ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC HAEEUN ¦ - Scapegoat...? ' แพะรับบาป ' {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #3 : ` ( SCAPEGOAT ) ____chapter two .

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 54



    SCAPEGOAT…?


    Couple : Donghae x Hyukjae

    Type : Drama Romance

    Author : xerxixiao’

    Warning : ฟิคชั่นเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อจินตนาการและความบันเทิง
    ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลจริงทั้งสิ้น

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------

     










    CHAPTER TWO

     










    “กลับดีๆล่ะ อย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด


    ไม่ลืมที่จะย้ำท้ายประโยคหนักแน่นแกมคำสั่ง หญิงสาวที่กำลังเก็บสัมภาระทุลักทุเลชะงักไปนิดหนึ่ง ช้อนสายตาขึ้นมองดาราหนุ่มแสนรักละล้าละลัง “เรา... จะได้เจอกันอีกไหมคะ?”


    อีทงเฮขยับขาเปลือยเปล่าไขว้กันอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ยกสองแขนขึ้นรองระหว่างศีรษะกับหัวเตียงพลางเหยียดยิ้มแกมหยันแบบที่สาวเจ้าไม่ทันสังเกต ขัดกับเสียงหวานๆที่แสร้งพูดออกไปราบเรียบไร้ความซื่อตรง “ผมยังอยากให้คุณเป็นแฟนคลับที่แสนดีต่อไปนะครับ”


    คนถูกเรียกว่าแฟนคลับสาวหน้าเจื่อนลงถนัดตา กระนั้นก็ยังแย้มยิ้มออกมาด้วยความพึงใจ โชคดีแค่ไหนแล้ว... โชคดีแค่ไหนแล้วที่ทงเฮให้ความสุขแก่เธอขนาดนี้ ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่นชอบในศิลปิน ติดตามข่าวสาร ทำแฟนไซต์ขนาดใหญ่ พยายามทุกทางเพื่อที่จะได้เข้าใกล้ รัก... แม้กระทั่งยอมให้ทั้งกายทั้งใจ....


    “ค่ะ ฉันจะ... ไม่บอกเรื่องนี้กับใคร...เด็ดขาด” เสียงนั้นอึดอัด แทบสำลักระหว่างความสุขกับความเสียใจ ได้ฟังเช่นนั้นทงเฮก็ยิ่งกว่ารู้สึกยินดี มีผู้หญิงมามอบร่างกายให้ถึงที่ ซ้ำยังรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรักษาความลับเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... ต่อให้หล่อนเที่ยวไปโพนทะนาจริงๆใครจะเชื่อ ก็แค่แฟนคลับที่คลั่งไคล้เขาจนเอาไปเพ้อฝัน ดีไม่ดีจะโดนกระแสเล่นงานจนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เปล่าๆ


    ร่างเปลือยเปล่าคว้าผ้าเช็ดตัวพันปิดท่อนล่างแล้วลุกเดินมาหยุดอยู่หน้าหญิงสาว ส่งสายตาให้หวานเชื่อม ไล้ปลายนิ้วหนาลูบไปตามสันแก้มจนหยุดอยู่ที่เรียวปากอิ่มเปื้อนลิปสติกสีอ่อน ยิ่งกว่าสัตว์เลี้ยง... ทั้งรัก ทั้งเชื่อง


    “น่ารักมาก...”


    หญิงสาวสวนออกไปพร้อมๆกับร่างสูงใหญ่ของผู้จัดการหนุ่มที่ก้าวเข้ามา ผมซอยสั้นรับกับเสื้อผ้าเข้าสมัยนิยมดูคุ้นตา ดวงตาเรียวรีภายใต้กรอบแว่นนั้นปรายมองหญิงสาวอยู่แวบหนึ่งจนหล่อนเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะหันมาเขม็งมองคนในการดูแลด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก


    “พี่คิดว่าพี่คุยกับนายรู้เรื่องแล้วนะ ว่าจะนอนกับใครก็ให้เลือกบ้าง ต้องรอให้ต้นสังกัดเรียกไปคุย หรือจะเอาให้เป็นข่าวใหญ่เสียก่อนล่ะ”


