กำลังฉายอยู่”




    เธอกำลังพูดถึงโทรทัศน์ซึ่งติดอยู่ในโถงกลางของโรงพยาบาล ครั้นพอหันมาอีกที ผู้ชายสองคนซึ่งยืนดูเด็กทารกอยู่ก่อนหน้าหายไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในความสนใจอะไร เพราะยังตั้งหน้าตั้งตาร่ายรายละเอียดให้เพื่อนสาวร่วมงานฟังอย่างเอาเป็นเอาตาย










     

    “พี่ ใจเย็นๆก่อนสิ”




    คยูฮยอนเร่งฝีเท้าตามฮยอกแจจนเหนื่อย โถงกลางอยู่อีกไม่ไกล สังเกตได้จากเสียงจอแจของบรรดาผู้ป่วยและญาติซึ่งเป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาล ใจของครีเอทีฟหนุ่มตอนนี้เดาได้ยากว่ากำลังหรือถูกไฟสุมหรือแช่แข็งให้ตายทั้งเป็น เขากำลังหวั่นใจ... กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่นางพยาบาลพูดจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าสักวันจะต้องเกิด แต่ทำไม...




    ทำไมตอนนี้ถึงได้ไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นคนที่คอยทำร้ายให้เจ็บช้ำตลอดมากำลังอยู่ใต้แสงแฟลชนับสิบ แต่ความรู้สึกมันต่างออกไป... กุญแจมือถูกพันธนาการไว้แน่นหนา และรอยยิ้มหยิ่งผยองซึ่งเขาคุ้นชินนั้นมันไม่ปรากฏให้เห็นอย่างทุกที







    ผม... ยอมรับผิด.....







    ทั้งที่คนซึ่งต้องร้องไห้ควรจะเป็นทงเฮไม่ใช่เขา...




    แต่ทำไม....







    ทำไม...




















     

     





















    สองวัน... ที่เสมือนความเยียบเย็นเข้าปกคลุมระหว่างความสัมพันธ์ของเขาและผู้หญิงคนหนึ่งและทำให้ปวดกับความหนาวเหน็บนั้นเจียนตาย ชเวจีน่าราวกับได้ตายด้านจากความรู้สึก สายตาของเธอนิ่งสงบ ทว่ากลับเต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจนานาซึ่งอีฮยอกแจรู้แก่ใจดียิ่งกว่าใคร




    “คุณควรบำรุงสักหน่อย ร่างกายคุณตอนนี้อ่อนแอมาก”




    ถึงจะพูดออกไปด้วยความห่วงใยอย่างนั้น แต่ก็เป็นหนึ่งในนับครั้งไม่ถ้วนซึ่งชายหนุ่มได้รับเพียงความเฉยชากลับมา เขาไม่ได้พยายามที่จะอธิบายอะไรออกไป ไม่แม้แต่จะยกเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจนั้นมาจุดประเด็นกลบความเงียบแสนกดดันนี้




    ทำดีเป็นร้อยพัน... แต่คงไม่อาจแก้ไขความผิดพลาดในอดีตได้ ข้อนี้ฮยอกแจรู้แก่ใจ




    แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เต็มใจทำด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง




    “.........”




    “.........”




    “ทำไมกัน...”




    “.........”




    “ทำไมคุณถึงไม่พยายามที่จะพูดอะไรออกมาบ้าง ฮยอกแจ?”




    ท้ายสุดแล้วอาจเป็นเธอที่ทนไม่ไหว อาจเป็นชเวจีน่าเองที่พ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวดในเกมส์นี้ เธอคิดว่าตัวเองยังเข้มแข็งไม่พอ... ยิ่งได้มองดวงตาหวานโศกซึ่งจับจ้องอยู่นั้นเธอยิ่งต้องยอมแพ้




    คนที่ใจร้ายที่สุดไม่ใช่ใครไหนเลย...




    อีฮยอกแจต่างหาก... ร้ายกาจที่ยอมให้ความเจ็บปวดนั้นเข้าครอบงำโดยตีหน้าไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างเคย







    “ทำไมต้องมาทำดีกับฉันมากมาย... ทำไมต้องทำให้ฉันเกลียดคุณไม่ลง?”




