คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ` ( reddoor ) ____chapter two .
CHAPTER TWO
คยูฮยอนรู้สึกกึ่มๆมึนๆไม่ต่างจากคนอื่นในงานเลี้ยงสักเท่าไหร่นัก ทว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ประคองสติได้ดี ชายหนุ่มชอบการพบปะสังสรรค์ ชีวิตตอนมหาวิทยาลัยก็ถือว่าถี่ไม่ใช่น้อยที่จะมีเสียงหัวเราะของเขาปรากฏในร้านเหล้า ขึ้นชื่อว่าคอแข็ง ต่างจากอีกคนที่ชีวิตนี้คงได้แต่กินงานแทนข้าว แน่นอนว่าคยูฮยอนหัวเราะเมื่อเห็นชเวซีวอนคอพับคออ่อนอยู่บนเบาะที่นั่งข้างๆ ถ้าไม่ใช่เพราะบรรดารุ่นพี่ร่วมแผนกขอร้องโดยเห็นว่าเขามีสติครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด คงไม่มีวันหรอก... ที่คุณชายสกุลโจวจะมีน้ำใจต่อคนซึ่งเขารู้สึกเกลียดขี้หน้าตั้งแต่วันแรกที่เห็น และหากจะลองนับดูแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ใช่คนแรกเสียเมื่อไหร่ที่เขายอมลดทิฐิลงให้ความช่วยเหลือในคราวอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (แน่นอนล่ะว่าคนแรกเป็นอีทงเฮอดีตศัตรูตัวฉกาจอย่างไม่ต้องสงสัย)
มองเห็นนัยน์ตาคมสะลึมสะลือตื่นหลังจากรถกระเด้งเพราะลูกระนาดบนท้องถนนแล้วสองถึงสามครั้ง ตอนนี้เลี้ยวเข้าทางลัดซึ่งรุ่นพี่อีมินโฮได้บอกไว้ ใช่... มันเป็นทางไปบ้านชเวซีวอน เลี้ยวไปอีกสองแยกก็ถึง เห็นว่าเป็นบ้านหลังใหญ่สังเกตง่ายพอตัว
“........”
ชเวซีวอนนิ่งเงียบ คงพอมีสติอยู่บ้างแต่ก็คงน้อยเต็มทน ดวงหน้านั้นเพ่งมองเขาในแสงสลัวของไฟถนนที่ลอดเข้ามา คยูฮยอนไม่ได้สนใจ เร่งแต่จะขับไปให้ถึงๆที่หมายเพราะไม่อยากให้เกิดอะไรไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ซึ่งในความคิดเขาแล้ว มันเกิดขึ้นได้ง่ายเสียยิ่งกว่าอะไรถ้าเป็นกับชเวซีวอน!
ถึงจะรู้สึกว่าถูกมอง แต่หากไม่ได้ฉุกให้คนอ่อนวัยกว่าชะลอความเร็วลดลงด้วยใจที่เบื่อหน่ายเต็มแก่ เหมือนว่าซีวอนกำลังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แล้วก็แน่นอนอีกเชียวล่ะ! เพราะทันทีที่หัวหน้างานเปิดปากพูดออกมา โจวคยูฮยอนก็แทบอยากจะวนหารถสิบล้อมาชนให้รู้แล้วรู้รอด!!
“คุณเป็นเกย์เหรอ?”