    ดาราหนุ่มแสร้งหูทวนลม ทำทีเดินไปหยิบเอากระป๋องเบียร์ในตู้เย็นขึ้นมากระดกใส่ปากสบายอารมณ์ ซ้ำยังแกล้งยื่นให้ผู้จัดการพลางยิ้มเยาะกวนประสาทตามนิสัยส่วนลึก “สักหน่อยไหมพี่จองฮุน”


    หายใจฮึดฮัดในลำคอคล้ายจะสงบสติอารมณ์ จริงอยู่ที่เขาอยากลาออกจากการเป็นผู้จัดการส่วนตัวดาวรุ่งที่ดีแต่หน้ากล้องคนนี้เต็มแก่ แต่พอคิดถึงจำนวนเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ที่ได้รับแล้ว อย่างน้อยตีตัวออกห่างแล้วติดต่อแค่เรื่องงานก็คงเกินพอ “ทงเฮ... นายควรจะระวังให้มากกว่านี้ถ้ายังไม่อยากหมดอนาคต”


    คำเตือนซ้ำๆซากๆไม่ได้ทำให้ความลำพองใจของอีทงเฮเบาบางลงนัก มันยิ่งมากขึ้น... มากขึ้นเมื่อได้รู้ถึงแผนการที่เพิ่งสำเร็จลุล่วงของตัวเอง ก็นี่อย่างไร... เขาจัดการมันได้แล้ว อนาคตของอีทงเฮก็ยังอยู่ดีทุกอย่าง


    “พี่น่ะไม่ต้องห่วงหรอก... อนาคตของผม ผมกำหนดมันเองได้”


    “.............”




    “ต่อให้ผมตกจากฟ้า... เท้าผมก็จะเหยียบพวกแฟนคลับก่อนถึงขี้ดิน... ผมไม่ยอมจมแน่....”





    ดาราก็คือดาวที่อยู่บนฟ้า ให้อีทงเฮโดนเหยียบจมแค่ไหนเขาเชื่อว่าก็ยังมีแฟนคลับอีกมากมายที่พร้อมจะอ้าแขนรับ เพียงเพื่อไม่ให้ดาวจมดิน... ให้มันยังอยู่ค้างฟ้า แม้ว่าจะต้องเหยียบหัวเหล่าคนที่ภักดีเพื่อหยัดตัวเองไว้ก็ตาม



















     

     




















    “ให้พี่ไปส่งไหม?”


    ร่างสูงโปร่งของโจวคยูฮยอนสวมกางเกงนักศึกษาด้วยอารมณ์ที่เรียกได้ว่าค่อนไปทางหงุดหงิด ทั้งที่คืนนี้คิดว่าจะได้ค้างกับรุ่นพี่คนรู้ใจแล้วค่อยกลับบ้านไปเอาตำราก่อนเข้าเรียนช่วงบ่าย แล้วนี่อะไร? แค่อีทงเฮโทรเข้าบอกว่าจะมาหา ก็กลายเป็นว่าเขาต้องหลีกทางกลับเอาดึกดื่นอย่างไม่มีทางเลือก ไม่ใช่ว่าถูกไล่ แต่คงอึดอัดใจถ้าจะต้องเจอหน้ากับคนที่ไม่ถูกโฉลกกันมาแต่ไหนแต่ไร “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับก็ได้”


    ตอบปัดๆไปอย่างนั้นก็อดสงสารคนบนเตียงไม่ได้ เหมือนจะรู้ตัวว่าทำผิด แต่ฮยอกแจจะปฏิเสธทงเฮได้ไงกัน... ในเมื่อเขาเองก็รู้สึกดีใจเสมอเมื่อเพื่อนรักบอกว่าจะมาหา ร่างบางค่อยๆขยับลงจากผืนเตียงทั้งร่างเปลือยเปล่า เข้ามาติดกระดุมเสื้อให้ช้าๆด้วยสีหน้าเหงาหงอย เหมือนลูกหมาตัวน้อยๆเสียจนชวนให้รู้สึกหมั่นเขี้ยว “ขอโทษที...”