    “.........”




    “คุณเป็นบ้าอะไร.... ทำไมต้องทำแบบนี้....”

     



















     




















    มือสากกร้านซึ่งปรากฏรอยแผลผุพองอยู่ตามฝ่ามือนั้นสร้างความเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ทว่าหน้าที่ของเขาคือการทนต่อบาดแผลนั้นและลากด้ามไม้กวาดขนาดใหญ่เท่าตัวไปจนสุดลานกว้าง เศษใบไม้ใบหญ้า เศษฝุ่นปลิวระสายลมจนกระเด็นเข้าตา ยิ่งยกมือขยี้ตากลับยิ่งรู้สึกว่าแสบสัน นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ต้องมาคอยทำอะไรแบบนี้?




    อยู่แต่กับความรักและความสุขสบาย อยู่บนกองความสุขซึ่งทุกคนประเคนให้




    เคยมีคนบอกผมว่าชีวิตคนเรามักจะมีขึ้นมีลง มีสุขมีทุกข์ มีคนรักมีคนเกลียด... อยู่ที่จะรักษาสิ่งใดไว้ให้อยู่กับเราเนิ่นนาน หลายครั้งที่ผมเพียรทำลายมันลงด้วยความสะใจ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งนั้นต่างหาก... ซึ่งคอยฉุดรั้งปกป้องผมอยู่เรื่อยมา




    หัวเราะกับตัวเองเบาๆ อาจด้วยยอมแพ้ในโชคชะตาหรือสมเพชบางสิ่งบางอย่าง ยิ่งกวาดไปเท่าไรใบไม้ก็ยิ่งร่วงหล่นลงมาอย่างไม่มีวันหมด อาจจะท้อแต่ก็ต้องทำ ต้องทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์สบประมาทที่ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน รอยแผลบวมเจ่อบนหน้ายังคงเด่นชัด ที่ซ่าเข้าไปต่อยพวกนักโทษปากพล่อยจนถูกสั่งสอนกลับมาให้กลายเป็นคนหงอๆอย่างทุกวันนี้




















     

     




















    ถาดข้าวสแตนเลสในมือถูกยื่นออกไปข้างหน้า อีทงเฮได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองเมื่อกับข้าวที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ได้น่ากินเอาสักเท่าไรถ้าเทียบกับอาหารหรูๆซึ่งเขาคุ้นเคยมาเกือบทั้งช่วงชีวิต ทั้งยังน้อยจนรู้ตัวว่าคงต้องหิ้วท้องรอมื้อต่อไปในช่วงเย็น มองดูแต่ละโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยเสียงจอแจ รู้สึกดีไม่น้อยที่ยังมีอีกโต๊ะหนึ่งให้เขาได้นั่งกินข้าวเงียบๆไม่ต้องทนกับสายตาใคร




    ทั้งที่จุดหมายอยู่แค่เอื้อม แต่ร่างทั้งร่างกลับต้องถลาล้มลงไปกับพื้นพร้อมด้วยเสียงดังของถาดข้าวซึ่งกระจัดกระจายจนเก็บกินไม่ได้ นักโทษตัวสูงใหญ่ซึ่งโดนชนเขานั่นเอง ทั้งที่อาจจะไม่ได้ตั้งใจแต่หมอนั่นก็ไม่ได้คิดจะขอโทษ




    ทั้งที่คิดว่าน่าจะมีอะไรตกถึงท้องสักหน่อยหลังจากทำงานมาทั้งช่วงเช้า แต่นี่สินะที่เรียกว่าบทลงโทษของทัณฑสถาน... การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างโหดร้ายอย่างที่ชีวิตหนึ่งนี้ไม่คิดว่าจะได้เจอ