“ไม่ใช่” ปฏิเสธเสียงแข็งทันควัน เคยมีสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันก็จริงอยู่ แต่คำว่าเกย์น่ะมันใช้ในคนที่ไม่นิยมชมชอบผู้หญิงเลยไม่ใช่หรือไงกัน เขารู้จักภาษิตอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา แต่ครั้งนี้คงทนใจแข็งไม่เคืองไม่ได้
“จูบกับผู้ชายด้วยกัน ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไง” แฝงความหมายไปในทางสะอิดสะเอียนด้วยน้ำเสียงป้อแป้ ทว่ากับโจวคยูฮยอนแล้วเขารู้สึกไม่พอใจตั้งแต่คำแรกที่อีกฝ่ายเปิดปากพูด กดปลายเท้าเหยียบเบรกจนเสียงดังเอี๊ยดที่ข้างทาง สูดลมหายใจลึกๆเสียทีหนึ่ง แล้วจึงหันมาสบตากับคนข้างๆซึ่งกำลังนวดขมับราวกับลืมคำถามเมื่อครู่
“ผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น มันเป็นแค่เกมส์” สงบสติอารมณ์อย่างที่ทำได้ยาก ซีวอนได้แต่พยักหน้ารับไม่รู้เรื่องรู้ราว เขามองได้ชัดที่สุดคือใบหน้าของคยูฮยอน แต่ไกลออกไปจากนั้นเป็นภาพเบลอซ้อนทับกันจนดูไม่รู้เรื่อง “เอาล่ะ ถึงบ้านคุณแล้วครับ”
“ขอบคุณ”
เพ่งสายตามองออกไปในความมืดแต่ก็ไม่เห็นอะไรชัดเจน ชเวซีวอนพยุงตัวเองลงจากรถ เหยียบพื้นซีเมนต์ถนนสีเท้าเข้ม กวาดสายตามองไปรอบๆ ทว่าพบเพียงแค่ตึกที่พักอาศัยละลานตา และที่แน่ๆ มันไม่มีวี่แววของบ้านเขาว่าจะอยู่ใกล้ๆนี้เลยสักนิด
รู้ตัวอีกที รถคันที่นั่งมาก็บึ่งออกไปโดยไม่มีคำสั่งเสียใดๆ ชายหนุ่มในยามกึ่งไร้สติไม่รู้ว่าโจวคยูฮยอนกำลังมีโทสะ และเมื่อตื่นมาในตอนเช้า ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้หรือเปล่าถึงสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่
ถึงลังเลที่จะวนรถกลับไปรับคนเมาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ท้ายแล้วชายหนุ่มกลับใจแข็งเหยียบคันเร่งให้ไกลออกไปเสียอย่างนั้น ความเป็นห่วงอาจไม่ถึงกับติดลบ เพียงแต่มีพลังน้อยกว่าโทสะในใจซึ่งร้อนขึ้นเท่านั้นเอง
อย่างไรเสียบอสแผนกนี้ก็เป็นคนฉลาด และถ้าไม่เมาจนหัวราน้ำเกินไปนักก็คงหาทางกลับบ้านเองได้ไม่ยาก (ถ้าจะมีรถแท็กซี่ผ่านมาตอนดึกดื่นแบบนี้ล่ะก็นะ)
ตื่นมาในตอนเช้าด้วยความรู้สึกที่ห่างไกลจากความกระปรี้กระเปร่า ถึงรู้ว่ามันอาจจะไม่ช่วยให้ดีขึ้นแต่วิศวกรหนุ่มร่างสูงก็ตัดสินใจทุบศีรษะตัวเองหนักๆสักทีสองทีเผื่อว่าจะช่วยไล่อาการเมาค้างออกไปได้บ้าง เมื่อคืนเขาเองก็มั่นใจว่าคงไม่ได้ดื่มเยอะเสียเท่าไร อย่างมากก็คงน้อยกว่ากลุ่มของคังโฮดงสักเท่าตัว...
...หรือว่าไม่?
เอาตรงๆว่าความทรงจำในช่วงท้ายๆของงานเลี้ยงสังสรรค์ค่อนข้างเลือนรางเต็มที แล้วเขามาอยู่ในห้องนอนของตัวเองได้ยังไง มินโฮพากลับมาหรือว่าใคร วันจันทร์จะได้ขอบคุณได้ถูกมารยาท คิดต่ออีกหน่อยก็เริ่มแน่ใจว่าไม่ใช่คนคุ้นเคย ใบหน้านั้นช่างเลือนราง... แต่ก็นึกออกได้ไม่ยาก
หมอนั่น....