    คยูฮยอนกดศีรษะอีกคนเข้าซุกแผงอกพลางหัวเราะในลำคอ จะให้เขาถือสาหาความฮยอกแจก็ดูจะไร้สาระเกินควร กระเง้ากระงอดไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสิทธิ์ในตัวกันและกันมากไปกว่าเดิม


    “ให้มันได้อย่างนี้สิน่า...”


    เปิดประตูออกไปก็เห็นอีทงเฮกำลังทำท่าจะเคาะเรียกอยู่พอดีพอดี ตาคมสองคู่มองเหยียดกันนิ่งงัน ก่อนโจวคยูฮยอนจะเป็นฝ่ายผละเดินสวนออกไปไม่แยแสนัก ร่างหนาได้แต่มองตามด้วยหางตา แล้วก็คว้าเอาบานประตูปิดกระแทกไล่หลังสาแก่อารมณ์ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่เขาเจออยู่กับฮยอกแจบ่อยครั้ง ดูก็รู้ว่ามีความสัมพันธ์กันแบบไหน


    “ทำไมฉันต้องมาเจอมันที่นี่ด้วยวะ” คายคำสบถอย่างหยาบคาย เบือนหน้าหนีเจ้าของห้องที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำหลวมๆแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาไม่สบอารมณ์ “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ ขยะแขยงจะตายชักพวกเกย์...”


    “............”

    เสียงท้ายไม่ได้ห้วนดังต้นประโยคเมื่อนึกขึ้นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮยอกแจในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันนัก พอเสสายตาขึ้นมอง กลับได้เห็นใบหน้าหวานเจื่อนลงถนัด ก็แค่หลุดปากไปเท่านั้น... แต่คนฟังคงจะจุกพอตัว


    “แล้วนี่เป็นไง ลองชุดแต่งงานผ่านไปด้วยดีใช่ไหม?”


    เปลี่ยนเรื่องพร้อมๆกับทำทีเดินมากอดอีกคนเอาไว้แนบกาย สีหน้าฮยอกแจไม่ดีขึ้น และดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงเมื่อมือเรียวตัดสินใจดันวงแขนเขาลดลงแล้วผละออกเนิบๆคล้ายคนห่างเหิน “อืม... ทุกอย่างเรียบร้อยดี”


    แม้จะเสียหน้าอยู่นิดหน่อยที่ถูกเพื่อนรักแสดงท่าทีเช่นนั้นใส่ หากแต่มันไม่น่ายี่หระนัก ยักไหล่น้อยๆแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิมพลางชวนคุยต่อไปโดยไร้ซึ่งการใส่ใจต่อความรู้สึกของคนตรงหน้า “จีน่าโอเคไหม?”


    วางแก้วน้ำเย็นๆลงกับโต๊ะโดยหลุบสายตาขวางๆไปอีกทาง ใช่ว่าไม่รู้เจตนาของทงเฮเสียเมื่อไหร่ ถ้าเขาไม่ได้ชอบผู้ชายอย่างที่เป็นอยู่ ทงเฮก็คงจะผลักไสจีน่าให้ตกร่องปล่องชิ้นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย คิดๆแล้วก็ได้แต่แค่นเสียงในลำคอ อย่างที่หญิงสาวพูดไว้กับเขาในวันนี้... ทำไมต้องสนับสนุนทงเฮในเรื่องแย่ๆแบบนี้นะ


    “อืม...” ตอบไปแค่นั้นด้วยความรู้สึกที่ยิ่งติดลบ การกระทำของทงเฮมีแต่น่ารังเกียจ... แล้วทำไมยังรัก ยังยอมทำ แม้จะรู้ดีแก่ใจดีทุกอย่าง นายมันบ้าไปแล้วอีฮยอกแจ... บ้าไม่ต่างจากความรักของนายสักนิด!


    “ที่วันงานเป็นอาทิตย์หน้าเลยนี่มันเร็วไปไหม ลำบากนายรึเปล่า?” ถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยจนคนได้ฟังนึกสมเพชตัวเองอยู่รอมร่อ ทุกอย่างถูกจัดการไว้เรียบร้อยดีแล้ว... ถึงยังไงเขาก็ต้องแต่งงานกับชเวจีน่าอย่างไม่มีทางเลือกไม่ใช่หรือไร




    “นายยังคิดถึงความลำบากของฉันอยู่หรือทงเฮ...?”