    หลังเก็บกวาดสิ่งที่ตัวไม่ได้เป็นคนทำแล้วก็ได้แต่นั่งอยู่เฉยๆคนเดียวอย่างนั้น มองดูคนอื่นกินกันอย่างเอร็ดอร่อย (ถึงแม้รสชาติมันอาจจะไม่ได้อร่อยเลยก็เถอะ) ถึงตอนนี้ที่เขาคิดว่าดีเท่าไรแล้วที่ได้กิน ดีเท่าไรแล้วที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เพราะอะไรก็ไม่อาจรู้ได้ที่ตอนนี้ในหัวของอดีตดาราหนุ่มกลับมีสิ่งที่อยากทำหลังออกจากที่นี่เต็มไปหมด




    “อีทงเฮ มีคนมาเยี่ยม”

     






















     






















    ในตอนนั้นเขารีบเร่งฝีเท้าตามผู้คุมไปอย่างดีอกดีใจ ความหวังบางอย่างที่แสนริบหรี่กลับจุดประกายขึ้นมาเมื่อคิดว่าอาจได้พบคนบางคนซึ่งอยากเจอมาตลอดเดือน แต่ไม่มีสักครั้งที่เขาคนนั้นจะมาหา นี่เป็นครั้งแรกที่คิดว่ายังมีใคร... เป็นครั้งแรก ที่รู้สึกว่าไม่ต้องอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้




    หากแต่ความดีใจนั้นสาบสูญ แต่ไม่เสียทั้งหมด... ไม่ใช่อีฮยอกแจ แต่กลับเป็นอดีตผู้จัดการดาราชื่อดังนั่นเอง เพียงใบหน้านั้นเงยขึ้นมอง อาจจะแย้มรอยยิ้มได้ไม่เต็มปากนัก แต่อย่างน้อยสีหน้าของคนโตกว่าก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจเท่าที่ควร




    “พี่จองฮุน...?”




    ชายหนุ่มเจ้าของชื่อแย้มรอยยิ้มบาง “พอรู้ข่าวก็ว่าจะมาเยี่ยมนานแล้ว แต่มัวยุ่งๆอยู่กับงาน”




    ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันได้พอเป็นพิธีจองฮุนก็ขอตัวกลับไปยังกองถ่ายซึ่งอยู่ใกล้ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทงเฮโล่งใจคือความหวังดีอย่างไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น คิดๆดูแล้วก็ต่างกับเขาซึ่งได้แต่กลัวเหลือเกิน... ว่าเมื่อใดสิ่งที่ได้กระทำกับคนอื่นไว้จะย้อนกลับเข้ามาหาตัว




    เจ้าหน้าที่เดินมากระซิบบอกว่ามีอีกคนที่รอเยี่ยมอยู่ด้านนอก บอกให้เขานั่งรอต่อ และเป็นอีกครั้งที่อีทงเฮมีความหวังว่าอาจได้พบอีฮยอกแจ นั่งก้มหน้าก้มตารออยู่อย่างนั้น กระทั่งแผ่นมือขาวยื่นถุงร้านขนมปังเจ้าโปรดเข้ามาในช่องเล็กๆท่ามกลางการสอดส่องของเจ้าหน้าที่




    ขนมปัง... เป็นของฝากที่อีทงเฮคิดว่าไม่เคยมีค่า ทว่าไม่ใช่เวลาที่หิวโหยและตกระกำลำบากเช่นนี้ และยิ่งถ้าของนี้มากจาก...




    ครั้นเงยหน้าขึ้นมองกลับพบเพียงความแปลกใจเมื่อคนที่ยืนอยู่ผิดคาดไปเป็นครั้งที่สอง โจวคยูฮยอนนั่นเอง




    “พี่ฮยอกแจฝากมาให้”




    “แล้วฮยอกแจไม่มาหรือ?” กดน้ำเสียงต่ำลงให้แลดูสุภาพ ถึงเขาจะไม่ถูกกับคนตรงหน้านี่เท่าไหร่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัวในสถานการณ์แบบนี้ อีทงเฮคิดว่าไม่ใช่เรื่องดีหากจะผลักไส เพียงแต่คำตอบที่ได้รับนั้น คือการที่คยูฮยอนฉีกรอยยิ้มได้อย่างก้ำกึ่งระหว่างคำว่าสงสารหรือสมเพช











     

    TBC












    มาต่อแล้วค่ะ ._ .
    จะจบแล้ว..... อีกอึดใจเดียว











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×