ยังไม่ทันจะนึกชื่อให้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อน ไม่ต้องหันไปมองก็พอจะเดาออกได้ว่าใคร เครื่องหน้าสวยนั้นระบายยิ้มอ่อนๆ ในมือมีถอดวางแก้วน้ำส้มคั้นสดและน้ำอุ่นๆขนาดถ้วยกาแฟ หล่อนวางมันลงที่โต๊ะหัวเตียง ไม่ได้นั่งลงชิดใกล้ ทว่าสีหน้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเสมอต้นปลาย
“ฉันเอาน้ำส้มคั้นมาให้ คิดว่าน่าจะช่วยแก้อาการเมาค้างได้บ้าง”
หลังเบนสายตามองและเห็นว่าวันนี้ภรรยาของเขาใส่ชุดเดรสสีเข้มขับให้ร่างกายผอมสูงนั้นดูขาวผ่อง เดาว่าวันนี้เธออาจต้องออกไปไหน จำได้ดีว่าเมื่อวันแต่งงานทุกคนต่างบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก แม้กระทั่งทุกวันนี้หากได้ไปไหนด้วยกันก็ไม่วายจะต้องเห็นสายตาของเหล่าชายซึ่งจับจ้องมายังร่างภรรยาสาวข้างกาย ชเวซีวอนคงจะเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกจริงๆ และคงจะดีกว่านี้ถ้า....
มือผอมบางแตะกลางหน้าผากก่อนจะวางลงเบาๆที่ลาดไหล่ หญิงสาวค่อยๆหย่อนตัวตามลงมานั่งข้างๆ เสียงหวานนั้นว่าอะไรบ้างเขาใส่ใจไม่หมด ตีความได้ก็เพียงประโยคท้ายๆ “เมื่อคืนฉันรอคุณจนถึงตีหนึ่งเห็นว่ายังไม่กลับมา เสียงคุณอ้อแอ้เชียวล่ะ ฉันร้อนใจก็เลยขับรถออกไปวนหา เจออยู่แถวถนนเลียบหาดใกล้บ้านเรา ท่าทางคุณจะเพลียเลยให้นอนพักไปก่อน ไปไงมาไงถึงไปอยู่ตรงนั้นได้คะ?”
เหมือนคำถามจี้ใจดำไม่ผิด ปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมดขึ้นได้ง่ายดายโดยไม่ต้องใช้เวลานานนัก ใช่แล้ว... โจวคยูฮยอนมาส่งเขาและทิ้งบอสตัวเองให้ลงกลางทางอย่างไม่ไยดี! ปูซานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวแล้ว ดีแค่ไหนที่ไม่โดนจี้ปล้นกลางดึกกลางดื่นแบบนั้น
ชายหนุ่มเลือกที่จะเก็บความเคืองใจไว้กับตัวแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงภรรยาก็ตามที ยันกายขึ้นทุลักทุเลจนแทบเซถลาไปอีกรอบ ถ้ามีงานเลี้ยงคราวหน้าเห็นทีจะต้องปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด ดีที่นี่เป็นสุดสัปดาห์ ไม่อย่างนั้นชเวซีวนคงดูไม่จืดหากต้องหิ้วร่างกายตัวเองไปทำงานในสภาพเมาค้างให้หมดความน่าเชื่อถือ
“ซีวอน”
“ผมไม่เป็นไร คุณไปธุระเถอะ”
ภรรยาสาวถลามาช่วยพยุงแต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่สบอารมณ์อารมณ์นัก เธอไม่แน่ใจนักว่าในหัวของผู้ชายคนนี้ยังมีเรื่องเธออยู่หรือไม่เคยมี ทุกวันนี้เธอมีทุกอย่าง... ทุกอย่างจริงๆที่ภริยาของชายอนาคตไกลพึงจะได้ ขาดเสียก็แต่สิ่งเดียว....