    ดวงหนาขาวหวานราบเรียบเสียจนกลัวว่าจะไม่มีความรู้สึกใดๆหลงเหลือ  ช่างเฉยชา ตัดพ้อผู้ชายชื่ออีทงเฮที่ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกรู้สาอะไรต่อตัวเขาสักนิด ไม่เคยห่วงใครนอกจากตัวเอง... ไม่ทำเพื่อใครนอกจากตัวเอง... และไม่เคยรักใครเลย.... นอกจากจากตัวเอง


    ร่างหนายันกายขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวอาดๆจนประชิดตัวใครอีกคนแล้วดันลงกับโซฟานุ่ม สองแขนท้าวคร่อมพลางยื่นใบหน้าเข้าใกล้จนริมฝีปากแตะกันผะแผ่ว ในใจนั้นไม่ต่างอะไรจากอาการคลื่นไส้ แต่กายกลับตรงข้ามกัน แค่นี้เท่านั้นเองฮยอกแจก็ยอมเขาทุกอย่าง... ยอมสิ้นแล้วซึ่งทุกเงื่อนไขและการต่อต้าน


    “นายเป็นคนสำคัญของฉันนะฮยอกแจ...”


    อยากหนีไปให้ไกล... แต่ให้ผลักออก... อีฮยอกแจก็คงไม่ทำ



















     

     



















    สัปดาห์ของการแต่งงานล่วงมาถึงเร็วอย่างน่าใจหาย พร้อมๆกับมรสุมข่าวฉาวครั้งใหญ่ของอีทงเฮ เมื่อข้อความบอกเล่าจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ออกมาเปิดเผยว่าเธอได้เคยมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับดาราหนุ่ม มีฝ่ายที่เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง จนทำให้เกิดกระแสอื้อฉาวในสังคมอินเตอร์เน็ตอย่างหนัก แฟนคลับมากมายควานหาตัวเธอกันให้ควั่ก ลงท้ายด้วยการด่าทอสาดเสียเทเสียหรือแม้แต่อยากจะฆ่าให้ตาย


    “ฉันเคยได้เตือนนายแล้วไม่ใช่หรือทงเฮ! นี่ยังไง เรื่องเกิดขึ้นมาแล้วยังจะทำอะไรได้อีกนอกจากแก้ข่าว”


    ตาคมกริบของผู้จัดการหนุ่มตวัดมองนักแสดงในการดูแลด้วยอารามที่ร้อนใจยิ่งกว่าไฟสุมอก ทั้งโกรธเกรี้ยว ผิดหวัง ความตกต่ำเบื้องลึกของจิตใจ ถึงข่าวทุกสำนักจะเริ่มหันมาโจมตีเรื่องนี้กันสนุกปาก แต่ดูเหมือนว่าคนที่เป็นเดือดเป็นร้อนเลยก็คือเจ้าตัวนั่นเอง “พี่จะเดือดร้อนไปทำไม ไม่เห็นเหรอว่าแฟนคลับของผมออกตัวกันขนาดไหน เราไม่ต้องทำอะไรเลย... ยัยนั่นถูกรุมประนามเสียยิ่งกว่าอะไรดี”


    หัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงลำพองใจ ระหว่างดาราดาวรุ่งที่มีคนสนับสนุนค่อนประเทศอย่างเขากับแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนคลับ ทุกคนต่างรุมด่าเธอว่าเสียสติ เพ้อฝัน ซ้ำยังให้ฝันนั้นมาทำลายชื่อเสียงของอีทงเฮ


    “แต่ถึงยังไงนายก็มีอะไรกับเธอจริงๆ ลองเธอออกตัวขนาดนี้....”


    “พี่จองฮุน” ว่าปรามเสียงเย็น ยกหนังสือพิมพ์พาดรูปเขาเป็นข่าวใหญ่นั้นม้วนตบอกคนสูงวัยกว่าเบาๆ เหยียดยิ้มหยันราวได้รับชัยชนะ ทว่าคนมองกลับไม่รู้สึกยินดีตามกัน “พี่คิดว่าจะไม่มีใครเชื่อคำเพ้อฝันยัยเสียสติคนหนึ่งที่คลั่งไคล้ผมจนสร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะหรือไงกัน?”