หากชีวิตรักของฮยอนกยองคือรูปภาพ มันคงเป็นความสวยงามที่ไร้สีสันใดๆ
เป็นความสมบูรณ์แบบที่แสนจะวิปลาส!
“อะไรนะ ปล่อยบอสลงกลางทาง? โอย... คยูฮยอน! นายบ้า... บ้าไปแล้ว หาเรื่องตกงานหรือไงเนี่ย”
เช้าวันจันทร์เริ่มต้นด้วยเสียงยานคางของคังโฮดงซึ่งโอดครวญเรื่องที่เขาใจกล้าอาจหาญแก้เผ็ดกับบอสจอมเฮี้ยบอย่างชเวซีวอนได้อย่างหน้าตาเฉย ถึงจะตีหน้าตายอย่างนั้นแต่ใครเล่าจะเดาออกว่านี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่โจวคยูฮยอนมาบริษัทเร็วกว่าใครในเช้าวันจันทร์นั่นเอง (ถึงจะแก้ต่างกับตัวเองลึกๆว่าไม่ได้รู้สึกผิดจนต้องนับเวลารอที่จะได้เห็นท่าทีของผู้ถูกกระทำก็เถอะ)
ถ้ามีอยู่คนหนึ่งที่หัวเราะได้ก็เห็นจะเป็นชิมชางมินที่ได้แต่ตบบ่าคนสร้างเรื่องเปาะๆพร้อมด้วยประโยคให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรหรอกน่า บอสไม่ใช่คนหยุมหยิมขนาดที่ว่าจะไล่ใครออกด้วยเรื่องแค่นี้หรอก”
แต่สำหรับคยูฮยอนแล้วการรู้ตัวว่ากำลังจะถูกไล่ออกยังดีเสียกว่าต้องนั่งตีหน้าตายไม่รู้สึกรู้สาทั้งที่ไม่รู้ว่าหากบอสเจ้าทุกข์มาถึงเขาจะต้องโดนอะไรบ้าง จะต่อว่าด่าทอต่อหน้าพนักงานนับสิบร้อยหรือเรียกไปตวาดเป็นการส่วนตัวแล้วขู่จะไล่ออกกันล่ะ
แต่ทางไหนๆนั่นก็เรียกว่าโคตรแย่อยู่ดีไม่ใช่หรือไง....
แล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึงเมื่อเห็นร่างสูงสง่าเดินมาไกลๆด้วยสีหน้าตีขรึมเหมือนเคย โฮดงรีบออกปากทักทายด้วยรอยยิ้มกว้างผิดสังเกต เช่นเดียวกับชางมินที่ค่อนไปทางยิ้มแห้งๆเพราะคงหวั่นใจแทนอยู่บ้าง แต่สาบานเถอะว่าระหว่างที่ชเวซีวอนผงกศีรษะรับการทักทายนั้น ในเสี้ยววินาทีที่ทั้งสองเหมือนจะสบตากันแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นจวบจนอีกฝ่ายลับตาเข้าไปในห้องทำงาน
โฮดงถอนหายใจโล่งอก คยูฮยอนได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่แม้หูจะได้ยินน้ำเสียงยินดีของชิมชางมินเต็มสองข้าง ไอ้คำที่ว่า เห็นไหม มันไม่มีอะไร นั่นน่ะ... มองยังไงสายตาที่สบกับเขามันก็ไม่ได้เหมือนท่าทีเฉยเมยที่แสดงออกเลยไม่ใช่หรือไง?
เอาเถอะ... ถือว่าเจ๊ากัน!
วันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาแต่หัววัน จนในที่สุดฝนก็ตกลงมาโครมใหญ่หลังเวลาเลิกงานชนิดที่ว่าคนชักช้าคงหมดสิทธิ์ได้กลับบ้านในระยะเวลาอันใกล้ แน่นอนว่าความซวยมาเยือนโจวคยูฮยอนที่เป็นหนึ่งในนั้น เพราะเขาดันต้องมาติดแหงกอยู่ในลานจอดรถกับชเวซีวอนที่บังเอิญเจอและคิดว่าคงจะพ้นๆกันไปในวันนี้ทันทีที่คิดจะบึ่งรถหนี แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่าพายุฝนบังทัศนียภาพนอกกระจกรถเขาเสียมัวจนมองแทบไม่เห็นอะไร และคยูฮยอนก็ไม่คิดที่จะเสี่ยงไปเสยสิบล้อเล่นให้สมพรปากอย่างที่ชอบล้อเล่นบ่อยๆ
ถึงแม้จะอยู่กันสองคนและมีโอกาสยาวนานนับชั่วโมงสำหรับการพูดคุยด้วยอารมณ์ส่วนตัว ทว่าบอสของแผนกก็ยังวางตัวเป็นยักษ์หน้าขรึมที่ไม่พูดไม่จาใดๆ ไม่แม้แต่จะชายตามองลูกน้องจอมแสบในแผนกอย่างเขาด้วยแววตาหมองเคืองอย่างที่คยูฮยอนเตรียมใจ (ใช่เขาจะผิดคนเดียวเสียเมื่อไหร่) ได้แต่ยืนสูบบุหรี่เนือยๆแถมยังเป็นกลิ่นที่ชวนให้รู้สึกฉุนอย่างบอกไม่ถูก
แข็งใจไม่พูดอะไรออกไปแม้แต่คำขอโทษด้วยเพราะทิฐิที่ถือเอาการกระทำครั้งนั้นเป็นบทลงโทษในคำพูดพล่อยๆของคนเมา แม้จะตระหนักดีว่ามันคงแรงเกินไปเสียหน่อย แต่ก็เห็นอยู่แล้วว่าซีวอนปลอดภัยดี เขายังอยู่ทำหน้ายักษ์ได้จนถึงวันนี้ แสดงว่าคืนนั้นคงหาทางกลับบ้านเองจนได้หลังจากสร่างเมาล่ะนะ
พอฝนเริ่มซาๆก็ตัดสินใจหลีกหนีความกดดันด้วยการคิดจะบึ่งรถคันโปรดกลับบ้านมันเสียที แต่เหมือนว่านี่จะเป็นบทลงโทษในความฉุนเฉียวเกินกว่าเหตุของเขาที่เคยเกือบทำให้อีกคนตกเป็นเหยื่อของโจรปูซานในสภาพกึ่งไม่มีสติ สตาร์ทรถอยู่หลายต่อหลายรอบก็ไม่มีทีท่าว่าจะติดเพราะอากาศที่เย็นจนแทบหนาวนี่ก็เป็นได้
“ให้ตายเถอะ... ซื้อมาตั้งแพง อย่ามาสำออยไปหน่อยเลยน่า”
เชื่อเลยว่าว่าเมื่อถึงคราวที่อยากไปเสียเต็มแก่โจวคยูฮยอนจะทำได้แม้กระทั่งด่ารถ ถ้าแค่เครื่องเย็นล่ะก็สตาร์ทซ้ำๆมันก็น่าจะติดขึ้นมาสักทีไม่ใช่หรือไง เดาเอาว่าคงเป็นที่แบตเตอรี่ไฟไม่พอ ว่าจะไปเปลี่ยนก็ไม่ได้ไปสักทีเพราะมัวแต่ยุ่งๆเรื่องจัดบ้าน อีหรอบนี้จะโทษใครก็คงไม่ได้ล่ะนะ
เหล่ไปทางขวาเพราะหวังจะพึ่งขอเสียบพ่วงแบตเตอรี่กับรถของอีกคน ชเวซีวอนยังคงหยิบบุหรี่ออกมาสูบแบบไม่แคร์ลมฟ้าอยู่อย่างนั้น ทำตัวยังกับขับมอเตอร์ไซค์ไปได้ อดไม่ได้ที่จะแอบเหน็บเพราะเห็นอีกคนไม่ออกรถไปเสียที กลั้นใจอยู่อึดหนึ่งก็โผล่หน้าพ้นกระจกรถแล้วโพล่งออกไปกึ่งตะโกนแข่งกับเสียงฝน