    “ไม่ใช่คนทั้งประเทศ... ที่รักนาย”


    “แต่ก็มากกว่าคนที่เกลียดผม... จริงไหม?” ถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วผายมือออกเป็นท่าทางยอมแพ้ หากใบหน้าไม่มีแม้แต่ความสำนึก ว่าคำโอหังกึ่งคำสั่งให้ผู้จัดการนำไปบอกต่อกัน “ถ้าบริษัทมีปัญหามากนัก ก็จัดงานแถลงข่าวก็แล้วกัน ผมจะแสดงให้เห็น... ว่าอีทงเฮ ไม่มีใครหยุดได้”


















     

     



















    ร่างผอมซูบของหญิงสาวในชุดนักศึกษาเดินก้มหน้าก้มตาไปตามระเบียงทางเดิน ตัวของเธอนั้นลีบติดผนังเสียจนกลัวว่าจะหายลับไป เช่นเดียวคนที่เดินผ่านไปมา บ้างก็มองแล้วซุบซิบด้วยถ้อยคำว่าร้าย บ้างก็แกล้งเดินชนหรือเดินเลี่ยงอย่างเดียดฉันท์ ที่เลวร้ายกว่านั้น คือคำประจานที่โพล่งขึ้นมาเยาะหยัน




    “อย่างอีทงเฮน่ะเร้อ... จะหันมาเอาผู้หญิงพื้นๆคนหนึ่ง”




    ยิ่งกว่าความกดดัน เพราะทุกชีวิตต่างมุ่งร้ายเข้าหาเธอเมื่อจับได้ว่าเป็นเจ้าของยูสเซอร์ที่ออกมาประกาศตัวเช่นนั้น ความจริงถูกปิดตายด้วยความเชื่อของคน แม้ว่ามันจะถูกเปิดเผยเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งไร้ค่าเพียงนั้น


    ผู้ชายตัวสูงโปร่งคุ้นหน้าคุ้นตาเดินฮัมเพลงขึ้นบันไดมาบนตึกด้วยสีหน้าที่ไม่เรียกว่าอารมณ์ดีเสียทีเดียว ในมือนั้นมีหนังสือเพียงเล่ม ริมฝีปากแย้มออกเห็นฟันขาว ยกมือขึ้นโบกน้อยๆให้เพื่อนสาว เมื่อคิดว่าเธอเอาแต่เดินก้มหน้าก้มตาคงจะไม่เห็น จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา ม้วนหนังสือแตะลงบนต้นแขนเบาๆเป็นเชิงสะกิด เผยหยาดน้ำตายามเธอเงยขึ้น


    “เฮ้ยนาบี ร้องไห้ทำไม!?”


    โจวคยูฮยอนผงะไปเล็กน้อยแต่ก็โน้มตัวลงแสดงความเป็นห่วงเพื่อนอย่างจริงใจ ได้รู้จักกันตอนเป็นนิสิตใหม่ๆ เจอกันเป็นครั้งคราวเพราะเรียนคนละคณะ แต่ก็จัดได้ว่านาบีเป็นผู้หญิงที่นิสัยดีคนหนึ่ง แม้จะแปลกๆไปบ้างเวลาที่แสดงความคลั่งไคล้ดาราหนุ่มซึ่งคยูฮยอนไม่ถูกขี้หน้า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนักด้วยเป็นความคิดส่วนตัว


    ทนเห็นหญิงสาวปล่อยโฮกลางทางเดินไม่ไหวจึงลากเข้าไปในห้องเรียนที่ยืนขวางอยู่ จัดการปิดประตูให้เรียบร้อย ยืนกอดอกมองเพื่อนซึ่งได้แต่ร้องไห้ไม่ยอมพูดอะไรอยู่นานสองนาน เจ้าของชื่อนาบีจึงยอมพูดในสิ่งที่ชายหนุ่มติดใจสงสัย “ฉันผิดมากไหมคยูฮยอน...”