“ผมสตาร์ทรถไม่ติด ขอพ่วงแบตเตอรี่สักครู่ได้ไหม”
หันมาเนือยเสียจนเกือบจะคิดว่าไม่ได้ยิน จ้องหน้ากันอยู่นิดหนึ่งร่างสูงก็เป็นฝ่ายพูดในระดับเสียงที่ราบเรียบพอดีไม่ถึงกับตะโกน “อยากให้รถเสียไวเพราะไอฝนหรือไง”
คยูฮยอนแทบจะทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมาโจ่งแจ้ง ก็มันเพราะใครกันเล่าที่ทำให้เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ ทำได้แค่เปิดกระจกรถทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วนั่งแช่อยู่ข้างใน ฟังเสียงฝนแทนเพลงไปเพลินๆก็คงไม่เลว
เสียงฟ้าฝนชวนให้ใจหดหู่อย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นการหาอะไรทำฆ่าเวลาก็ดูจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับเฝ้ารอการกลับมาของใครสักคน แกลอรี่ภาพวันแต่งงานยังคงอยู่ที่เดิมอย่างเช่นทุกที แน่ล่ะ... ในเมื่อไม่มีใครที่คิดอยากหยิบมันมาดูนอกจากฮยอนกยอง
ชีวิตแต่งงานที่สมบูรณ์แบบราวกับเป็นแพทเทิร์น....
ตัดความหมองใจด้วยการหยิบเอาแกลอรี่ภาพขึ้นวางไปบนตู้ที่เดิม เลี่ยงไปสะบัดผ้าห่มและผ้าปูเตียงที่เพิ่งหยิบมาเปลี่ยนใหม่ถึงรู้ว่ามันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กล้ำกลืนเอาความขาดวิ่นของชีวิตรักให้ลึกลงไปในจิตใจ มันจะเป็นอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่? ความรู้สึกที่ขาดๆเกินๆบนความสวยหรู ซึ่งได้แต่หวังว่าสักวันมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นบ้าง
อีกครั้งที่หยาดน้ำตาถูกฝืนให้รื้นกลับเข้าไป แหวนแต่งงานที่ไม่เคยหลุดออกจากนิ้วของเธอ แต่สำหรับใครอีกคนแล้วที่ได้แต่เก็บมันอยู่ในลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียง ปล่อยไว้ให้เป็นความบิดเบี้ยวที่ยากจะแยกแยะระหว่างความทะนุถนอมและความละเลย
ไม่สิ... ไม่เลย... ซีวอนไม่เคยละเลยภรรยาของเขาอยู่แล้ว ทั้งทุ่มเทเวลา ความใส่ใจ ความจดจำในทุกรายละเอียดดังเช่นที่สามีแสนดีพึงกระทำ เว้นเสียก็แต่....
ความรัก
ความรักที่ฮยอนกยองไม่เคยรู้สึกว่าเธอได้รับ... แค่ผูกแค่มัดกันไปวันๆจวบจนจะตายจากกันอย่างนั้นน่ะหรือ?
ถึงไม่ใช่... แต่ก็ไม่มีทางทำอะไรไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่
TBC
ฮั่นแน่.... รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ ._ .
เพิ่งตอนสองเอง ขอปูเรื่องก่อนนะคะ -.-
ความคิดเห็น