    เสียงนั้นปนสะอื้นจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ คยูฮยอนจับใจความอยู่พักหนึ่ง จึงถามกลับไปน้ำเสียงราบเรียบ “ก็เล่ามาก่อนเถอะว่าเรื่องอะไร อยู่ดีๆร้องไห้ใส่แบบนี้ฉันจะตอบคำถามเธอได้ยังไง”


    ตั้งสติไม่นาน เธอก็เริ่มร่ายเรื่องราวออกมาเสียงสั่น ตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดไปให้ถึงคอนโดมิเนียม ติดสินบนเจ้าหน้าที่ดูแล กระทั่งได้เข้าถึงตัวในที่สุด แน่นอนว่าอีทงเฮจำเธอได้... จำได้ดีเพราะเป็นแฟนคลับตัวยงที่ชอบซื้อของราคาแพงมาให้ ติดตามทุกงานทุกโอกาส เจอกันในงานแจกลายเซ็นหลายครั้ง และการพบกันคราวนี้เองที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง...



    เธอชอบผมมากเหรอ?

    ค่ะ... ชอบมาก ฉันให้คุณได้ทุกอย่างทงเฮ ฉันรักคุณจริงๆนะคะ


    เธอชอบผม... แค่ในฐานะดาราจริงๆน่ะเหรอ?





     

    “เธอกับหมอนั่นก็เลย...?”


    ร่างสูงโปร่งบีบนวดขมับตัวเองเบาๆสามที เอ่ยคำปลอบใจเพื่อนสาวอยู่พักใหญ่... คนส่วนใหญ่อาจไม่เชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เขา คยูฮยอนรู้จักอีทงเฮดีในด้านความเลวร้ายและเห็นแก่ตัว แล้วเขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก กับการที่ผู้ชายคนนั้นจะเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นเพียงเพื่อความสุขตน


    “ฉัน... วันนั้นฉันมีความสุขมากเสียจน.... คิดโง่ๆอยากจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป....”



















     



















     

    ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ... จริงอยู่ที่ผมได้เคยพูดคุยกับบรรดาแฟนคลับ แต่ก็ไม่ใช่แค่เธอคนเดียว การที่เธอออกมาพูดอย่างนี้คนเสียหายก็คือผมไม่ใช่หรือ? เพราะผมพูดได้เลยว่าผมไม่มีทางจะทำเรื่องแบบนั้นกับแฟนคลับซึ่งเป็นที่รักของผมแน่นอนครับ









     

    การแถลงข่าวถูกถ่ายทอดผ่านจอโทรทัศน์โดยมีนักศึกษาหลายคนในโรงอาหารรวมคณะต่างพากันให้ความสนใจ บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา ส่วนน้อยซึ่งไม่เชื่อในสิ่งที่อีทงเฮพูดคือผู้ชาย และคนส่วนมากของประเทศคือฝั่งที่มีความเชื่อตรงกันข้ามกับเขา คยูฮยอนไม่ได้บอกเรื่องนาบีกับใครเพราะเขามองไม่เห็นผลดีต่อการกระทำนั้น สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือการให้กำลังใจจนกว่าเรื่องจะซาลง


    และความรำคาญซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจนั้นเองที่ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจขอตัวกลับบ้านเมื่อหมดวิชาเรียนของวันไปตั้งแต่เมื่อชั่วโมงก่อน มือเรียวคว้าเกระเป๋าเป้คู่ใจ เดินทอดน่องไปสู่หน้ารั้วมหาวิทยาลัย แต่เสียงโหวกเหวกที่หน้าตึกคณะใกล้เคียงกลับดึงฝีเท้าให้ชะงักหยุด






    ร่างสูงตรงเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ยังไม่ทันที่จะหายใจได้ทั่วท้องดี ใบหน้าคุ้นเคยที่คุยกับเขาไปเมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้วย้อนแสงอยู่เหนือยอดตึก ก่อนที่จะค่อยๆตกลงมา... กระทบพื้นดินท่ามกลางฝูงชนซึ่งถอยกรูดจนเซปะทะกันวุ่นวาย ร่างบิดเบี้ยวและเลือดที่นองอยู่เต็มผืนดิน... ต่อหน้าโจวคยูฮยอนนั่นเอง...




    “นาบี...”

     










    TBC













    ไม่มีอะไรจะพูด....      ._  .










    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×